จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 148



       เมื่อสิ้นเดือนกุมภาพันธ์

       ฤดูใบไม้ผลิของโรงเรียนมัธยมปลายสตรี<ยังก์เลดี้ส์> ก็จบลง… ภาคเรียนใหม่ของชั้นปีที่2ในชีวิตมัธยมปลายกำลังจะเปิดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้นเธอจึงขยันเป็นพิเศษในช่วงนี้

       งานอดิเรก… ท่องเที่ยว… มีแฟน… สิ่งเหล่านี้เซฮีไม่เคยเก็บไปใส่ใจ… เธอหลงไหลในกิจวัตรง่ายๆ อย่างจ็อกกิ้งในยามเช้า และโยคะในยามบ่าย… โดยทั้งสองสิ่งก็ทำเพื่อให้เธอสามารถตั้งใจเรียนได้อย่างมีสมาธิ 
       
       เซฮีอุทิศทั้งหมดให้กับการเรียน… แล้วเหตใดเธอถึงต้องตั้งใจเรียนด้วยน่ะหรือ 

       เป็นเพราะพี่ชายที่ชื่อว่า ชินยองวู 

       พี่ชายของเธอไม่มีพรสวรรค์ในการเรียนและไม่ได้แสดงออกถึงความสามารถพิเศษในด้านใดเลย… จุดดีเพียงข้อเดียวคือความอดทนมหาศาล แต่หลังจากที่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เซฮีก็ต้องเป็นกังวลมากขึ้น เพราะยองวูดูจะเกียจคร้านจนน่าเป็นห่วง 

       เธอคาดหวังว่าเขาจะดีขึ้นเมื่อได้เข้ากองทัพ แต่กลับกลายเป็นเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม… เมื่อปลดประจำการ แทนที่เขาจะกลับมาเรียนเรียนต่อ ทว่าพี่ชายสุดที่รักของเธอก็เริ่มติดเกม<ซาทิสฟาย>จนต้องเป็นหนี้… พ่อและแม่วิตกกังวลในเรื่องนี้มาก… ทั้งสองแทบไม่เห็นถึงโอกาสประสบความสำเร็จของพี่ชายคนนี้เลย  

       'เราจะต้องดูแลพี่ให้ได้'

       เป็นเพราะเธอเติบโตมาพร้อมกับพี่ชายที่น่าสมเพชคนนี้งั้นหรือ… การที่เซฮีมีนิสัยสุขุมและโตเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็ก ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะพี่ชาย… ในช่วงมัธยมต้น ความมุ่งมั่นที่จะแบกรับชะตากรรมของครอบครัวพุ่งขึ้นถึงขีดสุด  

       'เราจะเรียนเผื่อในส่วนของพี่… เราจะประสบความสำเร็จและเป็นเสาหลักของบ้านนี้เพื่อดูแลพ่อแม่และพี่'

       แตกต่างจากพี่ชาย เซฮีคือเด็กสาวพรสวรรค์สูง…เธอเป็นเด็กดีและฉลาด ได้มีโอกาสเรียนต่อในโรงเรียนชื่อดังอย่าง<ยังก์เลดี้ส์>และมีผลการเรียนติดท็อประดับประเทศ… จุดมุ่งหมายของเธอไม่ซับซ้อน… เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้งานที่ดี ได้รับค่าตอบแทนสูง และเลี้ยงดูพ่อแม่กับพี่ชาย   

       'พี่ไว้ใจหนูได้เลย'

       เธอมุ่งมั่นตั้งใจเรียนด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยวเช่นนั้นเสมอมา… ทว่า ปัญหากลับเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้… พี่ชายของเธอเปลี่ยนไป… เขากลายเป็นคนประสบความสำเร็จทางด้านการเงินจนน่าใจหาย   

       ใช่แล้ว ทุกอย่างเกิดจากซาทิสฟาย… ช่างน่าขัน ทั้งที่มันเคยเป็นเกมทำลายชีวิตเขาแท้ๆ… แต่พี่ชายของเธอก็ประสบความสำเร็จในเกมจนปลดหนี้ให้ตนเองและพ่อได้หมด… แถมยังมอบเงินให้พ่อแม่ได้ใช้จ่ายอีกหลายล้านวอนเพื่อความสะดวกสบายของพวกท่าน

       แล้ววันหนึ่ง พี่ก็มาพูดกับเธอว่า

       "ภายในหนึ่งปี ฉันจะซื้อตึกราคาหมื่นล้านวอน… พวกเราสามารถเปิดมันให้คนอื่นเช่า และอยู่อย่างสุขสบายไปตลอดชั่วชีวิตที่เหลือ"

       เซฮีรู้สึกภาคภูมิใจที่พี่ชายของเธอกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง… เธอรู้สึกโล่งอก… แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกเป็นกังวล

       'พี่ไม่ได้โม้...'

       เขาทำจริงแน่ และสามารถทำได้ด้วย ทว่าคนที่ซื้อรถหรูราคา800ล้านวอนทันทีที่ได้เงิน… เธอเคยได้ยินมาว่า มีคนรวยมากมายต้องกลับมาเป็นหนี้สินอีกครั้งเพราะไม่รู้จักการบริหารทรัพย์สิน… เซฮีกลัวว่าพี่ชายของเธอจะเป็นแบบนั้น… โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้หญิงที่มาเกาะแกะ

       'ถ้าพี่เกิดทำตัวเป็นป๋าขึ้นมาล่ะก็...'

       ย่อมมีผู้หญิงไม่น้อยที่เข้าหาชายซึ่งขับรถหรู800ล้านวอน… แล้วคนที่ไม่เคยมีประสบกาณณ์ความรักอย่างพี่… คงไม่แคล้วถูกปั่นหัวเอาได้ง่าย 

       "เฮ่อ… ถ้าเราอยู่กับพี่ได้ตลอดเวลาก็คงจะดี"

       เธออยากคอยดูแลยองวูตลอด24ชั่วโมงทุกวัน…เซฮีมีความรู้สึกหวงแหนพี่ชายอย่างน่าประหลาด... บางทีอาจเป็นเพราะหลายปีมานี้ เธอมุ่งมั่นว่าจะดูแลเขาให้ได้ในยามที่โตขึ้น  

       "หืม"

       เซฮีนั่งลงบนโต๊ะเพื่ออ่านหนังสือตามปรกติ แต่ทันใดนั้นเอง เมื่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง… เสียงเอะอะวุ่นวายก็ดังเข้ามาในบ้าน

       'ดาราคนไหนมาแถวนี้รึไงนะ'

       ผู้ชาย ผู้หญิง และแม้กระทั่งเด็กเล็กต่างกำลังส่งเสียงอื้ออึงมาจากถนน… เซฮีเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อมองหาต้นตอความความวุ่นวายเหล่านั้น… และเธอก็พลันขมวดคิ้วทันทีที่ได้เห็น

       'คนๆ นั้นมาที่นี่ทำไม...'

       เซฮีเริ่มเกิดความรู้สึกไม่ดี

       ***

       ณ ถนน000-0 ย่านXX เขตคึมชอน

       ย่านนี้ส่วนใหญ่มีผู้อยู่อาศัยเป็นชนชั้นกลางทั่วไป แต่พักหลังมานี้กลับเกิดความวุ่นวายขึ้นอย่างผิดปรกติ… เป็นเพราะรถหรูคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าบ้านครอบครัวชิน ซึ่งโดยปรกติแล้วจะเป็นเพียงร้านขายผักธรรมดา… เมื่อชาวบ้านละแวกนี้เห็นรถหรูคันดังกล่าวจอดอยู่ทุกวัน พวกเขาจึงพากันคาดเดาไปต่างๆ นาๆ  

       "ซีรีส์13จากบริษัทBนี่… ราคาของมันตั้ง800ล้านวอนเชียวนะ"

       "ว้าว ยอดไปเลย… ลุงชินขายผักกาดได้เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ… ถึงซื้อรถแพงแบบนี้ได้"

       "คนขับดูเหมือนจะเป็นลูกชายของเขานะ ไม่ใช่ตัวลุงชินเอง"
       
       "เอ๋… ลูกชายคนที่ชอบแต่งตัวเหมือนขอทานน่ะเหรอ… เขาไปเอาเงินจากไหนมาซื้อรถแพงขนาดนี้"

       "คงถูกหวยล่ะมั้ง"

       "อืม… เห็นว่าล้างหนี้จนหมดพร้อมกับซื้อรถใหม่รวดเดียวเลย คงถูกหวยมาจริงๆ นั่นแหละ" 

       "ทั้งๆ ที่ฉันทำงานจนตายก็ยังซื้อรถแบบนี้ไม่ได้เลยแท้ๆ… ว้า โลกช่างไม่ยุติธรรม"

       "นั่นสิ… ฉันซื้อหวย5ใบต่อครั้ง แต่กลับไม่เคยถูกเลย… สงสัยต้องเพิ่มเป็น10ใบซะแล้วมั้ง"

       และในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้… ชาวบ้านในละแวกยังคงเดินผ่านไปมาหน้าบ้านครอบครัวชินเช่นเดิม… ผูู้คนจำนวนมากกำลังดื่มด่ำกับอากาศฤดูใบไม้ผลิโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แต่ก็มีบางคนที่ยังจับกลุ่มนินทาเรื่องรถของยองวู… ทว่าทันใดนั้นเอง พลันมีรถหรูอีกคันได้ขับเข้ามาในซอย… ดวงตาของทุกคนต้องเบิกโพลงอย่างตกตะลึง  

       "บ้าน่า...!"

       ลิมูซีนคันหรูหราที่ยาวถึง8.5เมตร… ผู้คนได้แต่ยืนอึ้งเมื่อรถสีขาวอันแสนอลังการแล่นไปจอดหน้าบ้านครอบครัวชิน… ในตอนนี้ไม่มีใครพูดเรื่องซีรีส์13อีกแล้ว

       แกร๊ก

       ชายกำยำ3คนเปิดประตูลงมาจากรถ… สองในสามเหลียวซ้ายแลขวาไปรอบๆ  ส่วนอีกคนเดินไปยังเบาะหลังสุดเพื่อเปิดประตู… หญิงสาวผู้หนึ่งเดินออกมาจากรถ… ออร่าความงามของเธอแทบจะทำให้ดอกไม้ที่เรียงรายอยู่บนถนนดูเหี่ยวเฉาลงทันที… ราวกับเป็นสิ่งเดียวในโลกที่กำลังเจิดจรัส… บรรยากาศโดยรอบดูสลัวและหม่นหมองลงไปถนัดตา 

       "โว้ว..."

       "นั่นมัน!"

       ชาวบ้านที่กำลังตกตะลึงในความงาม มีบางส่วนสามารถตั้งสติดึงความทรงจำกลับมาได้ว่าเธอเป็นใคร… หญิงสาวผู้นี้คือยูร่า หรือที่ทั่วทั้งโลกต่างยกย่องให้เป็น <อัญมณีล้ำค่าแห่งเกาหลีใต้>

       ความแตกตื่นลุกฮือขึ้นอีกครั้ง
       
       "บ้าน่า… ยูร่างั้นเหรอ… ยูร่า!"
       
       "พี่ยูร่า! ขอลายเซ็นหน่อย!"

       "ถ่ายรูป! ขอถ่ายรูปคู่ได้ไหม"

       "ยูร่า! แต่งงานกับผมเถอะ"
       
       "ไม่คิดฝันมาก่อนว่าจะได้พบยูร่าตัวเป็นๆ… หากตายไปตอนนี้คงไม่มีอะไรให้เสียดายอีกแล้ว"

       "สวยกว่าในรูปอีก… เทพธิดาชัดๆ"

       เกือบจะเกิดจราจลขึ้นก็ว่าได้… ชาวบ้านในละแวกเริ่มออกมามุงมากขึ้นหลังจากได้ยืนเสียงฮือฮา… แต่บอดี้การ์ด3คนของยูร่าถือเป็นตัวท็อปของวงการ… ลำพังเพียง3คนสามารถรับมือกับคลื่นประชาชนได้อย่างน่าเหลือเชื่อ… เป็นเพราะพวกเขา ยูร่าจึงสามารถเดินไปกดกริ่งที่หน้าประตูบ้านครอบครัวชินได้อย่างไม่ถูกรบกวน 

       "เฮ้ย!… ยูร่ามาทำอะไรบ้านครอบครัวชิน"

       "อ--อย่าบอกนะว่า..."

       จิตนาการของผู้คนพุ่งทะยานทันที… หรือจะเป็นบุตรชายไม่ได้ความของบ้านหลังนี้! เขามีความสัมพันธ์พิเศษกับยูร่างั้นหรือ… บางทีอาจเป็นเพราะยูร่า ลูกชายห่วยแตกของบ้านครอบครัวชินถึงมีรถหรูขับ… ข้อสันนิษฐานมากมายถูกหยิบยกขึ้นมาพูด แต่หัวข้อเหล่านั้นก็คงอยู่ไม่นานนัก 

       "ไม่มีทางที่ยูร่าจะหลงเสน่ห์คนหน้าตาอัปลักษณ์แบบนั้นแน่..."

       "แน่ล่ะ… ต่อให้ลูกชายของคุณชินกับยูร่าติดเกาะตามลำพัง2คน ก็ไม่มีทางที่ยูร่าจะชายตามองเขาแน่"

       "แล้วยูร่ามาทำอะไรที่บ้านครอบครัวชิน"

       ประตูบ้านถูกเปิดออก

       "เธอมาทำอะไรที่บ้านของฉัน"

       น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรดังลอดออกมา… ผู้คนรู้ดีว่าเสียงนั่นเป็นของใคร… บุตรสาวคนเดียวของครอบครัวชิน

       คนที่มองดูอยู่ต่างกล่าวออกมาอย่างชื่นชม   

       "โว้ว… กล้าพูดแบบนี้กับยูร่าเชียว"

       "ทั้งสองงดงามราวกับภาพวาดเลยแฮะ"

       "บางทียูร่าอาจมาพบเธอก็ได้… ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่สองสาวสวยจะไปไหนมาไหนด้วยกัน"

       "ใช่แล้ว ต้องเป็นแบบนั้นแน่"

       ไม่มีใครเก็บอาการไว้… คนที่มุงดู เมื่อคิดอะไรในหัวก็พูดออกมาเกือบหมด 

       'น่ารำคาญชะมัด'

       บางรายถึงกับพยายามถ่ายรูป… เซฮีเริ่มหงุดหงิดจึงบอกให้ยูร่าเข้าไปในบ้าน 

       "เข้ามาสิ"

       "ขอบคุณนะ"

       "แล้วเธอมีจุดประสงค์อะไรกันแน่"

       เมื่อล็อคประตูเสร็จ เซฮีก็ถามอย่างสงสัย

       เมื่อได้เห็นสวนเล็กๆ ของดอกคามิเลียในบ้าน ยูร่าก็อมยิ้มและตอบเซฮีกลับไป

       "ฉันมาหายองวู"

       "..."
       
       เซฮีไม่ชอบหน้าเธอนัก… แล้วก้ไม่คิดจะซ่อนความไม่เป็นมิตรนี้ไว้ด้วย 

       "ทำไมคงดังอย่างเธอถึงอยากมาพบกับพี่… แล้วพวกคุณรู้จักกันได้ยังไง เธอมีความสัมพันธ์ยังไงกับพี่"

       ยูร่าคืออัจฉริยะอย่างไร้ข้อกังขา… ทว่าสติปัญญาของเธอก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับการเข้าสังคม… เธอจึงตอบเซฮีกลับไปด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับไม่ได้รับรู้ว่ามันมีความนัยแผงอะไรบ้าง

       "ฉันพบยองวูในซาทิสฟาย… แล้วเราก็สนิทกันนิดหน่อยหลังจากที่ฉันแกล้งเป็นแฟนเขา"  

       "แกล้งเป็นแฟนงั้นเหรอ"

       "แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็สนุกมากเลยล่ะ"

       ในหัวของเซฮีไม่ได้ยินคำอื่นอีก นับตั้งแต่คำว่า<แฟน>ถูกพูดออกมา
       
       'ไอพี่บ้าเอาแต่บอกว่าเล่นเกมเพื่อจะรวย แต่ความจริงแล้วแอบไปจู๋จี๋กับสาวในเกมหรอกเหรอ… เราขยันเรียนแทบตายเพื่อจะคอยดูแลเขา แม้แต่จับมือกับผู้ชายก็ยังไม่เคยทำสักครั้ง!'

       สีหน้าของเซฮีพลันแย่ลงทันที… เธอคิดมากเสียจนน้ำตาเริ่มคลอเบ้า 

       ***

       "ที่จริงเราอยากเสริมแกร่งให้ความผิดพลาดกับชุดเกราะก่อน ทว่า..." 

       กริดรู้ดีกว่าต้องทำอะไร… ด้วยไอเท็มปัจจุบันที่สวมอยู่ มันยังคงไม่พอจะรับมือกับเรื่องต่างๆ ได้ทั้งหมด… ผู้พิทักษ์พงไพรร่างจริงสอนให้รู้ว่า พลังป้องกันมีความจำเป็นมากแค่ไหน และกริดก็ยังมีมันไม่มากพอ… เขาจึงต้องการใช้ความได้เปรียบของออปชั่นพิเศษประจำคลาส... <เพิ่มโอกาสสำเร็จในการเสริมแกร่ง> เพื่ออัพเกรดของสวมใส่   
       
       'ไอเท็มเซ็ตนี้เราคงต้องใช้ไปอีกนาน… ต่อให้เสียเงินมากหน่อย แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลองเสี่ยงดู… เราต้องกว้านซื้อหินเสริมแกร่งทุกเม็ดมาจากโรงประมูล'

       ทว่าก่อนหน้านั้น เขาต้องสร้างเกราะให้แวนท์เนอร์เสียก่อน

       "คงจะเลื่อนออกไปไม่ได้แล้วจริงๆ..."

       เนื่องจากภารกิจหลัก งานแต่ง และผู้พิทักษ์พงไพร เกราะของแวนท์เนอร์จึงถูกเลื่อนมานานจนเกือบ2เดือนเต็ม… กริดไม่ใช่คนใจดำ เขาเองก็อยากสร้างมันให้เสร็จไวๆ… ดังนั้นจึงรีบอ่านสูตรการผลิตเกราะคลื่นโดยเร็ว  

       "ไม่เลว"

       เกราะคลื่นถือเป็นไอเท็มชั้นดี… โดยเฉพาะออปชั่นเสริมในการป้องกัน 

       'แต่ก็ยังเป็นรองเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์ล่ะนะ'

       พลังป้องกันพื้นฐานของเกราะแสงศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าเกราะคลื่นอย่างเห็นได้ชัด… แถมยังมีคุณสมบัติลดทอนความเสียหายทางกายภาพและเวทย์มนต์มากถึง40%และ50%ตามลำดับ… เมื่อรวมเข้ากับไอเท็มเซ็ต มันจึงถือว่ายอดเยี่ยมกว่าเกราะคลื่นหลายเท่าตัว… ทว่า เกราะแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกจำกัดให้ใส่ได้เฉพาะ <ฟรานซ์> เท่านั้น มันจึงไม่ต่างอะไรกับไอเท็มที่กริดสวมได้เพียงคนเดียวในโลกตอนนี้  

       'แต่ถ้าจะทำขายล่ะก็ เกราะคลื่นถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลว'

       เมื่อถึงวันที่เขาสร้างไอเท็มให้คนในกิลด์จนครบ กริดหวังจะสร้างเกราะคลื่นจำนวนมากออกมาขายให้บรรดาแร้งเกอร์… ชายหนุ่มรู้สึกดีใจเป็นอันมาก เพราะว่าสูตรการผลิตของเกราะตัวนี้ เขาได้มันมาโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ทองเดียว

       แคร้ง! แคร้ง!

       เป็นเสียงการลงค้อนที่ไพเราะเสนาะหู… กริดตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับงานด้วยสีหน้ามุ่งมั่น 

       หลังจากนั้นราว3ชั่วโมง

       แวนท์เนอร์ได้มาหาที่โรงตีเหล็ก… กริดสามารถสัมผัสได้ถึงตัวตน แม้จะกำลังลงค้อนอย่างไม่หยุดมืออยู่ก็ตาม 

       "อะไรกัน คุณแวนท์เนอร์… มาเพื่อสวดภาวนาหรือยังไง"

       แวนท์ตอบไปพลาง เกาหัวไปพลาง

       "ฉันอยากจะเห็นชุดเกราะถูกสร้างจนเสร็จด้วยตาตัวเอง… ฮะฮะ ฉันนั่งดูได้ไหม"

       แวนท์เนอร์รอคอยโอกาสนี้มานานกว่าสองเดือนแล้ว เขาจึงเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ… กริดเองก็เข้าใจได้ไม่ยาก

       "ถ้าอยู่เงียบๆ ฉันคงไม่ถือสาอะไร นั่งลงตรงนั้นก็แล้วกัน"
       
       "ขอบใจมาก… งั้นฉันจะสวดภาวนาต่อองค์เทพ เพื่อขอให้มันเป็นเกรดเลเจนดารีก็แล้วกัน "

       แวนท์เนอร์คุกเข่าลง… สองมือถูกนำมาประสานตรงหน้าอก เขาเริ่มกล่าวคำสวดภาวนาออกมาจริงๆ… ภาพเช่นนี้ทำให้กริดย้อนนึกไปถึงแคสซัสเมื่อครั้งสร้างโล่เทวะ  

       'จริงสิ… ไม่มีข่าวจากวาติกันเลย..'

       ไม่ว่าจะเป็นความคืบหน้า หรือการเลือกตั้งสันตะปาปาคนใหม่

       'จะว่าไป… เราลืมผนึกหอกของอิสซาเบลกลับเป็นเหมือนเดิมสินะ… บางทีเธออาจต้องตายเร็วกว่ากำหนด และนั่นคือความผิดของเราใช่ไหม… ฉันขอโทษนะ อิสซาเบล… บางทีเธออาจนำมันมาให้เราผนึกด้วยตัวเองก็ได้'

       กริดมุ่งสมาธิกลับไปที่การลงค้อนอีกครั้ง

       เคร้ง! เคร้ง!

       เหล็กนิลที่กำลังอ่อนตัว ผสานเข้ากับมิธริลบนทั่งเหล็กได้เป็นอย่างดี รูปร่างของชุดเกราะค่อยๆ เผยออกมาทีละนิด… ยิ่งได้เห็น แวนท์เนอร์ก็ยิ่งตื่นเต้น เขาทำการสวดภาวนาด้วยจิตในที่มุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม

       "ได้โปรด… จงออกมาเป็นเกรดเลเจนดารี… ฉันของวิงวอนต่อเทพทุกองค์บนโลก… ได้โปรดเป็นเกรดเลเจนดารีด้วยเถิด"

       ในขณะที่กำลังภาวนาด้วยความตั้งใจสูงสุด

       "นี่มัน… เดี๋ยวก่อนนะ… น้องสาวของฉันเรียกตัว"

       มือของกริดชะงักการลงค้อนอย่างกระทันหัน

       "หา… ทำไมกัน"

       แวนท์เนอร์ยังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น… กริดเก็บอุปกรณ์ทุกชิ้นรวมไปถึงชุดเกราะที่ทำค้างอยู่เข้ากระเป๋าสัมภาระ 

       "ฉันขอโทษนะ… แต่น้องสาวกำลังเรียกตัว น่าจะเกิดเรื่องด่วนขึ้น ฉันต้องรีบไป"

       กริดพูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย

       "...!"

       แวนท์เนอร์ไม่เชื่อหูตนเอง… เขาคิดว่ากริดคงล้อกันเล่นแน่แน่ๆ… ทว่ากลับไม่ใช่  

[ สมาชิกกิลด์ <กริด> ล็อคเอ้าท์ออกจากเกม ]

       "..."

       กริดหายตัวไปต่อหน้าต่อตา… แวนท์เนอร์ยืนจ้องมองเปลวไฟจากเตาหลอมที่กำลังลุกโชน หลังจากนั้นเขาก็แหกปากออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง        

       "ไอ้บ้าเอ้ยยย! นายกำลังจงใจแกล้งฉันใช่ไหม!"

       "หนวกหู ออกจากร้านไปซะ"

       "ฮึก… ว๊ากกกกกก! "

       แวนท์เนอร์ที่ถูกข่านตะเพิดออกจากร้านได้วิ่งแหกปากตรงไปยังจุดล่ามอนสเตอร์… เขาสังหารพวกมันตัวแล้วตัวเล่าโดยนึกหน้ากริดตามไปด้วย 

Comments

  1. สงสารแวนเนอร์

    ReplyDelete
  2. ลุงแวนฯ ผู้น่าสงสาร น่าสงสารพอ ๆ กับ Van มนเกมส์ RoV ที่ไม่มีใครอยากพาไปลงแรงค์ ^_^

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00