จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 337
ฮูเร็นเล่นซาทิสฟายมาตั้งแต่ช่วงโคลสเบต้า(ช่วงทดสอบ) มันจึงรู้ดีว่า โลกซาทิสฟายนั้นกว้างใหญ่แค่ไหน มีชาวนาแข็งแกร่งกว่ามันอยู่งั้นหรือ? ฮูเร็นเปิดใจยอมรับในสิ่งนี้ได้ไม่ยาก
ใช่แล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยสักนิด ที่ชาวนาในตำนานจะสามารถโจมตีได้รุนแรงระดับเดียวกับเวทย์อุกกาบาตของจอมเวทย์ในตำนวน
'และ ณ ตอนนี้ ชาวประมงในตำนานคงเป็นเพื่อนอยู่กับจักรพรรดิมังกรที่ไหนสักแห่งในโลก...'
ไม่แปลกที่จะมีฤๅษีมากมายเร้นกายอยู่ทั่ว แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ฮูเร็นไม่อาจยอมรับ เหตุใดชาวนาในตำนานผู้เก่งกาจ ถึงกลายเป็นบริวารของกริดได้?
'กริด... นายเติบโตขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัดเลยรึไงนะ?'
กริดคือผู้เล่นคนแรกที่ได้ครอบครองคลาสเกรดเลเจนดารีก่อนใคร แถมตอนนี้ยังมีบริวารเป็นเอ็นพีซีระดับตำนานอีกหรือ? ไม่แปลกที่ผู้คนจะพากันอิจฉาและเกลียดชัง
ทว่า ฮูเร็นกลับยอมรับว่ากริดเหนือกว่าตนแต่โดยดี ทันใดนั้นเอง ปิอาโร่ก็ยื่นมือออกมาหามันที่กำลังนั่งทรุดลงกับพื้นอย่างท้อแท้สิ้นหวัง
"มากันฉันสิ"
"..."
ชาวนาเสียสติ เขาสังหารผู้คนนับพันได้โดยไม่แม้กระพริบตา ในสายตาของฮูเร็น ปิอาโร่ไม่เหมือนคนปรกติเลยสักนิด แต่ยามนี้ ฮูเร็นไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทำสิ่งใดได้อีก มีแต่ต้องยอมจำนนเท่านั้น
"ก็ได้ ฉันจะไปกับแก ลากฉันไปหาดยุคกริดซะสิ เพื่อที่พวกแกจะได้เค้นความลับของสงครามนี้ไปจากฉัน"
"ไม่เลย ฉันจะพาแกไปทำฟาร์มต่างหาก"
"อะไรนะ?"
เขาเสียสติไปแล้วจริงๆ งั้นหรือ?
หากมองจากมุมของเรย์ดันแล้ว ฮูเร็นคือแม่ทัพคนสำคัญที่ล่วงรู้ข้อมูลข่าวสารทั้งหมดเป็นอย่างดี ดังนั้น เรย์ดันก็ควรปฏิบัติตัวกับฮูเร็นเป็นนักโทษชั้นดีเช่นกัน
แต่แล้วตนกลับต้องถูกลากไปทำฟาร์มงั้นหรือ? ศักดิ์ศรีของฮูเร็นป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี และดูเหมือนปิอาโร่จะอ่านความคิดเหล่านั้นออก เขาจึงพูดต่อไปเพื่อเย้ยหยันให้กับสีหน้าอันแสนผิดหวังของฮูเร็น
"แม่ทัพของกองทัพที่ถูกทำลายไปก่อนจะได้เข้าประชิดเมืองอย่างแก ไม่มีค่าอะไรกับเรย์ดันหรอกนะ แกต้องมาทำฟาร์มกับฉัน"
"ชิ!"
ฮูเร็นเจ็บแค้นสุดขีด มันหงุดหงิดจนตัดสินใจกระทำในสิ่งที่โง่เขลาลงไป
"ฉันมีข้อมูลสำคัญของสงครามนี้เป็นจำนวนมาก! ถ้าหากแกไม่รับฟังข้อมูลเหล่านี้ รับรองได้เลยว่าเรย์ดันได้กลายเป็นทะเลเพลิงแน่! แกต้องปฏิบัติกับฉันเป็นเชลยระดับสูงสุด!"
"โฮ่… งั้นหรอกหรือ?"
สีหน้าของปิอาโร่พลันเปลี่ยนไป นี่คือวินาทีที่เขาสลับโหมดจากชาวนามาเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งเรย์ดัน อีกไม่นาน ฮูเร็นก็จะได้รับรู้ว่ามันได้กระทำสิ่งที่ผิดพลาดมากแค่ไหนลงไป
***
"แค่ก… แค่กแค่ก!"
แรงระเบิดจากทุ่งข้าวสาลีนั้นทรงพลังเหนือจินตนาการ ในบรรดากองทัพกว่า2,000นาย เกินกว่าครึ่งต้องเสียชีวิตในพริบตา ส่วนคนที่รอดมาได้ก็ต้องบาดเจ็บสาหัส บันนี่บันนี่นั้นอยู่ตรงกลาง เขารอดมาได้ด้วยพลังชีวิตเพียง 15% เท่านั้น และกำลังตกอยู่ในอาการหวาดผวาดสุดขีด
'ป--ปีศาจ!'
ชาวนาเสียสติแห่งเรย์ดัน เคยมีข่าวลือว่าเขาจัดการกับอันดับสองของโลกอย่างซีบาลลงได้ แถมยังเอาชนะอันดับสามของโลก คริส โดยหลังจากนั้นก็เปลี่ยนคริสให้เป็นลูกน้อง และแผนบุกโจมตีเรย์ดันของเจ็ดกิลด์ใหญ่ต้องพังไม่เป็นท่าเพราะชาวนาแค่คนเดียว(?)
ข่าวลือทั้งหมด ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดที่เกินจริงไปเลยในสายตาของบันนี่บันนี่
'ซีบาลสู้กับปีศาจตัวนี้อย่างสูสีได้ยังไงกัน?'
โลกอันกว้างใหญ่และเปี่ยมไปด้วยเหล่าผู้แข็งแกร่งมากมาย บันนี่บันนี่ต้องการจะบันทึกภาพการต่อสู้ของคนเหล่านั้นไว้ทั้งหมด และหลังจากนั้นก็จะแพร่ภาพออกไปสู่สายตาคนทั่วโลก ใช้ชีวิตนอนอยู่บนกองเงินกองทองจากความร่ำรวย
แต่ในการจะทำเช่นนั้นได้ สิ่งแรกคือต้องเอาชีวิตให้รอดเสียก่อน ความว่องไวคือส่วนสำคัญที่จะทำให้มีชีวิตรอดและตามถ่ายภาพได้ทัน พักหลังมากนี้ บันนี่บันนี่จึงนำค่าสถานะเกือบทั้งหมดไปลงกับความว่องไว
'ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอาชีวิตให้รอดไว้ก่อน'
การต่อสู้ในจุดนี้จบลงแล้ว ชาวนาเสียสติในข่าวลือได้เสกทุ่งข้าวสาลีขึ้น หลังจากนั้นก็สั่งให้พวกมันระเบิดจนสามารถทำลายกองทัพ2,000นายในพริบตา บันนี่บันนี่บันทึกภาพได้เท่านี้คงเพียงพอแล้ว ไม่มีเหตุผลใดให้เขาต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีก
ฮูเร็นล่ะ? ชายผู้ที่คิดแก้แค้นกริด ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?
ฉึก!
"โอ้ย!"
ฉึก!
"อ๊ากกก!"
ฉึก!
"อั่ก!"
"..."
ดูจากการที่ฮูเร็นถูกชาวนาเสียสติใช้คราดเล็กแทงใส่กลางหน้าผากได้ถึงสามครั้งติดต่อกัน สงสัยความฝันที่จะแก้แค้นกริดคงกลายเป็นหมันไปแล้ว
'เลิกสนใจฮูเร็นดีกว่า'
เมื่อตัดสินใจได้ บันนี่บันนี่ก็ปลีกตัวออกจากสนามรบอย่างรวดเร็วด้วย<รองเท้าว่องไว> เขามีแผนจะไปเข้าร่วมกับกองทัพองค์ชายเร็น เพื่อที่จะได้จับภาพการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ระหว่างกองทัพหลวงและกิลด์โอเวอร์เกียร์
'หลังจากนั้นเราก็จะรวย! วันนี้อาจได้อัดวิดีโอที่มีมูลค่าสูงถึงแสนล้านดอลล่าเลยก็ได้!'
แรงจูงใจของบันนี่บันนี่ช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน
***
"พวกนั้นไปไหนหมด? ทำไมถึงฉันไม่เห็นสมาชิกในกิลด์เลยสักคน?"
หลังจากเล่นกับลอร์ดเสร็จ กริดก็แวะมาหาลอเอลที่ห้องทำงานก่อนจะไปโรงตีเหล็ก และภาพที่เห็นก็เหมือนเช่นเคย เอกสารกองโตเป็นภูเขากำลังท่วมหัวลอเอลอยู่
"ทุกคนกำลังยุ่งมาก ที่ไม่อยู่ประจำการเพราะต่างมีภารกิจ หรือไม่ก็ออกล่ามอนสเตอร์เพื่อรักษาอันดับแร้งเกอร์"
"กลุ่มที่ออกไปเก็บเลเวล ทุกคนอยู่ในเมืองแวมไพร์ใช่ไหม?"
"ถูกต้อง เพราะนั่นคือหนทางที่ดีที่สุดแล้ว นอกจากจะได้รับค่าประสบการณ์ที่สูง ไอเท็มดรอปในเมืองแวมไพร์ก็ยังไม่เลว มีทั้งเครื่องประดับแวมไพร์และโอสถ สถานการณ์มอนสเตอร์ทะเลทรายก็เริ่มเข้าที่ เมืองแวมไพร์จึงเหมาะสมกับการเก็บเลเวลทุกประการ"
"มีใครดรอปโอสถมาบ้างรึยัง?"
"ยังเลย"
"อา..."
อันตราดรอปต่ำมากจนน่าใจหาย กริดที่ต้องการโอสถความว่องไวจึงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย
ลอเอลหันมาถาม
"นายยังจำเรื่องเมื่อสิบปีก่อนได้ไหม ที่อดีตลอร์ดของเรย์ดันเคยนำกองทัพขนาดใหญ่ไปบุกเมืองแวมไพร์"
"จำได้… ว่าแต่นายถามเรื่องนี้ไปทำไม?"
"น่าผิดหวังมากที่สมาชิกโอเวอร์เกียร์ยังไม่พบร่องรอยของเรื่องนั้นเลยสักนิดเดียว แม้ว่าจะค้นหาทุกซอกทุกมุมของทุกเมืองแวมไพร์ที่ล่าได้แล้วก็ตาม"
"น่าผิดหวังตรงไหน? เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งสิบปีแล้ว ก็ไม่เห็นแปลกที่ร่องรอยจะถูกทำลายไปหมดแล้ว"
"แต่ว่านะ จากบันทึกต่างๆ ที่รวบรวมมาได้ ดูเหมือนกองทัพที่นำไปจะมีขนาดใหญ่ถึง18,000คน ดังนั้นก็น่าจะมีร่องรอยเหตุการณ์หลงเหลืออยู่บ้าง"
"ยังมีเมืองแวมไพร์อีกมากที่พวกเรายังไม่ได้สำรวจ ร่องรอยอาจหลงเหลืออยู่ในเมืองเหล่านั้นก็ได้นี่? ว่าแต่ มันสำคัญยังไง?"
"ถ้าในตอนนี้ก็ยังหรอก..."
"ถ้าในตอนนี้? หมายความว่ามันจะสำคัญในอนาคตสินะ?"
ในขณะที่กริดกำลังถามอย่างสนใจ
"อ--เอิร์ลลอเอล!!"
อัศวินหนุ่มคนหนึ่งได้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้องทำงานของลอเอลโดยไม่เคาะประตู ลอเอลขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ แต่หากดูสถานการณ์ให้แน่ชัด ชายคนนี้มีบาดแผลรุนแรงอยู่เต็มตัว เรื่องของมารยาทจึงไม่ใช่ประเด็น
"นายคืออัศวินของมาร์ควิสสไตมใช่ไหม? เกิดอะไรขึ้น?"
"เอ่อคือว่า-- อึ๋ย!"
ในขณะที่อัศวินกำลังจะอธิบายกับลอเอล เขาก็ต้องผงะไปเมื่อเหลือบไปเห็นกริดนั่งอยู่บนโซฟา
"ข--ขอคารวะดยุคกริด!"
กริดโบกมือเบาๆ
"ไม่ต้องมากพิธี รีบเข้าเรื่องเลย"
"ข--ขอรับ! ตอนนี้มีทัพศัตรูขนาด5,000นายกำลังเคลื่อนพลมุ่งหน้าเข้าประชิดเรย์ดัน!"
"กองทัพ5,000นาย?"
สีหน้าของอัศวินพลันหมองหม่นทันที
"เป็นทัพหลวงขอรับ!"
"ทัพหลวงของอะไร? อีเทอนัลงั้นหรือ?"
"ขอรับ! ตอนนี้เซอร์ลาเด็นกำลังนำกองทัพ1,000ของแดนเหนือเข้าชะลอการบุกไว้ แต่สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก"
"เอ๋?"
กริดแทบไม่เชื่อหู
"เหตุใดทัพหลวงของอีเทอนัลถึงต้องรุกรานเรย์ดันด้วย? พวกเราเป็นฝ่ายเดียวกันไม่ใช่รึไง?"
ลอเอลแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายก่อนจะพูดขึ้น
"เมล็ดพันธุ์ที่พวกเราเคยหว่านเอาไว้ บัดนี้งอกเงยขึ้นมาให้เก็บเกี่ยวแล้ว"
"เมล็ดพันธุ์ที่เคยหว่านไว้...?"
หากเป็นกริดในอดีตคงไม่มีทางเข้าใจคำพูดของลอเอลได้ตลอดชีวิต แต่ลอเอลนั้นเป็นมือขวาให้กริดมาเก้าเดือนในชีวิตจริง และ27เดือนในซาทิสฟาย มีหรือที่กริดจะไม่ซึบซับอะไรเข้าไปบ้างเลย?
"อย่าบอกนะว่า… กษัตริย์วิสบาเดนสิ้นพระชนม์แล้ว?"
"...!"
ลอเอลพลันตาลุกวาว เขาไม่นึกไม่ฝันว่ากริดจะเข้าใจสถานการณ์ได้ด้วยคำใบ้เพียงเท่านี้
'เขาพัฒนาขึ้นมากก็จริง แต่ไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้...'
ลอเอลนิ่งอึ้งไปพักใหญ่
"น่าสนใจดีนี่!"
กริดลุกพรวดขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย
"ลอเอล นายรีบไปหาอัสโมเฟลและเริ่มจัดทัพ ได้เวลาพวกเราออกอาละวาดแล้ว"
กริดรีบมุ่งหน้าไปยังคลังสมบัติซึ่งเปี่ยมไปด้วย<เซ็ตกริดรุ่นผลิตจำนวนมาก>
***
"อ๊ากกก!"
"ท--ท่านมาร์ควิสสไตม… กระผมไม่อาจอดทนได้นานกว่านี้อีกแล้ว… ขออภัยด้วยขอรับ แค่กแค่ก!"
ทหาร1,000นายที่นำโดยลาเด็นและอัศวินอีกสิบคน หลังจากกวาดล้างหน่วยเหล็กวายุของเบย์ด้าเสร็จ พวกเขาก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังทันทีที่ได้ปะทะกับเข้าหน่วยทมิฬของนักดาบผู้ยิ่งใหญ่ ชักสเล่ย์
"ไม่เลวนี่"
นักดาบผู้ยิ่งใหญ่ ชักสเล่ย์ ยามนี้มันมีฝีมือทัดเทียมกับปิอาโร่สมัยก่อน ชักสเล่ย์กล่าวชื่นชมลาเด็นที่สามารถรับดาบของตนไว้ได้ถึงสี่ครั้ง
"20ปีหลังจากนี้ ไม่สิ สิบปี... แกสามารถเอาชนะฉันได้ในอีกสิบปีข้างหน้า เป็นครั้งแรกที่ฉันได้พบกับคนมีพรสวรรค์ระดับปีศาจขนาดนี้"
"แฮ่ก… แฮ่ก..."
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ลาเด็นเพิ่งจะเอาชนะเบย์ด้าและอัศวินระดับหัวกะทิอีกหลายคนตามลำพัง จนกระทั่งเผชิญหน้ากับชักสเล่ย์ เขาจึงตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างมาก หากจะล้มฟุบลงไปตอนไหนก็คงไม่แปลก แต่การที่ลาเด็นยังยืนหยัดอยู่ได้นั้น เป็นเพราะตนรู้ดีว่า หากล้มลงตรงนี้ กอทัพกว่า1,000นายด้านหลังก็จะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น
'ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อประโยชน์ของนายท่าน...'
เขารู้สึกผิดหวังที่ตนเองไร้พลังและไม่อาจสร้างคุณประโยชน์ได้มากกว่านี้
หมับ!
ลาเด็นกำดาบในมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน เขาแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันโดยไม่สนใจเลือดที่เต็มช่องปากในตอนนี้
"แกมั่วรึเปล่า? อย่างฉันไม่ต้องรอนานถึงสิบปีหรอกนะ แค่ห้าปีเท่านั้น ไม่สิ ฉันสามารถเอาชนะแกได้ในอีกสามปีข้างหน้า!"
"..."
สีหน้าของชักสเล่ย์พลันบิดเบี้ยว เพราะมันไม่อาจโต้แย้งคำโอหังของลาเด็นได้เต็มปากนัก ชักสเล่ย์ออกอาการกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
"นั่นก็ต่อเมื่อแกมีชีวิตรอดกลับไป"
"...ก็จริงอยู่"
"ถ้าอย่างนั้น ช่วยดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างเต็มที่ด้วยล่ะ"
ตระกูลของชักสเล่ย์รับใช้ราชวงศ์มารุ่นสู่รุ่น ดังนั้น พลังอำนาจของมาร์ควิสสไตมจึงเป็นดั่งขวากหนามสำคัญของราชวงศ์มาโดยตลอด แถมชักสเล่ย์ยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก เมื่อบุตรเขยของมาร์ควิสสไตมกลายเป็นถึงขุนนางชั้นดยุค
แต่ตอนนี้ โอกาสทองได้มาเยือนถึงตรงหน้าแล้ว ดยุคกริดจะต้องถูกกำราบไปพร้อมกับมาร์ควิสสไตม การได้พบกับกองทัพแดนเหนือเป็นเครื่องบ่งชี้ได้อย่างดีว่า มาร์ควิสสไตมกำลังต้องอยู่ในเรย์ดันตอนนี้!
เคร้ง!
"อั่ก!"
วิชาดาบของชักสเล่ย์นั้นซื่อตรงต่อพื้นฐานโดยไม่มีการพลิกแพลง แต่ด้วยความศรัทธาในพื้นฐานอย่างแรงกล้า มันจึงมีพื้นฐานดาบที่ไร้จุดบกพร่อง ไม่ใช่สิ่งที่ลาเด็นซึ่งอ่อนด้อยประสบการณ์จะเทียบติด
เคร้ง! เคร้ง!
ฉึก!
"อ๊ากกก!"
ยิ่งการดวลดำเนินไป บาดแผลตามตัวของลาเด็นก็ยิ่งมีมากขึ้น เท่านั้นยังไม่พอ วิชาดาบของชักสเล่ย์ก็ดูเหมือนแหลมคมขึ้นเช่นกัน ทหารของกองทัพแดนเหนือและหน่วยทมิฬของชักสเล่ย์ต่างยืนมองด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันสุดขั้ว
'พวกเราชนะแล้ว!'
'พวกเราจบสิ้นแล้วสินะ...'
หน่วยทมิฬส่งเสียงโห่ร้องอย่างดีอกดีใจ ส่วนกองทัพแดนเหนือต่างตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง แต่ทันใดนั้นเอง กองทัพขนาดใหญ่กว่า5,000ได้เคลื่อนพลปรากฏตัวผ่านเส้นขอบฟ้า
เป็นฝ่ายพันธมิตรของแดนเหนือโผล่ออกมาช่วยราวกับปาฏิหาริย์งั้นหรือ? เปล่าเลย... นั่นคือทัพหลวงขององค์ชายเร็น ศัตรูของพวกเขา
เมื่อลาเด็นได้เห็นเต็มสองตา หยดน้ำใสๆ ก็ไหลรินอาบสองข้างแก้มที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
'นายท่าน...'
ลาเด็นรู้สึกผิดหวังตนเองที่มีพลังไม่มากพอ
ขอบคุณครับ กำลังมัน
ReplyDeleteขอบคุณผู้แปลคับ
ReplyDeleteเดียวเจอกองทัพ1000ใส่เซ็ทกริด
ReplyDelete