จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 30
'อะไรล่ะนั่น?'
เรารู้สึกเหมือนกับถูกเย้ยหยันเมื่อได้เห็นท่าทางหัวเราะอันสุดแสนจะขบขันของแม่
"แม่...หัวเราะอะไร? หรือขำที่ผมบอกว่ามีแฟนแล้ว?"
ยังอีก...แม่ยังคงไม่หยุดขำ
"ฮุฮุฮะฮะฮะ! มันไม่น่าตลกไปหน่อยหรอที่เด็กหนุ่มวัย 26 ปีซึ่งไม่เคยมีแฟนเลยซักครั้งจู่ๆ ก็พูดว่ามีแฟนขึ้นมาน่ะ ยอดเยี่ยมมากลูกแม่ ฮุฮุฮะฮะฮะ!"
"......"
นี่จะต้องเป็นการเยาะเย้ยไม่ผิดแน่ มีลูกคนไหนในโลกบ้างที่ถูกแม่ของตัวเองเยาะเย้ยแบบเรา? ในขณะที่เราส่ายหัวอย่างเจ็บปวด พ่อก็พูดเสริมแม่ขึ้นมาแทนที่จะห้ามเธอ
"แกน่ะ...ภายในปีหน้าควรมีแฟนได้แล้ว ไม่ใช่ว่ามันถึงเวลาแล้วงั้นหรอ? เดี๋ยวนะ...ก่อนอื่นแกต้องใช้หนี้ให้หมดซะก่อน คงไม่มีผู้หญิงคนไหนบนโลกอยากมาคบกับคนที่มีหนี้สินพะรุงพะรังแบบนี้หรอกมั้ง? อย่ามั่นใจไปนักเลย...การหาแฟนไม่ใช่สิ่งที่ง่ายหรอกนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อัตคัดขัดสนอย่างแก คิดว่าผู้หญิงที่ไหนจะรู้สึกมั่นคงบ้างถ้าหากต้องมาคบด้วยน่ะ? เลิกคิดเรื่องมีแฟนไปก่อนก็แล้วกัน"
"......"
ใจร้ายชะมัด...เช้านี้มันอะไรกันเนี่ย? แทนที่เราจะรู้สึกดื่มด่ำยินดีกับการได้ตื่นเช้า ทุกอย่างกลับต้องแย่ลงเพราะคำพูดของพ่อและแม่ตัวเอง
"พ่อกับแม่พูดเกินไปแล้ว! มันมีสาเหตุหลักที่ผมยังโสดอยู่...และสาเหตุนั้นก็ไม่ใช่เพราะหนี้สินที่ผมก่อด้วย แต่เป็นเพราะพ่อกับแม่นั่นแหละ!"
เราค่อยๆ เปล่งคำพูดที่รู้สึกเจ็บแค้นอยู่ในใจออกไป
"ที่ผมยังโสดอยู่ก็เป็นเพราะพ่อกับแม่...ถ้าหากผมเกิดมาหน้าตาหล่อเหลาเหมือนกับดาราก็คงจะได้มีแฟนสวยๆ ไปนานแล้ว! ฮึ่ม! เป็นเพราะผมเกิดมาหน้าตาไม่หล่อยังไงล่ะ! ถึงไม่มีผู้หญิงคนไหนเหลียวแลเลยซักนิด!"
"ให้ตายสิ! นี่แกโทษที่พ่อกับแม่ทำให้แกไม่หล่องั้นหรือ? ดูน้องสาวแกซะก่อน เธอก็ออกมาจากมดลูกเดียวกันกับแกนั่นแหละ แต่เธอก็ยังสวยได้ แกรู้รึเปล่าว่าตอนเด็กๆ แกเองก็เกิดมาหน้าตาดีเหมือนเซฮีไม่มีผิดเพี้ยน!"
"คนเราเค้าไม่ได้สนใจกับที่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวหรอกนะ อุปนิสัยใจคอเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน...จุ๊จุ๊ ยิ่งพูดออกมาแบบนี้...แกก็ยิ่งดูน่าสมเพชมากขึ้นไปอีก"
"อึก..."
เป็นเช้าที่แย่ชะมัด อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น กลับต้องโดนเทศนาชุดใหญ่ซะได้ ความสับสนงุนงงได้ผุดขึ้นภายในหัวของเราจนทำอะไรไม่ถูก
'เราถูกเก็บมาเลี้ยงรึเปล่านะ?'
บางทีพวกเขาอาจจะไม่ใช่พ่อกับแม่แท้ๆ ของเราก็ได้
'พ่อกับแม่บอกว่าตอนเด็กๆ หน้าตาของเราดูดีเหมือนกับเซฮี...แต่พวกเขาจะใช่พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเรารึเปล่า? หรือว่าไปเก็บมาจากไหนกันแน่?'
อย่างบอกนะว่าคนที่เลี้ยงดูเรามาตลอด 26 ปี...แท้จริงแล้วไม่ใช่พ่อแม่ของเรา? พ่อแม่ที่แท้จริงของเราเป็นใครกัน? ตอนนี้พวกเขาไปอยู่ที่ไหนนะ?
...บ้าฉิบ! เรามัวคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่ได้ยังไง? ใกล้ถึงเวลาต้องออกไปทำงานแล้ว ไม่มีเวลามัวให้คิดฟุ้งซ่านได้อีก เราค่อยๆ ใจเย็นลงพร้อมกับเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวและเริ่มบทสนทนาใหม่กับพ่อ
"พ่อ...คุณปู่เป็นยังไงบ้าง? ยังสบายดีอยู่มั้ย?"
"หืม? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้สนใจเรื่องปู่ขึ้นมาได้?"
"มีเอ็นพีซีช่างตีเหล็กแก่ๆ ในเกมอยู่คนหนึ่ง...เขาทำให้ผมนึกถึงความทรงจำตอนที่ได้พบกับคุณปู่ เรื่องราวในสมัยเด็กก็เลยผุดเข้ามาในหัวโดยไม่รู้ตัว"
...เดี๋ยวนะ พ่อจะโกรธอีกมั้ยเนี่ยที่เราพูดเรื่องเกม? ไม่สิ...บางทีอาจถึงขั้นชกเราเลยก็ได้
"ถ้าเกิดว่าแกคิดถึงเขาล่ะก็..." พ่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย "เดือนหน้าก็มาด้วยกันซะเลยสิ พวกเรามีแผนจะไปเยี่ยมคุณปู่ของแกอยู่พอดี แล้วแกก็ควรรู้สึกผิดให้มากๆ ด้วย ที่ไม่ยอมไปพบหน้าเขานานถึงหนึ่งปีเต็ม"
ตั้งแต่ 7 ปีก่อน ครอบครัวของเรามีกำหนดการณ์ต้องไปเยี่ยมคุณปู่ในทุกวันหยุดยาวประจำปี เพราะเมื่อ 7 ปีที่แล้วคุณย่าได้เสียชีวิตไป เพื่อไม่ให้คุณปู่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยว พ่อและแม่จึงต้องไปเยี่ยมเยียนให้ได้บ่อยครั้งมากที่สุด ทั้งคู่เคยพยายามรบเร้าคุณปู่ให้มาอยู่ด้วยกันหลายต่อครั้ง แต่ท่านก็ยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็งไปซะทุกครั้ง โดยให้เหตุผลว่ากลัวจะไปเป็นภาระลูกหลานซะเปล่าๆ
เรานั้นเป็นที่รักของคุณปู่อย่างมากมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นตั้งแต่ 7 ปีก่อนเราก็ไปเยี่ยมเยียนคุณปู่มาตลอดจนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว...ปีที่เราเริ่มเล่นซาทิสฟาย นับแต่นั้นเราก็เอาแต่เล่นเกมโดยไม่สนใจไปเยี่ยมท่านอีกเลย
'เราช่างเป็นหลานที่อกตัญญูซะจริง...'
ปู่ของเราจะรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนกับข่านรึเปล่านะ? เราเริ่มเป็นห่วงขึ้นมา...เพราะภาพความโดดเดี่ยวของข่านได้ทำให้เรารู้สึกเข้าใจหัวอกชายชราผู้เดียวดายไม่น้อยเลย บางทีในอนาคต เราควรไปเยี่ยมคุณปู่ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร"
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ เราก็รีบตรงดิ่งไปยังสำนักงานจัดหาแรงงานในทันที ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยมากันมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องยังคงตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสูบเช่นเคย และเป็นอีกครั้งที่เราต้องรู้สึกเวียนหัวเพราะควันบุหรี่
'ทำไมถึงได้ชอบสูบบุหรี่กันนักนะ? เป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์ไม่ใช่รึไงกัน? ถ้าเรามีเงินเหลือมากพอจะไปซื้อบุหรี่มาสูบเล่นล่ะก็...'
ช่างเถอะ...จะยอมอดทนต่อไปอีกซักนิดก็ได้ ไว้เราพร้อมผลิตไอเท็มในซาทิสฟายเมื่อไร เราจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นอันขาด ถึงตอนนั้นเราจะร่ำรวยจากการผลิตไอเท็มขายและแลกเปลี่ยนเป็นเงินจริง ซาทิสฟายจะกลายเป็นอาชีพหลักไปในทันที เราสามารถนอนในแคปซูลหาเงินได้ทั้งวันโดยที่ไม่ต้องฟังเสียงบ่นจากพ่อและแม่ แต่ก่อนหน้านั้น เราจะต้องเอาชนะการแข่งกับบริษัทเมโร่ให้ได้ซะก่อน
'ในการที่จะใช้โรงตีเหล็กของข่านเป็นฐานการผลิตไอเท็ม เราจำเป็นจะต้องรักษาที่นั่นเอาไว้ให้ได้'
...
...
ณ สำนักงานบริษัทเมโร่สาขาวินสตัน
บัลมงต์มีสีหน้าไม่ค่อยเป็นปลื้มนัก นั่นก็เพราะว่ามือขวาคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด 'แร็บบิท' ได้ทำให้บัลมงต์ต้องผิดหวังในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
"ทำไมถึงต้องทำอะไรที่มันยุ่งยากแบบนี้ด้วย?"
แข่งขันผลิตไอเท็มงั้นหรอ? บัลมงต์ไม่เข้าใจความคิดของแร็บบิทแม้แต่น้อย
"ถ้าข่านมันไม่สามารถใช้หนี้ได้ เราก็ยึดโรงตีเหล็กที่มันใช้เป็นหลักค้ำประกันมาซะเลยสิ! แล้วสภาพของข่านในตอนนี้ก็ไม่มีปัญญาชดใช้หนี้อยู่แล้ว โรงตีเหล็กจะตกเป็นของข้าเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น! แต่ข้าต้องการให้มันจบเร็วขึ้น ถึงได้ติดสินใจให้แกไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แล้วนี่อะไร? ลืมหน้าที่ไปแล้วรึไงกัน?"
โผละ!
บัลมงต์ขว้างผลแอปเปิ้ลที่ตนกัดไปได้เพียงคำเดียวใส่กำแพงอย่างรุนแรง เศษแอปเปิ้ลแตกกระจัดกระจายไปรอบห้อง โดยส่วนหนึ่งกระเด็นติดใบหน้าของแร็บบิทจนเลอะเทอะ แร็บบิทค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวออกมาอย่างสุขุมพร้อมกับเช็ดพวกเศษแอปเปิ้ลออกไป
เมื่อได้เห็นท่าทีอันแสนใจเย็นของแร็บบิท บัลมงต์ก็ยิ่งโกรธเคืองมากขึ้นกว่าเดิม "ทำไมแกถึงได้มอบโอกาสรอดให้มันโดยการจัดแข่งบ้าๆ นี้ขึ้น? ทำไมกัน? โรงตีเหล็กที่เคยต้องตกเป็นของข้าแน่นอนกลับมีโอกาสที่ข่านจะรักษามันไว้ได้ นี่ข่านมันติดสินบนแกมาเท่าไรกันแน่?"
แร็บบิทคือคนที่บัลมงค์เคยไว้ใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การกระทำเมื่อครู่ได้แสดงให้เห็นถึงตัวตนที่ไม่เคยเชื่อใจใครซักคนของบัลมงต์อย่างชัดเจน
แร็บบิทค่อยๆ อธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ
"ในตอนนี้ ฐานความมั่งคั่งสำคัญของเราก็คือวินสตัน แต่ช่างน่าเศร้าที่ชาวบ้านกลับมองพวกเราเป็นเพียงศัตรูเท่านั้น หากคำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาวแล้ว การเป็นมิตรกับชาวบ้านคือทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ถ้าได้ชาวบ้านคอยช่วยเหลือ บริษัทเมโร่ของเราก็จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น การที่เราจะไปกว้านยึดที่ดินของชาวบ้านมาเป็นของบริษัทเมโร่ พวกเขาคงเกิดความไม่พอใจมากแน่"
"ยึดที่ดิน...มาเป็นของบริษัท? บ้ารึเปล่า? ไอ้พวกชาวบ้านหน้าเงินมันขายที่ดินมาให้ข้าอย่างถูกต้องตามกฏหมายทั้งนั้น แล้วตอนนี้จะมาเรียกร้องเอาอะไรในวันที่หมู่บ้านเจริญจนที่ดินมีมูลค่าสูงขั้นงั้นหรอ? ไอ้พวกเห็นแก่เงินเอ้ย!"
"พวกชาวบ้านคงจะไม่ว่าอะไรถ้าหากเราใช้กำไรที่ได้จากที่ดินไปจุนเจือพวกเขาบ้าง หลังจากนั้นชาวบ้านก็จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยพัฒนาบริษัทเมโร่ในระยะยาวเอง"
"แกกำลังจะบอกว่าข้าคือผู้ร้ายสินะ? ให้ตายสิ! ขนาดข้าพัฒนาหมู่บ้านให้มั่งคั่งขนาดนี้ยังโดนพวกชาวบ้านหน้าโง่นั่นวิจารณ์ได้อีก"
"...'อย่าได้เห็นอกเห็นใจผู้คน...ถ้าอยากรวยก็ทำต้องทุกอย่างที่ได้เงินเท่านั้น' กระผมรู้ดีกว่าท่านใช้หลักการนี้ทำธุรกิจมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กระผมขอเห็นต่างเล็กน้อย การกุมหัวใจผู้คนจำนวนมากก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจเช่นกัน หากทำสำเร็จ เงินทองก็จะไหลมาเทมาโดยธรรมชาติ พวกเขาจะรู้สึกขอบคุณบริษัทเมโร่และคอยเป็นลูกค้าคนสำคัญให้เราในวันข้างหน้า"
"นี่แก...!" บัลมงต์จ้องมองแร็บบิทด้วยแววตาถมึงทึงปานจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ "ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า! ข้าไม่ใช่เด็กอีกแล้ว! ตอนนี้แกต้องทำตามที่ข้าสั่งเท่านั้น! แล้วไอ้การแข่งไร้สาระนั่นหมายความว่ายังไง? แกยังไม่ได้อธิบายมาเลยนะ"
'บัลมงต์คงมาได้แค่นี้กระมัง...ไม่มีทางที่บริษัทเมโร่จะเติบโตได้มากกว่านี้แน่ ถ้าหากเขายังคงบริหารอยู่'
เหตุผลที่บริษัทเมโร่เติบโตมาได้ถึงจุดนี้เป็นเพราะตัวบัลมงต์เองก็จริง แต่ในอดีตเขามักจะคอยฟังคำแนะนำชั้นยอดของแร็บบิทอยู่เสมอ ทว่าตอนนี้บัลมงต์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาเต็มไปด้วยความดื้อรั้นและทระนงตนสูง คำแนะนำของแร็บบิทจึงฟังดูไม่เข้าหูอีกต่อไป
'เสร็จงานนี้เมื่อไรคงได้เวลาแยกทางกันซักที'
แร็บบิทตัดสินใจอย่างแน่วแน่อยู่ภายในใจ หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยปากอธิบายถึงแนวคิดการแข่งขันกับข่านให้บัลมงต์ฟัง
"ตัวตนของข่านนั้นเป็นดั่งฮีโร่ของชาวบ้านที่ยังไม่ย้อมแพ้ต่อบริษัทเมโร่ ชาวบ้านวินสตันที่นิยมชมชอบในตัวข่านมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากเราใช้กำลังเพื่อยึดโรงตีเหล็กของข่านมาอย่างไม่ชอบธรรม เกรงว่าชาวบ้านอาจก่อจลาจลขึ้นและเริ่มแข็งข้อต่อพวกเรา พวกเขาจะรวมหัวกันต่อต้านทุกสิ่งที่เป็นของบริษัทเมโร่ นั่นเป็นสิ่งที่ยากมากที่สุดที่เราจะรับมือได้"
เมื่อได้คิดตามอย่างใจเย็น บัลมงต์ก็เริ่มตั้งใจฟังมากขึ้น
แร็บบิทยังคงอธิบายต่อไป
"กระผมมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าเราสามารถสร้างมุมมองใหม่ของชาวบ้านที่มีต่อเราได้ในการแข่งครั้งนี้ ท่านลองคิดดูสิ...'ทำไมบริษัทเมโร่ต้องให้โอกาสข่านกันนะ? ที่จริงพวกมันจะยึดโรงตีเหล็กไปเลยก็ได้แท้ๆ...' ชาวบ้านจะเริ่มเกิดความสงสัยขึ้น หลังจากนั้นกระผมก็จะประกาศออกไปว่า 'บริษัทเมโร่เห็นถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของข่าน จึงตัดสินใจให้โอกาสครั้งสุดท้ายเป็นการแข่งผลิตไอเท็ม' หลังจากนั้นพวกชาวบ้านก็จะมองบริษัทเมโร่ในมุมใหม่ กลายเป็นมิตรมากกว่าศัตรู เมโร่ก็จะกลายเป็นบริษัทที่ไม่เห็นแก่เงินในสายตาพวกเขา แล้วทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น..."
"...เราจะได้ลูกค้าที่ซื่อสัตย์เพิ่มงั้นหรอ?"
"ถูกต้อง"
"หืม...แบบนี้นี่เอง"
แม้บัลมงต์จะยังไม่แสดงออกถึงการเห็นด้วยอย่างเต็มที่ แต่สิ่งไหนที่เริ่มขึ้นไปแล้วเขาก็ไม่อยากไปขัดขวางกลางคัน นอกจากการปล่อยให้แร็บบิทจัดการแล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่นอีก
"ถ้าเจ้าไปจ้างช่างตีเหล็กที่เก่งๆ มา...พวกเราก็จะชนะอย่างแน่นอนใช่มั้ย?"
"แน่นอนขอรับ"
"แถมคู่ต่อสู้ก็ยังไม่ใช่ข่านอีกด้วยงั้นหรอ?"
"จากกระผมได้สืบมา เด็กหนุ่มคนนั้นแทบไม่มีใครรู้จักเลย ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ช่างตีเหล็กด้วยซ้ำ"
"งั้นก็ดี ไปจ้างช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดมาซะ เรื่องเงินไม่มีปัญหา"
แม้บัลมงต์จะมีข้อเสียอยู่มากมาย แต่ข้อดีที่สุดของเขาคือการตัดสินใจที่เด็ดขาดเฉียบแหลม เพราะถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทเมโร่ก็คงไม่มีทางเติบโตได้ถึงขนาดนี้แน่
แร็บบิทยิ้มอย่างพึงพอใจพร้อมกับพูดว่า "กระผมติดสินใจได้แล้วว่าจะจ้างใคร"
ไม่ว่าข่านจะมีสภาพร่างกายที่เลวร้ายขนาดไหน แต่ข่านก็ไม่โง่พอจะให้คนที่ไม่มีประสบการณ์ลงแข่งแทนแน่ แร็บบิทจึงตามสืบเกี่ยวกับกริดทุกฝีก้าว การพบหน้ากริดครั้งแรกทำให้แร็บบิทเคลือบแคลงสงสัยไม่น้อย เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ดูไม่มีประสบการณ์เลยซักนิด สัญชาติญานหยั่งรู้อันตรายของแร็บบิทไม่ทำงานเหมือนกับทุกที
แต่ไม่ว่ายังไงแร็บบิทก็ต้องจ้างช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดมาสู้อยู่ดี บริษัทเมโร่จะแพ้ในการแข่งครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด
'เราจะประมาทไม่ได้'
แร็บบิทมีอุปนิสัยที่รอบคอบระมัดระวังอยู่เสมอ การลงมือทำสิ่งใดต้องได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดในรายชื่อจึงถูกจ้างเข้ามา
จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 30 - จบตอน
เรารู้สึกเหมือนกับถูกเย้ยหยันเมื่อได้เห็นท่าทางหัวเราะอันสุดแสนจะขบขันของแม่
"แม่...หัวเราะอะไร? หรือขำที่ผมบอกว่ามีแฟนแล้ว?"
ยังอีก...แม่ยังคงไม่หยุดขำ
"ฮุฮุฮะฮะฮะ! มันไม่น่าตลกไปหน่อยหรอที่เด็กหนุ่มวัย 26 ปีซึ่งไม่เคยมีแฟนเลยซักครั้งจู่ๆ ก็พูดว่ามีแฟนขึ้นมาน่ะ ยอดเยี่ยมมากลูกแม่ ฮุฮุฮะฮะฮะ!"
"......"
นี่จะต้องเป็นการเยาะเย้ยไม่ผิดแน่ มีลูกคนไหนในโลกบ้างที่ถูกแม่ของตัวเองเยาะเย้ยแบบเรา? ในขณะที่เราส่ายหัวอย่างเจ็บปวด พ่อก็พูดเสริมแม่ขึ้นมาแทนที่จะห้ามเธอ
"แกน่ะ...ภายในปีหน้าควรมีแฟนได้แล้ว ไม่ใช่ว่ามันถึงเวลาแล้วงั้นหรอ? เดี๋ยวนะ...ก่อนอื่นแกต้องใช้หนี้ให้หมดซะก่อน คงไม่มีผู้หญิงคนไหนบนโลกอยากมาคบกับคนที่มีหนี้สินพะรุงพะรังแบบนี้หรอกมั้ง? อย่ามั่นใจไปนักเลย...การหาแฟนไม่ใช่สิ่งที่ง่ายหรอกนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อัตคัดขัดสนอย่างแก คิดว่าผู้หญิงที่ไหนจะรู้สึกมั่นคงบ้างถ้าหากต้องมาคบด้วยน่ะ? เลิกคิดเรื่องมีแฟนไปก่อนก็แล้วกัน"
"......"
ใจร้ายชะมัด...เช้านี้มันอะไรกันเนี่ย? แทนที่เราจะรู้สึกดื่มด่ำยินดีกับการได้ตื่นเช้า ทุกอย่างกลับต้องแย่ลงเพราะคำพูดของพ่อและแม่ตัวเอง
"พ่อกับแม่พูดเกินไปแล้ว! มันมีสาเหตุหลักที่ผมยังโสดอยู่...และสาเหตุนั้นก็ไม่ใช่เพราะหนี้สินที่ผมก่อด้วย แต่เป็นเพราะพ่อกับแม่นั่นแหละ!"
เราค่อยๆ เปล่งคำพูดที่รู้สึกเจ็บแค้นอยู่ในใจออกไป
"ที่ผมยังโสดอยู่ก็เป็นเพราะพ่อกับแม่...ถ้าหากผมเกิดมาหน้าตาหล่อเหลาเหมือนกับดาราก็คงจะได้มีแฟนสวยๆ ไปนานแล้ว! ฮึ่ม! เป็นเพราะผมเกิดมาหน้าตาไม่หล่อยังไงล่ะ! ถึงไม่มีผู้หญิงคนไหนเหลียวแลเลยซักนิด!"
"ให้ตายสิ! นี่แกโทษที่พ่อกับแม่ทำให้แกไม่หล่องั้นหรือ? ดูน้องสาวแกซะก่อน เธอก็ออกมาจากมดลูกเดียวกันกับแกนั่นแหละ แต่เธอก็ยังสวยได้ แกรู้รึเปล่าว่าตอนเด็กๆ แกเองก็เกิดมาหน้าตาดีเหมือนเซฮีไม่มีผิดเพี้ยน!"
"คนเราเค้าไม่ได้สนใจกับที่รูปลักษณ์ภายนอกเพียงอย่างเดียวหรอกนะ อุปนิสัยใจคอเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน...จุ๊จุ๊ ยิ่งพูดออกมาแบบนี้...แกก็ยิ่งดูน่าสมเพชมากขึ้นไปอีก"
"อึก..."
เป็นเช้าที่แย่ชะมัด อุตส่าห์ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น กลับต้องโดนเทศนาชุดใหญ่ซะได้ ความสับสนงุนงงได้ผุดขึ้นภายในหัวของเราจนทำอะไรไม่ถูก
'เราถูกเก็บมาเลี้ยงรึเปล่านะ?'
บางทีพวกเขาอาจจะไม่ใช่พ่อกับแม่แท้ๆ ของเราก็ได้
'พ่อกับแม่บอกว่าตอนเด็กๆ หน้าตาของเราดูดีเหมือนกับเซฮี...แต่พวกเขาจะใช่พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเรารึเปล่า? หรือว่าไปเก็บมาจากไหนกันแน่?'
อย่างบอกนะว่าคนที่เลี้ยงดูเรามาตลอด 26 ปี...แท้จริงแล้วไม่ใช่พ่อแม่ของเรา? พ่อแม่ที่แท้จริงของเราเป็นใครกัน? ตอนนี้พวกเขาไปอยู่ที่ไหนนะ?
...บ้าฉิบ! เรามัวคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่ได้ยังไง? ใกล้ถึงเวลาต้องออกไปทำงานแล้ว ไม่มีเวลามัวให้คิดฟุ้งซ่านได้อีก เราค่อยๆ ใจเย็นลงพร้อมกับเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวและเริ่มบทสนทนาใหม่กับพ่อ
"พ่อ...คุณปู่เป็นยังไงบ้าง? ยังสบายดีอยู่มั้ย?"
"หืม? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้สนใจเรื่องปู่ขึ้นมาได้?"
"มีเอ็นพีซีช่างตีเหล็กแก่ๆ ในเกมอยู่คนหนึ่ง...เขาทำให้ผมนึกถึงความทรงจำตอนที่ได้พบกับคุณปู่ เรื่องราวในสมัยเด็กก็เลยผุดเข้ามาในหัวโดยไม่รู้ตัว"
...เดี๋ยวนะ พ่อจะโกรธอีกมั้ยเนี่ยที่เราพูดเรื่องเกม? ไม่สิ...บางทีอาจถึงขั้นชกเราเลยก็ได้
"ถ้าเกิดว่าแกคิดถึงเขาล่ะก็..." พ่อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย "เดือนหน้าก็มาด้วยกันซะเลยสิ พวกเรามีแผนจะไปเยี่ยมคุณปู่ของแกอยู่พอดี แล้วแกก็ควรรู้สึกผิดให้มากๆ ด้วย ที่ไม่ยอมไปพบหน้าเขานานถึงหนึ่งปีเต็ม"
ตั้งแต่ 7 ปีก่อน ครอบครัวของเรามีกำหนดการณ์ต้องไปเยี่ยมคุณปู่ในทุกวันหยุดยาวประจำปี เพราะเมื่อ 7 ปีที่แล้วคุณย่าได้เสียชีวิตไป เพื่อไม่ให้คุณปู่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยว พ่อและแม่จึงต้องไปเยี่ยมเยียนให้ได้บ่อยครั้งมากที่สุด ทั้งคู่เคยพยายามรบเร้าคุณปู่ให้มาอยู่ด้วยกันหลายต่อครั้ง แต่ท่านก็ยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็งไปซะทุกครั้ง โดยให้เหตุผลว่ากลัวจะไปเป็นภาระลูกหลานซะเปล่าๆ
เรานั้นเป็นที่รักของคุณปู่อย่างมากมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นตั้งแต่ 7 ปีก่อนเราก็ไปเยี่ยมเยียนคุณปู่มาตลอดจนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว...ปีที่เราเริ่มเล่นซาทิสฟาย นับแต่นั้นเราก็เอาแต่เล่นเกมโดยไม่สนใจไปเยี่ยมท่านอีกเลย
'เราช่างเป็นหลานที่อกตัญญูซะจริง...'
ปู่ของเราจะรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนกับข่านรึเปล่านะ? เราเริ่มเป็นห่วงขึ้นมา...เพราะภาพความโดดเดี่ยวของข่านได้ทำให้เรารู้สึกเข้าใจหัวอกชายชราผู้เดียวดายไม่น้อยเลย บางทีในอนาคต เราควรไปเยี่ยมคุณปู่ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร"
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ เราก็รีบตรงดิ่งไปยังสำนักงานจัดหาแรงงานในทันที ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยมากันมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องยังคงตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นยาสูบเช่นเคย และเป็นอีกครั้งที่เราต้องรู้สึกเวียนหัวเพราะควันบุหรี่
'ทำไมถึงได้ชอบสูบบุหรี่กันนักนะ? เป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยเปล่าประโยชน์ไม่ใช่รึไงกัน? ถ้าเรามีเงินเหลือมากพอจะไปซื้อบุหรี่มาสูบเล่นล่ะก็...'
ช่างเถอะ...จะยอมอดทนต่อไปอีกซักนิดก็ได้ ไว้เราพร้อมผลิตไอเท็มในซาทิสฟายเมื่อไร เราจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นอันขาด ถึงตอนนั้นเราจะร่ำรวยจากการผลิตไอเท็มขายและแลกเปลี่ยนเป็นเงินจริง ซาทิสฟายจะกลายเป็นอาชีพหลักไปในทันที เราสามารถนอนในแคปซูลหาเงินได้ทั้งวันโดยที่ไม่ต้องฟังเสียงบ่นจากพ่อและแม่ แต่ก่อนหน้านั้น เราจะต้องเอาชนะการแข่งกับบริษัทเมโร่ให้ได้ซะก่อน
'ในการที่จะใช้โรงตีเหล็กของข่านเป็นฐานการผลิตไอเท็ม เราจำเป็นจะต้องรักษาที่นั่นเอาไว้ให้ได้'
...
...
ณ สำนักงานบริษัทเมโร่สาขาวินสตัน
บัลมงต์มีสีหน้าไม่ค่อยเป็นปลื้มนัก นั่นก็เพราะว่ามือขวาคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด 'แร็บบิท' ได้ทำให้บัลมงต์ต้องผิดหวังในสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
"ทำไมถึงต้องทำอะไรที่มันยุ่งยากแบบนี้ด้วย?"
แข่งขันผลิตไอเท็มงั้นหรอ? บัลมงต์ไม่เข้าใจความคิดของแร็บบิทแม้แต่น้อย
"ถ้าข่านมันไม่สามารถใช้หนี้ได้ เราก็ยึดโรงตีเหล็กที่มันใช้เป็นหลักค้ำประกันมาซะเลยสิ! แล้วสภาพของข่านในตอนนี้ก็ไม่มีปัญญาชดใช้หนี้อยู่แล้ว โรงตีเหล็กจะตกเป็นของข้าเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น! แต่ข้าต้องการให้มันจบเร็วขึ้น ถึงได้ติดสินใจให้แกไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แล้วนี่อะไร? ลืมหน้าที่ไปแล้วรึไงกัน?"
โผละ!
บัลมงต์ขว้างผลแอปเปิ้ลที่ตนกัดไปได้เพียงคำเดียวใส่กำแพงอย่างรุนแรง เศษแอปเปิ้ลแตกกระจัดกระจายไปรอบห้อง โดยส่วนหนึ่งกระเด็นติดใบหน้าของแร็บบิทจนเลอะเทอะ แร็บบิทค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีขาวออกมาอย่างสุขุมพร้อมกับเช็ดพวกเศษแอปเปิ้ลออกไป
เมื่อได้เห็นท่าทีอันแสนใจเย็นของแร็บบิท บัลมงต์ก็ยิ่งโกรธเคืองมากขึ้นกว่าเดิม "ทำไมแกถึงได้มอบโอกาสรอดให้มันโดยการจัดแข่งบ้าๆ นี้ขึ้น? ทำไมกัน? โรงตีเหล็กที่เคยต้องตกเป็นของข้าแน่นอนกลับมีโอกาสที่ข่านจะรักษามันไว้ได้ นี่ข่านมันติดสินบนแกมาเท่าไรกันแน่?"
แร็บบิทคือคนที่บัลมงค์เคยไว้ใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การกระทำเมื่อครู่ได้แสดงให้เห็นถึงตัวตนที่ไม่เคยเชื่อใจใครซักคนของบัลมงต์อย่างชัดเจน
แร็บบิทค่อยๆ อธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำ
"ในตอนนี้ ฐานความมั่งคั่งสำคัญของเราก็คือวินสตัน แต่ช่างน่าเศร้าที่ชาวบ้านกลับมองพวกเราเป็นเพียงศัตรูเท่านั้น หากคำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาวแล้ว การเป็นมิตรกับชาวบ้านคือทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ถ้าได้ชาวบ้านคอยช่วยเหลือ บริษัทเมโร่ของเราก็จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้น การที่เราจะไปกว้านยึดที่ดินของชาวบ้านมาเป็นของบริษัทเมโร่ พวกเขาคงเกิดความไม่พอใจมากแน่"
"ยึดที่ดิน...มาเป็นของบริษัท? บ้ารึเปล่า? ไอ้พวกชาวบ้านหน้าเงินมันขายที่ดินมาให้ข้าอย่างถูกต้องตามกฏหมายทั้งนั้น แล้วตอนนี้จะมาเรียกร้องเอาอะไรในวันที่หมู่บ้านเจริญจนที่ดินมีมูลค่าสูงขั้นงั้นหรอ? ไอ้พวกเห็นแก่เงินเอ้ย!"
"พวกชาวบ้านคงจะไม่ว่าอะไรถ้าหากเราใช้กำไรที่ได้จากที่ดินไปจุนเจือพวกเขาบ้าง หลังจากนั้นชาวบ้านก็จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยพัฒนาบริษัทเมโร่ในระยะยาวเอง"
"แกกำลังจะบอกว่าข้าคือผู้ร้ายสินะ? ให้ตายสิ! ขนาดข้าพัฒนาหมู่บ้านให้มั่งคั่งขนาดนี้ยังโดนพวกชาวบ้านหน้าโง่นั่นวิจารณ์ได้อีก"
"...'อย่าได้เห็นอกเห็นใจผู้คน...ถ้าอยากรวยก็ทำต้องทุกอย่างที่ได้เงินเท่านั้น' กระผมรู้ดีกว่าท่านใช้หลักการนี้ทำธุรกิจมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้กระผมขอเห็นต่างเล็กน้อย การกุมหัวใจผู้คนจำนวนมากก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจเช่นกัน หากทำสำเร็จ เงินทองก็จะไหลมาเทมาโดยธรรมชาติ พวกเขาจะรู้สึกขอบคุณบริษัทเมโร่และคอยเป็นลูกค้าคนสำคัญให้เราในวันข้างหน้า"
"นี่แก...!" บัลมงต์จ้องมองแร็บบิทด้วยแววตาถมึงทึงปานจะกินเลือดกินเนื้อเสียให้ได้ "ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า! ข้าไม่ใช่เด็กอีกแล้ว! ตอนนี้แกต้องทำตามที่ข้าสั่งเท่านั้น! แล้วไอ้การแข่งไร้สาระนั่นหมายความว่ายังไง? แกยังไม่ได้อธิบายมาเลยนะ"
'บัลมงต์คงมาได้แค่นี้กระมัง...ไม่มีทางที่บริษัทเมโร่จะเติบโตได้มากกว่านี้แน่ ถ้าหากเขายังคงบริหารอยู่'
เหตุผลที่บริษัทเมโร่เติบโตมาได้ถึงจุดนี้เป็นเพราะตัวบัลมงต์เองก็จริง แต่ในอดีตเขามักจะคอยฟังคำแนะนำชั้นยอดของแร็บบิทอยู่เสมอ ทว่าตอนนี้บัลมงต์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขาเต็มไปด้วยความดื้อรั้นและทระนงตนสูง คำแนะนำของแร็บบิทจึงฟังดูไม่เข้าหูอีกต่อไป
'เสร็จงานนี้เมื่อไรคงได้เวลาแยกทางกันซักที'
แร็บบิทตัดสินใจอย่างแน่วแน่อยู่ภายในใจ หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยปากอธิบายถึงแนวคิดการแข่งขันกับข่านให้บัลมงต์ฟัง
"ตัวตนของข่านนั้นเป็นดั่งฮีโร่ของชาวบ้านที่ยังไม่ย้อมแพ้ต่อบริษัทเมโร่ ชาวบ้านวินสตันที่นิยมชมชอบในตัวข่านมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากเราใช้กำลังเพื่อยึดโรงตีเหล็กของข่านมาอย่างไม่ชอบธรรม เกรงว่าชาวบ้านอาจก่อจลาจลขึ้นและเริ่มแข็งข้อต่อพวกเรา พวกเขาจะรวมหัวกันต่อต้านทุกสิ่งที่เป็นของบริษัทเมโร่ นั่นเป็นสิ่งที่ยากมากที่สุดที่เราจะรับมือได้"
เมื่อได้คิดตามอย่างใจเย็น บัลมงต์ก็เริ่มตั้งใจฟังมากขึ้น
แร็บบิทยังคงอธิบายต่อไป
"กระผมมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าเราสามารถสร้างมุมมองใหม่ของชาวบ้านที่มีต่อเราได้ในการแข่งครั้งนี้ ท่านลองคิดดูสิ...'ทำไมบริษัทเมโร่ต้องให้โอกาสข่านกันนะ? ที่จริงพวกมันจะยึดโรงตีเหล็กไปเลยก็ได้แท้ๆ...' ชาวบ้านจะเริ่มเกิดความสงสัยขึ้น หลังจากนั้นกระผมก็จะประกาศออกไปว่า 'บริษัทเมโร่เห็นถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของข่าน จึงตัดสินใจให้โอกาสครั้งสุดท้ายเป็นการแข่งผลิตไอเท็ม' หลังจากนั้นพวกชาวบ้านก็จะมองบริษัทเมโร่ในมุมใหม่ กลายเป็นมิตรมากกว่าศัตรู เมโร่ก็จะกลายเป็นบริษัทที่ไม่เห็นแก่เงินในสายตาพวกเขา แล้วทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น..."
"...เราจะได้ลูกค้าที่ซื่อสัตย์เพิ่มงั้นหรอ?"
"ถูกต้อง"
"หืม...แบบนี้นี่เอง"
แม้บัลมงต์จะยังไม่แสดงออกถึงการเห็นด้วยอย่างเต็มที่ แต่สิ่งไหนที่เริ่มขึ้นไปแล้วเขาก็ไม่อยากไปขัดขวางกลางคัน นอกจากการปล่อยให้แร็บบิทจัดการแล้วก็คงไม่มีทางเลือกอื่นอีก
"ถ้าเจ้าไปจ้างช่างตีเหล็กที่เก่งๆ มา...พวกเราก็จะชนะอย่างแน่นอนใช่มั้ย?"
"แน่นอนขอรับ"
"แถมคู่ต่อสู้ก็ยังไม่ใช่ข่านอีกด้วยงั้นหรอ?"
"จากกระผมได้สืบมา เด็กหนุ่มคนนั้นแทบไม่มีใครรู้จักเลย ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่ช่างตีเหล็กด้วยซ้ำ"
"งั้นก็ดี ไปจ้างช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดมาซะ เรื่องเงินไม่มีปัญหา"
แม้บัลมงต์จะมีข้อเสียอยู่มากมาย แต่ข้อดีที่สุดของเขาคือการตัดสินใจที่เด็ดขาดเฉียบแหลม เพราะถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น บริษัทเมโร่ก็คงไม่มีทางเติบโตได้ถึงขนาดนี้แน่
แร็บบิทยิ้มอย่างพึงพอใจพร้อมกับพูดว่า "กระผมติดสินใจได้แล้วว่าจะจ้างใคร"
ไม่ว่าข่านจะมีสภาพร่างกายที่เลวร้ายขนาดไหน แต่ข่านก็ไม่โง่พอจะให้คนที่ไม่มีประสบการณ์ลงแข่งแทนแน่ แร็บบิทจึงตามสืบเกี่ยวกับกริดทุกฝีก้าว การพบหน้ากริดครั้งแรกทำให้แร็บบิทเคลือบแคลงสงสัยไม่น้อย เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ดูไม่มีประสบการณ์เลยซักนิด สัญชาติญานหยั่งรู้อันตรายของแร็บบิทไม่ทำงานเหมือนกับทุกที
แต่ไม่ว่ายังไงแร็บบิทก็ต้องจ้างช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดมาสู้อยู่ดี บริษัทเมโร่จะแพ้ในการแข่งครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด
'เราจะประมาทไม่ได้'
แร็บบิทมีอุปนิสัยที่รอบคอบระมัดระวังอยู่เสมอ การลงมือทำสิ่งใดต้องได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ครั้งนี้เองก็เช่นกัน ช่างตีเหล็กที่เก่งที่สุดในรายชื่อจึงถูกจ้างเข้ามา
จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 30 - จบตอน
นั้นไง อิกริดมัวแต่สบายใจกับไอเทมแรร์
ReplyDeleteThis comment has been removed by a blog administrator.
ReplyDeleteสนุกมากมายครับ
ReplyDeleteขอบคุณค่ะ
ReplyDeleteไม่รู้จะว่าจ้างผู้เล่นหรือnpc
ReplyDelete