จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 42
ชาวบ้านต่างตกตะลึงทันทีที่ได้ยินคำพูดข่าน.
"จะ--เจ้าจะบอกให้ก่อกบฏงั้นหรอ?"
"ก่อกบฏ? ไอ้ลอร์ดชั่วนั่นต่างหากที่เป็นกบฏ! พวกเราคือประชาชนของเอิร์ลสไตม์. พวกเราแค่ต้องการกำจัดปีศาจชั่วที่ปกครองอย่างขัดต่อเจตนารมณ์ของเอิร์ลสไตม์!"
ทันทีที่ได้เหตุผลในการต่อต้านลอร์ด, จิตใจนักสู้ของชาวบ้านก็ลุกเป็นไฟในทันที.
"ได้เลย! ข้าจะติดตามข่านไป!"
"แม้เราจะไม่สามารถขับไล่มันด้วยกำลังที่มีได้. แต่ถ้าหากพวกเราลงมือทำอะไรบางอย่าง. คนทั่วโลกอาจจะได้รับรู้ในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อออกไป! รับรู้ว่าวินสตันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล! และเมื่อถึงตอนนั้น, ข่าวก็จะรั่วไหลไปถึงหูของเอิร์ลสไตม์ได้แน่!"
"พวกเราต้องสู้เพื่อกริด, เด็กหนุ่มที่ต้องถูกขังอยู่คุกเพราะทำเพื่อพวกเรา."
"ข้าเอาด้วย!"
ในที่สุด, ชาวบ้านวินสตันก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมหมู่บ้านด้วยมือของพวกเขาเอง.
ข่านเดินไปเปิดประตูคลังเก็บของออก. ภายในนี้เต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายสำหรับการต่อสู้. ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธที่กริดสร้างขึ้นเพื่อซ้อมมือทั้งสิ้น. แม้จะไม่ใช่อาวุธที่เลอค่าใดมากมาย, เนื่องมากจากสร้างขึ้นจากวัสดุคุณภาพต่ำ, แต่มันก็ยังดีกว่าอุปกรณ์ทำสวนที่พวกชาวบ้านมีอยู่มากโข.
"โอ้ว!"
กลุ่มชาวบ้านรีบเดินเข้าไปหยิบอาวุธมาถือในมือด้วยท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น.
"รีบไปที่บริษัทเมโร่ตอนนี้เลยเถอะ!"
"ใช่แล้ว! พวกเราต้องจับตัวบัลมงต์มาให้ได้!"
เมื่อได้ยินดังนั้น, ข่านจึงรีบห้ามปราบไว้ทันที. "ไม่ได้, ถ้าพวกเราบุกบริษัทเมโร่ตอนนี้ล่ะก็, ข่าวจะต้องแพร่ไปถึงหูของบารอนโลวอย่างรวดเร็วแน่. เมื่อถึงตอนนั้น, ปราสาทวินสตันก็จะกลายเป็นป้อมปราการที่พวกเราไม่สามารถบุกเข้าไปได้อีก."
"หมายความว่า, พวกเราควรไปบุกปราสาทก่อนงั้นรึ?"
"ถูกต้อง. พวกเราต้องรีบบุกปราสาทก่อนที่ข่าวการก่อกบฏจะรั่วไหลออกไปถึงหูบารอนโลว. ถ้าหากเราสามารถจับบารอนโลวเป็นตัวประกันได้, พวกทหารมันคงไม่กล้าลงมือทำอะไรแน่นอน. หลังจากนั้นก็ค่อยข่มขู่ให้บริษัทเมโร่ยุบตัวเองทิ้งไปซะ!"
ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มชาวบ้านพร้อมกับพูดขึ้นว่า. "สถาปนิกผู้ที่ออกแบบปราสาทวินสตันคือปู่ทวดของข้าเอง. ตระกูลของข้าจึงมีพิมพ์เขียวของปราสาทหลังนั้นสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น. พวกเราสามารถอาศัยทางลับจากพิมพ์เขียวนั้นลักลอบเข้าไปในปราสาทได้อย่างง่ายดาย."
"โอ้ววว!"
ความหวังมีมากขึ้นเรื่อยๆ. กลุ่มชาวบ้านเริ่มเห็นโอกาสสำเร็จอยู่ตรงหน้า. ความมั่นใจอย่างเปี่ยมได้ปรากฏอยู่ในสายตาของทุกคนอย่างชัดเจน.
ทว่า, มันก็เป็นเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น.
เพล้ง!!
กระจกหน้าต่างทุกบานบนชั้นสองของโรงตีเหล็กถูกทำลายจากภายนอก. กลุ่มทหารอาวุธครบมือกระโดดเข้ามาบนระเบียงชั้นสองอย่างรวดเร็ว. ในมือพวกมันทุกคนกำลังกำคันธนูเอาไว้แน่น.
"ถ้ายังไม่อยากตายก็วางอาวุธลงซะ!"
ชั้นสองของโรงตีเหล็กข่านถูกล้อมกรอบไว้ด้วยมือธนูนับสิบคนในพริบตา. โดยทั้งหมดกำลังเล็งลงมายังกลุ่มชาวบ้านที่ยืนอยู่ชั้นล่าง. ในขณะที่ชาวบ้านกำลังตื่นตระหนก, บัลมงต์ก็เดินเข้ามาจากทางประตูหน้าด้วยท่าทีสบายอารมณ์.
มันหัวเราะขึ้นอย่างมีความสุขพร้อมกับกล่าวว่า. "ฮ่าฮ่า! ข้าแค่มาที่นี่เพียงเพื่อจะทวงความเป็นเจ้าของโรงตีเหล็กเท่านั้น. แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ยินอะไรดีๆ แบบนี้. สงสัยจะได้รับความดีความชอบก้อนโตซะแล้วสิ! ฮ่าฮ่าฮ่า!"
เหนียงใต้คางอ้วนๆ ของบัลมงต์เกิดกระเพื่อมทุกครั้งที่มันหัวเราะออกมา.
ข่านตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียงด้วยใบหน้าที่เจ็บแค้น. "แกใส่ร้ายปายสีกริดจนเขาต้องถูกจับ! ดังนั้นการแข่งจึงถูกยกเลิกไปกลางคัน! และผลการแข่งขันก็ยังไม่มีการประกาศออกมา!"
บัลมงต์ยักไหล่เล็กน้อย.
"ผลการแข่งยังไม่ประกาศงั้นรึ? น่าขันนัก. มันคือชัยชนะอย่างขาดลอยของบริษัทเมโร่ต่างหากล่ะ! แกไม่เห็นรึไง, ว่าช่างตีเหล็กที่บริษัทเมโร่จ้างมามีฝีมือมากขนาดไหน? แม้มีดสั้นของกริดจะยังไม่มีการประกาศรายละเอียดไอเท็มออกมา. แต่มันก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะมีดของเอริน่าได้แน่! ไม่เชื่อเจ้าลองไปถามกลุ่มผู้ชมดูสิ. ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันทั้งนั้นว่าบริษัทเมโร่ชนะในการแข่งครั้งนี้. ดังนั้น, โรงตีเหล็กแห่งนี้จึงกลายเป็นของข้าเรียบร้อยแล้ว!"
"แกรู้ตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่ามีดของกริดสุดยอดขนาดไหน! แกกลัว, จึงได้ให้ทหารรีบขึ้นมาจับตัวเขาไป. เพื่อที่จะได้แอบอ้างว่ากริดพ่ายแพ้ในการแข่งครั้งนี้!"
บัลมงต์แสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน. "แล้วจะให้โทษใครได้? ถ้าจะโทษ, แกก็จงไปโทษพวกคนดูหน้าโง่นั่นที่ดูไม่ออกซะเถอะ. อ้อ, จริงสิ, อย่าลืมวางอาวุธพวกนั้นลงด้วยล่ะ. ถ้าไม่อยากโดนโทษประหารในข้อหาก่อกบฏล่ะนะ."
"ใครจะไปเชื่อคำสั่งฟังพ่อค้าอย่างแกกัน!!"
"โฮ่, ไม่ได้งั้นรึ? ถึงพวกแกจะไม่อยากฟังคำสั่งของข้า. แต่อย่างน้อยก็ช่วยฟังคำสั่งของเซอร์ฟิลิปสันสักหน่อยนะ."
"เซอร์ฟิลิปสัน, ชาวบ้านพวกนี้มีอาวุธอยู่ในมือ. ไม่ใช่ว่าพวกมันกำลังคิดก่อกบฏหรอกรึ? รบกวนท่านช่วยเข้าปราบปรามกบฏหน่อยสิ."
ฟิลิปสันที่ยืนอยู่ด้านหลังบัลมงต์พยักหน้าเบาๆ. มันโบกมือเป็นสัญญานให้ทหารทุกคนรอฟังคำสั่ง. ทันใดนั้น, มือธนูที่อยู่บนชั้นสองได้ทำการง้างคันศรไปด้านหลังอย่างพร้อมเพรียง.
"วางอาวุธลงซะ! โดยเฉพาะข่าน! ข้าจะจับกุมแกในข้อหาเป็นแกนนำก่อกบฏ!"
เมื่อได้ยินดังนั้น, กลุ่มของชาวบ้านก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที.
"ไอ้พวกระยำ! พวกแกเป็นอัศวินจริงรึเปล่า? ทำไมถึงได้ก้มหัวเป็นสุนัขรับใช้ให้บัลมงต์ได้? ใครจะไปฟังคำสั่งพรรค์นี้กัน!!"
ฟิลิปสันชำเลืองสายตาขึ้นไปมองมือธนูที่ชั้นสองพร้อมกับส่งสัญญาน. ลูกศรหนึ่งดอกถูกยิงออกมาใส่กลุ่มชาวบ้านที่ด้านล่าง.
ฉึก!
"อ๊ากกก!!"
"แค่ก!"
ชาวบ้านผู้โชคร้ายคนหนึ่งล้มลงทันทีที่ถูกศรเสียบเข้า.
ความเดือดดาลของข่านปะทุถึงขีดสุด.
"ไอ้พวกเวรตะไล!!"
"ครั้งต่อไปจะเป็นศีรษะของพวกแก. ถ้ายังไม่อยากตายก็รีบวางอาวุธลงซะ!"
แม้จะมีอาวุธในมือ, แต่จะให้พวกเขาไปสู้รบกับทหารที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีเนี่ยนะ? ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย. การดิ้นรนอย่างสูญเปล่าจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากการตายฟรี.
"อา..."
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
อาวุธนานาชนิดถูกโยนลงพื้นอย่างรวดเร็ว. ความมุ่งมั่นเมื่อครู่, เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าความเป็นจริง, ชีวิตของตนเองก็ต้องมาก่อน. พวกเขาได้แต่หมอบลงกับพื้นด้วยท่าทีสั่นกลัว.
บัลมงต์ยืนมองชาวบ้านที่กำลังมีอาการตื่นตระหนก, ราวกับลูกสุนัขถูกทุบตี, อย่างมีความสุขจนหัวเราะออกมาเสียงดัง. "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าพวกโง่! สุนัขอย่างพวกแกสุดท้ายก็ต้องมีชะตากรรมเยี่ยงนี้! จำใส่กระโหลกไว้ให้ดีล่ะ! พวกแกคือคนที่เกิดมาเพื่อถูกปกครองเท่านั้น! สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือการก้มหน้าก้มตาเชื่อฟังอย่างไม่ขัดขืน. แล้วอย่าได้คิดริอ่านก่อกบฏอีกเป็นครั้งที่สองเชียวล่ะ."
บัลมงต์หันไปออกคำสั่งกับฟิลิปสัน.
"จงยึดทุกอย่างในโรงตีเหล็กไปให้หมด. และจับกุมตัวแกนนำก่อกบฏ, ข่าน, เข้าคุกซะ!"
"ขอรับ!"
กลุ่มทหารทำตามคำสั่งแต่โดยดี. บัลมงต์เดินเข้าไปใกล้ฟิลิปสันพร้อมกับกระซิบว่า. "เซอร์ฟิลิปสัน, บารอนโลวจะต้องตกรางวัลให้พวกเราอย่างงามแน่. ที่สามารถปราบกบฏได้ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามบานปลาย. ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ดื่มฉลองยามค่ำคืนซะเลยล่ะ? ข้าจะเป็นคนจัดหาอาหารรสเลิศกับหญิงงามมาให้เอง."
"ย่อมได้. คืนนี้ก็ว่างเสียด้วย. อาหารรสเลิศนั้นคงต้องฝากท่านแล้ว, แต่หญิงงามนั้นหาได้จำเป็น."
ฟิลิปสันพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปมองทางกลุ่มชาวบ้านด้วยสายตาที่ชั่วร้าย.
บัลมงต์เห็นดังนั้นจึงหันไปมองในทิศทางเดียวกันเพื่อดูว่ามีอะไรแน่. เขาเห็นกลุ่มของผู้หญิงและคนชรากำลังยืนรวมกันอยู่ที่มุมหนึ่ง. ในกลุ่มนั้นมีเด็กสาวคนนึงที่ดูแล้วมีอายุเพียงแค่ประมาณ 15 ปีเท่านั้น. เธอคนนี้, ถ้าหากโตไปคงต้องเป็นหญิงไม่แพ้ใครแน่นอน.
บัลมงต์เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วพร้อมกับบ่นพึมพำออกมาจากปาก. "เป็นพวกชอบเด็กหรอกรึ... ชั่วช้ายิ่งกว่าข้าซะอีกนะ."
"หืม? เมื่อครู่คุณได้พูดอะไรรึเปล่า? ผมได้ยินไม่ชัดเท่าไร."
"เปล่า, ไม่มีอะไร. ข้าพูดกับตัวเองเฉยๆ."
ในขณะที่บัลมงต์กับฟิลิปสันกำลังตั้งหน้าตั้งตารอรางวัลที่ลอร์ดวินสตันจะมอบให้, กลุ่มชาวบ้านกลับทำได้เพียงยืนมองดูข่านถูกนำตัวไปขัง, ด้วยใบหน้าที่แสนเศร้าหมองกันทุกคน.
"พวกเราจะทำยังไงต่อไปดี?"
"ทำอะไรได้อีกล่ะ? ทุกอย่างมันจบแล้ว... ไม่เหลือใครที่สามารถกอบกู้วินสตันได้อีก."
"น่าจะหนีไปซะตั้งแต่ตอนที่ยังมีโอกาส... มาคิดได้ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว..."
ข่านคือความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ของชาวบ้านวินสตัน. ซึ่งในตอนนี้กำลังจะถูกจับตัวไปขังในคุกใต้ดิน. ความหวังของชาวบ้านเลือนลางลงเต็มที. ใครก็ได้, ได้โปรดมาช่วยวินสตันให้พ้นจากเงื้อมมือของปีศาจชั่วด้วย.
...
...
...
ณ คุกใต้ดินปราสาทวินสตัน.
"......"
ผ่านไปกี่วันแล้วนะ? ฮิวรอยถูกขังอยู่ในความมืดมิดโดยที่ไม่มีแสงส่องมาถึง. ความหดหู่สิ้นหวังถึงขีดสุดได้ทำให้เขาชักเริ่มจะไม่แน่ใจว่า, ตอนนี้, สิ่งไหนคือความจริง, สิ่งไหนคือโลกเสมือนกันแน่.
'ที่นี่ที่ไหนกัน? เรามาทำอะไรที่นี่? แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้?'
เขาเริ่มรู้สึกอยากตายไปให้พ้นๆ.
ในขณะเดียวกัน ณ โลกแห่งความจริง, สัญญานคลื่นสมองของฮิวรอยเริ่มจะแสดงออกถึงความไม่คงที่.
บรรยากาศภายในสำนักงานบริษัท เอส. เอ. กรุ๊ป. สาขามองโกเลียกำลังตึงเครียดเป็นอย่างมาก.
"สัญญานคลื่นสมองไม่เสถียรมากเกินไป. ชีวิตของอัลลุนบาธ่าห์กำลังตกอยู่ในอันตราย. ถ้าหากเราไม่รีบนำเขาออกจากแคปซูลล่ะก็, บางที, อัลลุนบาธ่าห์อาจต้องใช้ชีวิตที่เหลือในโรงพยาบาลจิตเวชก็เป็นได้."
ทีมผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความเห็นว่าควรยกเลิกภารกิจนี้ไป.
ทว่า, ผู้จัดการสาขามองโกเลีย, พัคอึนฮยอก, กลับคิดต่าง.
"อัลลุนบาธ่าห์สามารถอดทนมาได้นานถึง 48 ชั่วโมงกับอีก 10 นาทีแล้ว. มันมาไกลเกินกว่าจะถอนตัวได้, ณ จุดนี้, ผมไม่ได้คำนึงถึงเรื่องโฆษณาประชาสัมพันธ์นั่นแล้ว. แต่เราจะไปทำลายความตั้งใจของเจ้าตัวไม่ได้เด็ดขาด. เหลืออีกเพียง 1 ชั่วโมงกับ 50 นาทีเท่านั้น. จนกว่าเวลานั้นจะมาถึง, พวกเรามาช่วยกันเฝ้ามองเขาอย่างระมัดระวังกันเถอะ."
คำกล่าวอย่างหนักแน่นของพัคอึนฮยอก, หมายถึงคำขอร้องปิดเครื่องแคปซูลฉุกเฉินจะไม่ถูกอนุมัติอย่างเด็ดขาด. สีหน้าของทีมผู้เชี่ยวชาญขาวซีดเป็นกระดาษในทันที.
"คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้! ไม่อย่างนั้นซาทิสฟายควรมีคำตอบให้กับสังคม, ว่าทำไมภารกิจที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ถึงมีตัวตนอยู่ในเกมได้. ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไป, เอส. เอ. กรุ๊ป. ทั่วโลกจะได้รับความเสียหายมหาศาล!"
"แล้วผู้คนก็จะพากันวิจารย์อย่างสนุกปาก, ว่าซาทิสฟายเป็นนั้นเกมอันตรายที่ไม่ควรเล่น. จนในที่สุดอาจร้ายแรงถึงขั้นถูกระงับการให้บริการ."
แต่ถึงอย่างนั้น, พัคอึนฮยอกก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจ. เขาหันไปกล่าวกับกลุ่มผู้บริหารระดับสูงว่า. "ผมตัดสินใจไปแล้ว. และไม่คิดเปลี่ยนใจด้วย. ถ้าหากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น, ความผิดทั้งหมดผมขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว. และผมจะพยายามหลึกเลี่ยงมิมันให้กระทบกับภาพลักษณ์ของบริษัท."
"ทำไมคุณต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย? สถานการณ์ตรงหน้ามันไม่มีหวังแม้แต่น้อย. โอกาสที่กริดจะช่วยฮิวรอยได้มีเพียงแค่ 9% เท่านั้น! แถมกริดยังถูกจับในข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับฮิวรอยอีก. แทนที่จะเป็นฝ่ายมาช่วย, เขากลับต้องมาติดอยู่ในคุกใต้ดินเดียวกัน. ในเมื่อภารกิจกำลังจะล้มเหลวอยู่แล้ว, ทำไมคุณถึงไม่ยอมให้เราปิดการทำงานแคปซูลของอัลลุนบาธ่าห์ซะตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ?"
แต่พัคอึนฮยอกมิได้คิดเช่นนั้น.
"ไม่ใช่ว่าเป็นการดีหรอกรึ? ที่กริดถูกจับตัวมาน่ะ. พวกเขาจะได้อยู่ใกล้กันไปอีกก้าวหนึ่ง."
กลุ่มผู้บริหารก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี.
"ใช่, กริดเป็นคลาสเลเจนดารี่ก็จริง. แต่แล้วมันยังไงล่ะ? เลเวลของเขาน้อยมาก. แถมในตอนนี้ยังถูกยึดไอเท็มทั้งหมดไปอีก. จะมีหนทางใดบ้าง, ที่กริด, ผู้ซึ่งตัวเปล่าในตอนนี้, จะสามารถหนีออกจากคุกใต้ดินไปพร้อมๆ กับการช่วยฮิวรอยได้?"
"ผมตัดสินใจไปแล้ว. จะไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้อีก. เข้าใจไหม?"
พัคอึนฮยอกเลิกสนใจคนอื่น. โดยสมาธิทั้งหมดของเขาได้เพ่งกลับไปอยู่บนจอมอนิเตอร์ทั้งสองอีกครั้ง. ในจอแรก, ที่ด้านบนมีตัวเลข 48 ชั่วโมงถูกเขียนเอาไว้. มันคือจอมอนิเตอร์ของฮิวรอยที่ต้องอยู่ในเกมต่อเนื่องนานถึง 192 ชั่วโมงแล้ว. ฮิวรอยเริ่มที่จะแสดงท่าทีตื่นตระหนกและกระวนกระวายออกมาเล็กน้อย. ส่วนในจอที่สอง, กลุ่มของทหารอัศวินกำลังนำตัวกริดมายังปราสาทวินสตัน.
'แม้มันค่อนข้างจะแน่ชัด, ว่าภารกิจของฮิวรอยกำลังจะล้มเหลว. ไม่มีทางทีกริดซึ่งมีตัวเปล่าจะช่วยอะไรฮิวรอยได้เลย. ทว่า, ในใจลึกๆ ของเรากลับกำลังรู้สึกว่าจะมีบางสิ่งที่สำคัญเกิดขึ้น. ทำไมกันนะ?'
นับตั้งแต่ที่ภารกิจ 'รอคอย' ของฮิวรอยถูกสร้างขึ้น, พัคอึนฮยอกก็เอาแต่เฝ้ามองกริดอยู่ตลอด. กริดนั้นเป็นคนละโมภ, นิสัยหยาบช้าและไม่รอบคอบ. ตรงกันข้ามกับ 'สาวกแห่งความเที่ยงธรรม' ที่ถูกนิยามไว้ในภาพยนต์โดยสิ้นเชิง.
แต่ถึงกระนั้น, ยิ่งพัคอันฮยอกเฝ้ามองกริดมากเท่าใด, ความมั่นใจของเขาก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น.
แม้จะมีข้อเสียอยู่มากมาย. แต่ก็ต้องยอมรับเช่นกัน, ว่ากริดนั้นเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก. ตลอดเวลาในช่วงที่ฝึกซ้อม, กริดเอาแต่ยืนอยู่หน้าเตาหลอมโดยใช้ค้อนทุบโลหะเดิมๆ ซ้ำไปมา. เขาพยายามสร้างไอเท็มหลากหลายชนิดขึ้นจากวัสดุคุณภาพห่วยๆ. กริดขยับร่างกายด้วยพลังสมาธิอันแน่วแน่ไม่สั่นไหว, ไม่ลังเล. กริดไม่เคยหยุดพัก, ไม่เคยรู้สึกเหนื่อย, เพียงเพราะร่างกายบอกว่าเหนื่อย. แม้จะเป็นคนปากเสีย, ชอบบ่นอุบอิบอยู่ตลอดเวลา. แต่ผลงานที่เขาสร้างขึ้นนั้นก็เป็นที่ประจักษ์ชัด.
จนกระทั่งถึงวันแข่ง, กริดก็สามารถสร้างสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมาได้อีกครั้ง.
'เขาคือผู้เล่นคนแรก, ที่สามารถสร้าง 'สิ่งนั้น' ขึ้นมาได้.'
ถึงแม้กริดจะมีคลาสเป็นช่างตีเหล็กในตำนานที่ออกจะขี้โกงอยู่บ้าง. แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผลิตไอเท็มขึ้นมาได้ซักชิ้น.
'แม้จะเป็นคนไร้พรสวรรค์โดยสิ้นเชิง. แต่กลับมีระดับพลังใจที่เราไม่เคยพบเห็นในตัวของใครมาก่อน. บางที, การฝากความหวังเอาไว้ที่กริดก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร.'
ไม่ว่าตัวเอกในภาพยนต์จะมีพลังพิเศษแบบไหน, แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะมีเหมือนกันก็คือ, การไม่ย่อท้อ, ยอมแพ้ต่ออะไรโดยง่าย. เฉกเช่นเดียวกับกริด, แม้โลกใบนี้จะโหดร้ายกับเขาขนาดไหน. แต่กริดก็ยังคงมุ่งมั่นก้าวต่อไปอย่างไม่คิดหยุดพัก.
และในภาพยนต์, ตัวเอกก็มักจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ. บางที, คนอย่างกริดอาจเหมาะกว่าใคร, ที่จะเป็นฮีโร่ในสถานการณ์เช่นนี้. พัคอึนฮยอกได้แต่คิดอยู่ในใจ.
"จะ--เจ้าจะบอกให้ก่อกบฏงั้นหรอ?"
"ก่อกบฏ? ไอ้ลอร์ดชั่วนั่นต่างหากที่เป็นกบฏ! พวกเราคือประชาชนของเอิร์ลสไตม์. พวกเราแค่ต้องการกำจัดปีศาจชั่วที่ปกครองอย่างขัดต่อเจตนารมณ์ของเอิร์ลสไตม์!"
ทันทีที่ได้เหตุผลในการต่อต้านลอร์ด, จิตใจนักสู้ของชาวบ้านก็ลุกเป็นไฟในทันที.
"ได้เลย! ข้าจะติดตามข่านไป!"
"แม้เราจะไม่สามารถขับไล่มันด้วยกำลังที่มีได้. แต่ถ้าหากพวกเราลงมือทำอะไรบางอย่าง. คนทั่วโลกอาจจะได้รับรู้ในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อออกไป! รับรู้ว่าวินสตันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล! และเมื่อถึงตอนนั้น, ข่าวก็จะรั่วไหลไปถึงหูของเอิร์ลสไตม์ได้แน่!"
"พวกเราต้องสู้เพื่อกริด, เด็กหนุ่มที่ต้องถูกขังอยู่คุกเพราะทำเพื่อพวกเรา."
"ข้าเอาด้วย!"
ในที่สุด, ชาวบ้านวินสตันก็ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมหมู่บ้านด้วยมือของพวกเขาเอง.
ข่านเดินไปเปิดประตูคลังเก็บของออก. ภายในนี้เต็มไปด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายสำหรับการต่อสู้. ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธที่กริดสร้างขึ้นเพื่อซ้อมมือทั้งสิ้น. แม้จะไม่ใช่อาวุธที่เลอค่าใดมากมาย, เนื่องมากจากสร้างขึ้นจากวัสดุคุณภาพต่ำ, แต่มันก็ยังดีกว่าอุปกรณ์ทำสวนที่พวกชาวบ้านมีอยู่มากโข.
"โอ้ว!"
กลุ่มชาวบ้านรีบเดินเข้าไปหยิบอาวุธมาถือในมือด้วยท่าทีที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น.
"รีบไปที่บริษัทเมโร่ตอนนี้เลยเถอะ!"
"ใช่แล้ว! พวกเราต้องจับตัวบัลมงต์มาให้ได้!"
เมื่อได้ยินดังนั้น, ข่านจึงรีบห้ามปราบไว้ทันที. "ไม่ได้, ถ้าพวกเราบุกบริษัทเมโร่ตอนนี้ล่ะก็, ข่าวจะต้องแพร่ไปถึงหูของบารอนโลวอย่างรวดเร็วแน่. เมื่อถึงตอนนั้น, ปราสาทวินสตันก็จะกลายเป็นป้อมปราการที่พวกเราไม่สามารถบุกเข้าไปได้อีก."
"หมายความว่า, พวกเราควรไปบุกปราสาทก่อนงั้นรึ?"
"ถูกต้อง. พวกเราต้องรีบบุกปราสาทก่อนที่ข่าวการก่อกบฏจะรั่วไหลออกไปถึงหูบารอนโลว. ถ้าหากเราสามารถจับบารอนโลวเป็นตัวประกันได้, พวกทหารมันคงไม่กล้าลงมือทำอะไรแน่นอน. หลังจากนั้นก็ค่อยข่มขู่ให้บริษัทเมโร่ยุบตัวเองทิ้งไปซะ!"
ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มชาวบ้านพร้อมกับพูดขึ้นว่า. "สถาปนิกผู้ที่ออกแบบปราสาทวินสตันคือปู่ทวดของข้าเอง. ตระกูลของข้าจึงมีพิมพ์เขียวของปราสาทหลังนั้นสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น. พวกเราสามารถอาศัยทางลับจากพิมพ์เขียวนั้นลักลอบเข้าไปในปราสาทได้อย่างง่ายดาย."
"โอ้ววว!"
ความหวังมีมากขึ้นเรื่อยๆ. กลุ่มชาวบ้านเริ่มเห็นโอกาสสำเร็จอยู่ตรงหน้า. ความมั่นใจอย่างเปี่ยมได้ปรากฏอยู่ในสายตาของทุกคนอย่างชัดเจน.
ทว่า, มันก็เป็นเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น.
เพล้ง!!
กระจกหน้าต่างทุกบานบนชั้นสองของโรงตีเหล็กถูกทำลายจากภายนอก. กลุ่มทหารอาวุธครบมือกระโดดเข้ามาบนระเบียงชั้นสองอย่างรวดเร็ว. ในมือพวกมันทุกคนกำลังกำคันธนูเอาไว้แน่น.
"ถ้ายังไม่อยากตายก็วางอาวุธลงซะ!"
ชั้นสองของโรงตีเหล็กข่านถูกล้อมกรอบไว้ด้วยมือธนูนับสิบคนในพริบตา. โดยทั้งหมดกำลังเล็งลงมายังกลุ่มชาวบ้านที่ยืนอยู่ชั้นล่าง. ในขณะที่ชาวบ้านกำลังตื่นตระหนก, บัลมงต์ก็เดินเข้ามาจากทางประตูหน้าด้วยท่าทีสบายอารมณ์.
มันหัวเราะขึ้นอย่างมีความสุขพร้อมกับกล่าวว่า. "ฮ่าฮ่า! ข้าแค่มาที่นี่เพียงเพื่อจะทวงความเป็นเจ้าของโรงตีเหล็กเท่านั้น. แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ยินอะไรดีๆ แบบนี้. สงสัยจะได้รับความดีความชอบก้อนโตซะแล้วสิ! ฮ่าฮ่าฮ่า!"
เหนียงใต้คางอ้วนๆ ของบัลมงต์เกิดกระเพื่อมทุกครั้งที่มันหัวเราะออกมา.
ข่านตะโกนขึ้นอย่างสุดเสียงด้วยใบหน้าที่เจ็บแค้น. "แกใส่ร้ายปายสีกริดจนเขาต้องถูกจับ! ดังนั้นการแข่งจึงถูกยกเลิกไปกลางคัน! และผลการแข่งขันก็ยังไม่มีการประกาศออกมา!"
บัลมงต์ยักไหล่เล็กน้อย.
"ผลการแข่งยังไม่ประกาศงั้นรึ? น่าขันนัก. มันคือชัยชนะอย่างขาดลอยของบริษัทเมโร่ต่างหากล่ะ! แกไม่เห็นรึไง, ว่าช่างตีเหล็กที่บริษัทเมโร่จ้างมามีฝีมือมากขนาดไหน? แม้มีดสั้นของกริดจะยังไม่มีการประกาศรายละเอียดไอเท็มออกมา. แต่มันก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะมีดของเอริน่าได้แน่! ไม่เชื่อเจ้าลองไปถามกลุ่มผู้ชมดูสิ. ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันทั้งนั้นว่าบริษัทเมโร่ชนะในการแข่งครั้งนี้. ดังนั้น, โรงตีเหล็กแห่งนี้จึงกลายเป็นของข้าเรียบร้อยแล้ว!"
"แกรู้ตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่ามีดของกริดสุดยอดขนาดไหน! แกกลัว, จึงได้ให้ทหารรีบขึ้นมาจับตัวเขาไป. เพื่อที่จะได้แอบอ้างว่ากริดพ่ายแพ้ในการแข่งครั้งนี้!"
บัลมงต์แสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน. "แล้วจะให้โทษใครได้? ถ้าจะโทษ, แกก็จงไปโทษพวกคนดูหน้าโง่นั่นที่ดูไม่ออกซะเถอะ. อ้อ, จริงสิ, อย่าลืมวางอาวุธพวกนั้นลงด้วยล่ะ. ถ้าไม่อยากโดนโทษประหารในข้อหาก่อกบฏล่ะนะ."
"ใครจะไปเชื่อคำสั่งฟังพ่อค้าอย่างแกกัน!!"
"โฮ่, ไม่ได้งั้นรึ? ถึงพวกแกจะไม่อยากฟังคำสั่งของข้า. แต่อย่างน้อยก็ช่วยฟังคำสั่งของเซอร์ฟิลิปสันสักหน่อยนะ."
"เซอร์ฟิลิปสัน, ชาวบ้านพวกนี้มีอาวุธอยู่ในมือ. ไม่ใช่ว่าพวกมันกำลังคิดก่อกบฏหรอกรึ? รบกวนท่านช่วยเข้าปราบปรามกบฏหน่อยสิ."
ฟิลิปสันที่ยืนอยู่ด้านหลังบัลมงต์พยักหน้าเบาๆ. มันโบกมือเป็นสัญญานให้ทหารทุกคนรอฟังคำสั่ง. ทันใดนั้น, มือธนูที่อยู่บนชั้นสองได้ทำการง้างคันศรไปด้านหลังอย่างพร้อมเพรียง.
"วางอาวุธลงซะ! โดยเฉพาะข่าน! ข้าจะจับกุมแกในข้อหาเป็นแกนนำก่อกบฏ!"
เมื่อได้ยินดังนั้น, กลุ่มของชาวบ้านก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันที.
"ไอ้พวกระยำ! พวกแกเป็นอัศวินจริงรึเปล่า? ทำไมถึงได้ก้มหัวเป็นสุนัขรับใช้ให้บัลมงต์ได้? ใครจะไปฟังคำสั่งพรรค์นี้กัน!!"
ฟิลิปสันชำเลืองสายตาขึ้นไปมองมือธนูที่ชั้นสองพร้อมกับส่งสัญญาน. ลูกศรหนึ่งดอกถูกยิงออกมาใส่กลุ่มชาวบ้านที่ด้านล่าง.
ฉึก!
"อ๊ากกก!!"
"แค่ก!"
ชาวบ้านผู้โชคร้ายคนหนึ่งล้มลงทันทีที่ถูกศรเสียบเข้า.
ความเดือดดาลของข่านปะทุถึงขีดสุด.
"ไอ้พวกเวรตะไล!!"
"ครั้งต่อไปจะเป็นศีรษะของพวกแก. ถ้ายังไม่อยากตายก็รีบวางอาวุธลงซะ!"
แม้จะมีอาวุธในมือ, แต่จะให้พวกเขาไปสู้รบกับทหารที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีเนี่ยนะ? ไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย. การดิ้นรนอย่างสูญเปล่าจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากการตายฟรี.
"อา..."
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
อาวุธนานาชนิดถูกโยนลงพื้นอย่างรวดเร็ว. ความมุ่งมั่นเมื่อครู่, เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าความเป็นจริง, ชีวิตของตนเองก็ต้องมาก่อน. พวกเขาได้แต่หมอบลงกับพื้นด้วยท่าทีสั่นกลัว.
บัลมงต์ยืนมองชาวบ้านที่กำลังมีอาการตื่นตระหนก, ราวกับลูกสุนัขถูกทุบตี, อย่างมีความสุขจนหัวเราะออกมาเสียงดัง. "ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าพวกโง่! สุนัขอย่างพวกแกสุดท้ายก็ต้องมีชะตากรรมเยี่ยงนี้! จำใส่กระโหลกไว้ให้ดีล่ะ! พวกแกคือคนที่เกิดมาเพื่อถูกปกครองเท่านั้น! สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือการก้มหน้าก้มตาเชื่อฟังอย่างไม่ขัดขืน. แล้วอย่าได้คิดริอ่านก่อกบฏอีกเป็นครั้งที่สองเชียวล่ะ."
บัลมงต์หันไปออกคำสั่งกับฟิลิปสัน.
"จงยึดทุกอย่างในโรงตีเหล็กไปให้หมด. และจับกุมตัวแกนนำก่อกบฏ, ข่าน, เข้าคุกซะ!"
"ขอรับ!"
กลุ่มทหารทำตามคำสั่งแต่โดยดี. บัลมงต์เดินเข้าไปใกล้ฟิลิปสันพร้อมกับกระซิบว่า. "เซอร์ฟิลิปสัน, บารอนโลวจะต้องตกรางวัลให้พวกเราอย่างงามแน่. ที่สามารถปราบกบฏได้ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามบานปลาย. ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้ดื่มฉลองยามค่ำคืนซะเลยล่ะ? ข้าจะเป็นคนจัดหาอาหารรสเลิศกับหญิงงามมาให้เอง."
"ย่อมได้. คืนนี้ก็ว่างเสียด้วย. อาหารรสเลิศนั้นคงต้องฝากท่านแล้ว, แต่หญิงงามนั้นหาได้จำเป็น."
ฟิลิปสันพูดขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปมองทางกลุ่มชาวบ้านด้วยสายตาที่ชั่วร้าย.
บัลมงต์เห็นดังนั้นจึงหันไปมองในทิศทางเดียวกันเพื่อดูว่ามีอะไรแน่. เขาเห็นกลุ่มของผู้หญิงและคนชรากำลังยืนรวมกันอยู่ที่มุมหนึ่ง. ในกลุ่มนั้นมีเด็กสาวคนนึงที่ดูแล้วมีอายุเพียงแค่ประมาณ 15 ปีเท่านั้น. เธอคนนี้, ถ้าหากโตไปคงต้องเป็นหญิงไม่แพ้ใครแน่นอน.
บัลมงต์เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วพร้อมกับบ่นพึมพำออกมาจากปาก. "เป็นพวกชอบเด็กหรอกรึ... ชั่วช้ายิ่งกว่าข้าซะอีกนะ."
"หืม? เมื่อครู่คุณได้พูดอะไรรึเปล่า? ผมได้ยินไม่ชัดเท่าไร."
"เปล่า, ไม่มีอะไร. ข้าพูดกับตัวเองเฉยๆ."
ในขณะที่บัลมงต์กับฟิลิปสันกำลังตั้งหน้าตั้งตารอรางวัลที่ลอร์ดวินสตันจะมอบให้, กลุ่มชาวบ้านกลับทำได้เพียงยืนมองดูข่านถูกนำตัวไปขัง, ด้วยใบหน้าที่แสนเศร้าหมองกันทุกคน.
"พวกเราจะทำยังไงต่อไปดี?"
"ทำอะไรได้อีกล่ะ? ทุกอย่างมันจบแล้ว... ไม่เหลือใครที่สามารถกอบกู้วินสตันได้อีก."
"น่าจะหนีไปซะตั้งแต่ตอนที่ยังมีโอกาส... มาคิดได้ตอนนี้มันสายไปเสียแล้ว..."
ข่านคือความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ของชาวบ้านวินสตัน. ซึ่งในตอนนี้กำลังจะถูกจับตัวไปขังในคุกใต้ดิน. ความหวังของชาวบ้านเลือนลางลงเต็มที. ใครก็ได้, ได้โปรดมาช่วยวินสตันให้พ้นจากเงื้อมมือของปีศาจชั่วด้วย.
...
...
...
ณ คุกใต้ดินปราสาทวินสตัน.
"......"
ผ่านไปกี่วันแล้วนะ? ฮิวรอยถูกขังอยู่ในความมืดมิดโดยที่ไม่มีแสงส่องมาถึง. ความหดหู่สิ้นหวังถึงขีดสุดได้ทำให้เขาชักเริ่มจะไม่แน่ใจว่า, ตอนนี้, สิ่งไหนคือความจริง, สิ่งไหนคือโลกเสมือนกันแน่.
'ที่นี่ที่ไหนกัน? เรามาทำอะไรที่นี่? แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะออกไปจากที่แห่งนี้ได้?'
เขาเริ่มรู้สึกอยากตายไปให้พ้นๆ.
ในขณะเดียวกัน ณ โลกแห่งความจริง, สัญญานคลื่นสมองของฮิวรอยเริ่มจะแสดงออกถึงความไม่คงที่.
บรรยากาศภายในสำนักงานบริษัท เอส. เอ. กรุ๊ป. สาขามองโกเลียกำลังตึงเครียดเป็นอย่างมาก.
"สัญญานคลื่นสมองไม่เสถียรมากเกินไป. ชีวิตของอัลลุนบาธ่าห์กำลังตกอยู่ในอันตราย. ถ้าหากเราไม่รีบนำเขาออกจากแคปซูลล่ะก็, บางที, อัลลุนบาธ่าห์อาจต้องใช้ชีวิตที่เหลือในโรงพยาบาลจิตเวชก็เป็นได้."
ทีมผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความเห็นว่าควรยกเลิกภารกิจนี้ไป.
ทว่า, ผู้จัดการสาขามองโกเลีย, พัคอึนฮยอก, กลับคิดต่าง.
"อัลลุนบาธ่าห์สามารถอดทนมาได้นานถึง 48 ชั่วโมงกับอีก 10 นาทีแล้ว. มันมาไกลเกินกว่าจะถอนตัวได้, ณ จุดนี้, ผมไม่ได้คำนึงถึงเรื่องโฆษณาประชาสัมพันธ์นั่นแล้ว. แต่เราจะไปทำลายความตั้งใจของเจ้าตัวไม่ได้เด็ดขาด. เหลืออีกเพียง 1 ชั่วโมงกับ 50 นาทีเท่านั้น. จนกว่าเวลานั้นจะมาถึง, พวกเรามาช่วยกันเฝ้ามองเขาอย่างระมัดระวังกันเถอะ."
คำกล่าวอย่างหนักแน่นของพัคอึนฮยอก, หมายถึงคำขอร้องปิดเครื่องแคปซูลฉุกเฉินจะไม่ถูกอนุมัติอย่างเด็ดขาด. สีหน้าของทีมผู้เชี่ยวชาญขาวซีดเป็นกระดาษในทันที.
"คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้! ไม่อย่างนั้นซาทิสฟายควรมีคำตอบให้กับสังคม, ว่าทำไมภารกิจที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ถึงมีตัวตนอยู่ในเกมได้. ถ้าเกิดเขาเป็นอะไรไป, เอส. เอ. กรุ๊ป. ทั่วโลกจะได้รับความเสียหายมหาศาล!"
"แล้วผู้คนก็จะพากันวิจารย์อย่างสนุกปาก, ว่าซาทิสฟายเป็นนั้นเกมอันตรายที่ไม่ควรเล่น. จนในที่สุดอาจร้ายแรงถึงขั้นถูกระงับการให้บริการ."
แต่ถึงอย่างนั้น, พัคอึนฮยอกก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจ. เขาหันไปกล่าวกับกลุ่มผู้บริหารระดับสูงว่า. "ผมตัดสินใจไปแล้ว. และไม่คิดเปลี่ยนใจด้วย. ถ้าหากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น, ความผิดทั้งหมดผมขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว. และผมจะพยายามหลึกเลี่ยงมิมันให้กระทบกับภาพลักษณ์ของบริษัท."
"ทำไมคุณต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย? สถานการณ์ตรงหน้ามันไม่มีหวังแม้แต่น้อย. โอกาสที่กริดจะช่วยฮิวรอยได้มีเพียงแค่ 9% เท่านั้น! แถมกริดยังถูกจับในข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับฮิวรอยอีก. แทนที่จะเป็นฝ่ายมาช่วย, เขากลับต้องมาติดอยู่ในคุกใต้ดินเดียวกัน. ในเมื่อภารกิจกำลังจะล้มเหลวอยู่แล้ว, ทำไมคุณถึงไม่ยอมให้เราปิดการทำงานแคปซูลของอัลลุนบาธ่าห์ซะตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ?"
แต่พัคอึนฮยอกมิได้คิดเช่นนั้น.
"ไม่ใช่ว่าเป็นการดีหรอกรึ? ที่กริดถูกจับตัวมาน่ะ. พวกเขาจะได้อยู่ใกล้กันไปอีกก้าวหนึ่ง."
กลุ่มผู้บริหารก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี.
"ใช่, กริดเป็นคลาสเลเจนดารี่ก็จริง. แต่แล้วมันยังไงล่ะ? เลเวลของเขาน้อยมาก. แถมในตอนนี้ยังถูกยึดไอเท็มทั้งหมดไปอีก. จะมีหนทางใดบ้าง, ที่กริด, ผู้ซึ่งตัวเปล่าในตอนนี้, จะสามารถหนีออกจากคุกใต้ดินไปพร้อมๆ กับการช่วยฮิวรอยได้?"
"ผมตัดสินใจไปแล้ว. จะไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้อีก. เข้าใจไหม?"
พัคอึนฮยอกเลิกสนใจคนอื่น. โดยสมาธิทั้งหมดของเขาได้เพ่งกลับไปอยู่บนจอมอนิเตอร์ทั้งสองอีกครั้ง. ในจอแรก, ที่ด้านบนมีตัวเลข 48 ชั่วโมงถูกเขียนเอาไว้. มันคือจอมอนิเตอร์ของฮิวรอยที่ต้องอยู่ในเกมต่อเนื่องนานถึง 192 ชั่วโมงแล้ว. ฮิวรอยเริ่มที่จะแสดงท่าทีตื่นตระหนกและกระวนกระวายออกมาเล็กน้อย. ส่วนในจอที่สอง, กลุ่มของทหารอัศวินกำลังนำตัวกริดมายังปราสาทวินสตัน.
'แม้มันค่อนข้างจะแน่ชัด, ว่าภารกิจของฮิวรอยกำลังจะล้มเหลว. ไม่มีทางทีกริดซึ่งมีตัวเปล่าจะช่วยอะไรฮิวรอยได้เลย. ทว่า, ในใจลึกๆ ของเรากลับกำลังรู้สึกว่าจะมีบางสิ่งที่สำคัญเกิดขึ้น. ทำไมกันนะ?'
นับตั้งแต่ที่ภารกิจ 'รอคอย' ของฮิวรอยถูกสร้างขึ้น, พัคอึนฮยอกก็เอาแต่เฝ้ามองกริดอยู่ตลอด. กริดนั้นเป็นคนละโมภ, นิสัยหยาบช้าและไม่รอบคอบ. ตรงกันข้ามกับ 'สาวกแห่งความเที่ยงธรรม' ที่ถูกนิยามไว้ในภาพยนต์โดยสิ้นเชิง.
แต่ถึงกระนั้น, ยิ่งพัคอันฮยอกเฝ้ามองกริดมากเท่าใด, ความมั่นใจของเขาก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น.
แม้จะมีข้อเสียอยู่มากมาย. แต่ก็ต้องยอมรับเช่นกัน, ว่ากริดนั้นเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก. ตลอดเวลาในช่วงที่ฝึกซ้อม, กริดเอาแต่ยืนอยู่หน้าเตาหลอมโดยใช้ค้อนทุบโลหะเดิมๆ ซ้ำไปมา. เขาพยายามสร้างไอเท็มหลากหลายชนิดขึ้นจากวัสดุคุณภาพห่วยๆ. กริดขยับร่างกายด้วยพลังสมาธิอันแน่วแน่ไม่สั่นไหว, ไม่ลังเล. กริดไม่เคยหยุดพัก, ไม่เคยรู้สึกเหนื่อย, เพียงเพราะร่างกายบอกว่าเหนื่อย. แม้จะเป็นคนปากเสีย, ชอบบ่นอุบอิบอยู่ตลอดเวลา. แต่ผลงานที่เขาสร้างขึ้นนั้นก็เป็นที่ประจักษ์ชัด.
จนกระทั่งถึงวันแข่ง, กริดก็สามารถสร้างสิ่งอัศจรรย์ขึ้นมาได้อีกครั้ง.
'เขาคือผู้เล่นคนแรก, ที่สามารถสร้าง 'สิ่งนั้น' ขึ้นมาได้.'
ถึงแม้กริดจะมีคลาสเป็นช่างตีเหล็กในตำนานที่ออกจะขี้โกงอยู่บ้าง. แต่มันก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะผลิตไอเท็มขึ้นมาได้ซักชิ้น.
'แม้จะเป็นคนไร้พรสวรรค์โดยสิ้นเชิง. แต่กลับมีระดับพลังใจที่เราไม่เคยพบเห็นในตัวของใครมาก่อน. บางที, การฝากความหวังเอาไว้ที่กริดก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร.'
ไม่ว่าตัวเอกในภาพยนต์จะมีพลังพิเศษแบบไหน, แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะมีเหมือนกันก็คือ, การไม่ย่อท้อ, ยอมแพ้ต่ออะไรโดยง่าย. เฉกเช่นเดียวกับกริด, แม้โลกใบนี้จะโหดร้ายกับเขาขนาดไหน. แต่กริดก็ยังคงมุ่งมั่นก้าวต่อไปอย่างไม่คิดหยุดพัก.
และในภาพยนต์, ตัวเอกก็มักจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เสมอ. บางที, คนอย่างกริดอาจเหมาะกว่าใคร, ที่จะเป็นฮีโร่ในสถานการณ์เช่นนี้. พัคอึนฮยอกได้แต่คิดอยู่ในใจ.
เอิ่ม...ดูท่าต้องหวังกะเอริน่าอะไรนั่นมากกว่าสินะ
ReplyDeleteฮิวรอยสู้ๆเว้ย!!!
ReplyDeleteมีดยูนีกแน่นอน
ReplyDeleteตุว่าน่าจะออกมาได้เพราะภาระกิจของเอริน่ามากกว่านะ
ReplyDeleteจะทำอะไรก็รีบเข้าเถอะ อีกฝ่ายจะม่องแล้ว
ReplyDelete