จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 23

        "เฮ้ย!  ตาแก่!  ยังไม่รีบตัดสินใจอีกรึไง?   ไม่คิดจะขายตึกนี้ให้พวกเราจริงหรอ?  เงินที่แกจะได้มันมากพอให้ซื้อเหล้าดื่มไปจนตายเลยนะโว้ย!"

       กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินเข้ามาล้วนมีรูปร่างที่กำยำสมส่วน   ชวนให้เรานึกถึงคนทวงหนี้ของบริษัทมาร์เธอร์อีสแฮปปี้ขึ้นมาทันที   นักเลงคนหนึ่งทุบโต๊ะพร้อมกับวางกระดาษไว้ตรงหน้าชายแก่ช่างตีเหล็ก

       'หืม?'

       มันน่าจะเป็นสัญญายินยอมการขายตึกแห่งนี้ให้กับบริษัทเมโร่...

       เราเข้าใจเรื่องราวได้ไม่ยากนัก...

       'ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านความซวยมานับไม่ถ้วน   ดูเหมือนเราคงกำลังเข้ามาพัวพันกับภารกิจงี่เง่าอีกแล้วสินะ'

       เราจะยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้...สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้คือการหาเงินจากผลิตไอเท็มขาย

       'เราไม่มีเวลามัวทำภารกิจพวกนี้หรอก'

       การที่เรารู้ตัวได้เร็วขนาดนี้   อดชื่นชมสมองอันชาญฉลาดของตนเองไม่ได้จริงๆ...

       ทว่า...อะไรๆ มันก็มักจะไม่เป็นไปตามที่เราต้องการอยู่เสมอ   หลังจากที่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว  กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ว่าก็เดินมาล้อมเราไว้ทันที

       "เฮ้!  ไอ้หน้าใหม่นี่เป็นใครกัน?  ทำไมมันได้ถึงแอบย่องเข้ามาในนี้ได้?"

       พวกมันเอ่ยปากถามขึ้นด้วยเสียงข่มขู่

       "แกคิดจะมาขโมยความลับทางการค้าของพวกเรางั้นหรอ?  บริษัทไหนส่งแกมาสืบข้อมูลกัน?"

       เราจะเอาข้อมูลของกระดาษแผ่นนั้นไปทำอะไรได้ฟะ?  นี่พวกมันโง่รึเปล่าเนี่ย?

       'พลาดซะได้...เราน่าจะยืนรออยู่ด้านหลังเงียบๆ จนกว่าพวกมันจะกลับไปมากกว่า'

       เรายักไหล่เล็กน้อยให้กับพวกมันเป็นเชิงทำนองว่า   'สืบข้อมูลอะไร?  ผมน่ะหรอ?  พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกัน?  ไม่ต้องสนใจผมหรอก...ก็แค่คนบังเอิญผ่านทางมาเท่านั้น'

       แต่พวกมันดูเหมือนจะไม่ได้คิดแบบนั้น

       อึก!...

       'ชิ!'

       เรากลืนน้ำลายลงคอเสียงดัง 'เอื้อก'   เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นที่หน้าผาก  วันคืนเก่าๆ หวนกลับมาในหัวอีกครั้ง

       สภาพของเราในตอนนี้ไม่ต่างกับพวกขี้แพ้ที่โดนรุ่นพี่ล้อมรังแกที่โรงเรียน    หรือเป็นเพราะว่าการถูกชายฉกรรจ์รุมล้อมแบบนี้   มันทำให้เราดันไปนึกถึงหน้าคนทวงหนี้ของบริษัทมาร์เธอร์อีสแฮปปี้กันนะ?

       เราพยายามเซถอยหลังออกจากการถูกรุมล้อมในทันที   เราไม่สามารถอยู่ในจุดนั้นได้นานนัก

       'นิ่งเข้าไว้...'

       กลุ่มเอ็นพีซีที่เกรี้ยวกราดเหล่านี้ไม่เกรงกลัวกฏหมาย   หากเราไปสัมผัสโดนตัวมันเข้าล่ะก็  คงได้กลับไปเกิดใหม่ที่จุดเซฟแน่นอน...

       เราสามารถร้องขอความช่วยเหลือจากทหารยามประจำหมู่บ้านได้ก็จริง   แต่หมัดของพวกมันคงถึงตัวเราก่อนที่กฏหมายจะทำงาน  ถ้าเราเก่งกว่านี้ก็คงจะหาทางหนีออกไปได้อยู่...แต่ตอนนี้ไม่ใช่

       'หากดูจากรูปลักษณ์ภายนอกกับบรรยากาศรอบตัวพวกมัน  คนพวกนี้ไม่ใช่นักเลงธรรมดา   การเสนอตัวออกไปซื้อบุหรี่ให้คงไม่ใช่ทางเลือกที่ได้ผลนัก'     

       บริษัทเมโร่ถูกจัดให้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอาณาจักรอีเทอนัล   ซึ่งไม่ใช่บริษัทที่พวกกุ้ยข้างถนนจะเดินเข้าไปทำงานกันได้ง่ายๆ   ชายฉกรรจ์เหล่านี้จะต้องเป็นนักเลงระดับสูง!

       'พวกมันใส่อุปกรณ์อย่างต่ำก็เลเวล 35'

       นักเลงที่มีเลเวล 35 งั้นหรอ?   เจ้าพวกนี้ข่มขู่ผู้เล่นหน้าใหม่ไปกี่คนกันแล้วนะ   เราจินตนาการความเลวของมันได้ไม่หมดจริงๆ

       'พวกมันมีกัน 5 คน...ถึงแม้ค่าสถานะของเราจะสูงกว่าผู้เล่นเลเวล 3 ทั่วไป  แต่เราก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้อยู่ดี  แถมเรายังมีแค่คนเดียวด้วย...'     

       และสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ...เราไม่มีอาวุธติดตัว   การต่อสู้กับพวกมันมีแต่ความพ่ายแพ้รออยู่เท่านั้น

       "คงต้องทิ้งศักดิ์ศรีเอาไว้ก่อน...การทำตัวให้ดูน่าสงสารอาจเป็นทางออกที่ดีกว่า"

       หลังจากที่ตัดสินใจได้  เราก็พยายามฝืนยิ้มด้วยสีหน้าใสซื่อมากที่สุด  "ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อสืบข้อมูลอะไรทั้งนั้นเลย   เป็นเพียงลูกค้าที่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น   อย่าทำอะไรรุนแรงกับผมเลยนะ...แหะแหะ"

       ถึงจะเป็นการนอบน้อมต่อเอ็นพีซี  แต่เราก็ไม่คิดละอายใจแม้แต่น้อย    ทันใดนั้น  ฝ่ามือของชายคนหนึ่งที่จับไหล่เราก็คลายออก     

       "หืม...ลูกค้างั้นหรอ?  ที่โรงตีเหล็กแห่งนี้เนี่ยนะ?"

       "ชะ...ใช่ครับ"

       "โฮ่?  โรงตีเหล็กนี่มีลูกค้ากับเค้าด้วยงั้นหรอ?"

       มือที่จับบ่าของเราบีบแน่นขึ้นอีกครั้ง

       'ชิ!...เจ็บฉิบ'

       เราขมวดคิ้วทันทีด้วยความเจ็บปวด   อีกนิดเดียวก็จะพ่นสารพัดคำด่าออกไปจากปากแล้ว   แต่ท้ายที่สุดเราก็ตัดสินใจอดทนไว้     ตรงกันข้ามกับเมื่อครู่  แทนที่เราจะด่ามัน  เรากลับเลือกจะฉีกยิ้มแห้งๆ ให้มันแทน    ทำไมน่ะหรือ?  เพราะถ้าหากไม่ทำ  เราอาจจะโดนชกเข้าซักหมัดก็เป็นได้     เคยมีคนแก่พูดเอาไว้ว่า  คนเราจะไม่สามารถทำร้ายผู้อื่นได้  ถ้าหากเขาคนนั้นมีใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้มอยู่

       นักเลงพวกนี้จ้องมองเราอย่างสับสนในทันที

       "ถนนเส้นนี้เกือบทั้งหมดเป็นกิจการร้านค้าของบริษัทเมโร่   มีทั้งร้านขายอาวุธและชุดเกราะอยู่มากมายนับไม่ถ้วน   แล้วทำไมแกถึงมาเข้าร้านกระจอกๆ แบบนี้?   มันไม่แปลกไปหน่อยรึ?"

       "ถึงมันจะมีร้านขายอาวุธอยู่มากมายก็จริง  แต่ที่นี่เป็นโรงตีเหล็กเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้านวินสตัน  ผมไม่ได้ต้องการจะซื้ออาวุธ   แต่ผมต้องการเรียนสูตรผลิตไอเท็ม   ผมไม่รู้จริงๆ ว่าโรงตีเหล็กแห่งนี้กำลังมีปัญหา"

       เราสามารถเป็นตัวเต็งดารานำชายได้ไม่ยากจากการแสดงเมื่อครู่   บางที  ปลายปีนี้เราอาจะได้รับรางวัลสาขานักแสดงชายหน้าใหม่ก็เป็นได้   กริยาท่าทางของเรานอบน้อมยอมจำนนอย่างสุดขีด  เรายังคงฝืนยิ้มต่อไปโดยหวังว่านักเลงพวกนี้มันจะปล่อยตัวเราซักที

       "ข้ารู้สึกอยากอัดหน้าแกซักเปรี้ยงจริงๆ ให้ตายสิ...แต่แกเองก็เป็นช่างตีเหล็กเหมือนกันงั้นหรอ?   อืม...นั่นสินะ  ไม่มีทางที่สายลับจะอ่อนแอขนาดนี้ได้หรอก" 

       "ตกลง...แกรีบไสออกไปจากที่นี่ซะ   แล้วอย่าได้คิดกลับมาเหยียบอีก!"

       ทำไมมันถึงอยากซัดหน้าเราล่ะ?  เพราะเราดูจนและอ่อนแองั้นหรอ?   ไอ้พวกนักเลงบ้านี่คิดว่าจะทำอะไรกับใครก็ได้รึไง?   ความโกรธแค้นในตัวเราเดือดพล่านทันที...แต่เราก็ต้องหยุดมันไว้เพียงแค่นั้น

       "แหะแหะ...ขอบคุณมากที่เชื่อ   ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ"

       เราฝืนยิ้มจนวินาทีสุดท้ายก่อนจะรีบเดินออกมาอย่างรวดเร็ว 

       ทันใดนั้น  เสียงอันเศร้าหมองของลุงช่างตีเหล็กก็ดังไล่หลังตามมาติดๆ  "ใช่แล้วล่ะ...ไม่มีประโยชน์ที่จะฝืนทำธุรกิจแย่ๆ แบบนี้ต่อไป   ข้าเบื่อแล้วที่จะต้องคอยหลบหน้าผู้คน...เหนื่อยเหลือเกิน"

       เราชะงักฝีเท้าในทันที  ชายแก่คนเดิมกระพริบตาเล็กน้อย  เขายังคงพูดต่อไปด้วยใบหน้าที่น้ำตากำลังคลอเบ้า

       "ส่งสัญญานั่นมา...ข้าจะเซ็นมันตามที่พวกแกต้องการ"

       "เอ๋?  จริงรึ?"     

       "เจ๋งเป้ง!  ยอดไปเลยไอ้แก่!"

       "ถึงแม้จะกินเวลานาน  แต่ในที่สุดแกก็หายโง่ซักที"

       กลุ่มนักเลงโห่ร้องอย่างดีใจราวกับถูกลอตเตอรี่   คนที่ดูเหมือนหัวหน้าได้ยื่นเอกสารฉบับนั้นให้กับลุงช่างตีเหล็ก

       "ที่แกต้องทำมีเพียงแค่เซ็นตรงนี้...แล้วหลังจากนั้นแกก็จะได้เป็นอิสระ"

       "......"

       ชายแก่ยืนจ้องไปยังเอกสารบนโต๊ะด้วยสายตาที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง   หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยมือที่สั่นระริก  ทันใดนั้นเอง  หยดน้ำตาใสๆ ได้ไหลรินกระทบลงบนโต๊ะ  "อา...ในที่สุดธุรกิจครอบครัวที่สืบทอดกันมาถึง 7 รุ่นก็ต้องมาสิ้นสุดลงที่ข้า   คงไม่มีหน้าไปพบกับเหล่าบรรพบุรุษในโลกหลังความตายได้อีกแล้ว!"

       น้ำเสียงและท่าทางของชายแก่ดูเศร้าหมองเป็นอย่างมาก  แต่ตรงกันข้าม  กลุ่มของพวกนักเลงยังคงไม่หยุดการกลั่นแกล้งเพียงแค่นี้

       "นั่นมันเป็นเพราะอยู่ดีๆ แกก็หยุดขายของไปเองไม่ใช่รึไง?   ลูกค้าก็เลยไม่เข้าร้านแก  ไปเข้าร้านของเมโร่ในละแวกเดียวกันซึ่งมีราคาถูกกว่า"

       "จริงสิ...ไอ้แก่  แกไม่คิดจะมีลูกเพิ่มอีกซักคนรึไง?  ลูกชายคนก่อนของแกก็ดันตายไปซะได้...ตอนนี้แกก็เลยไม่เหลือทายาทสืบสกุลซักคน   ถ้าหากว่าแกตายไปอีก  ตระกูลก็คงถึงคราวจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ล่ะนะ   แถมแกยังมาดื้อรั้นไม่เข้าเรื่องอีก   หนี้สินก็ไม่ใช่น้อยๆ   น่าสมเพชชะมัด!"

       "ไอ้บ้านี่!  อย่าเอาปากสวะๆ ของแกมาพูดถึงลูกชายข้า!"

       "เฮ้ย! จะเสียงดังไปทำไมกันเล่า?  หรือแกอยากโดนแบบคราวที่แล้วอีกน่ะ?"

       นักเลงที่ชื่อว่า 'จอห์นสัน' กำลังทำท่าจะชกใส่ลุง    เป็นภาพที่ทำให้เรารู้สึกโมโหขั้นมาทันที             
       'นั่นเป็นแค่ลุงแก่ๆ ไม่ใช่รึไง?  ไปพูดจาหยาบคายใส่เขาแล้วยังทำท่าจะชกเขาอีก...'

       หลังจากนั้น  นักเลงที่ชื่อ 'อัมพ์' ก็พูดขึ้น  "ช่างเหอะน่า...ให้มันเซ็นสัญญาให้เรียบร้อยก่อน"     

       แต่นักเลงที่ชื่อว่า 'ปราก้า' กลับพูดแทรกขึ้น "ไม่...ข้าหัวเสียกับมันมาก   ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะว่ามันลีลารึไง  พวกเราถึงต้องรอนานหลายเดือนขนาดนี้?   ลองคิดดูสิว่าเราต้องลำบากมากขนาดไหนเพราะมัน!"

       นักเลงที่ชื่อ 'นีล' พูดเสริมขึ้น  "ข้าเองก็เห็นด้วย...ชิ  แค่ไอ้แก่คนเดียวพวกเรายังไม่มีปัญญาจัดการ    เงินเดือนของพวกเราก็ต้องถูกตัดเพราะมันคนเดียว!"

       นักเลงคนสุดท้ายซึ่งเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้  ดูภายนอกเป็นพวกเงียบขรึมและสุขุม

       มันมีชื่อว่า 'วีล'

       วีลแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพร้อมกับพูดว่า "ใช่แล้ว...แกทำให้พวกเราต้องเสียเวลาไม่น้อยเลยทีเดียว    คงต้องขอให้ชดใช้มาด้วยล่ะนะ"

       พอพูดจบวีลก็ตบไปที่แก้มของลุงเบาๆ  "เฮ้...ไอ้แก่...   เงินที่แกจะได้จากการขายโรงตีเหล็กนี้    ครึ่งหนึ่งจะถูกนำไปจ่ายหนี้...ส่วนอีกครึ่งหนึ่งแกต้องเอามาให้เรา!!   มันเป็นส่วนที่แกจะต้องชดใช้!"

       "ไอ้พวกบัดซบ!!"   ลุงช่างตีเหล็กคนนี้มีชื่อว่า 'ข่าน'   เขาตอบโต้พวกมันกลับไปด้วยท่าทีเดือดดาลเป็นที่สุด

       "เฮ้ เฮ้!  แกไม่มีทั้งลูกและเมีย   จะเอาเงินตั้งมากมายไปทำไมกัน?  ต้องช่วยคนไม่มีอันจะกินแบบพวกข้าสิ!"

       "......"

       ความเดือดดาลภายในตัวเราปะทุขึ้นอย่างมากทันที

       'เราก็ไม่ใช่คนที่เคารพผู้อาวุโสนักหรอกนะ  แต่นี่มันก็...'

       จริงๆ เราก็จัดว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่มาก   ในทุกครั้งที่นั่งรถประจำทางหรือรถไฟฟ้า   เราไม่เคยจะลุกให้คนแก่นั่งเลยซักครั้ง   ทำไมต้องลุกให้นั่งด้วยล่ะ?  ในเมื่อภาษีก็จ่ายเท่ากัน  เราก็ย่อมต้องมีสิทธิเท่าเทียมกันสิ   ไม่ว่าจะถือของพะรุงพะรังขนาดไหน   แต่เราก็ไม่เคยแยแสเลยซักนิด

       'ทว่า...'

       เราก็ไม่เคยไปคุกคามพวกเขาเลยซักครั้ง   ไม่เหมือนกับไอ้พวกนักเลงระยำนี่   เราจึงรู้สึกโกรธมาก

       'เด็กไม่สิ้นกลิ้นน้ำนมอย่างพวกแกกลับกล้าลงมือต่อคุณลุงคุณป้า...แย่ที่สุด'

       แต่เราควรทำยังไง?  เข้าไปช่วยตาลุงนั่นหรอ?  ด้วยเลเวลที่กระจอกแบบนี้เนี่ยนะ?

       ไม่ได้...เราไม่ใช่พวกฮีโร่ผดุงความยุติธรรมซะหน่อย   ทำไมเราต้องออกตัวไปเดือดร้อนแทนคนอื่นด้วย?   เป็นการกระทำที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย 

       ตั้งแต่เด็กแล้ว  เราเกลียดพวกยอดมนุษย์ในทีวีที่คอยช่วยเหลือผู้อื่น   เราไม่เคยชื่นชอบพวกมันเลยซักนิด

       'ทำไมจะต้องไปเจ็บตัวเพื่อคนอื่นด้วยล่ะ?   บ้ารึเปล่า?'     

       เราไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงกับต้องยอมแลกชีวิตเพื่อปราบเหล่าร้าย   ตัวเราในสมัยเด็กรู้สึกกระอักกระอ่วนทุกครั้งที่ได้เห็นการเสียสละที่ไม่จำเป็น   

       ทุกครั้งที่เด็กแถวบ้านเล่นเป็นฮีโร่  ตัวเราก็จะสวมบทเป็นผู้ร้ายอยู่ร่ำไป   เป็นความรู้สึกสนุกสนานอย่างบอกไม่ถูกที่ได้รังแกเจ้าพวกโง่นั่น   ถึงสุดท้ายเราจะต้องยอมแกล้งแพ้ก็เถอะ   เพื่อให้เด็กพวกนั้นหายโกรธกับสิ่งที่เราทำไว้ 

       'พอมาลองคิดดูดีๆ    เราก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วนี่นะ...ใช่แล้ว  เรามันเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว   ทุกครั้งที่มีคนถูกเอาเปรียบ  เราก็มักจะหันหน้าหนีเสมอ'

       เราตัดสินใจเบือนหน้าหนีจากชายแก่ที่ถูกรุมกลั่นแกล้งและกำลังจะต้องสูญสิญธรุกิจครอบครัวที่สืบทอดมาตลอด 7 รุ่น    แน่นอนว่าเราเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย

       'ถ้าปล่อยไว้แบบนี้  เราก็จะไม่สามารถเรียนสูตรการผลิตที่หมู่บ้านวินสตันได้อีก   ซึ่งถ้าหากเราจะย้ายเมือง  ก็แปลว่าเราต้องเสียค่ารถม้าอีกแล้วงั้นหรอ?'

       'แบบนั้นไม่ดีแน่...สงสัยเราต้องล่ามอนสเตอร์รอจนกว่าจะมีเอ็นพีซีคนใหม่มาเปิดโรงตีเหล็กสินะ'

       เดี๋ยวก่อน...?

       'ถ้าคิดจะล่ามอนสเตอร์...เราก็ต้องไปหาอุปกรณ์มาสวมใส่   แต่ดันไปฝากเอาไว้ในคลังสัมภาระเรียบร้อยแล้วด้วยสิ...ชิ!  50 ตั้งเหรียญเงิน!'

       ความตึงเครียดในตอนนี้เป็นของจริง  ทุกครั้งที่เราคิดว่าจะต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์   ท้องน้อยก็จะรู้สึกมวนขึ้นอย่างน่าประหลาด   ทำไมชะตาชีวิตของเราถึงเป็นแบบนี้กันนะ? 

       อึก...เริ่มปวดท้องซะแล้วสิ   เราไปจากที่นี่ดีกว่า

       ทว่า...

       ขาของเรามันกลับไม่ยอมขยับเลยซักนิด...

       'ลุงจะไม่เป็นอะไรจริงๆ น่ะหรอ?'

       ชิ!  บ้าชิบ!

       คงเป็นเพราะสิ่งที่นักเลงพวกนั้นทำมันชั่วช้าเกินไป   แม้ชีวิตของเราจะบัดซบอยู่ไม่น้อย  แต่การได้มาเห็นผู้คนถูกรังแกเช่นนี้มันก็ยากที่จะทนได้   ตัวเราเองยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่   ไม่อาจเพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกนักเลงมันทำต่อลุงได้

       'เอ๋?  นี่เราพยายามจะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยคนอื่นงั้นหรอ?   เราเสียสติไปแล้วรึเปล่านะ?'

       ถ้าเป็นตัวเราสมัยก่อนคงจะทำเป็นเมินเฉยแล้วหันหลังเดินหนีได้อย่างง่ายดาย   แต่ทำไมตัวเราในตอนนี้ถึงได้ลังเลกันล่ะ?

       'เรารู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นตั้งแต่เมื่อไรกัน?   มันไม่ใช่ตัวเราเลยซักนิด   ทุกทีเราจะต้องรีบหนีไปสิ...'

       ในขณะที่เรากำลังทะเลาะกับจิตใต้สำนึกของตัวเองอยู่

       ...

       [ โทสะของท่านเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดหลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่พวกนักเลงกระทำต่อช่างตีเหล็ก ]     

       [ ภารกิจ 'โทสะแห่งช่างตีเหล็ก' ถูกสร้างขึ้น ]


จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 23 - จบตอน

Comments

  1. โทสะก้เปนเควสได้ด้วยเรอะ

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณที่แปลให้อ่านคับ แต่เบื่อนักเขียนหว่ะมีแต่น้ำ บรรยายไอเท็มก็ปาไปครึ่งตอนละ

    ReplyDelete
    Replies
    1. จริง ถึงกับเลื่อนผ่านๆเลยทีเดียว

      Delete
  3. ประเด็นทั้งตอนอยู่ที่สองย่อหน้าท้าย น้ำใสแจ่ว 555

    ReplyDelete
  4. น้ำมาเยอะเชียว

    ReplyDelete
  5. ปวดหัวกับพระเอกเรื่องนี้ชะมัดเลย

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00