จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 369
เกมเมอร์ทุกคนล้วนมีความฝัน แต่ด้วยพรสวรรค์ที่จำกัดจำเขี่ยและสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวย ความฝันจึงไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้
กริดเองก็เคยต้องอยู่ในกรอบเช่นนั้นมาก่อน แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้รับโอกาสล้ำค่าซึ่งเป็นผลมาจากการความพยายามอย่างหนัก เขาไม่เคยย่อท้อเลยสักครั้งนับตั้งแต่กลายเป็นผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า
แรกเริ่มเดิมที กริดต้องการสลัดให้หลุดจากความยากจน จากหนี้สิน ถัดมาคือการอวดร่ำอวดรวย ซื้อรถหรูไปประกาศศักดาหน้าต่อหน้าเพื่อนทุกคนในงานรวมรุ่น และสุดท้ายคือความฝันที่จะก้าวข้ามจุดอ่อนในความไร้พรสวรรค์ของตน ความฝันของกริดค่อยๆ ดูเป็นผู้เป็นคนและยิ่งใหญ่มากขึ้นทีละนิด
ในยามที่สหายกำลังมีภัย... เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้
"ล็อกอิน"
***
ณ เกาะหมายเลข 40 แห่งดันเจี้ยนหมู่เกาะเบเฮ็น
สติกส์กำลังนั่งดื่มมะพร้าวสีน้ำเงินอย่างเอร็ดอร่อย
"เหตุใดหนนี้ถึงกลับมาเร็วนัก"
กริดรีบเข้าประเด็น
"ดันเจี้ยน… ไม่สิ นายสามารถพาฉันเข้าไปในสถานที่ปิดตายแบบเดียวกับหมู่เกาะเบเฮ็นแห่งนี้ได้รึเปล่า"
ไม่ได้... ไม่ว่าใครในโลกก็คงตอบกลับมาเช่นนี้ ถึงกระนั้นกริดก็ยังเปี่ยมไปด้วยความหวัง สติกส์ผู้นี้ เขาถูกเรียกว่าจอมปราชญ์เพราะได้รวบรวมองค์ความรู้จากทั่วโลกเอาไว้อย่างยาวนาน และครั้งนี้สติกส์ก็ไม่ทำให้กริดผิดหวัง
"มีอยู่วิธีหนึ่ง แต่โอกาสล้มเหลวมีสูงมาก แถมกระผมก็ยังใช้ได้เพียงสองครั้งในหนึ่งปี"
"ถ้าอย่างนั้น ของปีนี้ใช้เพื่อฉันได้รึเปล่า"
"...กระผมขอทราบสถานการณ์ก่อนจะได้รึไม่"
แม้ว่ากริดจะเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต แต่สติกส์ก็ไม่อยากหลับหูหลับตาช่วยโดยไม่มีมูลเหตุ
"พวกพ้อง… ฉันต้องการปกป้องพวกพ้อง!"
กริดตอบกลับอย่างสั้นห้วนแต่หนักแน่น ดวงตาลุ่มลึก ขึงขัง และอบอุ่น
สติกส์ไม่ถามอะไรอีก
"ก่อนอื่นก็ต้องออกไปจากที่นี่"
สติกส์ลุกขึ้นจากที่นั่ง ภารกิจชำระล้างหมู่เกาะเบเฮ็นที่ปนเปื้อนงั้นหรือ ไว้ให้กริดเสร็จธุระส่วนตัวก่อนจะดีกว่า เขาจะได้มีสมาธิกับมันอย่างเต็มที่
***
สมาชิกคณะล่าแวมไพร์คราวนี้ประกอบไปด้วย ป็อน เรกัส เฟคเกอร์ จิสึกะ ยูร่า ฮิวรอย พีคซอร์ด แวนเนอร์ โทบัน เซ็ดนอส ไอเบลลิน และทูน หรือเรียกอีกอย่างก็คือ เหล่าขุนพลหัวกะทิของโอเวอร์เกียร์
หลังจากล้มเอลฟิน-สโตนลงได้และล่าเมืองแวมไพร์หลักสิบซ้ำไปมา พวกเขาก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ นอกจากแมรี่-โรสที่กริดออกปากห้ามไว้แล้ว ทุกคนก็ไม่เกรงกลัวแวมไพร์ตนใดอีก ยังไงก็สามารถล่าไหวแน่นอน
แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับกำลังนึกเสียใจสุดขีดที่หาญกล้ามาท้าทายกับเมืองแวมไพร์ลำดับเก้า
"บ้าจริง จะติดอยู่ตรงนี้ไปอีกนานแค่ไหน!"
เมืองแวมไพร์ลำดับเก้าจะมีลักษณะเป็นปราสาทเก่าแก่ ปราสาทอันแสนซับซ้อนที่มีขนาดใหญ่กว่าเรย์ดันซึ่งมีพื้นที่กว้างเป็นอันดับสองของอาณาจักรทีเทอนัล กับดักถูกติดตั้งอยู่จนทั่ว ทางเดินธรรมดาซับซ้อนประหนึ่งวงกต สมาชิกโอเวอร์เกียร์ถูกทำให้ต้องกระจัดกระจายอย่างเลี่ยงไม่ได้
"สุด~หล่อ~"
ป็อนและแวนเนอร์นั้นถูกแยกออกจากกลุ่ม คนทั้งสองกำลังติดอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยเสาหินจำนวนมาก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวขี้เล่นดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทั้งป็อนและแวนเนอร์รีบเหวี่ยงอาวุธออกไปอย่างพร้อมเพรียงกันในทิศทางของต้นเสียง แต่สิ่งเดียวที่อาวุธปะทะเข้ากลับกลายเป็นเสาหิน พวกเขาพลันรู้สึกเจ็บข้อมือขึ้นมาทันที
"ชิ! นังเพศยา!"
ศีรษะล้านไร้ผมของแวนเนอร์กลายเป็นสีแดงก่ำราวกับปลาหมึกยักษ์ เมื่อป็อนเห็นดังนั้นจึงโพล่งเสียหัวเราะออกมาอย่างขบขัน นั่นยิ่งทำให้ศีรษะของแวนเนอร์แดงก่ำมากขึ้นกว่าเดิม
"ไม่ตลกเลยนะ!"
"นายควรไปส่องกระจกดูนะ ไม่ว่าใครก็อดขำไม่ได้หรอก"
"บัดซบ!"
สองคนนี้ยังชอบมีปากเสียงกันเหมือนเดิม แต่ในขณะที่แวนเนอร์คว้าคอป็อนอย่างฉุนเฉียว
"ถ้าเบื่อก็มาเล่นกับฉันได้นะ"
คราวนี้เสียงของผู้หญิงขี้เล่นดังมาจากเพดานแทนที่จะเป็นด้านหลัง ป็อนที่แม้จะถูกคว้าคอไว้ก็สามารถแทงหอกในมือขึ้นไปด้านบนได้อย่างแม่นยำ ส่วนแวนเนอร์ก็ยอมปล่อยป็อนไปและกำขวานแน่น
คนทั้งคู่กำลังเผชิญหน้ากับแวมไพร์บารอน รัน
ฉั่วะ!
เล็บอันยาวและคมของแวมไพร์ได้เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับเฉือนผิวหนังที่หน้าอกของคนทั้งสอง
"อึก...!"
"แค่ก!"
สีหน้าของป็อนและแวนเนอร์พลันขาวซีด ลืมเรื่องโจมตีสวนกลับไปได้เลย
"ฮุฮุฮุ~ พวกพี่ชายนี่โง่จังเลยน้า~"
รันกลับไปซ่อนตัวอยู่ในความมืดและกล่าวคำยั่วยุอีกครั้ง แวนเนอร์ทำได้เพียงบ่นอย่างหัวเสีย
"ถ้าเฟคเกอร์อยู่ที่นี่ด้วยล่ะก็ นังนี่โดนเชือดไปนานแล้ว!"
"เห็นด้วย เฟคเกอร์คงจับผู้หญิงคนนี้ได้ไม่ยาก และพวกเราคงไม่ต้องลำบากกันแบบนี้"
"อย่ามาแย่งฉันพูดนะ!"
คนทั้งสองยังเอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งกันเหมือนเดิม ยิ่งเวลาผ่านไป บาดแผลตามลำตัวก็มีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้น เสียงหัวเราะอันสดใสกังวาลของรันดังก้องไปทั่วความมืด
***
"คิดว่าร่ายกายของข้าผู้นี้จะถูกมีดเล็กๆ นั่นสร้างบาดแผลได้งั้นหรือ"
โถงกว้างที่ตั้งอยู่บนชั้นหนึ่งของปราสาท เฟคเกอร์พลาดเหยียบกับดักจนต้องเผชิญหน้ากับแวมไพร์ตามลำพัง เฉกเช่นนามของมัน เมาท์เท่น แวมไพร์ตนนี้มีร่างกายใหญ่โตกำยำ สวมเกราะหนา ถืออาวุธขนาดยักษ์ แวมไพร์บารอนเมาท์เท่นมีส่วนสูงราวสามฟุตเห็นจะได้
'ท่าจะแย่แฮะ'
อาวุธขว้างไม่มีอำนาจมากพอจะทะลุทะลวงผ่านพลังป้องกันของมันเข้าไปได้เลย ความวิตกกังวลเริ่มเผยให้เห็นบนสีหน้าของเฟคเกอร์
***
"พวกเราซวยแล้วล่ะ"
ณ ทางเดินทิศเหนือบนชั้นแรกของปราสาท จิสึกะและเซ็ดนอสถูกแยกออกจากกลุ่มและปล่อยให้ต้องรับมือกับฝูงทหารแวมไพร์บนพื้นที่โล่งกว้าง
"จะปล่อยให้พวกมันเข้ามาใกล้ไม่ได้เด็ดขาด"
"ฉันรู้น่า"
จิสึกะคือนักธนูและเซ็ดนอสคือจอมเวทย์ การต้องสู้ระยะประชิดนั้นไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้วครึ่งตัว คนทั้งสองหันหลังชนกันและกระหน่ำโจมตีใส่ฝั่งของตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้แวมไพร์เข้ามาใกล้...
"พวกมนุษย์บัดซบ!"
ฝูงแวมไพร์ที่โกรธเกรี้ยวไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนี เซ็ดนอสเริ่มส่ายศีรษะเมื่อเห็นพวกมันคลืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
"เลเวลของแวมไพร์เมืองนี้สูงกว่าเมืองหลักสิบประมาณ 20 เลเวลใช่ไหม"
"...คงงั้นมั้ง"
คนทั้งสองกำลังสิ้นหวังสุดขีด
***
"ทุกคนจะปลอดภัยรึเปล่านะ"
ทั้งเรกัส ฮิวรอย พีคซอร์ด โทบัน ไอเบลลิน และทูน คนเหล่านี้คือกองกำลังปาร์ตี้หลักที่ถูกกำดักเคลื่อนย้ายมิติส่งตัวขึ้นมาบนชั้นสองของปราสาท พวกเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพวกพ้องที่ยังติดอยู่ที่ชั้นหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
"ทั้งหลอดพลังชีวิตและจุดมาร์คตำแหน่งก็ไม่ปรากฏ"
"พวกเขาต้องเป็นอันตรายอยู่แน่"
"จำไว้นะเรกัส นี่คือเหตุผลที่ฉันบอกให้เฟคเกอร์นำหน้าสุดเสมอ ทำไมนายที่ไม่มีทักษะตรวจจับถึงชอบไปยืนอยู่ข้างหน้านัก"
"...ฉันขอโทษ พอดีว่าตื่นเต้นไปหน่อย ก็เลย..."
"เลิกโทษกันเองแล้วหาทางลงไปชั้นหนึ่งดีกว่าน่า"
พีคซอร์ด อดีตหัวหน้ากิลด์ซิลเวอร์ไนท์ หากเป็นสถานการณ์คับขันล่ะก็ เขาจะแสดงความเป็นผู้นำออกมาพร้อมกับการตัดสินใจที่เด็ดขาดรอบคอบ คนอื่นเริ่มรู้สึกถึงเรื่องนี้เมื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น ทุกคนจึงทำตามสิ่งที่พีคซอร์ดพูดโดยไม่มีใครขัดข้อง
แต่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งขวางทางลงไปยังชั้นหนึ่งอยู่... เป็นแวมไพร์บารอนจำนวนสามตน
"...เอาเรื่องเลยแฮะ"
ภายในเมืองแวมไพร์หลักสิบ แวมไพร์บารอนจะปรากฏตัวเพียงแค่หนึ่งหรือสองตนเท่านั้นในฐานะบอสกลาง แต่ดูเหมือนเมืองแวมไพร์ลำดับเก้าจะมีบารอนอยู่ดาษดื่นเต็มไปหมด
"ชักดาบ… ทำลายล้าง!"
ชิ้ง!
พีคซอร์ดเริ่มเปิดศึก
***
นักล่าอสูร ยูร่า เลเวลของเธอในตอนนี้คือ 247 ระดับเลเวลที่คนทั่วไปใช้เวลาไต่เต้าสองปีเต็ม แต่ยูร่ากลับทำมันได้ในเจ็ดเดือนเท่านั้น เป็นผลพวงจากความรู้สมัยรั้งอันดับห้าของโลก เมื่อได้รับคลาสเกรดเลเจนดารีมาก็เป็นราวกับวิหคติดปีก และเมืองแวมไพร์คือจุดเก็บเลเวลที่นักล่าอสูรโปรดปรานอย่างมาก
ยูร่าในตอนนี้มีพลังต่อสู้แวมไพร์เทียบเท่ากับสมาชิกหลักของโอเวอร์เกียร์แล้ว แต่ดูเหมือนเลเวลของเธอจะยังน้อยเกินไปจนทำให้เสียเปรียบแวมไพร์วิสเคาต์เมื่อต้องสู้ตามลำพัง
"แกมีฝีมือแค่นี้เองหรือ"
แวมไพร์วิสเคาต์คือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่าแวมไพร์บารอนมาก ทีราเม็ท แวมไพร์วิสเคาต์กำลังจดจ้องยูร่าผู้ที่กำลังทรุดลงคุกเข่าพร้อมกับบาดแผลเต็มตัว รอบกายของมันกำลังอัดแน่นไปด้วยพลังเวทย์อันเหลือล้นและพลังทางกายภาพที่ดุดัน เป็นเหตุให้ทีราเม็ธแสดงความโอหังออกมาสุดขีด
"แม้กระสุนขยะแขยงของเธอจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะมีดีสักเท่าไร นักล่าอสูรมีพลังเท่านี้เองหรือ"
ยูร่าเอ่ยปากถามทีราเม็ทที่กล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน
"แกรู้จักนักล่าอสูรด้วยรึไง"
"ฉันต้องรู้จักเป็นอย่างดีอยู่แล้ว"
ทีราเม็ทเสยผมสีเงินของมันขึ้น เผยให้เห็นถึงรอยแผลเป็นที่เคยบาดลึกเหนือหน้าผาก
"ฉันถูกเจ้าบ้านั่นทำให้เป็นแบบนี้!"
จิตสังหารของมันพลันพวยพุ่ง ความมุ่งร้ายของทีราเม็ททวีขึ้นหลายเท่าเมื่อย้อนนึกถึงเรื่องราวในอดีต
"ผู้หญิงที่สืบทอดพลังของมันมา วันนี้ฉันจะเหยียบย่ำแกให้สาแก่ใจ!"
ซู่วว!
เฉกเช่นแวมไพร์ตนอื่น ทีราเม็ทชำนาญทั้งการโจมตีด้วยเวทย์มนต์และทางกายภาพ วิธีการต่อสู้ของมันจะเริ่มจากทำให้ศัตรูอ่อนแรงลงด้วยเวทย์ หลังจากนั้นก็จะปิดฉากด้วยการโจมตีทางกายภาพ
บึ้ม!
"ฉันไม่โดนลูกไม้เดิมซ้ำสองหรอกนะ"
ยูร่าสลายเวทย์ของทีราเม็ทด้วยกระสุนชำระล้าง หลังจากนั้นก็ถอยไปด้านหลังเพื่อสร้างระยะห่างพร้อมกับหลบลูกเตะอย่างฉิวเฉียด ยูร่ากระหน่ำยิงปืนเวทย์มนต์ต่อเนื่องไม่หยุดพัก
ปัง!
เธอยิงโดน กระสุนทะลุเข้าไปยังกึ่งกลางระหว่างเบ้าตาทีราเม็ท นับเป็นการยิงที่แม่นยำราวจับวาง แต่สีหน้าของยูร่าก็ยังไม่ค่อยสู้ดีนัก เธอตระหนักถึงความต่างชั้นระหว่างเลเวล 247 ของตนและเลเวล 360 ของบอสพิเศษเป็นอย่างดี
"อั่ก...! นังนี่!"
ทุกการโจมตีจากนักล่าอสูรจะเป็นของแสลงเผ่าพันธุ์อสูรเสมอ ไม่ว่าจะมีเลเวลแตกต่างกันเท่าไร ทีราเม็ทพลันเกิดอาการเจ็บปวดรุนแรงจนความโกรธเกรี้ยวพุ่งทะยาน
ซู่ว! ซู่ว!
ปัง!
ทุกครั้งที่มันโบกมือ เวทย์มืดอันทรงพลังก็จะพุ่งเข้าโจมตีสะกดยูร่าเอาไว้
"ฉันจะบดขยี้แกเป็นชิ้นๆ!"
ทีราเม็ทแสยะยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจในพลังต่อสู้ของตน ฝ่าเท้าของมันถูกถีบออกไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าโดยหมายจะกระแทกใบหน้ายูร่าให้เสียโฉม
เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังกังวาลไปทั่ว ทีราเม็ทมั่นใจว่านี่คือเสียงของกระดูกมนุษย์ถูกป่นละเอียด
"หึหึหึ...! เห..."
ทีราเม็ทพลันหยุดหัวเราะกึก เมื่อครู่มันกำลังจินตนาการภาพสมองของมนุษย์ไหลออกมาจากกระโหลก แต่มีบางสิ่งกลับรู้สึกไม่ชอบมาพากล
'เกิดอะไรขึ้น'
โล่สีทองที่ปรากฏอยู่ปลายเท้าของตนคืออะไรกันแน่
'นังนี่ลูกไม้เยอะนักนะ...!'
เมื่อทีราเม็ทชักเท้ากลับและถอยออกมา
ฟุ่บฟุ่บ! ฟุ่บฟุ่บ! ฟุ่บฟุ่บ!
พายุรัศมีดาบสีดำพลันรายล้อมกายทีราเม็ทไว้ในพริบตา มันรีบใช้เวทย์ป้องกันออกมาด้วยสัญชาตญาน สีหน้ากำลังงุนงงสุดขีด
'รุนแรงมาก...!'
ถือเป็นการโจมตีระดับที่มันไม่อาจสลายได้หมด ตามลำตัวทีราเม็ทเริ่มเกิดบาดแผล มันตัดสินใจถอยไปด้านหลังอีกครั้งเพื่อรักษาระยะห่าง
"ไอ้บัดซบ"
ทีราเม็ทที่โกรธจัดหมายจะโจมตีสวนกลับทันทีเมื่อพายุรัศมีดาบสงบลง มันรวบรวมเวทย์มืดควบแน่นไว้ที่ฝ่ามือเพื่อรอโอกาส แต่พอพายุสงบ ฝ่ามือสีทองจำนวนสี่ข้างได้พุ่งมาจากทุกทิศทางและล็อคแขนขามันไว้
"อะไรอีก...!"
ทิราเม็ทพยายามขัดขืนและสลัดฝ่ามือสีทองให้หลุด ทว่านั่นก็ไม่ง่ายนัก แม้ทีราเม็ทจะมีพละกำลังที่เหนือกว่า แต่หัตถ์เทวะนั้นมีค่าความชำนาญสูง การสลัดด้วยพละกำลังอย่างเดียวจึงต้องใช้เวลา และด้วยช่องว่างเพียงไม่กี่วินาทีนี้เอง...
ร่างของใครบางคนได้พุ่งมาปรากฏตัวเหนือศีรษะทีราเม็ท
มนุษย์เพศชายผมดำ...
"วิชาดาบแพ็กม่า"
เป็นใครไปไม่ได้นอกจากกริด
"ร่ายรำสังหาร"
โคตรมัน กำลังสนุกเลยครับ ค้างมากตอนนี้ รอต่อไป ในวันพรุ่งนี้
ReplyDeleteขอบคุณที่แปลครับ
ทีมยูร่า
ReplyDeleteสนุกสนานมากมายครับ
ReplyDeleteยูร่านางเอกครับ
ReplyDeleteเอาว่ะมาถูกเวลาพอดี ยูร่า หัวใจจะวายแบบนี้รักตายเลย
ReplyDelete