จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 20

       เกิดความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นภายในเกมซาทิสฟายทันที

       บรรดากิลด์ใหญ่ต่างพากันตามล่าตัวช่างตีเหล็กปริศนาผู้นี้กันให้ควั่ก    สื่อต่างๆ ทั้งอินเตอเน็ทและทีวีได้ให้ความสนใจกับลูกธนูระดับอีปิกนี้มาก   ใครกันนะ...ช่างตีเหล็กพรสวรรค์สูงผู้ซึ่งมีทักษะที่ยอดเยี่ยม  แต่ยังอ่อนประสบการณ์และไม่เป็นที่รู้จักมากนัก?

       มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามตามหาข่าวคราวของช่างตีเหล็กลึกลับผู้นี้

       ...

       'มันเป็นทางเดินที่ยากลำบาก...เราพยายามทำอย่างสุดความสามารถเสมอมา...แต่กลับกลายเป็นว่า...มีช่างตีเหล็กลึกลับที่ยอดเยี่ยมกว่าเราอยู่ในเกมนี้ด้วยงั้นหรือ?'

       นับตั้งแต่เล่นเกมนี้มา  แพนเมียร์สามารถสร้างไอเท็มระดับอีปิกขึ้นมาได้เพียงแค่ 2 ชิ้นเท่านั้น   เขายังถือเป็นคนแรกที่สร้างไอเท็มระดับอีปิกขึ้นมาได้อีกด้วย    แต่ถึงอย่างนั้น  ในคำอธิบายไอเท็มนะดับอีปิกที่เขาสร้างขึ้น   ก็ไม่เคยมีเขียนอธิบายถึงผู้สร้างเอาไว้เลย   ทว่า...ลูกธนูชุดนี้กลับระบุไว้อย่างชัดเจนว่า  'ถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือพรสวรรค์สูง'   ไม่ใช่ว่า...คำนิยามเหล่านี้มีไว้สำหรับช่างตีเหล็กอันดับ 1 อย่างนั้นหรือ?

       ...

       แคร้ง!  แคร้ง!

       แพนเมียร์รู้สึกถูกกดดันอย่างน่าประหลาดจากช่างตีเหล็กนิรนามที่อยู่ในเงามืด

...

...

       ในขณะเดียวกัน  ชินยองวู  ผู้ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามจากทุกคน  กำลังยืนโซ้ยบะหมี่ถ้วยอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อ  ก่อนจะถึงเวลาที่เขาต้องออกไปทำงานในช่วงเช้า

       "บ้าชิบ...บะหมี่ถ้วยราคา 1,000 วอนเนี่ยนะ?    คิดจะปล้นกันรึไง?   อยากให้มนุษย์โลกถึงคราวอดตายหรอฟะ!  เฮ่อ...คนเราเนี่ยน้า  จะทำมาหากินให้สุจริตหน่อยก็ไม่ได้"     

       เราบ่นไปพลางกินไป

...

...

       5.30 นาฬิกาในยามเช้า

       แม้จะเป็นวันอาทิตย์  แต่กรรมกรก็ไม่มีวันหยุดหรอกนะ 

       เป็นเรื่องน่าแปลกท่เด็กสมัยนี้ไม่มีใครสนใจมาทำงานกรรมกรเหมือนก่อนแล้ว  แรงงานสมัยนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามาทำงานทั้งแบบถูกและผิดกฏหมาย  อนาคตของเกาหลีใต้น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อยทีเดียว

       'ปวดหัวจังว้อย...'

       เราไม่คุ้นชินกับกลิ่นบุหรี่และเหล้าเหม็นๆ ในยามเช้าซะที

       'รีบทำให้เสร็จดีกว่า  จะได้รีบกลับบ้านไปนอนให้สบายใจ'     

       ในขณะที่เรากำลังทิ้งตัวลงไปนั่ง   ชายวัยรุ่นในชุดไซต์ก่อสร้างก็เดินเข้ามาพร้อมกับตะโกนขึ้น

       "ขอ 4 คนไปทำงานก่อสร้างที่ตึกชินวู!"

       กรรมกรตามไซต์ก่อสร้างนั้นมีงานมีไม่มาก   ก็แค่ทำความสะอาด   ขนอิฐ  ขนไม้   ตักทราย  ผสมปูน     เป็นงานที่ต้องสิ้นเปลืองแรงกายไม่น้อย  แถมวันๆ ยังได้กินฝุ่นเข้าปอดจนชุ่มฉ่ำอีกด้วย    แต่เราก็เคยทำมาหลายครั้งแล้ว   ดังนั้น  เราจึงตัดสินใจยกมือโดยไม่ลังเลมากนัก

       "ทางนี้!  ให้ผมไปทำ...อ่อก!!"

       ไม่รู้ว่าเป็นไอ้ขี้เมาหรือสิงนักสูบ  ที่ต่อยใส่ท้องน้อยเราอย่างจัง   หลังจากนั้นเราก็ถูกโยนไปที่มุมห้องจนหมดโอกาสเสนอตัวไปทำงานในไซต์ก่อสร้าง

       "เห็นแก่ตัวชะมัด!  งานแบบนี้ต้องให้วัยรุนได้ทำก่อนสิ!"

       ในขณะที่เรากำลังบ่นอย่างหัวเสีย   ชายวัยกลางคนในเสื้อแขนสั้นก็เดินเข้ามาในห้องและพูดขึ้น  "ขอช่างปูน 3 คนที่มีแรงเยอะๆ   เอาคนที่เคยทำมาแล้ว"

       ผู้ช่วยช่างปูนมีหน้าที่เป็นลูกมือของช่างปูนหลัก   ต้องคอยแบกกระเบื้อง  ซีเมนต์  และทรายทั้งวัน    การขนกระเบื้องเป็นงานที่น่าเบื่อที่สุด   เพราะถ้าหากเจอกระเบื้องห่วยๆ เข้า   ก็จะต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า  เพราะพวกมันแตกหักได้ง่ายมาก    แต่งานโดยรวมก็ไม่ได้แย่อะไร

       เราพยายามยกมือขึ้น "ทางนี้!  ผมสามารถขนกระเบื้องได้เป็นสิบรอบ...อ่อก!!"

       เป็นอีกครั้งที่เราถูกชกท้องและโยนไปที่มุมห้องด้วยฝือมือไอ้แก่พวกนี้    และแน่นอน  เราถูกแย่งงานไปจากชายฉกรรจ์จำนวน 3 คนที่มีประสบการณ์สูง  และเขาดูจะแข็งแรงมากกว่าเรา

       "มีใครจะไปทำอีกมั้ย?"

       "ทางนี้!  ผมเอง...อ่อก!!"

       แม้จะมีอีกหลายงานที่ผู้ว่าจ้างเข้ามาหาคนไปทำ   แต่ทุกครั้งเรามักจะถูกเจ้าบ้าพวกนี้คอยขัดขวางอยู่เรื่อย

       "หึ!  แล้วพวกคุณจะต้องเสียใจ  ที่บังอาจมองข้ามคนอย่างผม!"

       รุ่นพี่ในสำนักงานพยายามขัดขวางเราตลอดเวลา  ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ต้องการให้เราได้งานดีๆ ไปทำ

       "ใครมันจะมาที่นี่เพราะอยากทำบ้างฟะ?  ไม่คิดบ้างหรอ  ว่าผมก็เหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ ที่ต้องการหาเงินเลี้ยงตัวเอง!!  ผมเองก็เอาชีวิตรอดไปวันๆ เหมือนกับพวกคุณนั่นแหละ!   ปล่อยให้ผมได้งานบ้างเถอะ!"

       สายตาที่เหยียดหยามของพวกมันได้ทำให้เราโมโหยิ่งกว่าเดิม   พวกมันชำเลืองมองเราด้วยหางตาราวกับกำลังมองหมาเห่า    แต่เราจะทำอะไรได้  ในเมื่ออีกฝ่ายอีกฝ่ายตัวโตกว่ามาก    เราหุบปากพร้อมกับนั่งลงอีกครั้งอย่างเงียบๆ

       "หึหึ"  หัวหน้าสำนักงานที่กำลังนั่นอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโตะ  หัวเราะขึ้นเบาๆ พร้อมกับมองมาที่เรา

       ดูเหมือนเขาจะมีอายุแค่ 30 ต้นๆ เท่านั้นล่ะมั้ง?   เขาได้รับสืบทอดสำนักงานจัดหาแรงงานนี้มาจากพ่อของเขา   

       ในทุกๆ 10 ครั้งที่มาหางานที่นี่  จะต้องมีอย่างน้อย 3 ครั้งที่เรากลับไปในสภาพดูไม่ได้ 

       ...

       ทันทีที่มีผู้ว่าจ้างคนใหม่เดินเข้ามาในห้อง  หัวหน้าสำนักงานก็มองมาที่เราอีกครั้ง

       "ขอ 1 คนไปคอยขึงสายไฟแรงสูง   มีไหม?   ไม่เกี่ยงประสบการณ์   ผมยินดีจ่าย 110,000 วอนต่อวัน   รีบเสนอตัวออกมาเลย"

       เป็นค่าจ้างเรทที่สูงกว่างานทั่วไปถึง 20,000 วอนต่อวัน   แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังคงนิ่งเฉย  เพราะมันมีสาเหตุอยู่  ว่าทำไมงานขึงสายไฟแรงสูงถึงเป็นงานที่จ่ายหนัก

       'เราไม่มีวันลืมความบัดซบในวันนั้นไปได้อย่างเด็ดขาด'

       เราเคยลองทำงานขึงสายไฟแรงสูงมาแล้วครั้งหนึ่ง

       มันเป็นงานง่ายๆ ที่แค่คอยใช้มือดึงสายไฟแรงสูงเอาไว้   แต่ก็เป็นงานที่กินพละกำลังอย่างมหาศาลเช่นกัน   แถมยังต้องห้ามไม่ให้สายไฟแรงสูงสัมผัสกับข้อมือ    โดยที่ตัวสายไฟนั้นทั้งหนาและหนักมาก

       งานงั้นหมดมีเพียงแค่การออกแรงดีง  แต่ว่า...ถึงอย่างนั้นฝ่ามือของเราก็ยังเต็มไปด้วยบาดแผลในตอนที่กลับบ้าน    แม้ว่าจะสวมถุงมือหนังหนาๆ เอาไว้แล้วก็ตาม   กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายบอบช้ำจนเราขยับตัวไม่ได้ไปสองวันเต็ม

       'ไม่ต่างอะไรกับโอเอซิสในหน้าหนาว...'

       ( ผู้แปล : โอเอซิสในหน้าหนาว*   หมายถึง  เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว แต่ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรกับโอกาสนั้นได้   เพราะในหน้าหนาว  น้ำในโอเอซิสจะแข็งตัวจนไม่สามารถดื่มกินได้ )

       เรายังคงจำฝันร้ายของหน้าหนาวคราวก่อนได้อย่างติดตา 

       แรงงานหลายคนทำเป็นไม่ได้ยินพร้อมกับมองไปทางอื่น   บางคนก็ทำทีเดินออกไปสูบบุหรี่ 

       "ไม่มีเลยหรอ?"  ชายคนเดิมถามอีกครั้งพร้อมกับขมวดคิ้ว

       ทันใดนั้น  มีไอ้แก่คนหนึ่งชี้นิ้วมาทางเราและพูดว่า  "เจ้าหนุ่มนี้ชำนาญการขึงสายไฟแรงสูงมาก"

       "ใช่แล้วล่ะ   เขาขยันขันแข็งมาก  แถมมีพละกำลังที่สุดยอดไปเลย"

       "หมอนี่เคยทำงานขึงสายไฟมาหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรอ?  เขาน่ะชำนาญสุดๆ เลยนะ"

       ...

       'ไอ้พวกระยำเอ้ย...'

       เราจ้องมองพวกมันด้วยสายตาที่อาฆาต   แต่ยิ่งเวลาผ่านไป  แรงงานพวกนี้ก็ยิ่งแกล้งทำเป็นแนะนำเราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 

       จนในที่สุด  ผู้ว่าจ้างก็ชี้นิ้วมาที่เราพร้อมกับพูดว่า  "ขอโทษนะครับ  คุณตรงนั้นมาทำงานกับผมหน่อยได้ไหม?  หน่วยก้านของคุณดูดีมากเลยนะ"

       ตัวเราในตอนนี้มีแต่ต้องตามน้ำไปเท่านั้น    เราชำเลืองไปมองหัวหน้าสำนักงานเล็กน้อย   เมื่อเขาเห็นว่าเราจ้อง  เขาก็ยิ้มตอบให้เบาๆ 

       แต่ทันในนั้นเอง  เราตัดสินใจแกล้งทำเป็นรับโทรศัพท์เพื่อจะบ่ายเบี่ยงออกไปทำอย่างอื่น 

       "ครับ...ชินยองวูพูดครับ   อะไรนะ?  ที่ไหนครับ?  ได้ครับเดี๋ยวผมจะรีบไป..."

       กรี๊งงง~ กรี๊งงง~

       "... ..."

       เสียงเรียกเข้าแบบดั้งเดิมดังขึ้นจากโทรศัพท์ที่เรากำลังแกล้งทำเป็นพูดสายอยู่    ความซวยอย่างมหันต์ได้ทำให้เราต้องความแตกในพริบตา 

       คนงานอื่นๆ ในห้องหัวเราะเราจนน้ำหูน้ำตาไหล   แม้แต่ผู้ว่าจ้างเองก็ยังหลุดขำออกมา  "รีบรับสายเถอะ"

       ใครกันที่โทรมาหาเราเช้าตรู่ขนาดนี้?   แถมปรกติก็ไม่ค่อยจะมีใครโทรหาเราอยู่แล้ว   ทำไมถึงต้องโทรมาในเวลาที่ไม่ควรโทรมากที่สุดด้วยนะ?   เรารีบกดรับสายโดยไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา 

       แต่เสียงที่ได้ยิน  คือเสียงที่เราไม่มีวันลืมได้ลง             

       ( สวัสดีค่า~   โทรจากบริษัทการเงิน 'มาเธ่อร์ฮาร์ทอีสแฮปปี้' นะคะ   คุณลูกค้าชินวองยู   คุณทราบใช่ไหมคะ  ว่าเส้นตายคือวันพรุ่งนี้แล้ว? )

       "...พรุ่งนี้แล้วหรอ?"

       ( เอ๋?...ถ้าคุณลืม  แปลว่าคุณยังไม่มีเงินจ่ายงั้นหรอคะ? )

       "มะ...ไม่ใช่  ผมมี...ผมมี   เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะจ่ายให้"

       ( ขอบคุณมากค่ะ  คุณลูกหนี้...เอ้ย...คุณลูกค้า   ขอให้เป็นวันที่มีความสุขนะคะ  ทางเรา  บริษัทการเงินมาเธ่อร์ฮาร์ทอีสแฮปปี้  หวังว่าคุณจะมีรอยยิ้มได้ทั้งตลอดวันเลยนะค๊า~ )

       ...

       "ฉิบหายแล้ว..."

       เราเล่นเกมจนเกือบลืมไปแล้วว่าเราคือลูกหนี้   ในตอนนี้  เราต้องคอยทำงานอย่างหนักโดยไม่เกี่ยงในทุกเดือนเพื่อนำไปจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้   

       แต่ตอนนี้  เรามีแต่ต้องทำงานที่ค่าตอบแทนสูงเท่านั้น  ถึงจะสามารถรอดพ้นวิกฤติในวันพรุ่งนี้ไปได้

       "ขอโทษนะครับ...เมื่อครู่คุณพูดว่า...คุณจะจ่ายค่าตอบแทน 110,00 วอนต่อวันใช่ไหม?"

       "ใช่"

       "เป็นความจริงใช่ไหม?"

       "แน่นอน!  แถมมีของกินให้ฟรีด้วยนะ!  ถ้ามาทำงานกับผม"

       ทางเลือกของเราในตอนนี้...มีแต่ต้องยอมเดินลงนรกด้วยตัวเองเท่านั้น

...

...

       บ่ายวันเดียวกัน...

       "พะ...พี่!?"  เซฮีหน้าถอดสีทันที  เมื่อได้เห็นสภาพของเรายามกลับไปถึง   เรานอนหลับอยู่ที่ประตูบ้านโดยไม่แม้แต่จะถอดรองเท้าออก

       "บ้าฉิบ...มันไม่ได้โกหก  แต่ว่า...เราที่ทำงานโดยแทบไม่ได้หยุดพัก...กลับมีอาหารตอบแทนให้แค่ขนมปังไส้ครีมเนี่ยนะ?   แถมไม่มีแม้แต่นมซักแก้ว...ต้องเป็นคนใจดำขนาดไหนกัน  ถึงจะเอาขนมปังไส้ครีมเปล่าๆ มาให้เรากินโดยไม่มีนมมาให้?"

       "อึก..."

       "กะ...เกม...เราต้องรีบเข้าเกม    ลูกธนู...ขายออกไปรึยังนะ" 

       หลังจากนั้น  เราก็หลับไปโดยจำอะไรไม่ได้อีก

...

...

       เมื่อเราตื่นขึ้นอีกครั้ง  ร่างกายรู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกกระแทกด้วยเหล็กมาอย่างแรง   กล้ามเนื้อทั้งตัวระบมจนสั่นระริกอย่างหยุดไม่ได้ 

       เราตะเกียกตะกายเช็คดูนาฬิกาด้วยความยากลำบาก...มันเป็นเวลา 5.20 ในตอนเช้า

       "อึก!"

       ท่าไม่ดีแล้ว   ถ้าหากคำนวนระยะทางจากบ้านไปยังสำนักงาน  ตอนนี้ก็คงจะเรียกว่าสายได้อย่างเต็มปาก   เรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะออกไปทำงาน  โดยในหัวเอาแต่กังวลว่า   งานดีๆ อาจถูกแย่งทำไปหมดแล้วเหมือนกับเมื่อวาน   แถมวันนี้ยิ่งไปสายกว่าเดิมด้วย...ไม่น่ารอดไปใหญ่

       "อั่ก!...ผมไปก่อนนะครับ"

       หลังจากที่จ่ายดอกเบี้ยไป  เราจึงเหลือเงินติดตัวอยู่เพียงแค่ 9,220 วอนเท่านั้น   โดยที่อาทิตย์นี้ยังไม่ได้เตรียมเงินจ่ายค่าเช่าเกมซาทิสฟายเอาไว้เลย    เรารีบร้อนใส่ร้องเท้าโดยที่ยังไม่ทันได้เช็ดถูด้วยซ้ำ 

       แต่ทันใดนั้น  แม่ของเราก็เดินเข้ามาหาจากด้านหลังพร้อมกับตบบ่าเบาๆ และพูดว่า  "มากินข้าวเช้าก่อนสิ"

       "ไม่ได้ครับ...ผมสายมากแล้ว"  เราตอบกลับไปด้วยท่าทางเร่งรีบ     

       "ยองวู!"  แม่เรียกชื่อเต็มของเราด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม   เราผงะอย่างหวาดกลัวในทันที  มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติเหมือนกับทุกครั้งที่แม่กำลังจะดุเรา   

       แม่รู้เรื่องหนี้สินของเรา   โดยที่เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่า  ทำไมเราต้องเอาแต่เล่นเกมจนต้องเสียการเรียนด้วย   แม่เรารู้สึกเศร้าเสียใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้   และเธอก็รู้สึกสงสารเราที่ต้องมีหนี้สินก้อนโตติดตัว 

       ทว่า  เมื่อเราหันหลังกลับไปมอง  ปรากฏว่าสีหน้าและดวงตาของแม่ยังคงใจเย็นอยู่

       "มากินข้าวเถอะ"  เธอพูดอีกครั้ง

       "ทะ...ทำไมล่ะ?  ผมต้องรีบไปสำนักงานให้เร็วที่สุดนะ"

       ทันใดนั้นเอง  ประตูบานหนึ่งก็ถูกเปิดออก   พ่อของเราเดิมออกมาพร้อมกับนั่งบนโตะกินข้าว    เขาเปิดหนังสือพิมพ์อ่านและพูดเบาๆ ขึ้นมาว่า "วันนี้พักผ่อนอยู่บ้านเถอะ"

       "พักผ่อน?  หมายความว่าไง?"

       "อะแฮ่ม..."  พ่อไม่ตอบอะไร  เขากระแอมหนึ่งครั้งพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป

       แม่รีบเดินมากระซิบที่ข้างหูว่า  "เมื่อวานแกกลับมามีสภาพดูไม่ได้เลย  พ่อของแกก็เลยแบกไปนอนที่ห้อง"

       "เอ๋?"

       "พวกเราเป็นพ่อแม่แกนะ  ไม่มีใครอยากเห็นลูกตัวเองต้องเจ็บปวดหรอก  ไม่ใช่ว่าเมื่อวานโหมงานหนักเกินไปรึไง?   วันนี้ก็นอนพักซะเถอะนะ"

       "มะ...แม่..."   เรารู้สึกซาบซึ่งกับคำพูดของแม่อย่างบอกไม่ถูก    หลายปีที่ผ่านมา  แม้เราจะนำความผิดหวังมาให้พวกเขามากแค่ไหนก็ตาม   แต่พ่อกับแม่ก็ยังคงคอยเป็นห่วงเราอยู่ห่างๆ

       และในเวลาเดียวกัน  เซฮีก็เดินออกมาจากห้องของเธอในขณะที่กำลังหาวอยู่    น้องสาวที่น่ารักคนนี้นำบางสิ่งมายื่นให้กับเรา...มันคือแผ่นบรรเทาอาการปวด

       "ติดมันซะ...เมื่อวานหนักเอาเรื่องอยู่ไม่ใช่หรอ?"

       "ซะ...เซฮี..."             

       'อา...ช่างเป็นครอบครัวที่ดีจริงๆ'

       เราร้องไห้ออกมาเบาๆ พร้อมกับโผกอดแม่และเซฮี

       ในโลกอันโหดร้ายใบนี้  อย่างน้อยเราก็ยังมีครอบครัวสุดวิเศษ    พวกเขาเป็นดั่งเทพและเทพธิดาสำหรับเรา   เราที่เป็นแค่ไองั่ง...เป็นแค่ลูกชายห่วยแตก...เป็นเพียงแค่พี่ชายที่น่าผิดหวังคนหนึ่ง   แต่สิ่งดีๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตเรา...หนึ่งในนั้นก็คือครอบครัว

       "อะ...อะไรกัน?  พี่คิดจะกอดใครน่ะ?  คิดดีแล้วหรอ?...ไม่สิ...นี่มันไม่ดีแล้วมั้ง?"   ถึงเซฮีจะบ่นอุบอิบ  แต่เธอก็สวมกอดเรากลับอย่างอบอุ่น   และในเวลาเดียวกัน  แม่ก็ลูบหัวของเราเบาๆ อย่างเอ็นดู   

       หลังจากนั้น  เราจึงถอดชุดทำงานออกพร้อมกับเดินไปนั่งบนโต๊ะกินข้าว...

       นี่คือซุปเนื้อที่เราไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสมาเป็นเดือนแล้ว...

       "พ่อ..."

       "พ่อจะช่วยจ่ายหนี้ให้ผมหรอ?"

       เฮือก!...  พ่อที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ   ได้ชำเลืองมาที่เราพร้อมกับขว้างช้อนเข้ามาอย่างแรง    เราร้องเสียงหลงในทันที  เพราะช้อนนั่นดันบินมาโดนหน้าผากเราอย่างจัง

       แม่เห็นดังนั้นก็จุ๊ปากเบาๆ พร้อมกับหยิบช้อนคันใหม่มาให้พ่อ

       "เคยบอกไปแล้วไม่ใช่รึไง?   ว่าเลิกคิดพึงพาคนอื่นได้แล้ว  แกน่ะอายุ  26 แล้วนะ   ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบเองสิ!"

       บรรยากาศครอบครัวอันแสนสุขสันต์เมื่อครู่   ได้อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับช้อนที่บินเข้ามา    ในระหว่างที่เรากำลังใช้มือลูบคลำไปที่หน้าผากเบาๆ   พ่อก็ยืนซองกระดาษสีน้ำตาลมาให้หนึ่งซองและพูดว่า

       "วันนี้ยกเว้นให้เป็นกรณีพิเศษ  การที่แกต้องหยุดพักในวันนี้ก็เป็นเพราะพวกเรา  ดังนั้นพ่อจะจ่ายในส่วนที่แกควรจะได้"

       "พ่อ..."  เรารู้สึกซาบซึ่งขึ้นมาอีกครั้ง   พ่อที่แสนเย็นชา  ในวันนี้กลับดูใจดีเป็นพิเศษ   เรารีบรับซองนั่นมาด้วยความยินดีปรีดา

       'เดี๋ยวก่อนนะ...'

       เราใช้ปลายนิ้วสัมผัสไปบนซองอย่างตั้งใจ...จำนวนธนบัตรในซองมันน้อยเกินไปรึเปล่านะ?   เมื่อเราเปิดซองออกมาดูก็พบกับธนบัตร 1 หมื่นวอนจำนวน 7 ใบ     เรารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและค่อยๆ หันไปพูดกับพ่อด้วยท่าทางตัวเกร็ง  "พ่อ...ค่าจ้างขั้นต่ำของกรรมกร...อย่างน้อยก็ต้อง 9..."

       พ่อหันมามองเราด้วยสีหน้าที่แสร้งทำเป็นเศร้าใจ  "เอ๋?  งั้นหรอ?  แต่พ่อมีติดตัวแค่นี้จริงๆ   ทำใจซะเถอะนะ"

       เราคงต้องเลิกหวังในส่วนที่เหลือซะ...เกือบลืมไปซะได้   ถ้าหากเป็นเรื่องการใช้เงินล่ะก็  พ่อของเรานับว่าเจ้าระเบียบเป็นที่สุด   กว่าจะตัดสินใจซื้อไก่ซักตัวมากินได้  เขาจะต้องมั่นใจว่าครอบครัวสามารถกินมันได้อย่างน้อย 3 มื้อขึ้นไป

       เราจำยอมต้องรับเงิน 70,000 วอนไว้แต่โดยดี

       'อย่างน้อย...พ่อก็ยังให้ล่ะนะ'

     


จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์  ตอนที่ 20 - จบตอน

Comments

  1. เฮ้ยลูกธนูเอวทำรายได้ละรีบขายเอาเงินจริงมาใช้สิ(เลียนแบบเทพวีดสิ หึหึหึ)

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณคับ นอกเรื่องก็ดีเหมือนกัน แต่อยากรู้ประเด็นหลักมากกว่าว่าในเกมมันวุ่นวายขนาดไหนแล้ว

    ReplyDelete
  3. มีความลืมเข้าเกม

    ReplyDelete
  4. น้ำเยอะสองละ

    ReplyDelete
  5. ชีวิตต้องสู้ล่ะเหวยพระเอก

    ReplyDelete
  6. น้ำตาจิไหล พ่อให้ก็ดีแค่ไหนแล้วแสรด 555+

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00