จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 27
"ลันลัลล้า..."
ทันทีที่ออกจากแคปซูล เราก็รีบเข้ามานั่งในส้วมพร้อมกับฮัมเพลงอย่างมีความสุข
"ฮือฮื่อฮือฮื้อ..."
เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เราเดินฮัมเพลงไปที่ห้องครัวอย่างผ่อนคลายเพื่อหาน้ำเย็นๆ ดื่ม
"ลันลัลล้าลันลาาา..."
หลังจากนั้นเราก็มาเอนหลังดูทีวีอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกด้วยท่าทางสบายใจ เสียงฮัมเพลงยังคงดังต่อเนื่องอย่างมีความสุข ท่าทางหัวเราะคิกคักเริ่มหลุดออกมาโดยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เรามีความสุขมากจริงๆ! ต้องขอบคุณภารกิจลับในครั้งนี้ที่ได้มอบทักษะการต่อสู้สุดเจ๋งมาให้เรา มันเจ๋งยิ่งกว่าทักษะเสริมพลังไหนๆ ของคลาสนักรบทั้งนั้น แถมการสำเร็จภารกิจครั้งนี้ยังช่วยให้ภารกิจต่อเนื่องที่เหลืออยู่ทั้งหมดเปิดออก และไหนจะกลุ่มนักเลงนั่นอีก การฆ่าพวกมันทำให้เราเลเวลอัพอย่างพุ่งกระฉูดเพียงชั่วพริบตา
"ฆ่านักเลงไปแค่ไม่กี่คนแต่กลับเพิ่มเลเวลได้ถึง 21...โชคดีชะมัดยาด ชักเริ่มกลัวซะแล้วสิว่าทำไมเราถึงได้ดวงดีขนาดนี้?"
ภารกิจลับนั้นไม่ใช่ว่าใครจะหามาทำได้กันง่ายๆ คราวนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกของเราเหมือนกัน ในบรรดาผู้คนกว่า2 พันล้านที่กำลังเล่นซาทิสฟาย มีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสได้สัมผัสกับภารกิจลับแบบนี้
อะไรๆ ก็ดีขึ้นนับตั้งแต่ที่เรากลายเป็นผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า เป็นคลาสที่ยอดเยี่ยมสมกับระดับเลเจนดารีจริงๆ
"เหตุผลที่เราดวงซวยมาติดๆ กันก่อนหน้านี้ คงเป็นพระนั่นคือบททดสอบจากพระเจ้าที่จะมอบลาภอันยิ่งใหญ่ให้เราในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน...วะฮ่าฮ่า!"
ลุงข่านนั่นจะมอบภารกิจแบบไหนให้เรากันน้า? แล้วรางวัลล่ะ? คงจะเป็นไอเท็มสุดเจ๋งที่จะทำให้เรามีอาวุธดีๆ ใช้ไปได้ซักพัก
หรือไม่ก็...
"เราอาจกลายเป็นเศษรฐีในชั่วพริบตาเลยก็ได้นะ...อุวะฮ่าฮ่า!"
"ความสามารถของดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่านั้นใกล้เคียงกับ 'ความผิดพลาด' ที่เราออกแบบขั้นมาอย่างมาก แต่เงื่อนไขการใช้งานของทั้งคู่กลับอยู่ในระดับที่ผู้เล่นทั่วไปมีโอกาสสวมใส่ได้ มันไม่ได้เว่อวังอลังการจนยากจะสวมใส่เหมือนกับ 'ความผิดพลาด' ของเราเลย"
'เห็นได้ชัดเลยว่า 'ความผิดพลาด' ของเรานั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมากขนาดไหน'
อัลบาติโน่นั้นเป็นช่างตีเหล็กที่ยอดเยี่ยม บางทีเขาอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับแพ็กม่าก็ได้...
"แต่คนที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้นยังไม่มีโอกาสได้เป็นช่างตีเหล็กในตำนาน...ทว่าคนอย่างเรากลับได้เป็น...โลกก็เป็นแบบนี้ล่ะนะ การทำเควสของอัชเชอร์ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายซะทีเดียว"
เป็นอีกครั้งที่เรารู้สึกพึงพอใจกับคลาสเลเจนดารีที่ได้รับมา
"ฮ้าววว..." เราชำเลืองสายตาไปมองนาฬิกาที่ข้อมือพร้อมกับหาวอ้าปากกว้าง เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงในโลกจริงแล้วที่เราออกจากแคปซูลมา ถ้าหากเทียบกับเวลาในเกมก็คงราวๆ แปดชั่วโมงเห็นจะได้ คงถึงเวลาที่ลุงข่านจะฟื้นขึ้นมาได้แล้วกระมัง?
จากคำพูดของหมอในคลินิก สุขภาพของข่านย่ำแย่ลงเพราะพิษสุราเรื้อรังและความเครียดสะสม แต่ในเมื่อเราผ่านภารกิจแรกไปได้แล้ว ข่านก็ควรจะกลับมาเป็นคนเดิมในเร็ววันโดยที่เลิกดื่มได้ซะที ดังนั้นไม่ต้องกลัวไปว่าข่านจะตายด้วยภาวะขี้เมา
เราตัดสินใจเข้าไปในเกมอีกครั้ง
"ล็อคอิน"
ทัศนวิสัยในดวงตาของเรามืดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ในอีกไม่กี่อึดใจ แสงอุ่นๆ จะแยงตาเข้ามาจนทำให้เราต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
"...ในคลินิกสินะ"
สถานที่สุดท้ายก่อนที่เราจะล็อคเอ้าท์ออกมาก็คือภายในคลินิกที่เราแบกร่างของข่านมาส่งไว้ เมื่อเข้ามาในเกมอีกครั้ง เราจึงรีบเดินเข้าไปหาหมอที่ชื่อว่า 'ไซม่อน' ในทันที
"อาการของลุงเป็นยังไงบ้าง?"
ไซม่อนหันมายิ้มเล็กๆ อย่างอบอุ่นให้กับเรา
"ในตอนแรกผมคิดว่าอาการของเขาน่าเป็นห่วงพอดู เพราะการที่ความดันเลือดสูงขึ้นอย่างฉับพลันนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย แถมร่างกายก็ยังอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่า...ไม่น่าเชื่อว่าอาการของเขาจะหายวันหายคืนได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ตอนนี้ก็คงกลับไปอยู่บ้านได้ตามปรกติแล้วล่ะ พระเจ้าอวยพรแท้ๆ เลยนะ..."
"ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น"
"แต่หลังจากนี้เขาควรดื่มให้น้อยลงนะ นั่นก็เพื่อตัวเขาเอง"
เราเดินไปที่ห้องพักของข่านพร้อมกับไซม่อนอย่างไม่รีบร้อนนัก หลังจากที่ข่านเห็นเรา เขาก็ยิ้มให้เล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า "อา...มาแล้วสินะ ข้าติดหนี้เจ้าไว้มากจริงๆ"
เห็นดังนั้นเราจึงยิ้มตอบกลับไปเบาๆ "ผมคงทนยืนดูคนที่กำลังเดือนร้อนอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก ช่วยอะไรได้ก็ต้องช่วย ตอนนี้หมอว่าลุงสามารถออกจากคลินิกได้แล้ว ดังนั้นรีบจ่ายค่ารักษาแล้วรีบกลับไปที่โรงตีเหล็กกันเถอะ"
"......"
อะ...อ่าว? ทำไมข่านถึงเงียบไปโดยไม่ยอมพูดอะไรออกมา เราเริ่มสังหรณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมาจนรู้สึกมวนที่ท้องน้อย หลังจากนั้นข่านก็พูดออกมาอย่างเสียงดังฟังชัดจนเราแทบล้มทั้งยืน
"ข้าขอโทษ...แต่ตอนนี้ข้าคงจ่ายไม่ได้"
อะ...เอ๋? ไอ้ลุงนี่พูดบ้าอะไรออกมา รู้ตัวบ้างรึเปล่าน่ะ?
"อย่าบอกนะว่าลุงไม่คิดจะจ่ายค่ารักษา?"
"ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยาก แต่ข้าไม่มีเงินติดตัวซักแดงเดียว"
"แล้วลุงคิดจะทำยังไง? คลินิกที่นี่ติดเงินไว้ก่อนได้งั้นหรอ?"
เรารับหันไปมองทางไซม่อนทันที สีหน้าที่เป็นมิตรและอบอุ่นเมื่อครู่ของไซม่อนได้อันตรธานหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ท่าทีของหมอคนนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นพ่อค้าภายในระยะเวลาอันสั้น "คลินิกแห่งนี้ไม่อนุญาตให้คนใข้ค้างชำระ"
"......"
เราอยากจะทิ้งตาลุงเอาไว้ที่นี่จริงๆ พับผ่าสิ แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี ไม่งั้นใครจะเป็นคนมอบภารกิจต่อเนื่องให้กับเราล่ะ?
"บ้าฉิบ...คิดไว้แล้วว่าคงไม่มีทางดวงดีไปได้ตลอด! ดวงของเรามันถูกเทพธิดาแห่งโชคสาปเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!"
เรายอมควักเงินส่วนตัวจำนวน 1 เหรียญทองเพื่อจ่ายค่ารักษาของข่านให้กับไซม่อนไป คอยดูเถอะ...ซักวันเราจะเอาคืนให้คุ้มค่าให้ได้เลย
...
ณ โรงตีเหล็กของข่าน
"ขอบใจเจ้าอีกครั้งนะ"
ทันทีที่เข้ามาในโรงตีเหล็ก ข่านก็หันหลังกลับมาโก่งโค้งคำนับเราทำมุม 90 องศากับพื้นโลกในทันที ท่าทางของเขาบ่งบอกว่ากระทำออกมาจากใจจริงโดยมิได้เสแสร้งเลยซักนิด อย่างน้อยก็ยังสำนึกบุญคุณอยู่บ้างล่ะนะ เพราะค่ารักษาพยายาลของเขาทั้งหมดเราเป็นคนออกให้
"ขอบใจมาก...ขอบใจจริงๆ ข้ามีหวังขึ้นมาได้อีกครั้งเป็นเพราะเจ้าแท้ๆ ข้าเกือบจะต้องทำลายธุรกิจของตระกูลที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นไปเพราะความโง่เขลาซะแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะต้องตอบแทนเจ้ายังไงดี..."
ข่านเริ่มร่ำไห้ออกมา น้ำตาของคนแก่นั้นมีมากมายกว่าคนหนุ่มหลายเท่านัก
"ลุง..."
เราเหยียดแขนออกไปจับมือที่หยาบกร้านของข่านไว้
เป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปเมื่อตัวเอกในหนังดังกำลังพยายามทำเท่ 'เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะต้องช่วยผู้ที่กำลังเดือดร้อน มันไม่ได้มากมายอะไรเลย ลุงไม่จำเป็นต้องขอบใจข้าหรอก ที่ข้าทำไปล้วนมิได้หวังสิ่งตอบแทนใดจากลุงแม้แต่น้อย' ที่จริงเราควรพูดประโยคน้ำเน่าเหล่านี้ออกไป
แต่เราไม่ใช่ตัวเอกในหนังซะหน่อย! เราคือไอ้ขี้แพ้ในชีวิตจริง เราคือสิ่งมีชีวิตลำดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหารที่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนทุกทางเพื่อเอาตัวรอด! เราต้องการรางวัลตอบแทน!
"ถ้าลุงสบายใจก็มอบอะไรตอบแทนข้ามาซักอย่างก็ได้...เอาเลย"
"ใช่แล้วล่ะ...ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องตอบแทนเจ้า แต่บุญคุณของเจ้าใหญ่หลวงนัก ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามีสิ่งใดที่คู่ควรกับความชอบของเจ้าในครั้งนี้"
ตาลุงหัวทึบขนาดนี้เลยรึไง? เราพยายามพูดชี้นำแล้วแท้ๆ กลับยังไม่ยอมเข้าใจอีกงั้นหรอ? มันไม่มีอะไรที่มีมูลค่าสูงพอจะตอบแทนเราได้นอกจากสองสิ่งนั้นอีกแล้ว
"ลุงเกือบจะต้องเสียโรงตีเหล็กแห่งนี้ไปให้กับพวกนักเลงกลุ่มนั้นแล้วไม่ใช่หรอ? แถมถ้าลุงยังดื่มต่อไป อีกไม่นานลุงก็ได้ตายไปจริงๆ แน่"
"นั่นก็ใช่"
"ตอนที่ความดันลุงพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ในตอนนั้นลุงสามารถตายได้เลยนะถ้าผมไม่พาไปหาหมอน่ะ แถมค่ารักษาผมก็ยังเป็นคนจ่ายอีก"
"ชะ...ใช่แล้ว"
"แบบนี้มันก็เหมือนกับว่าผมเป็นคนช่วยชีวิตลุงเอาไว้ไม่ใช่รึไง?"
"ใช่..."
เราชิงพูดต่อโดยอ้างเหตุและผลในทันที "ในเมื่อผมเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตลุงไว้ ดังนั้นลุงก็ต้องตอบแทนมาด้วยอะไรที่มีค่าเทียบเท่าชีวิตลุงสิ!"
ข่านที่กำลังร่ำไห้อยู่ ได้หยุดชะงักไปด้วยสีหน้าอันเศร้าหมอง
"สมบัติที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับชีวิตของข้า...ของแบบนั้นข้าไม่มีหรอก ข้าควรทำยังไงดี? อึก..."
"อย่าเศร้าไปเลย ผมน่ะใจดี ไม่คิดเอาชีวิตลุงไปจริงๆ หรอก เอาอย่างนี้เป็นไง ข้างบนนั่นน่ะ..." เราหยุดพูดไปครู่หนึ่งพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปบนชั้นสองของโรงตีเหล็ก "แค่ลุงเอาดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่ามาให้ผมก็เพียงพอแล้ว"
หัวใจของเราเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ใช่แล้ว เราหวังจะได้ทั้งสองสิ่งนั้นเป็นของตอบแทนภารกิจ แต่นี่ใคร? เราเป็นใคร? เราคือชินยองวูนะ คนอย่างเราไม่มีทางทำอะไรได้ราบรื่นอยู่แล้ว ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ไม่มีทางที่มันจะไปได้สวยนักหรอก
"สองสิ่งนั้นคือมรดกที่ตกทอดภายในตระกูลมาจากรุ่นสู่รุ่น ชีวิตอันต่ำต้อยของข้าไม่มีทางเทียบได้กับมูลค่าของมันหรอกนะ แม้จะต้องสละชีวิตของตนไป แต่ข้าก็คงมอบสองสิ่งนั้นให้กับผู้ใดไม่ได้จริงๆ"
เป็นการปฏิเสธที่ราบเรียบแต่เจ็บปวด แค่ลุงพูดว่าไม่ให้ก็เพียงพอแล้ว ทำไมต้องแสดงท่าทีจริงใจและสีหน้าที่ผิดหวังขนาดนี้ด้วย? ในขณะที่เรากำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย ข่านก็เล่าต่อไปด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง
"มันเป็นสมบัติที่อัลบาติโน่บรรพบุรุษของข้าอุทิศแรงกายและแรงใจทั้งหมดสร้างขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่ลูกหลานของเขาไม่มีใครเลยซักคนที่สามารถใช้มันได้ อันที่จริงข้าก็คิดจะเก็บมรดกนี้เอาไว้โดยให้ตายไปพร้อมกับข้า ทว่า...มันก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่เรื่องหนึ่ง"
เดี๋ยวนะ...ข่านเป็นลูกหลานของอัลบาติโน่งั้นหรอ? เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ของที่จะโกหกกันได้แน่ หมายความว่าถ้าอาการพิษสุราเรื้อรังของลุงหายขาด ข่านจะกลับมากลายเป็นช่างตีเหล็กชั้นยอดงั้นสินะ? แล้วข้อยกเว้นที่ว่าหมายถึงอะไรกันแน่?
"ข้อยกเว้นอะไร?"
สีหน้าของข่านดูจริงจังขึ้นกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย "ข้ามีบางเรื่องอยากจะถามเจ้า ทำไมเจ้าถึงสามารถใช้ทั้งสองสิ่งนี้ได้? แล้วทำไมแค่มองดูก็รู้ไปถึงคุณค่าของมันแล้ว?"
โดยไม่รอคำตอบจากเรา ข่านยังคงเล่าต่อไป
"ดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่านั้นเหมือนกับยุทธภัณฑ์ที่ถูกสาป โดยแม้จะมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเกินคำบรรยาย แต่ด้วยเงื่อนไขการสวมใส่ที่ยุ่งยาก ทำให้ภายในหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถสวมใส่และใช้งานมันจริงๆ เลยซักครั้ง ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงค่อยๆ ถูกลืมจนเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาตร์อย่างสมบูรณ์จนกระทั่งไม่มีผู้ใดรู้จักอีก"
เราและข่านเดินขึ้นไปยังชั้นสองพร้อมกับหยุดลงที่ด้านหน้าดาอินสเลฟและวัลฮัลล่า
ข่านใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปที่พวกมันเบาๆ และกวักมือเรียกเราเข้าไป
"ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว ว่าข้าต้องการให้ผู้คนรับรู้ถึงความสุดยอดและมูลค่าอันมหาศาลของดาอินสเลฟและวัลฮัลล่า จึงได้นำมันมาจัดวางไว้ในที่สะดุดตาผู้คนเช่นนี้ แต่การจะเข้าถึงความสุดยอดของศิลปะชั้นสูงได้ ผู้ที่ได้พบเห็นจำเป็นจะต้องมีทักษะและวิสัยทัศน์ในระดับเดียวกับผู้ที่สร้างมันขึ้นมา ทำให้แม้จะวางเอาไว้เป็นเวลานานหลายสิบปี แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดเห็นถึงความสุดยอดของมันมาก่อน"
ข่านหันมาจ้องเราด้วยแววตาแปลกประหลาด
"จนกระทั่งเจ้ามาถึงที่นี่"
เรื่องเล่าอันแสนน่าเบื่อกำลังจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้สินะ...
"มีคำบอกเล่ากันปากต่อปากที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลของข้า"
"ราว 130 ปีก่อน ชายคนหนึ่งผู้มีนามว่าแพ็กม่าได้ปรากฏตัวขึ้นที่โรงตีเหล็กแห่งนี้ ทันทีที่เขาได้เห็นดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าถูกวางกองจนฝุ่นเขรอะอยู่ที่มุมห้อง...แพ็กม่าก็สามารถรับรู้ได้ถึงคุณค่าและความยิ่งใหญ่ของยุทธภัณฑ์ทั้งสองในทันที"
ในขณะที่เล่าไป ดวงตาของข่านก็เปล่งประกายตลอดเวลา
"แพ็กม่าได้กล่าวชื่นชมดาอินสเลฟและวัลฮัลล่าอย่างไม่หยุดปาก เท่านั้นยังไม่พอ เขายังสำแดงความเป็นสุดยอดนักดาบด้วยการกวัดแกว่งดาอินสเลฟให้ผู้คนในโรงตีเหล็กได้รับชม"
"เมื่อยอดดาบอยู่ในมือของยอดนักดาบ ความงดงามที่แท้จริงของดาอินเสลฟจึงปรากฏออกมาสู่สายตาผู้คน ว่ากันว่า การกวัดแกว่งดาบของแพ็กม่าได้ทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องคำรามไปทั่วท้องฟ้า"
ยอดเลยแฮะ...ถึงมันจะฟังดูเหมือนนิทานกล่อมเด็กก็เถอะ! แต่นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่รึไง?
ข่านยังคงเล่าต่อไปอย่างตั้งใจ "ทันทีที่บรรพบุรุษของข้าได้เห็นความสุดยอดในวิถีแห่งดาบของแพ็กม่า พวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอร้องแพ็กม่าในทันที 'ได้โปรดนำดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าติดตัวท่านไปด้วย...นี่เป็นความประสงค์ของบรรพบุรุษพวกเรา!'"
"เอ๋? เรื่องราวไปถึงขั้นนั้นเลยหรือ? แล้วเป็นไงบ้าง...แพ็กม่าได้รับไว้รึเปล่า?"
"ไม่...ถ้าหากแพ็กม่านำติดตัวไปด้วยในวันนั้น ดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าก็คงไม่มาอยู่กับข้าในวันนี้แน่ คำพูดที่แพ็กม่าตอบปฏิเสธออกมาในวันนั้นก็คือ 'งานศิลปะชั้นยอดทั้งสองชิ้นนี้ต่างเต็มไปด้วยจิตวิญญานอันแรงกล้าของอัลบาติโน่...คุณสมบัติและความงดงามของมันจึงเจิดจรัสเหนือยุทธภัณฑ์ใดๆ บนโลก ดังนั้นพวกมันจึงไม่ควรลดตัวมาอยู่ในมือของผู้ชายตัวเล็กๆ เช่นข้า' การยืนกรานอย่างหนักแน่นของแพ็กม่าได้ทำให้บรรพบุรุษของข้าต้องล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป"
เราไม่เข้าใจช่ายที่ชื่อแพ็กม่าเลยซักนิด ไม่สิ...เราไม่เข้าใจว่า ในเมื่อมันเป็นของฟรีโดยที่อีกฝ่ายเต็มใจ ทำไมเขาถึงไม่รับมันไว้? ถึงไม่ใช้ก็ยังเอาไปขายได้นี่นา...
'อา...จริงสิ บางที่แพ็กม่าคงจะเป็นคนที่รวยเอามากๆ จนไม่สนใจเรื่องเงินทองอีกต่อไปแล้ว'
ในเรื่องนี้ ยิ่งคิดเราก็ยิ่งสับสนมากขึ้น
"แพ็กม่าได้ทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่เขาจะจากไปว่า 'แม้ในตอนนี้จะยังไม่มีผู้ใดที่สามารถใช้งานมันได้ แต่ในอนาคตอันใกล้ ฮีโร่มากมายจะปรากฏตัวขึ้นจากทุกหนทุกแห่ง แล้วซักวันหนึ่ง...คนที่มีความสามารถมากพอก็จะได้เป็นเจ้านายของพวกมันเอง'"
"......"
เราค่อยๆ ถอดความหมายของคำพูดแพ็กม่าอยู่ในหัว ฮีโร่ที่ว่านั้นคงจะหมายถึงผู้เล่นทั่วไป อัตราการเติบโตตัวละครของผู้เล่นนั้นสูงจนยากประเมินได้ ดังนั้นอีกไม่นานก็จะมีผู้เล่นติดอันดับซักคนที่สามารถสวมใส่ดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าได้แน่
'เราไม่ต้องการเสียสองสิ่งนี้ให้กับใครทั้งนั้น'
เราจึงตัดสินใจถามข่านออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม "แล้วที่เล่ามาซะยาว ลุงหมายถึงอะไรกันแน่?"
ข่านรีบตอบกลับมาในทันที "ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นใครกัน?"
"ลุงคิดว่าผมเป็นฮีโร่ที่แพ็กม่าพูดถึงงั้นหรอ?"
"ถูกต้อง...ข้าเคยบอกไปแล้วนี่ ว่ามีข้อยกเว้นอยู่ ถ้าเจ้าสามารถพิสูนจ์ได้ว่าตนเองคือฮีโร่ที่แพ็กม่าพูดถึง ข้าก็ยินดีที่จะมอบดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าให้โดยไม่คิดเงิน"
สายตาของข่านบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาตั้งความหวังกับเราไว้มากทีเดียว
เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าภารกิจต่อเนื่องของข่านจะปรากฏขึ้นตอนไหนกันแน่
จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 27 - จบตอน
ทันทีที่ออกจากแคปซูล เราก็รีบเข้ามานั่งในส้วมพร้อมกับฮัมเพลงอย่างมีความสุข
"ฮือฮื่อฮือฮื้อ..."
เมื่อออกมาจากห้องน้ำ เราเดินฮัมเพลงไปที่ห้องครัวอย่างผ่อนคลายเพื่อหาน้ำเย็นๆ ดื่ม
"ลันลัลล้าลันลาาา..."
หลังจากนั้นเราก็มาเอนหลังดูทีวีอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกด้วยท่าทางสบายใจ เสียงฮัมเพลงยังคงดังต่อเนื่องอย่างมีความสุข ท่าทางหัวเราะคิกคักเริ่มหลุดออกมาโดยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เรามีความสุขมากจริงๆ! ต้องขอบคุณภารกิจลับในครั้งนี้ที่ได้มอบทักษะการต่อสู้สุดเจ๋งมาให้เรา มันเจ๋งยิ่งกว่าทักษะเสริมพลังไหนๆ ของคลาสนักรบทั้งนั้น แถมการสำเร็จภารกิจครั้งนี้ยังช่วยให้ภารกิจต่อเนื่องที่เหลืออยู่ทั้งหมดเปิดออก และไหนจะกลุ่มนักเลงนั่นอีก การฆ่าพวกมันทำให้เราเลเวลอัพอย่างพุ่งกระฉูดเพียงชั่วพริบตา
"ฆ่านักเลงไปแค่ไม่กี่คนแต่กลับเพิ่มเลเวลได้ถึง 21...โชคดีชะมัดยาด ชักเริ่มกลัวซะแล้วสิว่าทำไมเราถึงได้ดวงดีขนาดนี้?"
ภารกิจลับนั้นไม่ใช่ว่าใครจะหามาทำได้กันง่ายๆ คราวนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกของเราเหมือนกัน ในบรรดาผู้คนกว่า2 พันล้านที่กำลังเล่นซาทิสฟาย มีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสได้สัมผัสกับภารกิจลับแบบนี้
อะไรๆ ก็ดีขึ้นนับตั้งแต่ที่เรากลายเป็นผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า เป็นคลาสที่ยอดเยี่ยมสมกับระดับเลเจนดารีจริงๆ
"เหตุผลที่เราดวงซวยมาติดๆ กันก่อนหน้านี้ คงเป็นพระนั่นคือบททดสอบจากพระเจ้าที่จะมอบลาภอันยิ่งใหญ่ให้เราในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน...วะฮ่าฮ่า!"
ลุงข่านนั่นจะมอบภารกิจแบบไหนให้เรากันน้า? แล้วรางวัลล่ะ? คงจะเป็นไอเท็มสุดเจ๋งที่จะทำให้เรามีอาวุธดีๆ ใช้ไปได้ซักพัก
หรือไม่ก็...
"เราอาจกลายเป็นเศษรฐีในชั่วพริบตาเลยก็ได้นะ...อุวะฮ่าฮ่า!"
"ความสามารถของดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่านั้นใกล้เคียงกับ 'ความผิดพลาด' ที่เราออกแบบขั้นมาอย่างมาก แต่เงื่อนไขการใช้งานของทั้งคู่กลับอยู่ในระดับที่ผู้เล่นทั่วไปมีโอกาสสวมใส่ได้ มันไม่ได้เว่อวังอลังการจนยากจะสวมใส่เหมือนกับ 'ความผิดพลาด' ของเราเลย"
'เห็นได้ชัดเลยว่า 'ความผิดพลาด' ของเรานั้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมากขนาดไหน'
อัลบาติโน่นั้นเป็นช่างตีเหล็กที่ยอดเยี่ยม บางทีเขาอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับแพ็กม่าก็ได้...
"แต่คนที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้นยังไม่มีโอกาสได้เป็นช่างตีเหล็กในตำนาน...ทว่าคนอย่างเรากลับได้เป็น...โลกก็เป็นแบบนี้ล่ะนะ การทำเควสของอัชเชอร์ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายซะทีเดียว"
เป็นอีกครั้งที่เรารู้สึกพึงพอใจกับคลาสเลเจนดารีที่ได้รับมา
"ฮ้าววว..." เราชำเลืองสายตาไปมองนาฬิกาที่ข้อมือพร้อมกับหาวอ้าปากกว้าง เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงในโลกจริงแล้วที่เราออกจากแคปซูลมา ถ้าหากเทียบกับเวลาในเกมก็คงราวๆ แปดชั่วโมงเห็นจะได้ คงถึงเวลาที่ลุงข่านจะฟื้นขึ้นมาได้แล้วกระมัง?
จากคำพูดของหมอในคลินิก สุขภาพของข่านย่ำแย่ลงเพราะพิษสุราเรื้อรังและความเครียดสะสม แต่ในเมื่อเราผ่านภารกิจแรกไปได้แล้ว ข่านก็ควรจะกลับมาเป็นคนเดิมในเร็ววันโดยที่เลิกดื่มได้ซะที ดังนั้นไม่ต้องกลัวไปว่าข่านจะตายด้วยภาวะขี้เมา
เราตัดสินใจเข้าไปในเกมอีกครั้ง
"ล็อคอิน"
ทัศนวิสัยในดวงตาของเรามืดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ในอีกไม่กี่อึดใจ แสงอุ่นๆ จะแยงตาเข้ามาจนทำให้เราต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
"...ในคลินิกสินะ"
สถานที่สุดท้ายก่อนที่เราจะล็อคเอ้าท์ออกมาก็คือภายในคลินิกที่เราแบกร่างของข่านมาส่งไว้ เมื่อเข้ามาในเกมอีกครั้ง เราจึงรีบเดินเข้าไปหาหมอที่ชื่อว่า 'ไซม่อน' ในทันที
"อาการของลุงเป็นยังไงบ้าง?"
ไซม่อนหันมายิ้มเล็กๆ อย่างอบอุ่นให้กับเรา
"ในตอนแรกผมคิดว่าอาการของเขาน่าเป็นห่วงพอดู เพราะการที่ความดันเลือดสูงขึ้นอย่างฉับพลันนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย แถมร่างกายก็ยังอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทว่า...ไม่น่าเชื่อว่าอาการของเขาจะหายวันหายคืนได้โดยไม่ทราบสาเหตุ ตอนนี้ก็คงกลับไปอยู่บ้านได้ตามปรกติแล้วล่ะ พระเจ้าอวยพรแท้ๆ เลยนะ..."
"ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น"
"แต่หลังจากนี้เขาควรดื่มให้น้อยลงนะ นั่นก็เพื่อตัวเขาเอง"
เราเดินไปที่ห้องพักของข่านพร้อมกับไซม่อนอย่างไม่รีบร้อนนัก หลังจากที่ข่านเห็นเรา เขาก็ยิ้มให้เล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า "อา...มาแล้วสินะ ข้าติดหนี้เจ้าไว้มากจริงๆ"
เห็นดังนั้นเราจึงยิ้มตอบกลับไปเบาๆ "ผมคงทนยืนดูคนที่กำลังเดือนร้อนอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก ช่วยอะไรได้ก็ต้องช่วย ตอนนี้หมอว่าลุงสามารถออกจากคลินิกได้แล้ว ดังนั้นรีบจ่ายค่ารักษาแล้วรีบกลับไปที่โรงตีเหล็กกันเถอะ"
"......"
อะ...อ่าว? ทำไมข่านถึงเงียบไปโดยไม่ยอมพูดอะไรออกมา เราเริ่มสังหรณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมาจนรู้สึกมวนที่ท้องน้อย หลังจากนั้นข่านก็พูดออกมาอย่างเสียงดังฟังชัดจนเราแทบล้มทั้งยืน
"ข้าขอโทษ...แต่ตอนนี้ข้าคงจ่ายไม่ได้"
อะ...เอ๋? ไอ้ลุงนี่พูดบ้าอะไรออกมา รู้ตัวบ้างรึเปล่าน่ะ?
"อย่าบอกนะว่าลุงไม่คิดจะจ่ายค่ารักษา?"
"ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยาก แต่ข้าไม่มีเงินติดตัวซักแดงเดียว"
"แล้วลุงคิดจะทำยังไง? คลินิกที่นี่ติดเงินไว้ก่อนได้งั้นหรอ?"
เรารับหันไปมองทางไซม่อนทันที สีหน้าที่เป็นมิตรและอบอุ่นเมื่อครู่ของไซม่อนได้อันตรธานหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ท่าทีของหมอคนนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นพ่อค้าภายในระยะเวลาอันสั้น "คลินิกแห่งนี้ไม่อนุญาตให้คนใข้ค้างชำระ"
"......"
เราอยากจะทิ้งตาลุงเอาไว้ที่นี่จริงๆ พับผ่าสิ แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี ไม่งั้นใครจะเป็นคนมอบภารกิจต่อเนื่องให้กับเราล่ะ?
"บ้าฉิบ...คิดไว้แล้วว่าคงไม่มีทางดวงดีไปได้ตลอด! ดวงของเรามันถูกเทพธิดาแห่งโชคสาปเอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!"
เรายอมควักเงินส่วนตัวจำนวน 1 เหรียญทองเพื่อจ่ายค่ารักษาของข่านให้กับไซม่อนไป คอยดูเถอะ...ซักวันเราจะเอาคืนให้คุ้มค่าให้ได้เลย
...
ณ โรงตีเหล็กของข่าน
"ขอบใจเจ้าอีกครั้งนะ"
ทันทีที่เข้ามาในโรงตีเหล็ก ข่านก็หันหลังกลับมาโก่งโค้งคำนับเราทำมุม 90 องศากับพื้นโลกในทันที ท่าทางของเขาบ่งบอกว่ากระทำออกมาจากใจจริงโดยมิได้เสแสร้งเลยซักนิด อย่างน้อยก็ยังสำนึกบุญคุณอยู่บ้างล่ะนะ เพราะค่ารักษาพยายาลของเขาทั้งหมดเราเป็นคนออกให้
"ขอบใจมาก...ขอบใจจริงๆ ข้ามีหวังขึ้นมาได้อีกครั้งเป็นเพราะเจ้าแท้ๆ ข้าเกือบจะต้องทำลายธุรกิจของตระกูลที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นไปเพราะความโง่เขลาซะแล้ว ข้าไม่รู้ว่าจะต้องตอบแทนเจ้ายังไงดี..."
ข่านเริ่มร่ำไห้ออกมา น้ำตาของคนแก่นั้นมีมากมายกว่าคนหนุ่มหลายเท่านัก
"ลุง..."
เราเหยียดแขนออกไปจับมือที่หยาบกร้านของข่านไว้
เป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปเมื่อตัวเอกในหนังดังกำลังพยายามทำเท่ 'เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะต้องช่วยผู้ที่กำลังเดือดร้อน มันไม่ได้มากมายอะไรเลย ลุงไม่จำเป็นต้องขอบใจข้าหรอก ที่ข้าทำไปล้วนมิได้หวังสิ่งตอบแทนใดจากลุงแม้แต่น้อย' ที่จริงเราควรพูดประโยคน้ำเน่าเหล่านี้ออกไป
แต่เราไม่ใช่ตัวเอกในหนังซะหน่อย! เราคือไอ้ขี้แพ้ในชีวิตจริง เราคือสิ่งมีชีวิตลำดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหารที่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนทุกทางเพื่อเอาตัวรอด! เราต้องการรางวัลตอบแทน!
"ถ้าลุงสบายใจก็มอบอะไรตอบแทนข้ามาซักอย่างก็ได้...เอาเลย"
"ใช่แล้วล่ะ...ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องตอบแทนเจ้า แต่บุญคุณของเจ้าใหญ่หลวงนัก ข้าไม่รู้จริงๆ ว่ามีสิ่งใดที่คู่ควรกับความชอบของเจ้าในครั้งนี้"
ตาลุงหัวทึบขนาดนี้เลยรึไง? เราพยายามพูดชี้นำแล้วแท้ๆ กลับยังไม่ยอมเข้าใจอีกงั้นหรอ? มันไม่มีอะไรที่มีมูลค่าสูงพอจะตอบแทนเราได้นอกจากสองสิ่งนั้นอีกแล้ว
"ลุงเกือบจะต้องเสียโรงตีเหล็กแห่งนี้ไปให้กับพวกนักเลงกลุ่มนั้นแล้วไม่ใช่หรอ? แถมถ้าลุงยังดื่มต่อไป อีกไม่นานลุงก็ได้ตายไปจริงๆ แน่"
"นั่นก็ใช่"
"ตอนที่ความดันลุงพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ในตอนนั้นลุงสามารถตายได้เลยนะถ้าผมไม่พาไปหาหมอน่ะ แถมค่ารักษาผมก็ยังเป็นคนจ่ายอีก"
"ชะ...ใช่แล้ว"
"แบบนี้มันก็เหมือนกับว่าผมเป็นคนช่วยชีวิตลุงเอาไว้ไม่ใช่รึไง?"
"ใช่..."
เราชิงพูดต่อโดยอ้างเหตุและผลในทันที "ในเมื่อผมเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตลุงไว้ ดังนั้นลุงก็ต้องตอบแทนมาด้วยอะไรที่มีค่าเทียบเท่าชีวิตลุงสิ!"
ข่านที่กำลังร่ำไห้อยู่ ได้หยุดชะงักไปด้วยสีหน้าอันเศร้าหมอง
"สมบัติที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับชีวิตของข้า...ของแบบนั้นข้าไม่มีหรอก ข้าควรทำยังไงดี? อึก..."
"อย่าเศร้าไปเลย ผมน่ะใจดี ไม่คิดเอาชีวิตลุงไปจริงๆ หรอก เอาอย่างนี้เป็นไง ข้างบนนั่นน่ะ..." เราหยุดพูดไปครู่หนึ่งพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปบนชั้นสองของโรงตีเหล็ก "แค่ลุงเอาดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่ามาให้ผมก็เพียงพอแล้ว"
หัวใจของเราเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ใช่แล้ว เราหวังจะได้ทั้งสองสิ่งนั้นเป็นของตอบแทนภารกิจ แต่นี่ใคร? เราเป็นใคร? เราคือชินยองวูนะ คนอย่างเราไม่มีทางทำอะไรได้ราบรื่นอยู่แล้ว ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ไม่มีทางที่มันจะไปได้สวยนักหรอก
"สองสิ่งนั้นคือมรดกที่ตกทอดภายในตระกูลมาจากรุ่นสู่รุ่น ชีวิตอันต่ำต้อยของข้าไม่มีทางเทียบได้กับมูลค่าของมันหรอกนะ แม้จะต้องสละชีวิตของตนไป แต่ข้าก็คงมอบสองสิ่งนั้นให้กับผู้ใดไม่ได้จริงๆ"
เป็นการปฏิเสธที่ราบเรียบแต่เจ็บปวด แค่ลุงพูดว่าไม่ให้ก็เพียงพอแล้ว ทำไมต้องแสดงท่าทีจริงใจและสีหน้าที่ผิดหวังขนาดนี้ด้วย? ในขณะที่เรากำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย ข่านก็เล่าต่อไปด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง
"มันเป็นสมบัติที่อัลบาติโน่บรรพบุรุษของข้าอุทิศแรงกายและแรงใจทั้งหมดสร้างขึ้นมา แต่น่าเสียดายที่ลูกหลานของเขาไม่มีใครเลยซักคนที่สามารถใช้มันได้ อันที่จริงข้าก็คิดจะเก็บมรดกนี้เอาไว้โดยให้ตายไปพร้อมกับข้า ทว่า...มันก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่เรื่องหนึ่ง"
เดี๋ยวนะ...ข่านเป็นลูกหลานของอัลบาติโน่งั้นหรอ? เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ของที่จะโกหกกันได้แน่ หมายความว่าถ้าอาการพิษสุราเรื้อรังของลุงหายขาด ข่านจะกลับมากลายเป็นช่างตีเหล็กชั้นยอดงั้นสินะ? แล้วข้อยกเว้นที่ว่าหมายถึงอะไรกันแน่?
"ข้อยกเว้นอะไร?"
สีหน้าของข่านดูจริงจังขึ้นกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย "ข้ามีบางเรื่องอยากจะถามเจ้า ทำไมเจ้าถึงสามารถใช้ทั้งสองสิ่งนี้ได้? แล้วทำไมแค่มองดูก็รู้ไปถึงคุณค่าของมันแล้ว?"
โดยไม่รอคำตอบจากเรา ข่านยังคงเล่าต่อไป
"ดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่านั้นเหมือนกับยุทธภัณฑ์ที่ถูกสาป โดยแม้จะมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมเกินคำบรรยาย แต่ด้วยเงื่อนไขการสวมใส่ที่ยุ่งยาก ทำให้ภายในหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถสวมใส่และใช้งานมันจริงๆ เลยซักครั้ง ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงค่อยๆ ถูกลืมจนเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาตร์อย่างสมบูรณ์จนกระทั่งไม่มีผู้ใดรู้จักอีก"
เราและข่านเดินขึ้นไปยังชั้นสองพร้อมกับหยุดลงที่ด้านหน้าดาอินสเลฟและวัลฮัลล่า
ข่านใช้ฝ่ามือลูบไล้ไปที่พวกมันเบาๆ และกวักมือเรียกเราเข้าไป
"ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้ว ว่าข้าต้องการให้ผู้คนรับรู้ถึงความสุดยอดและมูลค่าอันมหาศาลของดาอินสเลฟและวัลฮัลล่า จึงได้นำมันมาจัดวางไว้ในที่สะดุดตาผู้คนเช่นนี้ แต่การจะเข้าถึงความสุดยอดของศิลปะชั้นสูงได้ ผู้ที่ได้พบเห็นจำเป็นจะต้องมีทักษะและวิสัยทัศน์ในระดับเดียวกับผู้ที่สร้างมันขึ้นมา ทำให้แม้จะวางเอาไว้เป็นเวลานานหลายสิบปี แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดเห็นถึงความสุดยอดของมันมาก่อน"
ข่านหันมาจ้องเราด้วยแววตาแปลกประหลาด
"จนกระทั่งเจ้ามาถึงที่นี่"
เรื่องเล่าอันแสนน่าเบื่อกำลังจะเริ่มขึ้นหลังจากนี้สินะ...
"มีคำบอกเล่ากันปากต่อปากที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลของข้า"
"ราว 130 ปีก่อน ชายคนหนึ่งผู้มีนามว่าแพ็กม่าได้ปรากฏตัวขึ้นที่โรงตีเหล็กแห่งนี้ ทันทีที่เขาได้เห็นดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าถูกวางกองจนฝุ่นเขรอะอยู่ที่มุมห้อง...แพ็กม่าก็สามารถรับรู้ได้ถึงคุณค่าและความยิ่งใหญ่ของยุทธภัณฑ์ทั้งสองในทันที"
ในขณะที่เล่าไป ดวงตาของข่านก็เปล่งประกายตลอดเวลา
"แพ็กม่าได้กล่าวชื่นชมดาอินสเลฟและวัลฮัลล่าอย่างไม่หยุดปาก เท่านั้นยังไม่พอ เขายังสำแดงความเป็นสุดยอดนักดาบด้วยการกวัดแกว่งดาอินสเลฟให้ผู้คนในโรงตีเหล็กได้รับชม"
"เมื่อยอดดาบอยู่ในมือของยอดนักดาบ ความงดงามที่แท้จริงของดาอินเสลฟจึงปรากฏออกมาสู่สายตาผู้คน ว่ากันว่า การกวัดแกว่งดาบของแพ็กม่าได้ทำให้เกิดเสียงฟ้าร้องคำรามไปทั่วท้องฟ้า"
ยอดเลยแฮะ...ถึงมันจะฟังดูเหมือนนิทานกล่อมเด็กก็เถอะ! แต่นี่มันยอดเยี่ยมไปเลยไม่ใช่รึไง?
ข่านยังคงเล่าต่อไปอย่างตั้งใจ "ทันทีที่บรรพบุรุษของข้าได้เห็นความสุดยอดในวิถีแห่งดาบของแพ็กม่า พวกเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอร้องแพ็กม่าในทันที 'ได้โปรดนำดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าติดตัวท่านไปด้วย...นี่เป็นความประสงค์ของบรรพบุรุษพวกเรา!'"
"เอ๋? เรื่องราวไปถึงขั้นนั้นเลยหรือ? แล้วเป็นไงบ้าง...แพ็กม่าได้รับไว้รึเปล่า?"
"ไม่...ถ้าหากแพ็กม่านำติดตัวไปด้วยในวันนั้น ดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าก็คงไม่มาอยู่กับข้าในวันนี้แน่ คำพูดที่แพ็กม่าตอบปฏิเสธออกมาในวันนั้นก็คือ 'งานศิลปะชั้นยอดทั้งสองชิ้นนี้ต่างเต็มไปด้วยจิตวิญญานอันแรงกล้าของอัลบาติโน่...คุณสมบัติและความงดงามของมันจึงเจิดจรัสเหนือยุทธภัณฑ์ใดๆ บนโลก ดังนั้นพวกมันจึงไม่ควรลดตัวมาอยู่ในมือของผู้ชายตัวเล็กๆ เช่นข้า' การยืนกรานอย่างหนักแน่นของแพ็กม่าได้ทำให้บรรพบุรุษของข้าต้องล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป"
เราไม่เข้าใจช่ายที่ชื่อแพ็กม่าเลยซักนิด ไม่สิ...เราไม่เข้าใจว่า ในเมื่อมันเป็นของฟรีโดยที่อีกฝ่ายเต็มใจ ทำไมเขาถึงไม่รับมันไว้? ถึงไม่ใช้ก็ยังเอาไปขายได้นี่นา...
'อา...จริงสิ บางที่แพ็กม่าคงจะเป็นคนที่รวยเอามากๆ จนไม่สนใจเรื่องเงินทองอีกต่อไปแล้ว'
ในเรื่องนี้ ยิ่งคิดเราก็ยิ่งสับสนมากขึ้น
"แพ็กม่าได้ทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนที่เขาจะจากไปว่า 'แม้ในตอนนี้จะยังไม่มีผู้ใดที่สามารถใช้งานมันได้ แต่ในอนาคตอันใกล้ ฮีโร่มากมายจะปรากฏตัวขึ้นจากทุกหนทุกแห่ง แล้วซักวันหนึ่ง...คนที่มีความสามารถมากพอก็จะได้เป็นเจ้านายของพวกมันเอง'"
"......"
เราค่อยๆ ถอดความหมายของคำพูดแพ็กม่าอยู่ในหัว ฮีโร่ที่ว่านั้นคงจะหมายถึงผู้เล่นทั่วไป อัตราการเติบโตตัวละครของผู้เล่นนั้นสูงจนยากประเมินได้ ดังนั้นอีกไม่นานก็จะมีผู้เล่นติดอันดับซักคนที่สามารถสวมใส่ดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าได้แน่
'เราไม่ต้องการเสียสองสิ่งนี้ให้กับใครทั้งนั้น'
เราจึงตัดสินใจถามข่านออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม "แล้วที่เล่ามาซะยาว ลุงหมายถึงอะไรกันแน่?"
ข่านรีบตอบกลับมาในทันที "ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นใครกัน?"
"ลุงคิดว่าผมเป็นฮีโร่ที่แพ็กม่าพูดถึงงั้นหรอ?"
"ถูกต้อง...ข้าเคยบอกไปแล้วนี่ ว่ามีข้อยกเว้นอยู่ ถ้าเจ้าสามารถพิสูนจ์ได้ว่าตนเองคือฮีโร่ที่แพ็กม่าพูดถึง ข้าก็ยินดีที่จะมอบดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าให้โดยไม่คิดเงิน"
สายตาของข่านบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาตั้งความหวังกับเราไว้มากทีเดียว
เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าภารกิจต่อเนื่องของข่านจะปรากฏขึ้นตอนไหนกันแน่
จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 27 - จบตอน
ขอบคุณค่ะ
ReplyDeleteขอบคุณมากเลยนะคับ
ReplyDeleteขอบคุณครับ
ReplyDeleteได้ขึ้นมาจริงนี่ อะไรหลายๆอย่างในชีวิตคงสะดวกขึ้นอีกเยอะ
ReplyDeleteสนุกมากมายครับ
ReplyDeleteขอบคุณครับ
ReplyDeleteโอ้ย ไอ้คนงก
ReplyDelete