จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 293



       ถึงเวลาลืมตาตื่นของแวมไพร์เอิร์ลเอลฟิน-สโตนแล้ว

       หลังจากตื่นนอน  มันก็รีบมุ่งหน้ามาทางปาร์ตี้ของกริด  เอลฟิน-สโตนสังหารมนุษย์วันละหนึ่งคนมาแล้วสามวันติดต่อกัน  ทว่า… คราวนี้มีบางสิ่งที่แปลกออกไป

       'ยังเหลือจำนวนคนเท่ากับเมื่อวานงั้นหรือ?'

       ครั้งนี้ไม่ได้คิดไปเองแน่  เมื่อวานมันนับจำนวนอย่างแม่นยำ  ดังนั้นจึงมั่นใจมากว่า  จำนวนคนของเมื่อวานเท่ากับวันนี้

       'ได้ยังไง?'

       เอลฟิน-สโตนเกิดความสับสน  มันพยายามมองหามนุษย์ที่ตนลงมือฆ่าไปเมื่อวาน  ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  แต่มนุษย์แยกแยะอสูรได้ยากฉันใด  อสูรก็แยกแยะมนุษย์ได้ยากฉันนั้น 

       ฟุดฟิด

       ฟุดฟิด!

       เอลฟิน-สโตนไม่อาจแยกแยะกริดได้ด้วยตา  มันจึงใช้จมูกดมเหมือนกับสุนัขเพื่อหากลิ่นคาวเลือด

       'หมอนี่เองสินะ!'

       สายตาของเอลฟิน-สโตนจับจ้องมายังกริด  บรรยากาศรอบตัวชายคนนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด  แต่เป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งไม่ผิดแน่  ในอีกความหมายหนึ่ง  จะต้องเป็นคนที่มันเลือกโจมตีเมื่อวาน...  ไม่ใช่แค่นั้น  วันแรกก็ด้วย

       เอลฟิน-สโตนหรี่ตาลงอย่างเย็นชา

       "ทำไมแกถึงยังมีชีวิตอยู่ได้?"

       เขาคนนี้สามารถรอดชีวิตจากกลืนโลหิตขั้นสูงสุดได้สามวันติดต่อกันงั้นหรือ?  จะต้องไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่… แต่เป็นมนุษย์ชั้นดี

       'เกือบไปแล้วสิ'

       มันเกือบพลาดอาหารอันโอชะไป  เอลฟิน-สโตนเกือบฆ่ามนุษย์ที่มีเลือดชั้นดีทิ้งไปแล้ว  ขอบคุณสวรรค์ที่เหยื่อคนนี้ยังมีชีวิตอยู่

       'ลองชิมเลยดีไหมนะ?'

       สวบ… สวบ

       เอลฟิน-สโตนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แข็งแกร่งจากกริด  มันจึงย่างสามขุมเข้าไปหา  กริดพลันสั่นระริกเล็กน้อยอย่างตึงเครียด 

       "พ่อแม่ของแกคงกำลังเสียใจแน่นอนที่ให้กำเนิดคนอย่างแกออกมา!"

       "...!"

       แม้แต่มนุษย์ชั้นต่ำก็ยังรักและหวงแหนผู้เป็นพ่อแม่  ถ้าอย่างนั้น  แล้วแวมไพร์ที่เรียกตนเองว่าเป็นสิ่งมีชีวิตผู้สูงส่งล่ะ?  แน่นอน  พวกมันรักบิดามารดาเหนือสิ่งอื่นใด  โดยเฉพาะแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์  เอลฟิน-สโตนเทิดทูนผู้ให้กำเนิดราวกับเป็นเทพองค์หนึ่ง

       ชินโซ-เบริอาเช่  เธอคือมารดาผู้มอบชีวิตอันเป็นนิรันดร์ให้กับมัน!  ชินโซ-เบริอาเช่ไม่ใช่ตัวตนที่มนุษย์ชั้นต่ำสามารถล่วงเกินไป

       "ในรอบ 300 ปี… นี่คือหนที่สองที่ฉันรู้สึกโกรธขนาดนี้!"

       เอลฟิน-สโตนพลันเดือดดาล  ใบหน้าอันบิดเบี้ยวได้ตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

       "วันนี้ฉันจะสูบเลือดของพวกแกทุกคน!"

       ซู่ววว!

       เอลฟิน-สโตนรวบรวมพลังเวทย์อันทรงพลังไว้รอบกาย  แม้จะยังไม่ถึงระดับความแข็งแกร่งของจอมอสูร  แต่มันก็เก่งกาจกว่าครึ่งอสูรอันดับหนึ่งหลายเท่า  เป็นระดับที่เหนือกว่าเฮลกาโอในสภาพไร้ร่างเนื้อหลังจากถูกมุลเลอร์ทำลายไป

       ในบรรดาสมาชิกปาร์ตี้ทั้งหมด  มีเพียงกริดและพีคซอร์ดที่สามารถคาดเดาพลังที่แท้จริงของเอลฟิน-สโตนได้  เป็นเพราะทั้งคู่เคยสัมผัสเฮลกาโอตัวเป็นๆ มาแล้ว 

       'ท่าไม่ดีแล้วสิ!'

       เฮลกาโอยังมีศิลาอัคคีที่เป็นจุดอ่อน  แต่หลังจากที่กริดใช้ผ้าปิดตาเพชฆาตสำรวจดู  เขากลับไม่พบจุดอ่อนของเอลฟิน-สโตนเลยสักนิด  เจ้านี่คงเป็นมอนสเตอร์บอสระดับสูงแน่

       'ชิ!'

       การยั่วยุของฮิวรอยรุนแรงเกินไป  อันที่จริง  ไม่มีเหตุจำเป็นต้องใช้ถ้อยคำล่วงเกินบิดามารดาขนาดนี้  ฮิวรอยรู้ดีว่า  สักวันเขาอาจถูกกระทืบจนตายเพราะไปล่วงเกินพ่อแม่ใครเข้า  แต่ว่า...

       'ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วย?'

       กริดตัดพ้อในใจ  ส่วนจิสึกะก็ให้กำลังใจทุกคน

       "ไม่เป็นไร  พวกเรามีโอกาสชนะได้!"

       เหตุผลหลักที่ทุกคนกลัวเอลฟิน-สโตน  เพราะมันสามารถลอบโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว  แถมจะมีหนึ่งคนที่ต้องตายอย่างแน่นอน  สิ่งเหล่านี้รับมือได้ไม่ง่ายเลย  แต่สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว  เอลฟิน-สโตนอยู่ตรงหน้าทุกคน  ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลอบโจมตีอีก  หากตั้งโซนป้องกันให้ดีพอล่ะก็  พวกเขาอาจ...

       "...ไม่เลย"

       ทุกคนส่ายศีรษะพร้อมกัน  ตัวตนของเอลฟิน-สโตนยิ่งใหญ่เกินไป

       "เขตแดนโลหิต!"

       ซ่าาาา!

       เวทย์มนต์อันทรงพลังได้แผ่ขยายออกมาจากร่างของเอลฟิน-สโตนจนทั่วบริเวณ  พื้นดินภายในรัศมี 30 เมตรได้รับผลกระทบทั้งหมด  ปาร์ตี้ของกริดล้วนตกอยู่ใต้อำนาจเขตแดน  มีเพียงกริดเท่านั้นที่ยังไม่ถูกอาการผิดปรกติครอบงำ

[ เลือดในกายของท่านถูกอิทธิพลของ <เขตแดนโลหิต> รบกวน ]

[ พลังชีวิตจำนวน 153 หน่วยจะถูกโอนถ่ายไปให้เอลฟิน-สโตนทุกวินาที ]

[ ทักษะรักษาทุกชนิดจะลดประสิทธิภาพลง 80% ]

       กลุ่มผู้เล่นที่มีพลังชีวิตน้อยในปาร์ตี้  ประกอบไปด้วยจิสึกะ  เซ็ดนอส  และเฟคเกอร์  นักธนู  จอมเวทย์  และนักลอบสังหารจะมีพลังชีวิตอยู่ที่ราว 20,000 ถึง 30,000 หน่วย  การต้องสูญเสียมากถึง 153 หน่วยต่อวินาทีนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก  ภายในเวลาเพียงสองนาที  พวกเขาจะต้องเสียเลือดไปมากถึงสองในสามของหลอด

       แถมยิ่งไปกว่านั้น  ปริมาณเลือดที่เสียไปจะถูกถ่ายให้กับเอลฟิน-สโตนงั้นหรือ?  หมายความว่า  เจ้าบ้านั่นจะฟื้นฟูพลังชีวิตมากถึง 1,400 หน่วยต่อวินาที!

       "ขี้โกงฉิบ..."

       "การสู้ในเขตแดนนี้จะมีแต่ความตายรออยู่"

       ทุกคนพยายามหนีออกจากเขตแดนโลหิต  แต่เอลฟิน-สโตนไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นแน่

       "บรรเลงโลหิต"

       เอลฟิน-สโตนตวัดสองมือด้านหน้าประหนึ่งวาทยากรวงออเครสต้า  ทันใดนั้น  เกิดเป็นเสาโลหิตพุ่งลงมาใส่ศีรษะของทุกคนจากด้านบน

       ซู่วว!  ซู่ววว!

       บรรเลงโลหิต...  ไม่สนว่าศัตรูจะมีกี่คน  แต่บรรเลงโลหิตจะทำการสร้างเสาโลหิตลงมาโจมตีทุกเป้าหมายภายในเขตแดนโลหิต  ความรุนแรงอยู่ในระดับหลักหมื่น  ถือเป็นทักษะโจมตีหมู่ที่โกงแสนโกง     

       "อั่ก!… เราจะไปชนะหมอนั่นได้ยังไง?"

       "บ้าไปแล้ว"

       สมาชิกโอเวอร์เกียร์ต่างพากันกระอักเลือด  พวกเขารีบหยิบโพชั่นออกมาดื่ม  แต่ด้วยความที่เขตแดนโลหิตลดผลของการรักษามากถึง 80%  ทำให้โพชั่นแทบไม่ช่วยอะไรเลย  กริดไม่มีทางเลือก  เขารีบเรียกโนเอะกับแรนดี้ออกมา

       กริดหวังจะให้โนเอะลดค่าสถานะของเอลฟิน-สโตน  ส่วนแรนดี้ก็ก็อบปี้มันและใช้ทักษะแบบเดียวกันตอบโต้  ทว่า… ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีประโยชน์มากนักในศึกนี้

       "โนเอะไม่สามารถกลืนวิญญานอันสูงส่งของแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ได้… โนเอะลองดูแล้ว  แต่กลับได้รับคำสาปโลหิตกลับมาแทน… เมี๊ยว..."

       โนเอะแข้งขาอ่อนแรงและล้มลง  สีหน้าของเจ้าแมวอ้วนแสดงออกอย่างชัดเจนว่าผิดหวังที่ไม่อาจช่วยกริดได้  ส่วนแรนดี้เองก็กำลังมีสีหน้าเศร้าเสียใจ

       "ฉันเลียนแบบเจ้านั่นไม่ได้"

       "เธอเลียนแบบแพ็กม่าได้ไม่ใช่หรือ?  อย่าบอกนะว่า  เอลฟิน-สโตนแข็งแกร่งกว่าแพ็กม่า?"

       ไม่เลย  ไม่ใช่อะไรแบบนั้น  สิ่งนี้เป็นขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์และร่างเนื้อ  แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์คือเผ่าพันธุ์ที่สูงส่งกว่าร่างโคลนอย่างแรนดี้หลายเท่า  ทำให้เธอไม่อาจเลียนแบบได้ด้วยข้อจำกัดนี้

       'บ้าจริง'

       ไพ่ตายที่เคยเชื่อมั่นกลับเป็นหมันทั้งหมด  ในขณะสิ้นหวังสุดขีด  เอลฟิน-สโตนก็เรียกบางสิ่งที่จะทำให้กริดสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิมออกมา

       "ยารุกต์"

       'ยาคูลท์?'

       มันออกเสียงคล้ายกับเครื่องดื่มราคา 200 วอนที่เขาชื่นชอบ  แต่อาวุธชิ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่กริดจะขำออก  มันคือดาบเล่มหนึ่งที่มีสีแดงตั้งแต่ด้ามจับยันคมดาบ  มันมีความโค้งงอเล็กน้อย  ดาบเล่มนี้จะต้องสร้างมาจากศิลาโลหิตแน่  และมันก็น่าจะตัดทุกสิ่งให้ขาดเป็นสองท่อนได้ไม่ยาก

       ศิลาโลหิต...  หากอดามันเที่ยมคือสุดยอดโลหะของโลกแห่งเทพ  ศิลาโลหิตก็คือสุดยอดแร่ของขุมนรก  การที่อดามันเที่ยมพบเห็นได้บ่อยครั้งบนโลกมนุษย์  นั่นหมายความว่า  บรรดาองค์เทพได้มอบความรักให้กับมนุษย์บ่อยครั้ง  แต่สำหรับขุมนรกแล้วตรงกันข้าม  ทำให้แทบไม่มีศิลาโลหิตหลุดออกมาในโลกมนุษย์เลย  มันถือเป็นแร่ที่หายากมาก  ที่แม้แต่กริดเองก็ยังไม่เคยเห็น

       'นี่มัน...!'

       ความรู้สึกที่แผ่ออกมานั้นแตกต่างจากดาบที่แพ็กม่าสร้างขึ้นโดยสิ้นเชิง  แต่ถ้าไม่ใช่แพ็กม่าแล้ว  จะมีช่างตีเหล็กคนใดที่สามารถสร้างดาบระดับสูงเช่นนี้ได้อีก?  กริดรู้สึกชื่นชมโครงสร้างและสัดส่วนของยารุกต์มาก  แต่ทันใดนั้น  เขาก็หวนนึกไปถึงไอเท็มที่ชื่อว่า <ชิ้นส่วนที่สามของ ???>

       เป็นเพราะสีของไอเท็มดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับยารุกต์ 

       ผ้าคลุมสีขาวของเอลฟิน-สโตนพลันปลิวไสวท่ามความพลังเวทย์อันดุดันที่มันปลดปล่อยออกมา

       "ในอดีต  มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เคยรอดไปจากยารุกต์ได้  และมันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วในอนาคต!"

       เคร้ง!

       เป้าหมายแรกของเอลฟิน-สโตนคือฮิวรอย  แต่พีคซอร์ดก็รู้อยู่ก่อนแล้ว  เขาจึงใช้ดาบรับไว้

       "...!"

       ดวงตาของเอลฟิน-สโตนหรี่ลงเล็กน้อย  มันค่อนข้างประหลาดใจที่มนุษย์อันต่ำต้อยสามารถรับการโจมตีของยารุกต์ได้  แต่ก็เท่านั้น  ทันทีที่พีคซอร์ดดึงดาบกลับ  ช่องว่างระหว่างที่ดาบอยู่ในฝักถือเป็นจุดอ่อนร้ายแรง

       ฉึก!

       "ค--แค่ก!"

       ดาบสีแดงฉวยโอกาสนี้เสียบเข้าที่ไหล่ของพีคซอร์ด

       'นี่คือยารุกต์สินะ...!'

       เป็นที่แน่ชัดแล้ว  ยารุกต์คือดาบที่มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง  ดาบที่มีความนึกคิดสามารถแนะนำการโจมตีที่ดีที่สุดให้ผู้เป็นนายได้  เหตุผลที่พีคซอร์ดสามารถเดาออกก็เพราะว่า  การโจมตีของเอลฟิน-สโตนไม่ได้แฝงไว้ด้วยวิชาดาบเลยสักนิด  ทำให้ยากต่อการคาดเดา

       เป๊ง!

       เอลฟิน-สโตนเล็งดาบไปทางพีคซอร์ดซ้ำอีกครั้ง  เป็นเวลาเดียวกันกับที่หอกลึกลับได้พุ่งเข้ามาจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว  มันคือหอกคลื่นเสียงของป็อน  แต่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเอลฟิน-สโตน  โดยทั่วไปแล้ว  แวมไพร์จะสามารถเปลี่ยนร่างกายให้เป็นหมอกควันเพื่อหลบการโจมตีทางกายภาพได้  แต่สำหรับเอลฟิน-สโตน  มันสามารถเปลี่ยนแค่บางส่วนของร่างกาย  สะโพกและช่วงท้องของมันกลายเป็นหมอกควัน  หอกของป็อนทำได้เพียงพุ่งทะลุผ่านกลุ่มควันออกไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น  หลังจากนั้น  เอลฟิน-สโตนก็หันไปโจมตีสวนกลับใส่ป็อน

       "พวกเราจะโจมตีมันโดนได้ยังไง?"

       ป็อนจับหน้าอกที่เป็นรอยแผลพร้อมกับตัดพ้อ  ในเวลาเดียวกัน  สมาชิกคนอื่นก็เริ่มบุกจู่โจมเข้าไป  มีทั้งศรเพลิง  ลูกเตะไร้ทิศทาง  มีดสั้นเร็วเสียง  และพายุเกรี้ยวกราด  ทุกสิ่งประดังเข้าหาเอลฟิน-สโตนอย่างดุดัน

       แม้จะเป็นเอลฟิน-สโตนก็ตาม  แต่มันก็ไม่มีทางหลบทุกทักษะได้หมดแน่  สมาชิกโอเวอร์เกียร์ไม่ใช่ผู้เล่นไร้นาม  พวกเขาคือหัวแถวของโลก  แต่ถึงกระนั้น  อาการบาดเจ็บที่เอลฟิน-สโตนได้รับก็ยังไม่มากนัก

       'ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป  พวกเราคงถูกกำจัดหมดแน่'

       ในขณะที่ทุกคนกำลังสิ้นหวัง  กริดก็นึกหนทางที่สามารถรอดพ้นจากวิกฤตินี้ไปได้  และมันคือวิธีที่มีแต่กริดเท่านั้นจะนึกออก

Comments

  1. สนุกสนานมากมายครับ

    ReplyDelete
  2. กระเทียมปาใส่เรย เก่งนัก

    ReplyDelete
  3. ทำไมจบเร็วจัง หรือเราอ่านเร็ว ???`??

    ReplyDelete
  4. ฮิวลอยฉันเลือกนาย

    ReplyDelete
    Replies
    1. ข้าน้อยขอเสียสละเพื่อนายท่าน

      Delete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00