จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 338
"แฮ่ก… แฮ่ก..."
เขาถึงขีดกำจัดร่างกายตนเองนานแล้ว แต่เหตุผลเดียวที่ยังทำให้ลาเด็นกำดาบไว้อยู่ จนกว่ามาร์ควิสสไตมจะได้รับข่าวนี้และตัดสินใจทำบางสิ่ง ลาเด็นจะต้องถ่วงเวลาถึงตอนนั้นให้ได้ แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
แต่มันก็จบสิ้นแล้ว ทันทีที่กองทัพ5,000นายมาถึง ความสิ้นหวังได้ทำให้ร่างกายและจิตใจลาเด็นอ่อนแรง
"จงก้มหัวให้องค์ชายซะ!"
ชักสเล่ย์ใช้แรงที่มีมากกว่า ฝืนให้ลาเด็นต้องก้มหัวลง
"อ--อั่ก...!"
ลาเด็นไม่ต้องการจะก้มศีรษะเลยสักนิด ราชวงศ์อีเทอนัลแล้วไง? ว่าที่กษัตริย์คนต่อไปแล้วไง? ไม่ว่าจะมีบรรดาศักดิ์ระดับไหน แต่มันก็คือศัตรูของนายท่าน!
"อย่าขัดขืนสิวะ!"
ชักสเล่ย์ออกแรงกดหัวลาเด็นให้ก้มลง แม้จะใช้กล้ามเนื้อส่วนคอขัดขืนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ต้องลงเอยด้วย ศีรษะของลาเด็นก้มลงไปขนานกับพื้น ชักสเล่ย์ลิ้มอย่างพึงพอใจพร้อมกับหันไปโค้งคำนับองค์ชาย
"คารวะองค์ชาย!"
"เหนื่อยหน่อยนะ"
องค์ชายเร็นพูดกับชักสเล่ย์ก่อนจะหันไปมองลาเด็น
"นายคือคนที่เอาชนะเบย์ด้ามาได้งั้นหรือ? ด้วยอายุเท่านี้ นับว่ามีฝีมือมากทีเดียว ในตอนแรก ฉันเคยคิดว่าแดนเหนือจะมีดีแค่ฟินิกซ์เสียอีก ดูเหมือนจะเป็นอดีตไปแล้วสินะ?"
"..."
ลาเด็นนิ่งเงียบ แต่เพียงเท่านี้ก็มากพอสำหรับกระตุ้นต่อมโทสะพวกเชื้อพระวงศ์และชักสเล่ย์
"แกนะแก! คนชั้นต่ำอย่างแกควรจะดีใจที่องค์ชายลดตัวลงมาพูดด้วย!"
"หุบปากซะ! ฉันไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเกียรติเลยสักนิด!"
"ใจเย็นก่อน"
เร็นกวาดสายตาไปมองกองทัพแดนเหนือที่ยืนสั่นกลัวอยู่ด้านหลัง ในยามนี้ พวกเขาคือศัตรูของราชวงศ์และทัพหลวง คงมีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะไม่รู้ว่า สิ่งที่รออยู่คือโทษตายสถานเดียว แต่เร็นกลับอมยิ้มอย่างอ่อนโยนให้พวกเขา
"พวกนายเองก็เป็นชาวอีเทอนัล หากเลือกติดตามรับใช้ฉัน ผู้สืบทอดคนต่อไปของราชวงศ์ ฉันจะรับรองความปลอดภัยและลืมความผิดที่พวกนายเคยก่อขึ้นทั้งหมด"
อันที่จริง ทุกคนล้วนเป็นทหารของอาณาจักรเดียวกัน คำพูดของเร็นทำให้กองทัพแดนเหนือเริ่มใจอ่อน พวกเขาหันมองหน้ากันเองอย่างสับสนเมื่อได้ยินโอกาสรอดชีวิต
ทันใดนั้น ลาเด็นได้ตะโกนขึ้นด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่
"ผู้เดียวที่คอยช่วยเหลือพวกเรายามเดือนร้อนคือท่านมาร์ควิสสไตม!! หาใช่กษัตริย์! ผู้คนแดนเหนือมีความสุขได้อย่างทุกวันนี้เพราะท่านมาร์ควิส! พวกเราลั่นสัตย์สาบานว่าจะรับใช้ท่านมาร์ควิสจนกว่าชีวิตจะหาไม่! ฉันไม่ยอมรับข้อเสนอของพวกแกเด็ดขาด!"
เดิมที ดินแดนตอนเหนือนั้นเปี่ยมไปด้วยภัยสงคราม หากไม่ใช่กับมอนสเตอร์ดุร้าย ก็เป็นกับมนุษย์เผ่าพันธุ์ป่าเถื่อนด้วยกันเอง อาณาจักรอีเทอนัลเคยถอดใจคิดยอมแพ้ในการกอบกู้แดนเหนือมาแล้ว แต่มีชายคนหนึ่งที่ไม่ยอม เขาลุกขึ้นสู้เพื่อประชาชนและรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่น เป็นเพราะเขา ชาวเมืองแดนเหนือทุกคนถึงมีชีวิตที่ดีเฉกเช่นทุกวันนี้ได้ ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวง
และชายคนนั้นก็คือ มาร์ควิสสไตม เขาไม่เคยท้อแท้แม้ทางอาณาจักรจะเลิกให้การสนับสนุน มาร์ควิสสไตมมีภาวะผู้นำและศิลปะในการบริหารที่เป็นเลิศ เพียงไม่ทางก็สามารถทำให้แดนเหนือสงบสุขได้
มาร์ควิสสไตมเป็นทั้งวีรบุรุษและผู้มีพระคุณของชาวแดนเหนือทุกคน เมื่อกองทัพแดนเหนือได้ยินเสียงปลุกใจของลาเด็น ทุกคนก็พลันตาสว่าง ไม่มีใครคิดยอมจำนนอีก ทุกคนลุกโชนไปด้วยไฟการต่อสู้จนถึงหยดสุดท้ายของชีวิต อาวุธในมือถูกกำแน่น ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเตรียมใจที่จะตาย
"ดูเหมือนคนพวกนี้กำลังตื่นเต้นที่จะตายได้ตายสินะ"
สีหน้าขององค์ชายเร็นพลันบิดเบี้ยวทันทีเมื่อต้องพลาดการคว้าตัวทหาร1,000นายไว้เป็นบริวาร มันเผยธาตุแท้ออกมาด้วยการหันไปออกคำสั่งกับชักสเล่ย์
"ฆ่าพวกสุนัขไร้ประโยชน์ให้หมด"
"ขอรับ!"
ชักสเล่ย์ขานรับพร้อมกับหันคมดาบไปจ่อที่คอลาเด็น แต่ลาเด็นก็มิได้นึกเสียใจกับการกระทำของตน เขายอมตายอย่างมีเกียรติมากกว่าต้องทรยศผู้เป็นนาย
'ดยุคกริด… ได้โปรด คุ้มครองนายท่านด้วย'
วีรบุรุษแห่งอาณาจักร สมญานามนี้ไม่ได้มาโดยง่าย ลาเด็นมั่นใจว่ากริดมีพลังพอจะก้าวข้าวอุปสรรค์ครั้งนี้ไปได้ เขาจึงหลับตาลงรอรับความตายอย่างสงบ
เคร้งงง!
ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ ฝ่ามือสีทองได้พุ่งผ่านทหารหลายพันคนด้วยความเร็วสูง ของวิเศษชิ้นนี้ได้ช่วยชีวิตลาเด็นไว้อย่างฉิวเฉียด
'นี่มันอะไร?'
ดวงตาของชักสเล่ย์พลันเบิกโพลง ฝ่ามือสีทองปริศนาได้พุ่งเข้ามาปกป้องลาเด็นพร้อมกับถืออาวุธล้ำค่าอยู่ในมืองั้นหรือ? แม้มันจะไม่ได้มีวิชาดาบที่เก่งฉกาจ แต่ชักสเล่ย์ก็ต้องยอมรับในความว่องไว
"ใครมันบังอาจ!!"
ชักสเล่ย์ตะโกนขึ้นอย่างหงุดหงิดในขณะปัดป้องการโจมตีจากมือสีทอง
คำตอบได้ดังลงมาจากท้องฟ้า
"ดยุคยังไงล่ะ"
"...!"
เป็นเสียงที่ฟังดูสงบนิ่งและผ่อนคลาย ท่ามกลางสนามรบ ทั้งลาเด็น ชักสเล่ย์ องค์ชายเร็น และทหารทุกคนต่างมองขึ้นไปเป็นตาเดียว ชายผมดำร่างกายกำยำ บนศีรษะสวมมงกุฏสีเงิน ชุดเกราะสีแดงสลับทอง รองเท้าสีดำสนิทที่แสนดุดันองอาจ เขากำลังมองลงมายังสนามรบเบื้องล่างด้วยสายตาเย้ยหยัน
"พวกสุนัขย่อมต้องไปไหนมาไหนเป็นฝูงสินะ… ช่างน่าสมเพช"
ชายผู้เย่อหยิ่งจองหองคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นกริด สามัญชนหนึ่งเดียวที่สามารถก้าวขึ้นไปถึงขุนนางชั้นดยุคได้ แค่เพียงการปรากฏตัวก็มากพอจะเปลี่ยนกระแสของสงครามได้แล้ว
"กริด...!"
"ดยุคกริด!!"
กองทัพ5,000นายพลันต้องหดเกร็งเพราะชายเพียงคนเดียว ในทางกลับกัน กองทัพแดนเหนือทั้ง1,000นายก็กำลังโห่ร้องอย่างดีใจ
***
รองเท้าว่องไวนั้นขึ้นชื่อด้านความเร็วในการวิ่ง แม้จะต้องแลกมาด้วยกับค่าเรี่ยวแรงที่ลดลงเร็วขึ้นสองเท่า แต่ความเร็วในการวิ่งนั้นจะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่าบนทุกพื้นผิว
บันนี่บันนี่วิ่งข้ามผ่านทะเลทรายจนตามกองทัพของเร็นได้ทัน
'เรามาทันเวลาพอดี!'
บันนี่บันนี่ออกอาการโล่งใจพร้อมกับสลับเป็นโหมดบันทึกภาพ
ฟ้าวว!
"นั่นมันอะไร...?"
มีบางสิ่งได้บินผ่านศีรษะของบันนี่บันนี่ไปด้วยความรวดเร็ว ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นนกตัวใหญ่ แต่เมื่อทำการซูมเข้าไป ก็ต้องพบกับกริด
"นั่นสินะ...!"
บันนี่บันนี่จับภาพการปรากฏตัวของกริดในยามที่เกือบจะสายไป หากช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียว กองทัพแดนเหนือคงถึงคราวจบสิ้น กริดเคยทำเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง ทั้งในงานแข่งนานาชาติหนแรก และในสงครามไรน์ฮาร์ท ดูเหมือนกริดจะเป็นเหมือนกับวีรบุรุษในภาพยนตร์ ที่สามารถเรียกเสียงเชียร์จากคนดูได้จากการโผล่ออกมาอย่างเหมาะเจาะ
'ทำไมเราถึงเพิ่งจะนึกเรื่องนี้ขึ้นได้นะ?'
ไม่เหมือนกับดาราซาทิสฟายคนอื่น กริดมีแอนตี้แฟนที่คอยตามเกลียดชังอยู่มาก เป็นเพราะเขาขึ้นชื่อในด้าน<ไอเท็มดีแต่เล่นห่วย> บันนี่บันนี่เองก็เคยคิดเช่นนั้น เขาเคยไม่ชอบหน้ากริดสักเท่าไร เพราะด้วยคาแรคเตอร์แบบนี้แล้ว คงเป็นการยากที่จะทำให้กริดกลายเป็นพระเอกและมีคนติดตามดูจำนวนมาก
ไม่ใช่งานง่ายเลยสักนิด
บันนี่บันนี่มองกริดผ่านแว่นกันแดดสีดำมาโดยตลอด เป็นแว่นกันแดดที่ฉาบไว้ด้วยอคติบางประการ จนทำให้มองไม่เห็นความจริงง่ายๆ ที่ซ่อนอยู่ ทว่าตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว ในที่สุดบันนี่บันนี่ก็ตระหนักได้ว่า ตนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่พึ่งพาไอเท็ม หากไม่มีรองเท้าว่องไวล่ะก็ ตัวเขาคงไม่สามารถมาถ่ายฉากนี้ได้ทันเวลา ไอเท็มคือส่วนสำคัญในซาทิสฟายอย่างที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ และการที่มีสิทธิได้ครอบครองไอเท็มระดับสูงกว่าผู้อื่น สิ่งนี้ก็นับเป็นพรสวรรค์เช่นกัน บันนี่ต้องถอดแว่นกันแดดที่ฉาบไปด้วยอคติของตนออกก่อน แล้วมองกริดใหม่อย่างชัดเจนเต็มสองตาอีกครั้ง
ความคิดไม่เข้าท่าถูกสลัดทิ้งไป เขาเริ่มจับภาพสนามรบโดยมีกริดเป็นศูนย์กลาง
"กริด...! แสดงให้ฉันเห็นหน่อยเถอะ ว่านายเหมาะจะเป็นฮีโร่ของทุกคน!"
และในภายหลัง วิดีโอของบันนี่บันนี่จะถูกเผยแพร่ออกไปพร้อมกับสร้างเสียงเชียร์ให้กับผู้คนทั้งโลก
***
[ ดาบแห่งลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่ ]
มันคือดาบหายากที่จะมอบให้กับลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น คุณสมบัติของดาบจัดว่ายอดเยี่ยมมาก สามารถทำให้ผู้สวมใส่มองเห็นรายละเอียดทุกอย่างของเอ็นพีซีที่อยู่ตรงหน้าได้ แต่ปัญหาก็คือ ดาบเล่มนี้ไม่อาจใช้ตรวจสอบเอ็นพีซีในคราวละมากๆ ได้พร้อมกัน
ทว่า… ปัญหานี้ก็หมดไปเมื่อกริดมีค่าวิสัยทัศน์ที่สูงมากพอ ค่าวิสัยทัศน์ได้ส่งเสริมให้ทักษะ<ตรวจสอบรายละเอียดตัวละคร>ที่ติดมากับดาบมีประสิทธิภาพสูงขึ้น กริดจึงสามารถใช้ดาบแห่งลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่ตรวจสอบรายละเอียดเอ็นพีซีทุกคนในสนามรบอย่างคร่าวๆ ได้
แม้ข้อมูลที่ได้จะไม่ใช่รายละเอียดเชิงลึกก็ตาม
ชื่อ : ชักสเล่ย์-โลคาน
เลเวล : 313
ชื่อ : เฟอเรลล์-ชาอิฟา-ดูบง
เลเวล : 305
ชื่อ : อันดู
เลเวล : 301
...
...
นอกจากรายละเอียดอัศวินกองทัพหลวงแล้ว
ชื่อ : ลาเด็น
เลเวล : 258
...
...
ยังมีอัศวินแดนเหนือ รวมไปถึงทหารทัพหลวงและทัพแดนเหนืออีกจำนวนมาก กริดสามารถตรวจสอบชื่อและเลเวลของทุกคนได้ แต่ไม่อาจลงลึกไปถึงแต้มสถานะหรือทักษะต่างๆ นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยกับจำนวนเอ็นพีซีมากมายหลายพันขนาดนี้
ทว่า… แค่ชื่อกับเลเวลก็เพียงพอแล้วสำหรับกริด
'ทัพหลวงมีเลเวลเฉลี่ยอยู่ที่130สินะ… สูงเอาเรื่องแฮะ'
ทหารของกองทัพแดนเหนือจะมีเลเวลเฉลี่ยราว110 ซึ่งทหารของกองทัพหลวงจะสูงกว่าราว20ระดับ อันที่จริง ทหารกองทัพแดนเหนือก็ไม่ถือว่าเลเวลน้อย เพราะทหารวินสตันในอดีตยังมีเลเวลไม่ถึง100เลยด้วยซ้ำ แต่เป็นทางทหารของทัพหลวงเสียเองที่มีเลเวลอยู่ในระดับหัวกะทิ เพราะพวกมันได้คัดคนมาแล้วจากทั่วทั้งอาณาจักร
'แต่แล้วยังไงล่ะ?'
ทหารพวกนี้เทียบไม่ได้กับกองทัพเรย์ดันเลยสักนิด เพราะเลเวลเฉลี่ยของทหารเรย์ดันคือ148
'และในวันนี้ ทุกคนจะกลายเป็น160!'
แสยะ!
กริดเผยรอยยิ้มอันสุดแสนชั่วร้ายออกมา มากพอจะทำให้ทหารของทัพหลวงเกิดการระส่ำระสาย ชายหนุ่มไม่รีรอ เขารีบเก็บดาบแห่งลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่และสลับไปสวมรองเท้ากริดแทนรองเท้าบราฮัมทันที
[ ท่านไม่สามารถใช้เวทย์บินได้ สถานะบินถูกยกเลิก ]
[ ท่านกำลังร่วง ]
ฟ้าวววว!
รองเท้ากริดขึ้นชื่อในด้านความหนัก ทันทีที่ฝ่าเท้ากระแทกพื้น เกิดเป็นฝุ่นทะเลทรายคละคลุ้งไปทั่วบริเวณท่ามกลางสนามรบ
"ด--ดยุคกริด!"
ลาเด็นถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ เพราะเขาไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดกริดต้องละทิ้งความได้เปรียบบนท้องฟ้าและลงมาชุลมุนให้เสี่ยงอันตรายด้วย?
กริดชำเลืองหางตามามองลาเด็นอย่างเหยียดหยัน
"นายมันอ่อนแออย่างที่ฉันคิด"
"อ--เอ๋?"
"ฉันรู้อยู่แล้วตั้งที่ตอนที่นายทำเป็นอวดเก่ง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ฝีมือของนายไม่ได้ความเอาเสียเลย"
กริดใช้เหตุผลสามข้อในการตัดสินลาเด็น
ข้อแรก ในครั้งแรกที่ได้พบกัน ลาเด็นบอกว่ามีใครบางคนหลบซ่อนอยู่บนเพดาน แต่ความจริงคือ แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ยังไม่มี
ข้อที่สอง เลเวล อัศวินของทัพหลวงล้วนมีเลเวลเฉลี่ย300ทั้งสิ้น ในขณะที่ลาเด็นมีเลเวล258เท่านั้น หมายความว่า หมอนี่เอาแต่เที่ยวเล่น ไม่ยอมฝึกซ้อม
ข้อสาม ผลการรบ กองทัพหลวงอยู่ในสภาพไร้รอยขีดข่วน แต่ลาเด็นและกองทัพแดนเหนือกลับบาดเจ็บปางตายถ้วนหน้า ไม่ว่าจะถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวด้วยกำลังที่ต่างชั้นขนาดไหน แต่ผลก็ไม่ควรออกมาพ่ายแพ้หมดรูปเช่นนี้
"ชิ… ฉันไม่เข้าใจเลยให้ตายสิ ว่าทำไมพ่อตาถึงชอบนายนัก ถึงกับขอร้องให้ฉันช่วยชีวิตนายให้ได้"
"อึก..."
ราวกับหัวใจของลาเด็นถูกทิ่มแทงด้วยคำพูดเหล่านั้น
'คำพูดของดยุคไม่มีส่วนใดผิด เรามันทั้งอ่อนแอและไร้พลัง'
ลาเด็นรู้สึกเจ็บแค้น แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายทัพหลวงกลับแสดงสีหน้าตื่นตระหนก
'หมอนั่นล้มเบย์ด้าและหน่วยเหล็กวายุด้วยตัวคนเดียวเลยนะ!'
'แถมยังรับการโจมตีจากชักสเล่ย์ได้อีกหลายครั้ง!'
'ระดับนี้ยังอ่อนแอเกินไปอีกงั้นหรือ?'
ดูเหมือนนิยามของความแข็งแกร่งที่กริดมี กับนิยามของฝ่ายทัพหลวงจะแตกต่างกันมาก นั่นสินะ เขาเป็นถึงวีรบุรุษของอาณาจักร ย่อมไม่แปลกที่จะมีมาตรฐานสูง เพราะกริดเองก็มีพลังมากพอในการล้มศาสตราวุธบรรพกาลที่เก่งกาจเหล่านั้นต่อหน้าทุกคน คำพูดของกริดจึงทำให้บรรดาทหารจำนวน5,000นายต่างอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน
"บุกเข้ามากลางดงศัตรูตามลำพัง แกมันไม่เจียมตัวเลยนะ"
ชักสเล่ย์หันคมมาดาบทางกริดด้วยท่าทางดุดัน แม้อีกฝ่ายจะเป็นวีรบุรุษแห่งอาณาจักร แต่ตัวมันก็เป็นถึงนักดาบผู้ยิ่งใหญ่ หนึ่งในนักดาบที่เก่งที่สุดของทวีป ศัตรูจะเป็นใครหน้าไหนก็ไม่สนทั้งนั้น
"ในระหว่างสงครามโกเล็มที่ไรน์ฮาร์ท ตอนนั้นฉันยังอ่อนแออยู่ จึงทำได้เพียงยืนมองแกจากระยะไกล"
แต่ว่า
"นับตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็ยอมสละความสุขทุกทางเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น!"
ชักสเล่ย์เหวี่ยงดาบเข้าใส่กริดด้วยความรวดเร็ว ทั้งทิศทางการฟัน มัดกล้ามเนื้อ การใส่แรง การถ่วงน้ำหนัก ทุกสิ่งเป็นไปอย่างไร้ที่ติราวกับมันฝึกฝนเหวี่ยงดาบวันละหมื่นหน ดาบของชักสเล่ย์นั้นอ่านทางง่ายและดูแสนธรรมดา แต่กลับอัดแน่นไปด้วยความน่ากลัวระดับสูงสุด บันนี่บันนี่ตาลุกวาวทันทีกับฉากตรงหน้า
'ร--เร็วมาก!'
เป็นการยากที่จะให้หลบพ้น ปัญหาคือ กริดดันปล่อยให้คู่ต่อสู้โจมตีเข้าไปก่อน บันนี่บันนี่มั่นใจมากว่ากริดคงโดนโจมตีเข้าแล้ว
แต่ว่า
เคร้งง!
ดาบยาวสีเลือดได้ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าตรงหน้ากริด มันไม่ใช่ดาบใหญ่ที่กริดใช้อยู่เป็นประจำ ด้วยความที่เป็นดาบมือเดียว ทำให้ความเร็วของกริดอยู่เหนือกว่าชักสเล่ย์ได้
'นี่ก็เร็ว!'
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมากจนยากจะมองตามทัน กริดพูดกับชักสเล่ย์ที่ดาบถูกปัดป้องโดยง่าย ด้วยน้ำเสียงอันแสนเหยียดหยันว่า
"แกโง่รึเปล่า? คิดว่าตนเองพัฒนาเป็นคนเดียวรึไง? ในขณะที่แกฝึกซ้อม ฉันก็ฝึกซ้อมอย่ากหนักเช่นกัน จนอยู่ในระดับที่แกไม่มีทางไล่ทันอีกแล้ว!"
"ไล่ไม่ทัน?"
(ผู้แปล : ตรงนี้ ทางเกาหลีใช้คำแสลงอินเทอร์เน็ตของเกาหลี ซึ่งมีความหมายเดียวกับการ<ไล่ไม่ทัน> ด้วยความที่เอ็นพีซีไม่เข้าใจภาษาแสลงของผู้เล่น ชักสเล่ย์จึงสับสน )
กริดหมายความว่ายังไงกัน? ในขณะที่ชักสเล่ย์ยืนอึ้ง กริดก็กระหนำโจมตีเข้าใส่ด้วยความรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ เขาใช้งานยารุกต์มาอย่างหนัก รวมไปถึงการแยกส่วนและประกอบกลับเข้าไปใหม่ ทำให้ค่าความเข้าใจในยารุกต์มี100%เต็มแล้ว และนับแต่นี้ไป กริดจะใช้ยารุกต์สร้างความระส่ำระสายให้กับทัพของศัตรูจำนวนมาก
ขอบคุณมากครับ
ReplyDeleteเริ่มค้าง กำลังมัน ขอบบบบคุณครับบ
ReplyDeleteสนุกมากๆครับ
ReplyDeleteยารุคออกโรงแล้ววววว~~~ //ขอบคุณที่แปลครับ~
ReplyDeleteเดี๋ยวยารุกต์มันให้ใช้เฉพาะเผ่าปีศาจพระเอกยังไม่เปลี่ยนร่างทำใมใช้ได้ เนื้อเรื่องเริ่มมั่ว
ReplyDeleteความขัวใจในไอเท็ด100%แล้ว
Deleteตอนนี้ฮาหลายฉากเลย ทั้งทุ่งข้าวสาลีระเบิด (จนเกิดเป็นโกโก้ครั้น)
ReplyDeleteและยารุกต์ ที่น่าจะไกล้กลายเป็นยาคูล