จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 62

       ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึงในความยอดเยี่ยม กริดก็เดินเข้าไปยืนข้างๆ เทศมนตรีพร้อมพูดขึ้นว่า "ทั้งหมดนี่ราคาเท่าไร? คุณพูดเองนะ ว่าถ้าหากไอเท็มของผมยอดเยี่ยมกว่าของเก่าล่ะก็ ราคาของมันจะต้องคาดไม่ถึงน่ะ"

       "เรื่องนั้นมัน..."

       เป็นคำตอบที่เทศมนตรียังมอบให้กริดไม่ได้  เพราะราคาของมันสูงเกินไป ไอเท็มที่ราคาสูงเช่นนี้ เขาจำเป็นจะต้องปรึกษากับไอรีนเพื่อให้ได้ตัวเลขที่แน่นอนเสียก่อน

       แต่ไอรีนนั้นมีคำตอบในใจอยู่แล้ว

       "เซอร์ฟินิกซ์"

       "ขอรับท่านหญิง"

       "ถ้ามีดาบเล่มนี้ คุณสามารถเอาชนะหนึ่งในข้ารับใช้ทั้งเจ็ดคนนั้นได้รึเปล่า?"

       ฟินิกซ์ไตร่ตรองถึงความสูญเสียครั้งก่อนหน้า และนำไปเทียบกับทักษะความสามารถเฉพาะตัวของตนอย่างถ้วนถี่ คำตอบในครั้งนี้จะพูดส่งเดชมิได้เด็ดขาด

       "กระผมคิดว่าพอสู้ได้ ถ้ามีดาบเล่มนี้ล่ะก็ ตัวผมน่าจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากพอดู"
     
       นี่ไม่ใช่ความมั่นใจที่เกินตัว ฟินิกซ์ถูกขนานนามให้เป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนเหนือ และยังติดหนึ่งในสิบของอัศวินแห่งอาณาจักรอีเทอนัล  ไอรีนยิ้มอย่างพึงพอใจกับคำตอบที่พึ่งพาได้ของฟินิกซ์

       "ดี! เทศมนตรี! ซื้อดาบเล่มนี้มาซะ! เรื่องราคาให้คุณตัดสินใจเลย"

       "ขอรับท่านหญิง"

       กริดรู้สึกชื่นชอบไอรีนขึ้นมาทันที

       'คำพูดของหล่อนหนักแน่นมาก อย่างที่คิด พวกขุนนางนี่คนละระดับกับเราจริงๆ'

       จะได้ราคาดีแค่ไหนกันนะ? กริดเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

       "พวกคุณไปคุยกันที่ห้องเถอะ"
     
       "ขอรับท่านหญิง งั้นกระผมขอตัวก่อน"

       "แล้วพบกันใหม่นะ กริด"

       ไอรีนยื่นมือหนึ่งข้างออกไปหากริด เป็นสัญลักษณ์ว่าเธอต้องการให้จุมพิตที่หลังมือ ซึ่งหมายถึงการให้เกียรติอย่างสูงสุดที่ขุนนางสตรีผู้หนึ่งจะมอบให้ใครได้ ไอรีนรู้สึกชื่นชมกริดจากใจจริงเมื่อได้เห็นผลงานสุดอลังการของเขา

       'หืม?' ในระหว่างที่กริดกำลังจุมพิตหลังฝ่ามือ เขาก็รู้สึกคับคล้ายคับคลากับแหวนที่ห้อยอยู่กับสร้อยคอไอรีน 'แหวนวงนั้น…   เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ?'

       กริดพยายามเค้นสมองนึก แต่ก็เปล่าประโยชน์

       'คงคล้ายกันเฉยๆ ล่ะมั้ง'

       หลังจากที่ไอรีนและกลุ่มขุนนางจากไป กริดก็ตามเทศมนตรีไปที่ห้อง     

       "นั่งคอยก่อนนะ ฉันต้องใช้เวลาสักพักในการระบุราคาของมัน ได้โปรดเข้าใจด้วย"

       "เชิญตามสบาย"

       เทศมนตรีนั่งลงพร้อมกับดีดลูกคิดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด กริดเดาว่าหลักการคำนวนราคาจะต้องซับซ้อนมากแน่ เพราะสีหน้าของเทศมนตรีไม่สู้ดีนัก ในระหว่างนั้นกริดก็ซัดชาเอลปาราคาแพงเข้าไปแปดถ้วยถ้วน จนกระทั่งเทศมนตรีประกาศราคาออกมา  กริดก็กำลังอยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่นพอดี

       "อืม…  ทางเราจะซื้อ 'ดาบที่คาดหวัง' ในราคาเล่มละ 7,000 เหรียญทอง  ส่วน 'ดาบแห่งการตื่นรู้' นั้น เราจะซื้อมันในราคา 200,000 เหรียญทอง"

       กริดที่งัวเงียเมื่อครู่ตาสว่างขึ้นด้วยความโมโหทันที     

       "ล้อกันเล่นรึไง?  ดาบแห่งการตื่นรู้ราคาแค่ 20 เหรียญทองเนี่ยนะ? เสียสติไปแล้วหรือ? ทำไมดาบที่คาดหวังมีราคา 7,000 เหรียญทอง แต่ดาบที่ดีกว่าอย่างดาบแห่งการตื่นรู้กลับมีราคาแค่ 20 เหรียญทองเท่านั้น? ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ…  ต้นทุนมันสูงถึงเล่มละ 950 เหรียญทองเชียวนะ!"

       เทศมนตรียิ้มอย่างอบอุ่นเล็กน้อย "ผิดแล้ว คุณฟังผมผิดไป ผมพูดว่า 200,000 เหรียญทอง มิใช่ 20 เหรียญทอง"

       "หือ? 200,000 เหรียญทอง?"     

       "ถูกต้อง"

       "......?"

       หัวใจของกริดหยุดเต้นไปชั่วขณะ แต่หลังจากที่ได้สติกลับมา "ฮะ…  ฮ--เฮือก! 200,000 เหรียญทอง? คุณเอาจริงหรือ?"

       ในขณะที่เอ่ยปากถาม ดูเหมือนกริดจะหายใจไม่ค่อยเข้าจังหวะ
     
       เทศมนตรีเห็นดังนั้นก็ค่อยๆ ถามกลับอย่างใจเย็น

       "หรือคุณคิดว่ามันน้อยเกินไป...?  จำนวนนี้คือราคาสูงสุดที่ให้ได้แล้ว ขนาดมรดกตกทอดประจำตระกูลของเอิร์ลสไตล์ยังไม่ราคาสูงขนาดนี้… คุณว่ามันยังไม่พออีกหรือ?  อืม… ใจจริงฉันก็อยากให้มากกว่า 200,000 อยู่หรอก แต่ถ้าเราให้มากกว่านี้มันอาจกระทบต่อสภาพคล่องการเงินในปัจจุบันได้ ได้โปรดเข้าใจด้วย"

       วินสตันมีประชากรมากถึง 330,000 คน และอัตราการเติบโต 22% ต่อปี จึงทำให้มีงบประมานประจำปีอยู่ที่ 170,000 เหรียญทอง ดังนั้นมูลค่าของดาบแห่งการตื่นรู้เล่มนี้จึงแพงกว่างบประมาณประจำปีของวินสตันทั้งเมืองเสียอีก

       เทศมนตรียังคงพยายามพูดจาโน้มน้ามกริดต่อไป "ขอย้ำอีกครั้ง นี่คือราคาสูงสุดที่ทางเราให้ได้แล้ว และในภายภาคหน้ามันก็จะกลายเป็นสมบัติประจำตระกูลของเอิร์ลสไตมที่สืบทอดต่อกันรู่นสู่รุ่น ถ้าหากคุณต้องการที่สูงกว่านี้ ผมเกรงว่าคงไม่มีขุนนางคนไหนจ่ายให้คุณได้อีกแล้ว"

       "......"
     
       กริดยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เห็นเช่นนี้เทศมนตรีก็ร้อนใจมาก เขาคิดว่ากริดคงกำลังไม่พอใจกับราคาที่เสนอ แต่นั่นไม่ใช่เลย กริดกำลังตื่นเต้นสุดขีดจนพูดอะไรไม่ออกต่างหาก

       'ความอับโชคตลอด 26 ปีของเรา…   คงสั่งสมดวงชะตาเอาไว้เพื่อวันนี้โดยเฉพาะเลยสินะ...'

       220,000 เหรียญทอง…  264 ล้านวอน

       'หลังจากจ่ายหนี้ ก็ยังเหลืออีกตั้ง 254 ล้านวอน'

       กริดอยากรีบทำทุกอย่างให้มันเสร็จๆ  และล็อคเอ้าท์ออกเสียตั้งแต่ตอนนี้ หลังจากนั้นก็นำเงินสิบล้านวอนไปปาใส่หน้าบริษัทมาร์เธอร์อีสแฮปปี้พร้อมกับตะโกนว่า

       "เอาไปซะ! พอใจรึยัง? จ่ายหมดแล้วโว้ย! ดังนั้นไม่ต้องโทรอีกนะ ไอ้พวกสวะหิวเงินเอ้ย!"

       นี่คือสิ่งที่เขาต้องการจะพูด หลังจากนั้นก็เป็นการซื้อรถหรูและเสื้อผ้าราคาแพงมาสวมใส่ เมื่อกลับไปงานรวมรุ่น เขาก็จะกลายเป็นคนเด่นดังขั้นมา

       'เราจะไปพร้อมกับรถหรูและเสื้อผ้าแบรนด์ดัง'

       กริด ชายผู้เคยเป็นคนติดเกมและมีหนี้สินล้นตัว เขามักจะถูกดูแคลนโดยเพื่อนร่วมรุ่นอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ไปงาน ถ้อยคำเสียดสีอันน่าอับอายมักถูกยกขึ้นมาพูดบ่อยครั้ง ทำให้เขาตัดสินใจไม่ไปร่วมในคราวล่าสุดที่ผ่านมา ที่จริงงานมันก็ไม่มีอะไรให้ไปอยู่แล้ว นอกจากว่าเขาต้องการไปเห็นหน้ารักแรกอย่างอาฮยองเท่านั้น

       แต่ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไป ตอนนี้ กริดสามารถเข้าร่วมงานในสถานะสังคมที่เป็น 'คนประสบความสำเร็จ'

       'คนพวกนั้นจะสบประมาทเราไม่ได้อีก และเราก็จะได้สารภาพรักกับอาฮยองเสียที'

       อันที่จริง ในตอนแรก กริดเกิดความลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตรงมายังปราสาทวินสตันแห่งนี้

       เขาควรขายดาบแห่งการตื่นรู้เล่มนี้กับผู้เล่นด้วยกันเองดีไหม? ด้วยความที่เป็นดาบเลเจนดารี ราคาของมันจะต้องสูงมากแน่ สิ่งนั้นอยู่ในความคิดของกริดตั้งแต่วินาทีแรกที่ดาบเล่มนี้เสร็จสมบูรณ์ เขาสามารถเมินเฉยต่อภารกิจของเทศมนตรีและนำดาบไปวางขายในเว็ปไซต์ด้วยราคาสูงลิบ

       แต่กริดก็ไม่ได้ครุ่นคิดนานนัก เพราะในตอนนี้ ไม่มีผู้เล่นคนใดที่สามารถใช้งานดาบแห่งการตื่นรู้ได้แน่ การวางขายในอินเทอร์เน็ตตอนนี้คงมีแต่พวกพ่อค้าเก็งกำไรเช่นเดิม ผู้สวมใส่จริงๆ คงยังไม่มี

       เป็นเหตุผลเดียวกับที่เขายังขายมีดสั้นในอุดมคติไม่ได้ แถมเทศมนตรีก็ยังยืนกรานว่าจะซื้อในราคาสูง กริดจึงตัดสินใจนำมันมาขายให้กับปราสาท เพราะไม่ต้องพะวงเรื่องค่าธรรมเนียมจุกจิกอื่นที่อาจตามมา

       สุดท้ายแล้ว กริดก็เลือกเส้นทาง 264 ล้านวอน เขารู้สึงพึงพอใจเป็นที่สุด

       "ตกลง ผมจะขายราคานั้น"

       "โอ้ ตัดสินใจได้ดี ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็บรรลุข้อตกลงแล้ว"

[ ข้อตกลงลุล่วง ]
[ ภารกิจสำเร็จ! ]
[ ท่านได้รับเงินจำนวน 240,000 เหรียญทอง ]
[ ท่านได้รับโอริชาลคั่มสีน้ำเงินจำนวน 3 ก้อน ]
[ ท่านได้รับสถานะทางสัมคม 'คนสำคัญของวินสตัน' ]
[ ค่าความสัมพันธ์กับเทศมนตรีเพิ่มขึ้นถึงขีดจำกัด ]

       'โอริชาลคั่มสีน้ำเงิน!'

       กริดรีบเปิดสูตรการผลิต 'ความผิดพลาด' ขึ้นมา

[ ความผิดพลาด ]
เกรด: ยูนีค~เลเจนดารี
ความคงทน: 699/699 (ยูนีค)  1,090/1,090 (เลเจนดารี)
พลังโจมตี: 733~1,621 (ยูนีค)  874~1,820 (เลเจนดารี)
พลังป้องกัน: 50 (ยูนีค) 80 (เลเจนดารี)
* ควาความว่องไว +30 (ยูนีค) +50 (เลเจนดารี)
* มีโอกาสเล็กน้อยที่จะปัดป้องการโจมตีจากศัตรู
* มีโอกาสปานกลางที่จะแสดงผลทักษะ 'โจมตี 5 ประสาน' โดยอัตโนมัติ
* มีโอกาสสูงที่จะแสดงผลทักษะ 'เชือดเฉือน' โดยอัตโนมัติ
* (เลเจนดารี) ได้รับทักษะ 'ผ่าสองท่อน'
* เกิดสถานะ 'หวาดกลัว' ต่อเป้าหมายที่มีเลเวลต่ำกว่าผู้ใช้ 20 เลเวล
* พลังโจมตีในที่มืดเพิ่มขึ้น 20%
       ดาบเล่มนี้ถูกออกแบบโดยช่างตีเหล็กในตำนาน เนื่องด้วยรูปทรงที่แปลกประหลาด   มันจึงเป็นดาบใหญ่ที่มีความสามารถในการตัดขาดสูง ภายนอกให้ความรู้สึกเหมือนกับผู้ล่าแห่งท้องทะเลที่มีนามว่า 'ฉลาม' ส่งผลให้ศัตรูที่ได้พบเห็นต่างเกิดความหวาดกลัว รอยหยักบนคมดาบเป็นส่วนที่เพิ่มพลังป้องกันให้กับผู้ถือ
       ดาบทั้งเล่มถูกตีขึ้นจากแร่โอริชาลคั่มที่หายาก ความเบาของมันทำให้ไม่สูญเสียความเร็วในการโจมตีไป ด้วยธรรมชาติของแร่โอริชาลคั่ม ทำให้มันแข็งแกร่งอย่างมากสำหรับการต่อสู้ในที่มืด
* เงื่อนไขการสวมใส่ :
-เลเวล 300 หรือสูงกว่า
-พละกำลัง 500 หรือสูงกว่า
-ทักษะผู้ชำนาญดาบชั้นสูงเลเวล 8 หรือสูงกว่า
* น้ำหนัก : 550 หน่วย

        เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นรายละเอียดของไอเท็มสุดโกงนี้ การจะสร้างมันขึ้นมาจำเป็นต้องใช้โอริชาลคั่มสีน้ำเงินจำนวน 15 ก้อนถ้วน มันคือหินแร่หายากที่ดรอปจากผู้พิทักษ์แห่งพงไพรเท่านั้น แต่คราวนี้กลับได้มาเป็นของแถมจากภารกิจตีดาบ

       เทศมนตรียิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นกริดให้ความสนใจกับโอริชาลคั่มสีน้ำเงิน

       "มีสายตาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ…  มองปราดเดียวก็รู้เลยสินะว่าเป็นแร่ราคาสูง ฉันได้มันเมื่อมานานแล้วในอดีต เป็นสิ่งของตอบแทนจากครั้งที่ช่วยเหลือผู้อื่นไว้  เดิมที หน้าที่ของมันมีเพียงตกแต่งห้องเพราะสีสันที่งดงาม แต่ดูเหมือนคุณจะใช้ประโยชน์จากมันได้มากกว่า"

       กริดรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับบรรดาของแถมอื่นๆ ไม่จบสิ้น

       'คนสำคัญของวินสตัน?  คืออะไรกันนะ?'

       กริดรีบเปิดดูรายละเอียดทันที

[ คนสำคัญของวินสตัน ]
       นี่คือสถานะทางสังคมซึ่งมอบให้กับช่างเทคนิคที่ผู้ปกครองวินสตันในเวลานั้นให้การยอมรับ
       ไอเท็มใดก็ตามที่ผลิตขึ้นโดยคนสำคัญของวินสตัน จะมีราคาขายในวินสตันที่สูงขึ้น
       คนสำคัญของวันสตันจะได้รับการยกเว้นภาษีทุกชนิด

       'อา… แม้แต่ข่านที่ยังต้องจ่ายภาษี แต่ถ้าเราขึ้นเป็นเจ้าของโรงตีเหล็กเต็มตัวเมื่อไร ก็จะไม่ต้องจ่ายส่วนนั้นสินะ?'

       สีหน้าของกริดปรื้มปริ่มอิ่มเอมใจ เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่า คุ้มค่าแล้วที่ได้ทำธุรกิจกับเทศมนตรี

       แต่ความจริงคืออะไรรู้ไหม? กริดขาดทุนอย่างมหาศาลในการค้าขายหนนี้

       ทำไมน่ะหรือ?

       กริดและผู้เล่นส่วนมากอาจไม่รู้ แต่ผู้เล่นทั้ง 20 อันดับแรกของโลกต่างมีระดับทักษะความชำนาญอาวุธเข้าใกล้ขั้นสูงเต็มที ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พวกเราจะต้องก้าวไปถึงจุดนั้นแน่

       ถ้าหากกริดนำมันลงขายในอินเทอเน็ต รับรองว่าราคาจะพุ่งทะยานเกินกว่าพันล้านวอน ผู้เล่นติดอันดับนั้นเงินถุงเงินถังกันอยู่แล้ว การแก่งแย่งจะรุนแรงในระดับที่กริดคาดไม่ถึง ตัวเลขที่ยกมานั้นมิได้เกินความจริงไป พวกเขาที่แทบไม่ได้ใช้เงินต่างรอจะใช้ในจังหวะแบบนี้กันมานานแล้ว

       ทันทีที่ไอเท็มระดับลีเจนดารีถูกลงทะเบียนขาย ราคาของมันจะพุ่งทะยานขึ้นไปอยู่บนอวกาศในพริบตา กริดจะได้ทำการค้าขายกับระดับมหาเศรษฐีของโลก และเขาก็ไม่ต้องผลิตไอเท็มเลเจนดารีอีกตลอดชีวิตเลยก็ยังได้

       เพียงไอเท็มเลเจนดารีชิ้นนี้ชิ้นเดียว โชคชะตาของกริดจะพุ่งขึ้นจากต่ำสุดสู่สูงสุดชั่วข้ามคืน แต่สุดท้ายก็ต้องลงเอยด้วยการนำไปขายกับเอ็นพีซีด้วยสนนราคา 264 ล้านวอนเท่านั้น เป็นตัวเลขที่น่าเห็นใจ สิ่งเดียวที่แลดูคุ้มค่าสำหรับการค้าครั้งนี้คือสถานะทางสังคม 'คนสำคัญของวินสตัน'  อย่างน้อยกริดก็ยังได้รับการชดเชยเป็นการขายไอเท็มในราคาสูงกว่าปรกติและไม่ต้องเสียภาษี

       ***

       "แม่! พ่อ! เซฮี!"

       เรารีบออกจากแคปซูลพร้อมกับตรงดิ่งไปที่ห้องนั่งเล่น เราอยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าลูกชาย พี่ชาย ที่ไม่เอาไหนคนนี้ ในที่สุดก็รวยแล้ว

       ทว่า ห้องนั่งเล่นกลับไร้ซึ่งผู้คน

       "หืม?"

       ทำไมห้องนี้ถึงได้ปิดไฟมืดสนิท?  เราเริ่มรู้สึกไม่ดี

       "หรือว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวระหว่างที่เราอยู่แคปในซูลงั้นหรือ?"

       ความวิตกกังวลได้พุ่งพล่านไปทั่วหัวสมอง

       "ลองโทรหาดูหน่อยละกัน..."  เราคิดที่จะโทรไปถามแม่ แต่กลับกลายเป็นว่าหาโทรศัพท์ไม่พบ "ไม่จริงน่า…  มือถือเราไปไหนเนี่ย? งั้นใช้โทรศัพท์บ้านไปก่อนก็แล้วกัน…  เย็นไว้  ใจเย็นไว้"

       หลังจากที่ยืนทำใจอยู่หน้าโทรศัพท์บ้านเป็นเวลานาน  ได้สวดมนต์ภาวนาไปมากมายหลายบท ครอบครัวเราจะต้องปลอดภัย จะต้องไม่มีใครเป็นอะไร เราตัดสินใจยกหูโทรหาแม่ ในขณะที่กำลังรอฟังเสียงเรียกเข้า สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่อยู่ไม่ไกล

       "ตีสาม...?"

       เราเชื่อมต่อกับซาทิสฟายจนลืมวันลืมคืน ไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียวว่าใกล้รุ่งสางแล้ว เราเปิดประตูห้องนอนของทุกคนก็พบว่าทั้งแม่กับพ่อและเซฮีต่างก็กำลังหลับปุ๋ย

       "ฟู่ว…"

       เราด่าตัวเองว่า 'ไอ้งั่ง' เบาๆ ก่อนจะกลับไปนอนที่เตียง เมื่อถึงตอนเช้าจะได้เตรียมบอกข่าวคราวอันแสนน่ายินดีนี้ให้ทุกคนได้ฟัง

       ทว่า รุ่งเช้าวันเดียวกัน กริดกลับต้องรับรู้ข่าวร้ายที่ไม่คาดฝัน

       "ยองวู…  เซฮี…  ฟังให้ดีนะ แม่ไม่ได้ล้อเล่น พ่อของพวกแกทำบางอย่างพลาดไป"

       "......"     
     
       แม่ของเรากำลังร้องไห้ ส่วนพ่อก็กำลังสูบบุหรี่…  หลังจากที่เลิกมาได้ 10 ปีแล้ว

       "เรื่องมีอยู่ว่า พ่อของพวกแกเป็นคนค้ำประกันให้เพื่อนคนหนึ่ง…  และคนๆ นั้นก็หนีหนี้ไปแล้ว... โธ่… แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อไปดี? "

       นี่มัน...

       พ่อของเรา ผู้ที่สามารถแบ่งไก่หนึ่งตัวให้ทั้งครอบครัวกินได้สามมือ กลับกล้าค้ำประกันให้เพื่อนเนี่ยนะ?  ทำไมพ่อที่เรารู้จักถึงได้โง่แบบนี้?  เราทั้งตกใจทั้งผิดหวัง ทันใดนั้น เซฮีพูดขึ้นอย่างใจเย็น

       "แล้วหนี้ทั้งหมดมันเท่าไร?"

       "800 ล้านวอน…  ถ้าหากขายร้าน ขายบ้าน และใช้เงินเก็บทั้งหมด ก็คงจะได้เงินมาราว 400 ล้านวอนเท่านั้น  แต่เซฮี แม่ขอโทษนะ เงินเกือบส่วนนั้นคือค่าเรียนมหาวิทยาลัยและค่าแต่งงานของลูก..."

       เดี๋ยวนะ…  มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลรึเปล่า?

       "นี่พ่อ… ถ้าพ่อกับแม่เก็บเงินไว้ให้เซฮีเรียนมหาลัยและแต่งงาน  แปลว่าในส่วนนั้นก็มีเงินแต่งงานของผมด้วยใช่มั้ย?"

       "ไม่มี"

       "ไม่มี? ไม่มีได้ยังไง?  ผมเป็นลูกชายคนโตนะ! แล้วทำไมเซฮีต้องใช้เงินแต่งงานด้วย? ค่าใช้จ่ายต่างๆ ฝ่ายเจ้าบ่าวเป็นคนออกไม่ใช่รึไง?"

       เรารู้สึกโมโหในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่เซฮีก็รั้งไว้พร้อมกับพูดออกมาว่า "หนูจะไม่เรียนมหาลัย หูนจะออกไปหางานทำและช่วยจ่ายหนี้อีกแรง"

       "บ--บ้าน่า!"

       แตกต่างจากเรา เซฮฮีนั้นหัวดีมาตั้งแต่เด็ก เธอสอบได้ที่ 1 มาตลอดในทุกชั้นปี เรื่องที่เธอจะไม่เรียนต่อจึงทำให้พ่อกับแม่โกรธมาก

       "พวกแกไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ใช้ชีวิตไปตามปรกติซะ! มีหน้าที่เรียนก็ต้องเรียน กว่าเธอจะเข้ามหาลัย พ่อก็คงใช้หนี้หมดแล้ว ถึงตอนนั้นก็คงส่งเสียค่าเล่าเรียนให้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าคิดอะไรตื้นๆ!"

       เรารู้สึกเสียใจแทนเซฮีไม่น้อย...

       แต่ว่า ทำไมดูเหมือนเรื่องราวในครั้งนี้ถึงมีผู้เกี่ยวข้องเพียงสามคนเท่านั้น?  พวกเขาทำราวกับเราเป็นคนนอก โลกความจริงช่างโหดร้ายต่อเรายิ่งนัก

       'ใช่แล้ว…  เวลานี้แหละ ครอบครัวกำลังเดือดร้อน เป็นโอกาสที่ลูกชายคนโตอย่างเราจะได้ออกหน้าสักที'

       เรายืนขึ้นพร้อมกับตะโกนว่า "ผมจะหาเงินเอง พ่อกับแม่ไม่ต้องกังวล! พ่อ! เราไม่จำเป็นจะต้องขายร้าน แม่! แม่ไม่ต้องห่วง ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี เซฮี! ก็อย่างที่พ่อบอก เธอตั้งใจเรียนต่อไปก็พอ"

       "เฮ่อ…  พรุ่งนี้ ฉันต้องออกไปหางานบ้างแล้วสินะ..."

       "ฉันก็จะไปล้างจานที่ภัตตาคาร..."

       "แม่ พ่อ หนูจะไปทำงานพาร์ทไทม์ช่วงวันหยุด"

       "..."

       คำพูดของเราไม่ต่างอะไรกับเสียงสุนัขเห่าหอน ไม่มีใครสนใจแม้แต่นิดเดียว ราวกับเป็นมนุษย์ล่องหนคนหนึ่ง เราเป็นทั้งพี่และลูกที่แย่มากในสายตาของพวกเขา

       เราค่อยๆ สงบสตินั่งลงอีกครั้ง หลังจากนั้นก็รวบรวมความกล้าและจ้องเข้าไปในแววตาของทุกคน

       "ที่จริง ผมมีเรื่องจะบอก ผมออกจากงานก่อสร้างตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว"

       "อะไรนะ? นี่แกไม่ได้ทำงานเลยงั้นหรอ?"

       เราจ้องเข้าไปในแววตาที่โกรธเคืองของพ่อและกล่าวว่า "สิบวันมานี้  ผมสามารถทำเงินจากเกมได้มากถึง 200 ล้านวอน ในอนาคต ยังไงผมก็ต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวอยู่แล้ว เพราะงั้น เรื่องนี้ให้ผมจัดการเถอะ"

       นี่นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิด ที่เรารู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจอันท่วมท้นอยู่ในอก  รถหรู? เสื้อผ้าแบรนด์เนม? เราไม่มีเวลามัวสนใจเรื่องพวกนั้นอีกแล้ว  รักแรก? อาฮยอง? ไม่มีที่ว่างในหัวสำหรับเรื่องความรักอีกต่อไป

       จนกว่าวิกฤตนี้จะจบลง เราต้องคอยพยุงแบกรับครอบครัวนี้ไว้ให้ได้ และการเล่นซาทิสฟายของเราจำเป็นจะต้องรอบคอบให้มากขึ้นกว่าเดิม

( จากใจผู้แปลฝั่งอังกฤษ : ไม่ต้องเป็นห่วงไปว่าเรื่องนี้จะจมอยู่กับหนี้และความซวยซ้ำซากของกริด หนี้ก้อนนี้จะอยู่ได้อีกไม่นานเท่านั้น พระเอกของเรากำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจากความรับผิดชอบและภาระ คนเราไม่มีวันอับโชคไปได้ตลอด กริดก็เช่นกัน)



( จากใจ BJK :  หลังจากนี้จะเป็นความมันส์ยาวๆ ต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก เตรียมบอกลาความหงุดหงิดในตัวพระเอกไปได้เลย! )

Comments

  1. บราค่อนเอยจงหาเงินมาให้น้องสาว สร๊าาาาา

    ReplyDelete
  2. น้องสาวนางเอก5555555+

    ReplyDelete
  3. นี่ถ้าตัดสินใจขาย Item รีเจนดารี่ให้กับผู้เล่นล่ะก็

    พี่กริดก็ไม่ได้เดินหน้าต่อในฐานะช่างตีเหล็กแล้วล่ะฮะ

    ReplyDelete
  4. อ่านถึงจะสร้างค้อนแห่งทอร์(ไม่ใช่ค้อนธรรดานี้ละ) เห็นความเห็นนักแปลละ พอวางใจละได้ค้องทอร์มาเทพแน่งี้อิอิ

    ReplyDelete
  5. หลังจากนี้พระเอกจะมีดวงเพิ่มขึ้นไหม ถถถ

    ReplyDelete
  6. เย้ยยยยยยยยดีใจกว่าได้เงืนก็คือจะไม่ต้องมาหงุดหงิดแล้ววววว

    ReplyDelete
  7. จะมีแต่ความค้างที่เหลืออยู่

    ReplyDelete
  8. ขายผู้เล่นรวยไปแล้วแท้ๆ

    ReplyDelete
  9. ว๊าวๆๆๆ มันจะทำเท่ไปแล้ว

    ReplyDelete
  10. ดีใจที่จะไม่ต้องหงุดหงิดกะกริดนี่ละ

    ReplyDelete
  11. สนุกมากมายครับ

    ReplyDelete
  12. เหมือนมันพึ่งเรื่มต้นอ่ะ จงเติบโตและก้าวผ่านอุปสรรคไปซ่ะ

    ReplyDelete
  13. ดีจังหงุดหงิดกับความซวยกะความโง่พระเอกตั้งนาน

    ReplyDelete
  14. จากการอ่านนิยายมาหลายร้อยเรื่อง
    หงุดหงิดกับความโง่ของพระเอกเรื่องนี้ที่สุดแล้ว

    เข้าขั้นโง่จนเกินเยียวยา
    โง่จนคิดว่าโง่ขนาดนี้ตอนแรกเล่นจนเลเวลขนาดนั้นไปได้ยังไง
    โง่ในระดับที่ไม่คิดว่าจะสมัครไอดีเกมเป็นด้วยซ้ำ

    อยู่ในระดับที่โปรโตซัวยังมีความฉลาดและดวงมากกว่าพระเอกเรื่องนี้
    อ่านแล้วหดหู่

    ReplyDelete
  15. ขอให้จริงเถอะ อ่านนิยายมาก็เยอะ เรื่องนี้กลับทำให้หงุดหงิดได้ อ่านไปก็ได้แต่หวังว่ามันจะสนุกเข้าสักวัน

    ReplyDelete
  16. สู่พี่ นักแกะสลักแห่งแสงจันทร์ในตำนานไม่ได้ หนี้หมดตั้งแต่ตอนแรก 10ล้านเท่ากันเลยแคปซูนเจ้าเดียวกันแหงมๆ

    ReplyDelete
  17. พอย้อนกลับมาอ่านหลังจากอ่านมา 500 กว่าตอนแล้ว... กริดโตขึ้นเยอะเลยแหะ

    ReplyDelete
  18. คนอื่นหงุดหงิดความโง่กันแต่นี่ขำมากๆอ่ะ ไม่ดีอย่างเดียวคือความซวยของพระเอกอ่ะ ถ้าคนแปลอิงค์บอกจะหลุดจากหนี้แล้วกะคือ ความซวยจะน้อยลงใช่มะ 555

    ReplyDelete
  19. ไอสัสแม่งครอบครัวติดหนี้ยังมาห่วงค่าแต่งงานมึงเหี้ยว่ะ
    ชอบเอากริดเทียบกับวีดตลอด
    แต่วีดชนะตลอด ถึงแม้จะงกเหมือนกัน
    แต่มันเข้าใจคนดีกว่า ห่วงคนมากกว่ายิ่งคนในครอบครัวมันก็รัก
    แต่มึงเนี่ยห่าเอ๋ยยยขึ้นๆ

    ReplyDelete
    Replies
    1. จะได้ลามึงไปแล้วลาก่อนไอกริดน่าโง่พบกันใหม่ไอเทพกริด

      Delete
  20. กำลังคิดอยู่เลยว่าชีวิตพระเอกอะไรมันจะซวยบัดซบขนาดนี้ เอาจริงๆ นิสัยพระเอกมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ด้วยแวดล้อม การดูแลเลี้ยงดู เพื่อนๆ ไรงี้ด้วยป่ะ เลยนิสัยแบบนี้ สู้ต่อไป!!

    ReplyDelete
  21. เอาจริงๆคืออ่านข้ามมา เพราะถ้าอ่านเป็นต้นๆมาเรื่อยๆคงได้เลิกอ่านไปก่อน....

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00