จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 30

       'อะไรล่ะนั่น?'

       เรารู้สึกเหมือนกับถูกเย้ยหยันเมื่อได้เห็นท่าทางหัวเราะอันสุดแสนจะขบขันของแม่   

       "แม่...หัวเราะอะไร?   หรือขำที่ผมบอกว่ามีแฟนแล้ว?"

       ยังอีก...แม่ยังคงไม่หยุดขำ
     
       "ฮุฮุฮะฮะฮะ!   มันไม่น่าตลกไปหน่อยหรอที่เด็กหนุ่มวัย 26 ปีซึ่งไม่เคยมีแฟนเลยซักครั้งจู่ๆ ก็พูดว่ามีแฟนขึ้นมาน่ะ   ยอดเยี่ยมมากลูกแม่  ฮุฮุฮะฮะฮะ!"
     
       "......"
     
       นี่จะต้องเป็นการเยาะเย้ยไม่ผิดแน่   มีลูกคนไหนในโลกบ้างที่ถูกแม่ของตัวเองเยาะเย้ยแบบเรา?    ในขณะที่เราส่ายหัวอย่างเจ็บปวด  พ่อก็พูดเสริมแม่ขึ้นมาแทนที่จะห้ามเธอ

       "แกน่ะ...ภายในปีหน้าควรมีแฟนได้แล้ว   ไม่ใช่ว่ามันถึงเวลาแล้วงั้นหรอ?   เดี๋ยวนะ...ก่อนอื่นแกต้องใช้หนี้ให้หมดซะก่อน   คงไม่มีผู้หญิงคนไหนบนโลกอยากมาคบกับคนที่มีหนี้สินพะรุงพะรังแบบนี้หรอกมั้ง?   อย่ามั่นใจไปนักเลย...การหาแฟนไม่ใช่สิ่งที่ง่ายหรอกนะ   โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อัตคัดขัดสนอย่างแก   คิดว่าผู้หญิงที่ไหนจะรู้สึกมั่นคงบ้างถ้าหากต้องมาคบด้วยน่ะ?   เลิกคิดเรื่องมีแฟนไปก่อนก็แล้วกัน"

       "......"

       ใจร้ายชะมัด...เช้านี้มันอะไรกันเนี่ย?  แทนที่เราจะรู้สึกดื่มด่ำยินดีกับการได้ตื่นเช้า  ทุกอย่างกลับต้องแย่ลงเพราะคำพูดของพ่อและแม่ตัวเอง

       "พ่อกับแม่พูดเกินไปแล้ว!   มันมีสาเหตุหลักที่ผมยังโสดอยู่...และสาเหตุนั้นก็ไม่ใช่เพราะหนี้สินที่ผมก่อด้วย    แต่เป็นเพราะพ่อกับแม่นั่นแหละ!"

       เราค่อยๆ เปล่งคำพูดที่รู้สึกเจ็บแค้นอยู่ในใจออกไป

       "ที่ผมยังโสดอยู่ก็เป็นเพราะพ่อกับแม่...ถ้าหากผมเกิดมาหน้าตาหล่อเหลาเหมือนกับดาราก็คงจะได้มีแฟนสวยๆ ไปนานแล้ว!   ฮึ่ม!  เป็นเพราะผมเกิดมาหน้าตาไม่หล่อยังไงล่ะ!   ถึงไม่มีผู้หญิงคนไหนเหลียวแลเลยซักนิด!"
     
       "ให้ตายสิ!  นี่แกโทษที่พ่อกับแม่ทำให้แกไม่หล่องั้นหรือ?  ดูน้องสาวแกซะก่อน   เธอก็ออกมาจากมดลูกเดียวกันกับแกนั่นแหละ   แต่เธอก็ยังสวยได้    แกรู้รึเปล่าว่าตอนเด็กๆ แกเองก็เกิดมาหน้าตาดีเหมือนเซฮีไม่มีผิดเพี้ยน!"

       "คนเราเค้าไม่ได้สนใจกับที่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวหรอกนะ    อุปนิสัยใจคอเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน...จุ๊จุ๊   ยิ่งพูดออกมาแบบนี้...แกก็ยิ่งดูน่าสมเพชมากขึ้นไปอีก"

       "อึก..."

       เป็นเช้าที่แย่ชะมัด   อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น   กลับต้องโดนเทศนาชุดใหญ่ซะได้   ความสับสนงุนงงได้ผุดขึ้นภายในหัวของเราจนทำอะไรไม่ถูก

       'เราถูกเก็บมาเลี้ยงรึเปล่านะ?'

       บางทีพวกเขาอาจจะไม่ใช่พ่อกับแม่แท้ๆ ของเราก็ได้
     
       'พ่อกับแม่บอกว่าตอนเด็กๆ หน้าตาของเราดูดีเหมือนกับเซฮี...แต่พวกเขาจะใช่พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเรารึเปล่า?   หรือว่าไปเก็บมาจากไหนกันแน่?'

       อย่างบอกนะว่าคนที่เลี้ยงดูเรามาตลอด 26 ปี...แท้จริงแล้วไม่ใช่พ่อแม่ของเรา?   พ่อแม่ที่แท้จริงของเราเป็นใครกัน?    ตอนนี้พวกเขาไปอยู่ที่ไหนนะ?
     
       ...บ้าฉิบ!  เรามัวคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่ได้ยังไง?   ใกล้ถึงเวลาต้องออกไปทำงานแล้ว   ไม่มีเวลามัวให้คิดฟุ้งซ่านได้อีก   เราค่อยๆ ใจเย็นลงพร้อมกับเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวและเริ่มบทสนทนาใหม่กับพ่อ

       "พ่อ...คุณปู่เป็นยังไงบ้าง?   ยังสบายดีอยู่มั้ย?"

       "หืม?  ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้สนใจเรื่องปู่ขึ้นมาได้?"
     
       "มีเอ็นพีซีช่างตีเหล็กแก่ๆ ในเกมอยู่คนหนึ่ง...เขาทำให้ผมนึกถึงความทรงจำตอนที่ได้พบกับคุณปู่   เรื่องราวในสมัยเด็กก็เลยผุดเข้ามาในหัวโดยไม่รู้ตัว"
     
       ...เดี๋ยวนะ  พ่อจะโกรธอีกมั้ยเนี่ยที่เราพูดเรื่องเกม?   ไม่สิ...บางทีอาจถึงขั้นชกเราเลยก็ได้
     
       "ถ้าเกิดว่าแกคิดถึงเขาล่ะก็..."  พ่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย  "เดือนหน้าก็มาด้วยกันซะเลยสิ   พวกเรามีแผนจะไปเยี่ยมคุณปู่ของแกอยู่พอดี   แล้วแกก็ควรรู้สึกผิดให้มากๆ ด้วย   ที่ไม่ยอมไปพบหน้าเขานานถึงหนึ่งปีเต็ม"

       ตั้งแต่ 7 ปีก่อน  ครอบครัวของเรามีกำหนดการณ์ต้องไปเยี่ยมคุณปู่ในทุกวันหยุดยาวประจำปี   เพราะเมื่อ 7 ปีที่แล้วคุณย่าได้เสียชีวิตไป   เพื่อไม่ให้คุณปู่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยว  พ่อและแม่จึงต้องไปเยี่ยมเยียนให้ได้บ่อยครั้งมากที่สุด    ทั้งคู่เคยพยายามรบเร้าคุณปู่ให้มาอยู่ด้วยกันหลายต่อครั้ง  แต่ท่านก็ยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็งไปซะทุกครั้ง  โดยให้เหตุผลว่ากลัวจะไปเป็นภาระลูกหลานซะเปล่าๆ

       เรานั้นเป็นที่รักของคุณปู่อย่างมากมาตั้งแต่เด็ก   ดังนั้นตั้งแต่ 7 ปีก่อนเราก็ไปเยี่ยมเยียนคุณปู่มาตลอดจนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว...ปีที่เราเริ่มเล่นซาทิสฟาย   นับแต่นั้นเราก็เอาแต่เล่นเกมโดยไม่สนใจไปเยี่ยมท่านอีกเลย

       'เราช่างเป็นหลานที่อกตัญญูซะจริง...'

       ปู่ของเราจะรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนกับข่านรึเปล่านะ?   เราเริ่มเป็นห่วงขึ้นมา...เพราะภาพความโดดเดี่ยวของข่านได้ทำให้เรารู้สึกเข้าใจหัวอกชายชราผู้เดียวดายไม่น้อยเลย    บางทีในอนาคต  เราควรไปเยี่ยมคุณปู่ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

       "ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร"

       หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ  เราก็รีบตรงดิ่งไปยังสำนักงานจัดหาแรงงานในทันที   ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยมากันมากขึ้นเรื่อยๆ    ภายในห้องยังคงตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสูบเช่นเคย   และเป็นอีกครั้งที่เราต้องรู้สึกเวียนหัวเพราะควันบุหรี่
     
       'ทำไมถึงได้ชอบสูบบุหรี่กันนักนะ?   เป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์ไม่ใช่รึไงกัน?  ถ้าเรามีเงินเหลือมากพอจะไปซื้อบุหรี่มาสูบเล่นล่ะก็...'

       ช่างเถอะ...จะยอมอดทนต่อไปอีกซักนิดก็ได้  ไว้เราพร้อมผลิตไอเท็มในซาทิสฟายเมื่อไร   เราจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นอันขาด   ถึงตอนนั้นเราจะร่ำรวยจากการผลิตไอเท็มขายและแลกเปลี่ยนเป็นเงินจริง    ซาทิสฟายจะกลายเป็นอาชีพหลักไปในทันที  เราสามารถนอนในแคปซูลหาเงินได้ทั้งวันโดยที่ไม่ต้องฟังเสียงบ่นจากพ่อและแม่   แต่ก่อนหน้านั้น  เราจะต้องเอาชนะการแข่งกับบริษัทเมโร่ให้ได้ซะก่อน

       'ในการที่จะใช้โรงตีเหล็กของข่านเป็นฐานการผลิตไอเท็ม  เราจำเป็นจะต้องรักษาที่นั่นเอาไว้ให้ได้'

       ...
     
       ...
     
       ณ สำนักงานบริษัทเมโร่สาขาวินสตัน

       บัลมงต์มีสีหน้าไม่ค่อยเป็นปลื้มนัก   นั่นก็เพราะว่ามือขวาคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด 'แร็บบิท'   ได้ทำให้บัลมงต์ต้องผิดหวังในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก

       "ทำไมถึงต้องทำอะไรที่มันยุ่งยากแบบนี้ด้วย?"

       แข่งขันผลิตไอเท็มงั้นหรอ?  บัลมงต์ไม่เข้าใจความคิดของแร็บบิทแม้แต่น้อย

       "ถ้าข่านมันไม่สามารถใช้หนี้ได้  เราก็ยึดโรงตีเหล็กที่มันใช้เป็นหลักค้ำประกันมาซะเลยสิ!   แล้วสภาพของข่านในตอนนี้ก็ไม่มีปัญญาชดใช้หนี้อยู่แล้ว   โรงตีเหล็กจะตกเป็นของข้าเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!   แต่ข้าต้องการให้มันจบเร็วขึ้น  ถึงได้ติดสินใจให้แกไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง   แล้วนี่อะไร?   ลืมหน้าที่ไปแล้วรึไงกัน?"
     
       โผละ!
           
       บัลมงต์ขว้างผลแอปเปิ้ลที่ตนกัดไปได้เพียงคำเดียวใส่กำแพงอย่างรุนแรง    เศษแอปเปิ้ลแตกกระจัดกระจายไปรอบห้อง   โดยส่วนหนึ่งกระเด็นติดใบหน้าของแร็บบิทจนเลอะเทอะ   แร็บบิทค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวออกมาอย่างสุขุมพร้อมกับเช็ดพวกเศษแอปเปิ้ลออกไป

       เมื่อได้เห็นท่าทีอันแสนใจเย็นของแร็บบิท   บัลมงต์ก็ยิ่งโกรธเคืองมากขึ้นกว่าเดิม  "ทำไมแกถึงได้มอบโอกาสรอดให้มันโดยการจัดแข่งบ้าๆ นี้ขึ้น?   ทำไมกัน?   โรงตีเหล็กที่เคยต้องตกเป็นของข้าแน่นอนกลับมีโอกาสที่ข่านจะรักษามันไว้ได้    นี่ข่านมันติดสินบนแกมาเท่าไรกันแน่?"
     
       แร็บบิทคือคนที่บัลมงค์เคยไว้ใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย  แต่การกระทำเมื่อครู่ได้แสดงให้เห็นถึงตัวตนที่ไม่เคยเชื่อใจใครซักคนของบัลมงต์อย่างชัดเจน

       แร็บบิทค่อยๆ อธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ

       "ในตอนนี้  ฐานความมั่งคั่งสำคัญของเราก็คือวินสตัน   แต่ช่างน่าเศร้าที่ชาวบ้านกลับมองพวกเราเป็นเพียงศัตรูเท่านั้น   หากคำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาวแล้ว  การเป็นมิตรกับชาวบ้านคือทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้   ถ้าได้ชาวบ้านคอยช่วยเหลือ  บริษัทเมโร่ของเราก็จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น   ดังนั้น  การที่เราจะไปกว้านยึดที่ดินของชาวบ้านมาเป็นของบริษัทเมโร่   พวกเขาคงเกิดความไม่พอใจมากแน่"

       "ยึดที่ดิน...มาเป็นของบริษัท?  บ้ารึเปล่า?   ไอ้พวกชาวบ้านหน้าเงินมันขายที่ดินมาให้ข้าอย่างถูกต้องตามกฏหมายทั้งนั้น   แล้วตอนนี้จะมาเรียกร้องเอาอะไรในวันที่หมู่บ้านเจริญจนที่ดินมีมูลค่าสูงขั้นงั้นหรอ?   ไอ้พวกเห็นแก่เงินเอ้ย!"

       "พวกชาวบ้านคงจะไม่ว่าอะไรถ้าหากเราใช้กำไรที่ได้จากที่ดินไปจุนเจือพวกเขาบ้าง   หลังจากนั้นชาวบ้านก็จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยพัฒนาบริษัทเมโร่ในระยะยาวเอง"

       "แกกำลังจะบอกว่าข้าคือผู้ร้ายสินะ?  ให้ตายสิ!   ขนาดข้าพัฒนาหมู่บ้านให้มั่งคั่งขนาดนี้ยังโดนพวกชาวบ้านหน้าโง่นั่นวิจารณ์ได้อีก"

       "...'อย่าได้เห็นอกเห็นใจผู้คน...ถ้าอยากรวยก็ทำต้องทุกอย่างที่ได้เงินเท่านั้น'   กระผมรู้ดีกว่าท่านใช้หลักการนี้ทำธุรกิจมาโดยตลอด   แต่ครั้งนี้กระผมขอเห็นต่างเล็กน้อย  การกุมหัวใจผู้คนจำนวนมากก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจเช่นกัน   หากทำสำเร็จ  เงินทองก็จะไหลมาเทมาโดยธรรมชาติ   พวกเขาจะรู้สึกขอบคุณบริษัทเมโร่และคอยเป็นลูกค้าคนสำคัญให้เราในวันข้างหน้า"

       "นี่แก...!"   บัลมงต์จ้องมองแร็บบิทด้วยแววตาถมึงทึงปานจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้  "ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า!   ข้าไม่ใช่เด็กอีกแล้ว!   ตอนนี้แกต้องทำตามที่ข้าสั่งเท่านั้น!  แล้วไอ้การแข่งไร้สาระนั่นหมายความว่ายังไง?   แกยังไม่ได้อธิบายมาเลยนะ"

       'บัลมงต์คงมาได้แค่นี้กระมัง...ไม่มีทางที่บริษัทเมโร่จะเติบโตได้มากกว่านี้แน่  ถ้าหากเขายังคงบริหารอยู่'

       เหตุผลที่บริษัทเมโร่เติบโตมาได้ถึงจุดนี้เป็นเพราะตัวบัลมงต์เองก็จริง   แต่ในอดีตเขามักจะคอยฟังคำแนะนำชั้นยอดของแร็บบิทอยู่เสมอ   ทว่าตอนนี้บัลมงต์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว   เขาเต็มไปด้วยความดื้อรั้นและทระนงตนสูง   คำแนะนำของแร็บบิทจึงฟังดูไม่เข้าหูอีกต่อไป
     
       'เสร็จงานนี้เมื่อไรคงได้เวลาแยกทางกันซักที'

       แร็บบิทตัดสินใจอย่างแน่วแน่อยู่ภายในใจ   หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยปากอธิบายถึงแนวคิดการแข่งขันกับข่านให้บัลมงต์ฟัง

       "ตัวตนของข่านนั้นเป็นดั่งฮีโร่ของชาวบ้านที่ยังไม่ย้อมแพ้ต่อบริษัทเมโร่   ชาวบ้านวินสตันที่นิยมชมชอบในตัวข่านมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ    ในสถานการณ์เช่นนี้  ถ้าหากเราใช้กำลังเพื่อยึดโรงตีเหล็กของข่านมาอย่างไม่ชอบธรรม   เกรงว่าชาวบ้านอาจก่อจลาจลขึ้นและเริ่มแข็งข้อต่อพวกเรา   พวกเขาจะรวมหัวกันต่อต้านทุกสิ่งที่เป็นของบริษัทเมโร่   นั่นเป็นสิ่งที่ยากมากที่สุดที่เราจะรับมือได้"

       เมื่อได้คิดตามอย่างใจเย็น  บัลมงต์ก็เริ่มตั้งใจฟังมากขึ้น

       แร็บบิทยังคงอธิบายต่อไป
     
       "กระผมมั่นใจเป็นอย่างมาก  ว่าเราสามารถสร้างมุมมองใหม่ของชาวบ้านที่มีต่อเราได้ในการแข่งครั้งนี้   ท่านลองคิดดูสิ...'ทำไมบริษัทเมโร่ต้องให้โอกาสข่านกันนะ?   ที่จริงพวกมันจะยึดโรงตีเหล็กไปเลยก็ได้แท้ๆ...'   ชาวบ้านจะเริ่มเกิดความสงสัยขึ้น    หลังจากนั้นกระผมก็จะประกาศออกไปว่า 'บริษัทเมโร่เห็นถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของข่าน  จึงตัดสินใจให้โอกาสครั้งสุดท้ายเป็นการแข่งผลิตไอเท็ม'  หลังจากนั้นพวกชาวบ้านก็จะมองบริษัทเมโร่ในมุมใหม่   กลายเป็นมิตรมากกว่าศัตรู   เมโร่ก็จะกลายเป็นบริษัทที่ไม่เห็นแก่เงินในสายตาพวกเขา  แล้วทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น..."

       "...เราจะได้ลูกค้าที่ซื่อสัตย์เพิ่มงั้นหรอ?"

       "ถูกต้อง"

       "หืม...แบบนี้นี่เอง"
     
       แม้บัลมงต์จะยังไม่แสดงออกถึงการเห็นด้วยอย่างเต็มที่  แต่สิ่งไหนที่เริ่มขึ้นไปแล้วเขาก็ไม่อยากไปขัดขวางกลางคัน    นอกจากการปล่อยให้แร็บบิทจัดการแล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่นอีก

       "ถ้าเจ้าไปจ้างช่างตีเหล็กที่เก่งๆ มา...พวกเราก็จะชนะอย่างแน่นอนใช่มั้ย?"

       "แน่นอนขอรับ"

       "แถมคู่ต่อสู้ก็ยังไม่ใช่ข่านอีกด้วยงั้นหรอ?"

       "จากกระผมได้สืบมา  เด็กหนุ่มคนนั้นแทบไม่มีใครรู้จักเลย   ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ช่างตีเหล็กด้วยซ้ำ"

       "งั้นก็ดี   ไปจ้างช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดมาซะ  เรื่องเงินไม่มีปัญหา"

       แม้บัลมงต์จะมีข้อเสียอยู่มากมาย   แต่ข้อดีที่สุดของเขาคือการตัดสินใจที่เด็ดขาดเฉียบแหลม    เพราะถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น  บริษัทเมโร่ก็คงไม่มีทางเติบโตได้ถึงขนาดนี้แน่
     
       แร็บบิทยิ้มอย่างพึงพอใจพร้อมกับพูดว่า  "กระผมติดสินใจได้แล้วว่าจะจ้างใคร"

       ไม่ว่าข่านจะมีสภาพร่างกายที่เลวร้ายขนาดไหน  แต่ข่านก็ไม่โง่พอจะให้คนที่ไม่มีประสบการณ์ลงแข่งแทนแน่   แร็บบิทจึงตามสืบเกี่ยวกับกริดทุกฝีก้าว   การพบหน้ากริดครั้งแรกทำให้แร็บบิทเคลือบแคลงสงสัยไม่น้อย  เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ดูไม่มีประสบการณ์เลยซักนิด   สัญชาติญานหยั่งรู้อันตรายของแร็บบิทไม่ทำงานเหมือนกับทุกที

       แต่ไม่ว่ายังไงแร็บบิทก็ต้องจ้างช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดมาสู้อยู่ดี  บริษัทเมโร่จะแพ้ในการแข่งครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด
     
       'เราจะประมาทไม่ได้'
     
       แร็บบิทมีอุปนิสัยที่รอบคอบระมัดระวังอยู่เสมอ   การลงมือทำสิ่งใดต้องได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด   ครั้งนี้เองก็เช่นกัน   ช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดในรายชื่อจึงถูกจ้างเข้ามา

จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 30 - จบตอน

Comments

  1. นั้นไง อิกริดมัวแต่สบายใจกับไอเทมแรร์

    ReplyDelete
  2. This comment has been removed by a blog administrator.

    ReplyDelete
  3. สนุกมากมายครับ

    ReplyDelete
  4. ไม่รู้จะว่าจ้างผู้เล่นหรือnpc

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00