จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 31

       "ข่าน  ข้าได้ยินข่าวลือมาแล้ว...ว่าแต่แกเลิกดื่มเหล้าได้แล้วจริงรึ?"

       เคร้ง! เคร้ง!

       ในระหว่างที่เรากำลังขะมักเขม้นอยู่กับการเพิ่มทักษะช่างตีเหล็กอย่างยากลำบาก   เพื่อนของข่านก็มาเยี่ยมเยี่ยนที่โรงตีเหล็กพร้อมกับพูดทักทายขึ้น

       "เลิกดื่ม?  หมายความว่าไง?"

       "ไม่  ไม่...ถ้าเกิดว่าแกยังติดเหล้าอยู่   ก็คงจะไม่มีทางขลุกอยู่กับไอ้หนุ่มที่ไม่น่าพิศมัยคนนี้ทั้งวันทั้งคืนหรอกใช่ไหมล่ะ?   จุ๊จุ๊...ไอ้หมอนี่   หากดูเผินๆ ก็เหมือนกับพวกเศษขยะมูลฝอยที่เป็นเหมือนส่วนเกินของโลกใบนี้ยังไงยังงั้น"
     
       ...ดันถูกไอ้ระยำนี่เรียกว่า 'เด็กหนุ่มที่ไม่น่าพิศมัย' ซะได้    นับตั้งแต่ที่มันก้าวเท้าเข้ามาภายในโรงตีเหล็ก  ยังไม่มีซักวินาทีไหนเลยที่มันหุบปากเงียบไป

       "ตาเฒ่า...ถ้าเกิดว่าแกเลิกดื่มเหล้าเพราะเด็กแบบนี้จริงล่ะก็..."
     
       มือข้างที่ถือค้อนอยู่ของเราถูกกำแน่นขึ้นจนเส้นเลือดปูดโปน  จิตสังหารอันรุนแรงได้แผ่กระจายอบอวลไปทั่วทั้งโรงตีเหล็กจนข่านรู้สึกได้   เขาจึงรีบหันไปบอกกับเพื่อนว่า

       "เฮ้ย!  หุบปากน่า  แกยังไม่รู้จักเขาดีพอ"
     
       "ยังไม่รู้จักดีพอ?"

       "ใช่แล้ว  เจ้าหนุ่มนี่แม้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับขยะมูลฝอยก็จริง  แต่เราจะตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้เด็ดขาด   เขาคือคนที่จะต้องยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้าแน่นอน"
     
       รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับขยะมูลฝอย?   ข่านคิดแบบนี้กับเราหรอเนี่ย?   บ้าฉิบ...
     
       เคร้ง!  เคร้ง!

       เรายิ่งทวีความโกรธแค้นมากขึ้นกว่าเดิม  ทุกค้อนที่ทุบลงไปบนโลหะล้วนเปี่ยมไปด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี    ทันใดนั้น  เรารู้สึกเอะใจจึงหันมามองเครื่องแต่งกายที่กำลังสวมอยู่... 

       ถึงจะฆ่าพวกนักเลงจนเลเวลอัพไปเป็น 21 แล้วก็จริง   แต่นั่นก็ยังนับว่าเป็นเลเวลที่น้อยอยู่ดีสำหรับผู้เล่นทั่วไปของซาทิสฟาย   แถมทั้งเกราะและอาวุธก็ถูกเก็บไว้ในคลังสัมภาระ  เราจึงไปไหนมาไหนตัวเปล่าโดยสวมเพียงแค่ชุดเริ่มต้นของเกมเท่านั้น

       ปัจจัยที่เอ็นพีซีใช้พิจารณาในการเลือกปฏิบัติต่อผู้เล่นนั้นจะประกอบไปด้วย  เลเวล,  อุปกรณ์สวมใส่  และค่าชื่อเสียง   ในตอนนี้เราตัวเปล่าเปลือยไม่มีของหรูหราสวมใส่  และเลเวลก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน  ทำให้พวกเอ็นพีซีมองเราเป็นเพียงกองขยะมูลฝอยเท่านั้น   แต่ว่า...แล้วค่าชื่อเสียงล่ะ?

       "ชื่อเสียงที่ได้จากการกำจัดพวกนักเลงไปไหนหมด?"

       ในขณะที่กำลังครุ่นคิด  เราก็แอบเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างข่านกับเพื่อนไปในตัว

       ...

       "ไม่เชื่องั้นรึ?  อย่าให้ภาพลักษณ์หลอกลวงเอาได้   เทคนิคการตีเหล็กของหมอนี่เหนือกว่าช่างตีเหล็กทั่วไปหลายขุมนัก  แล้วก็...นี่เป็นความลับที่ข้าไม่เคยบอกใครมาก่อน   แต่ว่าเจ้าหนูนี่น่ะ...สามารถจัดการกับแก็งของวีลได้ด้วยตัวคนเดียวเลยนะ"
     
       "เอ๋?  แกเพ้อเจ้ออะไรออกมา?   ใช่...ข้ายอมรับในทักษะการตีเหล็กอันยอดเยี่ยมของเขาหลังจากที่มองดูเผินๆ    เขาดูดีกว่าช่างตีเหล็กทั่วไปมากเลยทีเดียว   แต่เรื่องจัดการกับแก๊งของวีลด้วยตัวคนเดียวนั่นมันก็...ไม่ใช่ว่าพวกนั้นโหดเหี้ยมที่สุดในวินสตันแล้วหรอกรึ?   เป็นไปไม่ได้หรอกน่า!   ช่างตีเหล็กจะไปจัดการกับพวกนักเลงได้ยังไงกัน?"

       "ข้าเห็นเองมากับตา   หรือว่าเช้านี้แกเห็นแก๊งของวีลเดินเพ่นพ่านไปมาในหมู่บ้านล่ะ?   พวกมันตายไปหมดแล้ว...ด้วยฝีมือของเจ้าหนุ่มนี่"

       "หืม...ก็ไม่แปลกใจล่ะนะว่าทำไมแกถึงดื่มน้อยลง    แต่ถ้าหากนี่เป็นเรื่องจริง...แล้วทำไมถึงไม่เคยมีใครได้ยินชื่อเสียงของเขาเลย?"
     
       ข่านจุ๊ปากเบาๆ พร้อมกับตอบไปว่า "ลองคิดดูสิ  ถ้าหากเรื่องที่เขากำจัดแก๊งวีลแพร่กระจายออกไป   บริษัทเมโร่จะยอมปล่อยเจ้าหนุ่มนี่ไว้รึ?   ข้าไม่มีเหตุผลที่ต้องเล่าเรื่องนั้นให้ใครฟัง   ที่เขายังไม่เป็นที่รู้จักเพราะว่าข้าเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นเหตุการณ์ครั้งนั้น"

       "หืม...แต่ยังไงแกก็เป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นล่ะนะ   เจ้าหนุ่มนี่จะยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียวรึ?  ขอข้าเข้าไปดูใกล้ๆ หน่อย"
     
       "หืม...ไม่เลว   แต่เขาดูหยิ่งทระนงไม่น้อยเลย  ว่ามั้ย?"

       ...

       เข้าใจแล้ว...สาเหตุที่ชื่อเสียงของเรายังไม่เป็นที่รู้จัก  เพราะเรื่องที่เราปราบแก๊งวีลยังไม่แพร่กระจายออกไปนี่เอง

       "ข่านอยู่ที่นี่รึเปล่า?"

       ทันใดนั้น  ฝูงชนได้กรูกันมาล้อมหน้าทางเข้าของโรงตีเหล็กข่านเอาไว้   พวกเขาทุกคนล้วนถือใบปลิวกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ   ชายวัยกลางคนชูใบปลิ้วขึ้นพร้อมกับตะโกนถามข่านออกมาอย่างเสียงดัง  "ข่าน!  นี่เรื่องจริงงั้นรึ?"

       ข่านเดินออกไปหยิบใบปลิวมาอ่านพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ  "ใช่แล้วล่ะ"
     
       เมื่อได้ยินคำตอบ  ผู้คนต่างก็ตื่นเต้นยินดีขึ้นมาทันใด 
     
       ข้างนอกเอะอะเรื่องอะไรกันนะ?  เราสงสัยจนต้องหยุดมือและเดินออกมาอ่านใบปลิวที่หน้าร้าน

       'หืม...'
     
       [ บริษัทเมโร่จะจัดการแข่งขันผลิตไอเท็มกับช่างตีเหล็กข่านขึ้น  เหตุผลที่พวกเราทำเช่นนี้เพราะบริษัทเมโร่ชื่นชมในฝีมือการตีเหล็กอันยอดเยี่ยมของข่านมานานแล้ว  ถ้าหากบริษัทเมโร่พ่ายแพ้ในการแข่งกัน  พวกเราจะยอมปล่อยมือจากโรงตีเหล็กของข่านและยกหนี้ทั้งหมดให้   แต่กลับกัน  ถ้าบริษัทเมโร่เป็นฝ่ายชนะ   โรงตีเหล็กข่านจะกลายเป็นของบริษัทเมโร่ในทันที  แต่ทางเราก็ยังมอบสิทธิ์การควบคุมผลผลิตทั้งหมดให้อยู่ในมือข่าน   การได้ร่วมมือกับชาวบ้านวินสตันถือเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของบริษัทเมโร่   วันเวลาและสถานที่แข่งขันจะประกาศขึ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า   ดังนั้นกรุณาตั้งตารอชมให้ดี  ]

       ถ้อยคำทั้งหมดถูกพิมพ์ลงในใบปลิวกระดาษและส่งต่อกันไปในหมู่ชาวบ้านวินสตัน   ตัวเราเองสัมผัสได้ถึงบรรยากาศการแข่งขันที่กำลังคลืนคลานเข้ามาใกล้ในทันที

       'ฮะฮะ  น่าแปลกแฮะ  เรากลับไม่รู้สึกตื่นเต้นเลยซักนิด   ไม่ว่าช่างตีเหล็กของบริษัทเมโร่จะเก่งกาจขนาดไหน  แต่ตัวเราที่เป็นผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่าไม่มีทางพ่ายแพ้เด็ดขาด!'

       ในฐานะคลาสผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า  ตัวเรามีทักษะ 'การผลิตของช่างตีเหล็กในตำนาน' เป็นไม้ตายลับอยู่   ต่อให้บริษัทเมโร่จ้างช่างตีเหล็กขั้นสูงมาแข่ง  แต่ผลผลิตไอเท็มที่เราสร้างขึ้นก็จะมีระดับที่สูงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

       ทักษะของช่างตีเหล็กทั่วไปขั้นมีขีดจำกัด    ช่างตีเหล็กที่ระดับสูงสุดในเกมตอนนี้ไม่น่าจะเกินกว่าขั้นสูงไปได้    แน่นอนว่าบริษัทเมโร่คงจ้างช่างตีเหล็กระดับนั้นมาแข่งกับเรา   แต่ในฐานะผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า  เราไม่มีวันแพ้ใครง่ายๆ แน่

       ผู้คนยังคงแสดงความตื่นเต้นออกมาไม่หยุด

       "ที่จริงบริษัทเมโร่จะใช้กำลังยึดโรงตีเหล็กของข่านไปเลยก็ได้แท้ๆ   แต่พวกมันกลับท้าแข่งขันผลิตไอเท็มอย่างเป็นธรรม   แถมถ้าเกิดข่านแพ้  เขาก็ยังมีงานให้ทำอยู่ดี   ถือว่าบริษัทเมโร่ให้เกียรติข่านมากเลยทีเดียว"

       "ใช่แล้ว  ถึงแม้พวกมันจะชนะ  แต่ก็ยังให้ข่านดูแลโรงตีเหล็กนี้ต่อไปงั้นหรอ?   หรือว่าเรื่องที่บริษัทเมโร่จะพยายามสร้างงานกับชาวบ้านวินสตันจะเป็นความจริง?"

       "ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ   บางทีพวกมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดซะทีเดียว   คงกำลังหาทางร่วมมือกับชาวบ้านอย่างพวกเราอยู่"

       ยิ่งมีคนพูดกับปากต่อปาก  สิ่งที่พูดก็ดูเหมือนจะเพิ่มความน่าเชื่อถือมากขึ้นทีละนิด
     
       'บริษัทเมโร่งั้นหรอ...พวกมันคือคนที่จ้างกลุ่มนักเลงมาข่มขู่ข่านไม่ใช่รึไงนะ?    ในตอนแรกเราคิดว่าคงเป็นเพียงบริษัทชั่วช้าแห่งหนึ่งเท่านั้น  แต่ความจริงกลับไม่ใช่งั้นรึ?   ถ้าอย่างนั้นทำไมกลุ่มนักเลงถึงได้ก้าวร้าวนัก?   หรือว่าเป็นข้อผิดพลาดของระบบเกมกันแน่?'

       ความโกรธแค้นเล็กๆ ที่เราเคยมีต่อบริษัทเมโร่ก็ค่อยๆ เลือนหายไปทีละนิด

       'บริษัทเมโร่เป็นคนให้ภารกิจที่มีค่าตอบแทน 600 เหรียญทองกับเรา    พวกมันก็ไม่ได้แย่ซักเท่าไรหรอก...ใช่แล้วล่ะ'
     
       ฝูงชนที่ด้านนอกร้านรวมไปถึงเราก็ค่อยๆ รู้สึกคล้อยตามกลยุทธของบริษัทเมโร่ทีละนิด   ทว่า...มีเพียงข่านเท่านั้นที่รู้สึกแตกต่างออกไป

       "นี่คงเป็นสิ่งที่พวกมันต้องการให้เกิดขึ้น   แร็บบิทคนนั้นช่างเป็นชายที่เจ้าเลห์ซะจริง!"

       ข่านที่กำลังรู้สึกโกรธแค้นได้คว้าใบปลิวกระดาษมาฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าทุกคน
       "พวกแกลืมความเจ็บแค้นทั้งหมดที่บริษัทเมโร่ก่อขึ้นเพียงเพราะกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นเดียวเนี่ยนะ?   เมโร่คือบริษัทชั่วช้าที่เป็นแค่นกรู้จมูกไวกว่าคนอื่น   มันรู้ว่าหมู่บ้านวินสตันของเราจะเจริญขึ้นอย่างก้าวกระโดด   จึงได้กว้านซื้อที่ดินทั้งหมดในย่านการค้าไป  และริดรอนสิทธิพลเมืองของพวกเราจนแทบไม่มีเหลือ!   ชาวบ้านต่างประสบชะตากรรมความยากจนและหิวโหย   คิดว่าพวกมันทำชั่วกับเราไว้มากแค่ไหนกันแน่?"

       หลายๆ คนเริ่มที่จะคล้อตามคำพูดของข่าน

       "ใช่แล้ว  พวกมันคือศัตรู!   เราจะทำผิดพลาดซ้ำสองโดยการไปหลงกลมันอีกไม่ได้เด็ดขาด!   อย่าได้ใจอ่อน!   ไม่อย่างนั้นจะถูกแทงข้างหลังจนต้องตกลงไปอยู่ในขุมนรกชั้นสุดท้ายทั้งเป็น!"

       ค่าความสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้านวินสตันกับบริษัทเมโร่ไม่ค่อยจะดีนัก  ความเกลียดชังของพวกเขาฝังรากลึกลงไปจนยากจะสลายได้ง่ายๆ

       "เอ่อ...ขอประทานโทษครับ"   ท่ามกล่างฝูงชนที่โกรธเกรี้ยว  มีชายคนหนึ่งชูแขนขึ้นด้วยแววตาที่สงบนิ่งเยือกเย็น

       'ผู้เล่นงั้นหรอ?'

       โดยทั่วไป  เอ็นพีซีจะมีชื่อบนหัวเป็นสีเขียว   แต่ชายคนนี้กลับมีชื่อสีขาว  นั่นหมายความว่าเขาเป็นผู้เล่นธรรมดาทั่วไปที่ไม่เคยก่อกรรมทำชั่วใดๆ

       ข่านเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากถามขึ้น  "ว่าไงเจ้าหนุ่ม  แกไม่ใช่คนของหมู่บ้านนี้นี่"

       "ผมชื่อฮิวรอย  เป็นเพียงนักเดินทางธรรมดาที่เพิ่งเคยมาวินสตันเป็นครั้งแรก"

       "เข้าใจแล้ว  ว่าแต่เจ้ามีอะไรจะถามงั้นรึ?  ฮิวรอย"

       "ได้ครับ  อาจจะฟังดูไม่เข้าหูพวกคุณเท่าไร  แต่ให้โอกาสผมได้ลองพูดดูก่อนไหม?"

       "ว่ามา"
     
       เห...เอ็นพีซีปฏิบัติตัวเป็นมิตรกับผู้เล่นที่เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรกเนี่ยนะ?   แตกต่างจากเราราวฟ้ากับเหวเลยแฮะ   ดูเหมือนฮิวรอยคนนี้  หากไม่ใช่นักเดินทางเลเวลสูง  ก็จะต้องเป็นคนที่มีค่าชื่อเสียงระดับทวีปสูงมากแน่

       "นับตั้งแต่ผมมาเหยียบที่วินสตันแห่งนี้   จากข่าวลือทั้งหมดที่ได้ฟังมา...บริษัทเมโร่สินะ?  ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจมูกไวล่วงรู้ถึงความเจริญก้าวหน้าของหมู่บ้านที่กำลังจะมาถึง  จึงได้กว้านซื้อย่านการค้าทั้งหมดไปเป็นของตน   แล้วหลังจากนั้นก็เป็นดังที่บริษัทเมโร่คาด  หมู่บ้านวินสตันเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนพวกเขาทำกำไรมหาศาล  ผมพูดถูกไหม?"

       "ใช่แล้ว"

       "ในบรรดาพวกคุณ...มีใครที่ถูกบังคับให้ขายที่ดินรึเปล่า?"
     
       "ไม่มี..."
     
       "ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่เห็นว่าบริษัทเมโร่จะเลวทรามตรงไหนเลย   ไม่ใช่ว่าเป็นพวกคุณซะเองหรือที่ถูกอำนาจเงินบังตาจนยอมขายที่ดินไปด้วยความเต็มใจน่ะ?   แต่พวกคุณก็ยังไม่คิดออกจากหมู่บ้านนี้ไปไหน   เพราะหลังจากนั้นวินสตันก็เจริญขึ้นอย่างผิดหูผิดตาในระยะเวลาอันสั้น    ดังนั้น  สิ่งที่พวกคุณควรจะกล่าวโทษมากที่สุดไม่ใช่บริษัทเมโร่...แต่เป็นความละโมภของพวกคุณเองนั่นแหละ"

       "แกต้องการจะพูดอะไร?"

       "บริษัทเมโร่จ้างแกมางั้นรึ?"

       บรรยากาศแย่ลงในทันที  แต่ถึงกระนั้นฮิวรอยก็ยังคงยืนปักหลักอยู่ที่เดิมอย่างแน่วแน่

       "ทุกบริษัทนั้นถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อแสวงหากำไรอยู่แล้ว!   การเอารัดเอาเปรียบและผูกขาดการค้าคือธรรมชาติของพวกเขา   พวกคุณชาวบ้านจะรู้สึกโกรธแค้นก็ไม่แปลก   แต่การไปเป็นศัตรูด้วยนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว   เพราะว่าฝั่งนั้นก็ยังไม่ได้ทำอะไรผิดนี่...จริงมั้ย?"

       "ยังไม่หุบปากไปอีกนะ!"

       "พวกเราควรทำให้มันเงียบปากดีมั้ย?"

       ชาวบ้านล้วนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อมีคนออกตัวปกป้องบริษัทเมโร่   บางส่วนถึงกับเดือดดาลจนอยากจะซัดให้ฮิวรอยลงไปกองกับพื้น   แต่ฮิวรอยก็ยังคงสงบนิ่งเยือกเย็นอยู่ได้เช่นเดิม

       "ผมไม่ได้ถูกบริษัทเมโร่จ้างมา!  แต่ที่ผมต้องพูดก็เพราะไม่อยากให้ทุกคนเป็นศัตรูกับบริษัทเมโร่!   จงร่วมมือกับเมโร่ซะ  นั่นเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า"
     
       พวกชาวบ้านหลังจากที่ได้ยินคำพูดของฮิวรอยก็เริ่มสงบลง   ดูเหมือนจุดประสงค์การมาที่นี่ของฮิวรอยคือการทำให้ชาวบ้านคล้อยตาม

       หลังจากนั้นข่านก็พูดขึ้นว่า "แกมีจุดประสงค์อะไรกันแน่?  ถึงกล้ามายุ่มย่ามกับพวกชาวบ้านขนาดนี้!"

       ข่านแสดงออกชัดเจนว่าฮิวรอยจะต้องเป็นคนของบริษัทเมโร่อย่างแน่นอน

       'ก็ต้องแน่อยู่แล้วไม่ใช่รึไง?  จู่ๆ มาพูดเรื่องแบบนี้คงมีจุดประสงค์แอบแฝงอยู่แล้ว'

       ถ้าเราคิดไม่ผิด  ฮิวรอยจะต้องรับภารกิจมาจากบริษัทเมโร่  โดยมีเป้าหมายในการเกลี้ยกล่อมชาวบ้านให้คล้อยตามและเป็นมิตรกับบริษัท   และเมื่อชาวบ้านทุกคนคล้อยตาม  หมอนี่ก็จะสำเร็จภารกิจในที่สุด    'เริ่มมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยหลงเชื่อแล้ว   เราจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!'

       เราไม่สนหรอกว่าบริษัทเมโร่จะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่   แต่ทำไมเราถึงต้องขัดขวางหมอนี่น่ะหรือ?  เหตุผลนั้นง่ายมาก...
     
       'ความทุกข์ของผู้อื่นคือความสุขของเรายังไงล่ะ!   เราก็แค่ไม่อยากเห็นเขาทำภารกิจสำเร็จต่อหน้าต่อตาเท่านั้น   ไม่ว่ายังไงก็ต้องขัดขวางเอาไว้ให้ได้!'

       เราก็แค่อยากให้ภารกิจของฮิวรอยล้มเหลว...ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยจริงๆ...
     
     

จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 31 - จบตอน

Comments

  1. พระเอกกรุออกแนวชั่วร้ายละ

    ReplyDelete
  2. อย่าให้ความมืดครอบงำเจ้า อิอิ

    ReplyDelete
  3. น้ำเยอะมาก ถ้าไม่เห็นชือเกาหลีๆ นึกว่านิยายจีน

    ReplyDelete
  4. ขึ้นชื่อว่าชาวบ้าน จุดเด่นคือหน้าโง่สินะ

    ReplyDelete
  5. ร้ายได้ใจจริงๆ พระเอกกู555

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00