จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 14
เมื่อเราทำการผ่าฟืนไปได้ถึงชิ้นที่ 280 ความหิวโหยเริ่มรบเร้าอย่างรุนแรงขึ้นจนทำให้สายตาพร่ามัว แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังไม่คิดที่จะหยุดมือ
'ถ้ายอมแพ้แค่นี้...ก็ไม่ใช่ตัวเราน่ะสิ...'
ตั้งแต่เด็กแล้ว เราไม่เคยมีอะไรที่โดดเด่นเหมือนกับคนอื่น เราไม่ใช่คนฉลาด ไม่ใช่คนหล่อเหลา แล้วก็ไม่ได้มีนิสัยที่ดีเลิศอะไร เราห่วยแตกในกีฬาทุกชนิด ไม่เคยมีพรสวรรค์ในด้านไหนซักด้านมาก่อน
เรามันเป็นพวกไร้ความสามารถที่ได้แต่คอยยืนมองและอิจฉาคนอื่นเท่านั้น...
ไม่ปฏิเสธเลยว่าเราคือตัวอย่างที่ล้มเหลวของมวลมนุษยชาติ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังสามารถมีตัวตนในสังคมโรงเรียนได้ด้วยความอดทนและเพียรพยาม
เราไม่ใช่คนเฉลียวฉลาด ในการสอบแต่ละครั้ง เราจำเป็นต้องอ่านหนังสือมากกว่าคนอื่นเท่าตัวเพียงเพื่อให้ได้ผลการเรียนแค่ระดับปานกลาง เราไม่ใช่คนนิสัยดี เรื่องทำให้คนในห้องยอมรับเราได้ มีแต่ต้องเล่นเป็นตัวตลกเลียนแบบนักการเมืองเพื่อเรียกเสียงฮาเท่านั้น เราไม่ใช่คนร่างกายแข็งแรงและมีพรสวรรค์เกี่ยวกับกีฬา ในคาบพละ การที่เราจะลงเล่นฟุตบอลกับเพื่อนได้ เป็นเพราะเราเอาแต่วิ่งพล่านไล่บอลไปทั่วสนามราวกับคนบ้า
เรารู้จุดอ่อนของตัวเองเป็นอย่างดี จึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ต้องขอบคุณความขยันอดทนที่พระเจ้าประทานมาให้ ในที่สุดเราก็สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยพร้อมกับผ่านการเกณฑ์ทหารมาได้อย่างราบรื่น แม้จะต้องเป็นหนี้ก้อนโตจากเกมซาทิสฟายก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังสามารถใช้ชีวิตตามปรกติได้อย่างไม่มีปัญหา
จุดแข็งข้อเดียวในตัวเรา...คงเป็นความเพียรพยายามและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่กระหน่ำถาโถมเข้ามา
"เลเวล...เงินทอง..."
เราใช้สิ่งเหล่านี้สะกดจิตตัวเองให้สับขวานลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน พริบตาเดียวก็สามารถผ่าฟืนไปได้มากถึง 460 ท่อนแล้ว
...แต่หน้าต่างข้อความระบบกลับเด้งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
[ ค่าสถานะ 'ความพากเพียร' ถูกเปิดใช้งานแล้ว ]
"เอ๋?"
ค่าสถานะใหม่ถูกเปิดใช้งานได้ยังไง? เรารีบตรวจสอบทันที
...
[ ความพากเพียร ]
แม้อุปสรรคจะหนักหนาสักเพียงใด แต่ท่านคือผู้ที่ไม่ย่อท้อและไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งเหล่านั้น ส่งผลให้ตัวละครของท่านเหน็ดเหนื่อยได้ยากขึ้นกว่าเดิม สามารถแบกน้ำหนักสัมภาระได้มากขึ้นจากเดิม และความรู้สึกพึงพอใจหลังจากที่ทำภารกิจสำเร็จจะอยู่นานขึ้นกว่าเดิม
* ยิ่งมีค่าความพากเพียรเยอะก็จะยิ่งส่งผลมากขึ้น
* ไม่สามารถนำแต้มค่าสถานะมาเพิ่มระดับได้
* ทุก 10 แต้มของค่าความพากเพียรที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ค่าสถานะ 'ความทรหด' เพิ่มขึ้น 1 แต้มตามไปด้วย
...
"เจ๋งโคตร!"
ตัวเราจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยากขึ้น แบกสัมภาระแบกได้มากขึ้น และความสุขความพึงพอใจที่นานขึ้นกว่าเดิม! แถมทุกค่าความพากเพียร 10 แต้มยังจะนำไปเพิ่มค่า 'ความทรหด' ให้อย่างอัตโนมัติอีกด้วย
'ต้องใช้ความพากเพียรเพื่อเพิ่มค่าความทรหดงั้นหรอ?'
เรารู้สึกสับสนเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาสับฟืนต่ออีกครั้ง
'แต่น่าแปลก...ก่อนหน้านี้เราก็เคยแสดงความพากเพียรอยู่หลายครั้งหลายหนในระหว่างทำภารกิจอัชเชอร์ แล้วทำไมมันถึงเพิ่งจะมาถูกเปิดใช้งานเอาตอนนี้?'
สิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือ...ความแตกต่างระหว่างคลาสทั่วไปกับคลาสระดับเลเจนดารี
'แม้มันจะเป็นการกระทำที่เหมือนกัน แต่คลาสระดับเลเจนดารีสามารถเลื่อนค่าสถานะได้ง่ายกว่างั้นหรอ?'
เมื่อได้ล่วงรู้อีกความลับหนึ่งของคลาสเลเจนดารี ตัวเราก็ยิ่งรู้สึกมุ่นมั่นมากขึ้น คมขวานถูกกระหน่ำสับลงไปบนท่อนฟืนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ!
ยิ่งมีฟืนถูกผ่าไปมากเท่าไหร่ ความชำนาญในการผ่าฟืนของเราก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยเทคนิค 'ปล่อยตัวไปตามธรรมชาติ' ในตอนแรกที่เราใช้ ค่าความทนทานของขวานจะลดลงไป 1 หน่วยในทุก 200 ท่อนฟืนที่ได้ผ่าไป แต่มาถึงตอนนี้ นอกจากค่าความทนทานของขวานจะไม่ลดลงแล้ว ความเร็วในการผ่าฟืนของเรากลับยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ทันทีที่ฟืนท่อนที่ 1,000 ถูกผ่าออก ค่าสถานะ 'ความพากเพียร' ของเราได้เพิ่มขึ้นไปเป็น 4 แต้มพอดิบพอดี
[ ไม่มีอะไรตกถึงท้องของท่านมานานมากแล้ว ส่งผลให้ค่าสถานะทั้งหมดลดลงครึ่งหนึ่ง โอกาสติดสถานะผิดปรกติเพิ่มเป็นสองเท่า หากยังคงอยู่ในสถานะหิวโหยต่อไป พลังชีวิตของท่านจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนตาย ]
นี่คงเป็นขีดจำกัดแล้วสินะ...เราล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยลมหายใจที่เหนื่อยหอบ
"แฮ่ก...แฮ่ก..."
แข้งขาของเราอ่อนแรงสุดขีด กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เราไม่สามารถขยับตัวได้อีกต่อไป หากไม่นับค่าสถานะความพากเพียรที่เพิ่มเข้ามา ด้วยค่าความอดทนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของตัวละครเลเวล -3 ทำให้เราไม่เหลือเรี่ยวแรงจะกระทำสิ่งใดได้อีก
เราหมดแรงสุดขีดหลังจากที่ผ่าฟืนได้ติดต่อกันเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น...น่าสมเพชฉิบ เราหยิบน้ำและขนมปังในกระเป๋าสัมภาระออกมากิน พลางหันหน้ามองเข้าไปในป่าเกรย์ที่อยู่ทางทิศตะวันออก
'ตอนนี้ปาร์ตี้ล่าบอสผู้พิทักษ์แห่งพงไพรคงจะไปถึงที่หมายกันแล้วสินะ โชคดีที่เราไม่ได้เข้าร่วม...ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน'
ด้วยค่าความอดทนของตัวละครเลเวล -3 เราไม่มีทางที่จะเดินตามคนในปาร์ตี้ได้ทันแน่ มันคงน่าอายพิลึกถ้าหากต้องตายเพราะหมดแรงแทนที่จะโดนมอนสเตอร์ฆ่าตาย เราส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความโง่เง่าที่พยายามจะเข้าปาร์ตี้ให้ได้ในตอนแรก
'เมื่อลองย้อนคิดกลับไป ตัวเราไม่รู้แม้กระทั่งอัตราการดรอปของโอริชาลคั่มสีน้ำเงินด้วยซ้ำ เราคิดง่ายเกินไปที่จะไปขอเข้าปาร์ตี้เพื่อหวังจะได้มันมา คราวหลังคงต้องคิดอะไรให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น'
( ผู้แปล : 'ไอเท็มดรอป' หมายถึงไอเท็มที่จะได้หลังจากการฆ่าบอส/มอนสเตอร์, อัตราการดรอป หมายถึงโอกาสที่ไอเท็มนั้นๆ จะดรอปให้หลังจากฆ่าบอส/มอนสเตอร์ มีหน่วยเป็น % ยิ่งไอเท็มระดับสูง โอกาสที่จะดรอปก็ยิ่งมีน้อย )
...ดูเหมือนความคิดอ่านของเราจะพัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนอยู่บ้าง
หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง เราก็เดินกลับเข้าไปในโรงตีเหล็กของสมิทอีกครั้ง
"ผ่าฟืนเสร็จแล้ว มากที่สุดที่ผมทำได้...คือ 1,000 ท่อน"
"อะไรนะ?" สมิทโพล่งขึ้นอย่างตกตะลึง "วะฮ่าฮ่าฮ่า! เด็กใหม่อย่างแกสามารถฝ่าฟืน 1,000 ท่อนได้ภายใน 6 ชั่วโมงเนี่ยนะ? แกไม่ได้เป็นแค่เด็กใหม่นะเนี่ย...ยังเป็นไอ้ขี้โม้ด้วย! คิดจะหลอกกันรึไง?"
สมิทหัวเราะอย่างสุดเสียงพร้อมกับชำเลืองสายตามามองเราเป็นระยะ
'มันเป็นพวกสองบุคลิกรึไงกัน?'
เราชี้นิ้วไปที่สวนหลังบ้านพร้อมกับพูดว่า "แค่การผ่าฟืน 1,000 ท่อนใน 6 ชั่วโมงมันน่าโกหกตรงไหนกัน? ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็ ทำไมไม่ลองเดินไปดูด้วยตาตัวเองเลยล่ะ?"
"ไม่ต้องบอกก็จะทำอยู่แล้ว ถ้าเล่นตุกติกล่ะก็ ข้าจะเตะก้นแกไปให้พ้นจากที่นี่ทันที!"
เราเดินตามสมิทไปอย่างไม่รีบร้อนนัก หลังจากที่เขาตรวจสอบกองฟืนอยู่ครู่หนึ่ง สมิทก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงทันทีที่รู้ว่าฟืนทั้ง 1,000 ท่อนเป็นของจริง
"ปะ...เป็นไปได้ยังไง...? ทำไมเด็กใหม่อย่างแกถึงผ่าฟืน 1,000 ท่อนได้ภายใน 6 ชั่วโมง? แถมทั้งหมดยัง...สมบูรณ์แบบ! ไม่สิ เวลาไม่ใช่ปัญหาเลยซักนิด แต่เด็กใหม่อย่างแกไม่น่าจะมีค่าความอดทนมากพอที่จะผ่าฟืน 1,000 ท่อนได้! รีบสารภาพมาซะ...ฟืนทั้งหมดนี้มาจากไหนกันแน่? หรือแกซื้อมาจากร้านช่างไม้ 'แวนส์' ? ไม่สิ...หรือว่าแกไปซื้อมาจากคนตัดไม้บนภูเขา? เจ้าบ้า! ข้าบอกให้แกตัดฟืนทั้งหมดด้วยตัวเอง!"
"อะไร? ทำไมคุณต้องดูถูกผมด้วย? ฟืนพวกนี้ผมผ่าด้วยตัวเองอย่างยากลำบากทุกท่อน!"
"อย่ามาหลอกข้า! มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!"
ตาลุงนี่เลอะเลือนไปแล้วรึไงนะ? ทำไมมันถึงไม่ยอมเชื่อที่เราพูด?
เราตัดสินใจเดินไปหยิบไม้หนึ่งท่อนมาตั้งพร้อมกับง้างขวานในมือ เมื่อสมิทเห็นดังนั้นก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ฉึบ!
ทักษะการผ่าฟืนของเราอยู่ในระดับสูงสุดหลังจากที่จัดการไปทั้งหมด 1,000 ท่อน ทันทีที่คมขวานปะทะกับเนื้อไม้ เสียงอันไพเราะเสนาะหูได้ดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งโรงตีเหล็ก
สมิทตื่นตะลึงกับเสียงที่ดังขึ้นเป็นอันมาก เขาอ้าปากค้างทันทีที่เห็นฟืนถูกผ่าออกเป็นสองซีกอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า "ข้าคิดว่าแกเป็นเพียงแค่เด็กใหม่โง่เง่าทั่วไป แต่ไม่นึกเลยว่าแกจะมีทักษะช่างตัดไม้ที่น่าเหลือเชื่อขนาดนี้"
"ไม่ใช่..."
"ข้าว่า...แกไปเป็นช่างตัดไม้เถอะ"
"ไม่..." เรายื่นฝ่ามือออกมาหาสมิทที่กำลังพูดพล่ามไร้สาระอยู่ "ก่อนอื่น...มอบรางวัลตอบแทนภารกิจมาได้แล้ว"
"อืม...ย่อมได้ แกทำงานได้ดีกว่าที่คิดไว้ ข้าจะตอบแทนให้อย่างสมน้ำสมเนื้อแน่"
แววตาเคลือบแคลงสงสัยยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของสมิท แต่สุดท้ายเขาก็ยอมควักเหรียญทองแดงออกมาจำนวน 40 เหรียญ หน้าต่างสำเร็จภารกิจเด้งขึ้นตรงหน้าเราเพื่อแจ้งว่าเราได้รับค่าประสบการณ์ 15 หน่วย
สายตาของสมิทมองเราต่างไปจากเดิมในทันที ตอนแรกมันมองเราเป็นเพียงแค่แมลงสาปชั้นต่ำตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้ แววตาที่มันจ้องมาราวกับกำลังมองหมาข้างถนนตัวนึงอยู่...อย่างน้อยก็ดีขึ้นล่ะนะ
เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่ทำภารกิจสำเร็จเกินความคาดหมาย การต้องทำภารกิจระดับ S และ SS อย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ทำให้เรารู้สึกจิตตกไม่น้อย ดังนั้น การสำเร็จภารกิจที่แสนธรรมดาแบบนี้ได้จึงช่วยชำระล้างบาดแผลในจิตใจที่เคยเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี แต่ยังไม่ทันทีเราจะดื่มด่ำกับความสำเร็จได้นานนัก...สมิทก็ยื่นจอบสองหัวมาให้กับเราพร้อมกับพูดว่า
"ถ้าแกเดินขึ้นเขาลูกนี้ไป ที่นั่นจะมีเหมืองอยู่ ไปหาแร่เหล็กมาให้ข้าซะ!"
"คุณต้องการเท่าไร? "
"มากที่สุดที่แกจะทำได้!"
...
[ ภารกิจขุดแร่เหล็ก ]
ระดับความยาก : E
ช่างตีเหล็กสมิทยังคงเคลือบแคลงสงสัยในตัวท่าน
เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กใหม่อย่างท่านถึงมีทักษะในการตัดไม้สูงกว่าเขาได้
สมิทจึงเพิ่มระดับความยากของงานขึ้นไปจากเดิมเพื่อประเมินความสามารถที่แท้จริงของท่าน
เงื่อนไขสำเร็จภารกิจ : แร่เหล็ก 80 ก้อน
รางวัลภารกิจ : ค่าความสัมพันธ์กับสมิท +30 หน่วย, ค่าประสบการณ์ +55 หน่วย, เงินจำนวน 20 เหรียญทองแดง
บทลงโทษหากภารกิจล้มเหลว : ค่าความสัมพันธ์กับสมิท - 30 หน่วย
...
ค่าประสบการณ์ 55 แต้ม! ถ้าหากทำภารกิจนี้สำเร็จ เลเวลของเราก็จะเพิ่มขึ้น 3 เลเวลในทันที...เป็นการหลุดพ้นจากนรกเลเวลติดลบในพริบตา! เรารู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก
ไม่สิ...เดี๋ยวก่อน...'ผู้เล่นอื่นได้เริ่มเล่นที่เลเวล 1 แต่เรากลับตื่นเต้นดีใจที่มีเลเวล 0 เนี่ยนะ...'
เรารับภารกิจมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
"งั้นผมไปก่อนนะ"
เราลองกวัดแกว่งจอบสองหัวไปมาอย่างเบามือ ด้วยค่าสถานะความเข้าใจในไอเท็มที่มี ทักษะการขุดแร่ก็คงไม่เป็นปัญาสำหรับเรามากนัก เรารีบย่ำเท้าออกมาจากโรงตีเหล็กด้วยความรวดเร็ว ในระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นเขา เราได้พบเด็กคนหนึ่งเดินผ่านมา จึงตะโกนถามออกไปว่า
"เจ้าหนู...บนภูเขามีมอนสเตอร์บ้างมั้ย?
เด็กคนนี้มีอายุราว 8 ขวบเท่านั้น เขาตอบกลับมาพร้อมน้ำมูกที่กำลังไหลย้อยออกมาจากจมูก "จะไปมีมอนสเตอร์บนภูเขาที่อยู่ติดกับหมู่บ้านได้ยังไง? ถามอะไรไม่ใช้สมองคิดเลยนะ พ่อของข้าเคยกล่าวว่า พื้นที่ในบริเวณนี้ทั้งหมดมีทหารของท่านลอร์ดคอยเดินลาดตระเวนอยู่ เพราะอย่างนั้น แกควรเลิกปอดแหกแล้วเดินขึ้นไปอย่างสบายใจซะ...เจ้านักเดินทาง"
"ปะ...ปอดแหก? ตูหรอ?"
น้ำเสียงของเจ้าหนูนี้กวนส้นเท้าชะมัด! เด็กแสบคนนี้ต้องโดนลงโทษซะบ้าง เรากำหมัดแน่นพร้อมกับเล็งไปที่หัวของเด็กคนดังกล่าว แต่ทันใดนั้นเอง มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ ดูเหมือนเขาจะเป็นพ่อของเจ้าหนูนี่ ชายคนดังกล่าวมองไปมาระหว่างเรากับเด็กคนนี้พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า
"ลูกพ่อ เจ้าจะไปยุ่งกับพวกนักเดินทางไม่ได้นะ โดยเฉพาะหมอนี่ หน้าตาของเขาดูซื่อบื้ออย่างบอกไม่ถูก ดังนั้น อยู่ห่างเขาไว้ให้มากจะดีกว่านะ!"
"ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ที่ผมตอบไปเพราะรู้สึกสงสาร ท่าทางของหมอนี่ดูน่าสมเพชมากเลย"
"ฮุฮุ ลูกพ่อคงลำบากใจแย่เลยสินะ แต่ยังไงก็เถอะ ทำไมถึงได้มีนักเดินทางกระจอกแบบนี้ผ่านมาที่หมู่บ้านเราได้? หมู่บ้านเราไม่ใช่สถานที่ให้พวกงี่เง่ามาเดินเล่นซะหน่อย"
"ใช่แล้ว แต่ในเมื่อเขาเอ่ยปากถามข้า ข้าก็เลยไม่อยากเสียมารยาทออกไป"
"ฮ่าฮ่าฮ่า! โอเค พ่อเข้าใจแล้ว กลับบ้านไปกินข้าวกันเถอะ แม่เจ้าคงรออยู่นานแล้ว"
"ครับท่านพ่อ!"
...
ในที่สุดพ่อลูกนรกคู่นี้ก็เดินจากไป บ้าชิบ...นี่เราโดนแม้กระทั่งเด็กน้อยหยามเอาได้
"มันไม่มากเกินไปหน่อยหรอ?"
ท่าทีที่เอ็นพีซีปฏิบัติต่อเรานั้นเลวร้ายมาก ในช่วงวันแรกของผู้เล่นใหม่ แม้จะมีเลเวล 1 ก็จริง แต่ช่วงเวลานั้นเอ็นพีซีจะคอยดูแลเอาใจใส่ผู้เล่นใหม่เป็นอย่างดี
การที่พวกเอ็นพีซีมันเหยียดหยามรุนแรงขนาดนี้คงเป็นเพราะเลเวลที่ติดลบของเรา พวกมันแทบทุกคนล้วนชำเลืองสายตามองอย่างน่ารังเกียจราวกับเราเป็นเพียงแมลงตัวหนึ่ง
ในตอนที่เราพบหนังสือเปลี่ยนคลาสผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า ค่าชื่อเสียงระดับทวีปของเราได้เพิ่มขึ้นจากเดิมมากถึง 500 หน่วย แถมหลังจากที่เปลี่ยนคลาสเป็นผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่าแล้ว เรายังได้รับค่าสถานะหยิ่งทระนงเพิ่มขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะสูญเปล่าถ้าหากเลเวลของเรายังคงติดลบแบบนี้อยู่ต่อไป
'หมายความว่า...โดรันแม่งเป็นคนดีสุดๆ เลยไม่ใช่รึไงเนี่ย?'
เราชอบเอ็นพีซีแบบโดรันมากกว่า แม้เขาจะประเมินเลเวลของเราสูงเกินไปจนตามตื้อหวังให้เรารับภารกิจ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่เอ็นพีซีที่มองเราด้วยสายตาน่ารังเกียจ
'ทุกครั้งที่คิดถึงโดรัน...อดเสียดายแหวนที่หมอนั่นสวมไม่ได้ทุกที'
เรารู้สึกอาลัยอาวรณ์กับแหวนวงนั้นของโดรันเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากที่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าซักพัก จิตใจของเราก็กลับมาสดชื่นเป็นปรกติอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินหน้าขึ้นเขาไป เราตัดสินใจตรวจสอบหน้าต่างค่าสถานะเป็นหนสุดท้าย
จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 14 - จบตอน
'ถ้ายอมแพ้แค่นี้...ก็ไม่ใช่ตัวเราน่ะสิ...'
ตั้งแต่เด็กแล้ว เราไม่เคยมีอะไรที่โดดเด่นเหมือนกับคนอื่น เราไม่ใช่คนฉลาด ไม่ใช่คนหล่อเหลา แล้วก็ไม่ได้มีนิสัยที่ดีเลิศอะไร เราห่วยแตกในกีฬาทุกชนิด ไม่เคยมีพรสวรรค์ในด้านไหนซักด้านมาก่อน
เรามันเป็นพวกไร้ความสามารถที่ได้แต่คอยยืนมองและอิจฉาคนอื่นเท่านั้น...
ไม่ปฏิเสธเลยว่าเราคือตัวอย่างที่ล้มเหลวของมวลมนุษยชาติ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังสามารถมีตัวตนในสังคมโรงเรียนได้ด้วยความอดทนและเพียรพยาม
เราไม่ใช่คนเฉลียวฉลาด ในการสอบแต่ละครั้ง เราจำเป็นต้องอ่านหนังสือมากกว่าคนอื่นเท่าตัวเพียงเพื่อให้ได้ผลการเรียนแค่ระดับปานกลาง เราไม่ใช่คนนิสัยดี เรื่องทำให้คนในห้องยอมรับเราได้ มีแต่ต้องเล่นเป็นตัวตลกเลียนแบบนักการเมืองเพื่อเรียกเสียงฮาเท่านั้น เราไม่ใช่คนร่างกายแข็งแรงและมีพรสวรรค์เกี่ยวกับกีฬา ในคาบพละ การที่เราจะลงเล่นฟุตบอลกับเพื่อนได้ เป็นเพราะเราเอาแต่วิ่งพล่านไล่บอลไปทั่วสนามราวกับคนบ้า
เรารู้จุดอ่อนของตัวเองเป็นอย่างดี จึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ต้องขอบคุณความขยันอดทนที่พระเจ้าประทานมาให้ ในที่สุดเราก็สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยพร้อมกับผ่านการเกณฑ์ทหารมาได้อย่างราบรื่น แม้จะต้องเป็นหนี้ก้อนโตจากเกมซาทิสฟายก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังสามารถใช้ชีวิตตามปรกติได้อย่างไม่มีปัญหา
จุดแข็งข้อเดียวในตัวเรา...คงเป็นความเพียรพยายามและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่กระหน่ำถาโถมเข้ามา
"เลเวล...เงินทอง..."
เราใช้สิ่งเหล่านี้สะกดจิตตัวเองให้สับขวานลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน พริบตาเดียวก็สามารถผ่าฟืนไปได้มากถึง 460 ท่อนแล้ว
...แต่หน้าต่างข้อความระบบกลับเด้งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
[ ค่าสถานะ 'ความพากเพียร' ถูกเปิดใช้งานแล้ว ]
"เอ๋?"
ค่าสถานะใหม่ถูกเปิดใช้งานได้ยังไง? เรารีบตรวจสอบทันที
...
[ ความพากเพียร ]
แม้อุปสรรคจะหนักหนาสักเพียงใด แต่ท่านคือผู้ที่ไม่ย่อท้อและไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งเหล่านั้น ส่งผลให้ตัวละครของท่านเหน็ดเหนื่อยได้ยากขึ้นกว่าเดิม สามารถแบกน้ำหนักสัมภาระได้มากขึ้นจากเดิม และความรู้สึกพึงพอใจหลังจากที่ทำภารกิจสำเร็จจะอยู่นานขึ้นกว่าเดิม
* ยิ่งมีค่าความพากเพียรเยอะก็จะยิ่งส่งผลมากขึ้น
* ไม่สามารถนำแต้มค่าสถานะมาเพิ่มระดับได้
* ทุก 10 แต้มของค่าความพากเพียรที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ค่าสถานะ 'ความทรหด' เพิ่มขึ้น 1 แต้มตามไปด้วย
...
"เจ๋งโคตร!"
ตัวเราจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยากขึ้น แบกสัมภาระแบกได้มากขึ้น และความสุขความพึงพอใจที่นานขึ้นกว่าเดิม! แถมทุกค่าความพากเพียร 10 แต้มยังจะนำไปเพิ่มค่า 'ความทรหด' ให้อย่างอัตโนมัติอีกด้วย
'ต้องใช้ความพากเพียรเพื่อเพิ่มค่าความทรหดงั้นหรอ?'
เรารู้สึกสับสนเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาสับฟืนต่ออีกครั้ง
'แต่น่าแปลก...ก่อนหน้านี้เราก็เคยแสดงความพากเพียรอยู่หลายครั้งหลายหนในระหว่างทำภารกิจอัชเชอร์ แล้วทำไมมันถึงเพิ่งจะมาถูกเปิดใช้งานเอาตอนนี้?'
สิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือ...ความแตกต่างระหว่างคลาสทั่วไปกับคลาสระดับเลเจนดารี
'แม้มันจะเป็นการกระทำที่เหมือนกัน แต่คลาสระดับเลเจนดารีสามารถเลื่อนค่าสถานะได้ง่ายกว่างั้นหรอ?'
เมื่อได้ล่วงรู้อีกความลับหนึ่งของคลาสเลเจนดารี ตัวเราก็ยิ่งรู้สึกมุ่นมั่นมากขึ้น คมขวานถูกกระหน่ำสับลงไปบนท่อนฟืนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ!
ยิ่งมีฟืนถูกผ่าไปมากเท่าไหร่ ความชำนาญในการผ่าฟืนของเราก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยเทคนิค 'ปล่อยตัวไปตามธรรมชาติ' ในตอนแรกที่เราใช้ ค่าความทนทานของขวานจะลดลงไป 1 หน่วยในทุก 200 ท่อนฟืนที่ได้ผ่าไป แต่มาถึงตอนนี้ นอกจากค่าความทนทานของขวานจะไม่ลดลงแล้ว ความเร็วในการผ่าฟืนของเรากลับยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ทันทีที่ฟืนท่อนที่ 1,000 ถูกผ่าออก ค่าสถานะ 'ความพากเพียร' ของเราได้เพิ่มขึ้นไปเป็น 4 แต้มพอดิบพอดี
[ ไม่มีอะไรตกถึงท้องของท่านมานานมากแล้ว ส่งผลให้ค่าสถานะทั้งหมดลดลงครึ่งหนึ่ง โอกาสติดสถานะผิดปรกติเพิ่มเป็นสองเท่า หากยังคงอยู่ในสถานะหิวโหยต่อไป พลังชีวิตของท่านจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนตาย ]
นี่คงเป็นขีดจำกัดแล้วสินะ...เราล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยลมหายใจที่เหนื่อยหอบ
"แฮ่ก...แฮ่ก..."
แข้งขาของเราอ่อนแรงสุดขีด กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกรีดร้องอย่างเจ็บปวด เราไม่สามารถขยับตัวได้อีกต่อไป หากไม่นับค่าสถานะความพากเพียรที่เพิ่มเข้ามา ด้วยค่าความอดทนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของตัวละครเลเวล -3 ทำให้เราไม่เหลือเรี่ยวแรงจะกระทำสิ่งใดได้อีก
เราหมดแรงสุดขีดหลังจากที่ผ่าฟืนได้ติดต่อกันเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น...น่าสมเพชฉิบ เราหยิบน้ำและขนมปังในกระเป๋าสัมภาระออกมากิน พลางหันหน้ามองเข้าไปในป่าเกรย์ที่อยู่ทางทิศตะวันออก
'ตอนนี้ปาร์ตี้ล่าบอสผู้พิทักษ์แห่งพงไพรคงจะไปถึงที่หมายกันแล้วสินะ โชคดีที่เราไม่ได้เข้าร่วม...ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน'
ด้วยค่าความอดทนของตัวละครเลเวล -3 เราไม่มีทางที่จะเดินตามคนในปาร์ตี้ได้ทันแน่ มันคงน่าอายพิลึกถ้าหากต้องตายเพราะหมดแรงแทนที่จะโดนมอนสเตอร์ฆ่าตาย เราส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความโง่เง่าที่พยายามจะเข้าปาร์ตี้ให้ได้ในตอนแรก
'เมื่อลองย้อนคิดกลับไป ตัวเราไม่รู้แม้กระทั่งอัตราการดรอปของโอริชาลคั่มสีน้ำเงินด้วยซ้ำ เราคิดง่ายเกินไปที่จะไปขอเข้าปาร์ตี้เพื่อหวังจะได้มันมา คราวหลังคงต้องคิดอะไรให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น'
( ผู้แปล : 'ไอเท็มดรอป' หมายถึงไอเท็มที่จะได้หลังจากการฆ่าบอส/มอนสเตอร์, อัตราการดรอป หมายถึงโอกาสที่ไอเท็มนั้นๆ จะดรอปให้หลังจากฆ่าบอส/มอนสเตอร์ มีหน่วยเป็น % ยิ่งไอเท็มระดับสูง โอกาสที่จะดรอปก็ยิ่งมีน้อย )
...ดูเหมือนความคิดอ่านของเราจะพัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนอยู่บ้าง
หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง เราก็เดินกลับเข้าไปในโรงตีเหล็กของสมิทอีกครั้ง
"ผ่าฟืนเสร็จแล้ว มากที่สุดที่ผมทำได้...คือ 1,000 ท่อน"
"อะไรนะ?" สมิทโพล่งขึ้นอย่างตกตะลึง "วะฮ่าฮ่าฮ่า! เด็กใหม่อย่างแกสามารถฝ่าฟืน 1,000 ท่อนได้ภายใน 6 ชั่วโมงเนี่ยนะ? แกไม่ได้เป็นแค่เด็กใหม่นะเนี่ย...ยังเป็นไอ้ขี้โม้ด้วย! คิดจะหลอกกันรึไง?"
สมิทหัวเราะอย่างสุดเสียงพร้อมกับชำเลืองสายตามามองเราเป็นระยะ
'มันเป็นพวกสองบุคลิกรึไงกัน?'
เราชี้นิ้วไปที่สวนหลังบ้านพร้อมกับพูดว่า "แค่การผ่าฟืน 1,000 ท่อนใน 6 ชั่วโมงมันน่าโกหกตรงไหนกัน? ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็ ทำไมไม่ลองเดินไปดูด้วยตาตัวเองเลยล่ะ?"
"ไม่ต้องบอกก็จะทำอยู่แล้ว ถ้าเล่นตุกติกล่ะก็ ข้าจะเตะก้นแกไปให้พ้นจากที่นี่ทันที!"
เราเดินตามสมิทไปอย่างไม่รีบร้อนนัก หลังจากที่เขาตรวจสอบกองฟืนอยู่ครู่หนึ่ง สมิทก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงทันทีที่รู้ว่าฟืนทั้ง 1,000 ท่อนเป็นของจริง
"ปะ...เป็นไปได้ยังไง...? ทำไมเด็กใหม่อย่างแกถึงผ่าฟืน 1,000 ท่อนได้ภายใน 6 ชั่วโมง? แถมทั้งหมดยัง...สมบูรณ์แบบ! ไม่สิ เวลาไม่ใช่ปัญหาเลยซักนิด แต่เด็กใหม่อย่างแกไม่น่าจะมีค่าความอดทนมากพอที่จะผ่าฟืน 1,000 ท่อนได้! รีบสารภาพมาซะ...ฟืนทั้งหมดนี้มาจากไหนกันแน่? หรือแกซื้อมาจากร้านช่างไม้ 'แวนส์' ? ไม่สิ...หรือว่าแกไปซื้อมาจากคนตัดไม้บนภูเขา? เจ้าบ้า! ข้าบอกให้แกตัดฟืนทั้งหมดด้วยตัวเอง!"
"อะไร? ทำไมคุณต้องดูถูกผมด้วย? ฟืนพวกนี้ผมผ่าด้วยตัวเองอย่างยากลำบากทุกท่อน!"
"อย่ามาหลอกข้า! มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!"
ตาลุงนี่เลอะเลือนไปแล้วรึไงนะ? ทำไมมันถึงไม่ยอมเชื่อที่เราพูด?
เราตัดสินใจเดินไปหยิบไม้หนึ่งท่อนมาตั้งพร้อมกับง้างขวานในมือ เมื่อสมิทเห็นดังนั้นก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ฉึบ!
ทักษะการผ่าฟืนของเราอยู่ในระดับสูงสุดหลังจากที่จัดการไปทั้งหมด 1,000 ท่อน ทันทีที่คมขวานปะทะกับเนื้อไม้ เสียงอันไพเราะเสนาะหูได้ดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งโรงตีเหล็ก
สมิทตื่นตะลึงกับเสียงที่ดังขึ้นเป็นอันมาก เขาอ้าปากค้างทันทีที่เห็นฟืนถูกผ่าออกเป็นสองซีกอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า "ข้าคิดว่าแกเป็นเพียงแค่เด็กใหม่โง่เง่าทั่วไป แต่ไม่นึกเลยว่าแกจะมีทักษะช่างตัดไม้ที่น่าเหลือเชื่อขนาดนี้"
"ไม่ใช่..."
"ข้าว่า...แกไปเป็นช่างตัดไม้เถอะ"
"ไม่..." เรายื่นฝ่ามือออกมาหาสมิทที่กำลังพูดพล่ามไร้สาระอยู่ "ก่อนอื่น...มอบรางวัลตอบแทนภารกิจมาได้แล้ว"
"อืม...ย่อมได้ แกทำงานได้ดีกว่าที่คิดไว้ ข้าจะตอบแทนให้อย่างสมน้ำสมเนื้อแน่"
แววตาเคลือบแคลงสงสัยยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของสมิท แต่สุดท้ายเขาก็ยอมควักเหรียญทองแดงออกมาจำนวน 40 เหรียญ หน้าต่างสำเร็จภารกิจเด้งขึ้นตรงหน้าเราเพื่อแจ้งว่าเราได้รับค่าประสบการณ์ 15 หน่วย
สายตาของสมิทมองเราต่างไปจากเดิมในทันที ตอนแรกมันมองเราเป็นเพียงแค่แมลงสาปชั้นต่ำตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้ แววตาที่มันจ้องมาราวกับกำลังมองหมาข้างถนนตัวนึงอยู่...อย่างน้อยก็ดีขึ้นล่ะนะ
เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่ทำภารกิจสำเร็จเกินความคาดหมาย การต้องทำภารกิจระดับ S และ SS อย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ทำให้เรารู้สึกจิตตกไม่น้อย ดังนั้น การสำเร็จภารกิจที่แสนธรรมดาแบบนี้ได้จึงช่วยชำระล้างบาดแผลในจิตใจที่เคยเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี แต่ยังไม่ทันทีเราจะดื่มด่ำกับความสำเร็จได้นานนัก...สมิทก็ยื่นจอบสองหัวมาให้กับเราพร้อมกับพูดว่า
"ถ้าแกเดินขึ้นเขาลูกนี้ไป ที่นั่นจะมีเหมืองอยู่ ไปหาแร่เหล็กมาให้ข้าซะ!"
"คุณต้องการเท่าไร? "
"มากที่สุดที่แกจะทำได้!"
...
[ ภารกิจขุดแร่เหล็ก ]
ระดับความยาก : E
ช่างตีเหล็กสมิทยังคงเคลือบแคลงสงสัยในตัวท่าน
เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กใหม่อย่างท่านถึงมีทักษะในการตัดไม้สูงกว่าเขาได้
สมิทจึงเพิ่มระดับความยากของงานขึ้นไปจากเดิมเพื่อประเมินความสามารถที่แท้จริงของท่าน
เงื่อนไขสำเร็จภารกิจ : แร่เหล็ก 80 ก้อน
รางวัลภารกิจ : ค่าความสัมพันธ์กับสมิท +30 หน่วย, ค่าประสบการณ์ +55 หน่วย, เงินจำนวน 20 เหรียญทองแดง
บทลงโทษหากภารกิจล้มเหลว : ค่าความสัมพันธ์กับสมิท - 30 หน่วย
...
ค่าประสบการณ์ 55 แต้ม! ถ้าหากทำภารกิจนี้สำเร็จ เลเวลของเราก็จะเพิ่มขึ้น 3 เลเวลในทันที...เป็นการหลุดพ้นจากนรกเลเวลติดลบในพริบตา! เรารู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก
ไม่สิ...เดี๋ยวก่อน...'ผู้เล่นอื่นได้เริ่มเล่นที่เลเวล 1 แต่เรากลับตื่นเต้นดีใจที่มีเลเวล 0 เนี่ยนะ...'
เรารับภารกิจมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
"งั้นผมไปก่อนนะ"
เราลองกวัดแกว่งจอบสองหัวไปมาอย่างเบามือ ด้วยค่าสถานะความเข้าใจในไอเท็มที่มี ทักษะการขุดแร่ก็คงไม่เป็นปัญาสำหรับเรามากนัก เรารีบย่ำเท้าออกมาจากโรงตีเหล็กด้วยความรวดเร็ว ในระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นเขา เราได้พบเด็กคนหนึ่งเดินผ่านมา จึงตะโกนถามออกไปว่า
"เจ้าหนู...บนภูเขามีมอนสเตอร์บ้างมั้ย?
เด็กคนนี้มีอายุราว 8 ขวบเท่านั้น เขาตอบกลับมาพร้อมน้ำมูกที่กำลังไหลย้อยออกมาจากจมูก "จะไปมีมอนสเตอร์บนภูเขาที่อยู่ติดกับหมู่บ้านได้ยังไง? ถามอะไรไม่ใช้สมองคิดเลยนะ พ่อของข้าเคยกล่าวว่า พื้นที่ในบริเวณนี้ทั้งหมดมีทหารของท่านลอร์ดคอยเดินลาดตระเวนอยู่ เพราะอย่างนั้น แกควรเลิกปอดแหกแล้วเดินขึ้นไปอย่างสบายใจซะ...เจ้านักเดินทาง"
"ปะ...ปอดแหก? ตูหรอ?"
น้ำเสียงของเจ้าหนูนี้กวนส้นเท้าชะมัด! เด็กแสบคนนี้ต้องโดนลงโทษซะบ้าง เรากำหมัดแน่นพร้อมกับเล็งไปที่หัวของเด็กคนดังกล่าว แต่ทันใดนั้นเอง มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ ดูเหมือนเขาจะเป็นพ่อของเจ้าหนูนี่ ชายคนดังกล่าวมองไปมาระหว่างเรากับเด็กคนนี้พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า
"ลูกพ่อ เจ้าจะไปยุ่งกับพวกนักเดินทางไม่ได้นะ โดยเฉพาะหมอนี่ หน้าตาของเขาดูซื่อบื้ออย่างบอกไม่ถูก ดังนั้น อยู่ห่างเขาไว้ให้มากจะดีกว่านะ!"
"ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ที่ผมตอบไปเพราะรู้สึกสงสาร ท่าทางของหมอนี่ดูน่าสมเพชมากเลย"
"ฮุฮุ ลูกพ่อคงลำบากใจแย่เลยสินะ แต่ยังไงก็เถอะ ทำไมถึงได้มีนักเดินทางกระจอกแบบนี้ผ่านมาที่หมู่บ้านเราได้? หมู่บ้านเราไม่ใช่สถานที่ให้พวกงี่เง่ามาเดินเล่นซะหน่อย"
"ใช่แล้ว แต่ในเมื่อเขาเอ่ยปากถามข้า ข้าก็เลยไม่อยากเสียมารยาทออกไป"
"ฮ่าฮ่าฮ่า! โอเค พ่อเข้าใจแล้ว กลับบ้านไปกินข้าวกันเถอะ แม่เจ้าคงรออยู่นานแล้ว"
"ครับท่านพ่อ!"
...
ในที่สุดพ่อลูกนรกคู่นี้ก็เดินจากไป บ้าชิบ...นี่เราโดนแม้กระทั่งเด็กน้อยหยามเอาได้
"มันไม่มากเกินไปหน่อยหรอ?"
ท่าทีที่เอ็นพีซีปฏิบัติต่อเรานั้นเลวร้ายมาก ในช่วงวันแรกของผู้เล่นใหม่ แม้จะมีเลเวล 1 ก็จริง แต่ช่วงเวลานั้นเอ็นพีซีจะคอยดูแลเอาใจใส่ผู้เล่นใหม่เป็นอย่างดี
การที่พวกเอ็นพีซีมันเหยียดหยามรุนแรงขนาดนี้คงเป็นเพราะเลเวลที่ติดลบของเรา พวกมันแทบทุกคนล้วนชำเลืองสายตามองอย่างน่ารังเกียจราวกับเราเป็นเพียงแมลงตัวหนึ่ง
ในตอนที่เราพบหนังสือเปลี่ยนคลาสผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า ค่าชื่อเสียงระดับทวีปของเราได้เพิ่มขึ้นจากเดิมมากถึง 500 หน่วย แถมหลังจากที่เปลี่ยนคลาสเป็นผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่าแล้ว เรายังได้รับค่าสถานะหยิ่งทระนงเพิ่มขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะสูญเปล่าถ้าหากเลเวลของเรายังคงติดลบแบบนี้อยู่ต่อไป
'หมายความว่า...โดรันแม่งเป็นคนดีสุดๆ เลยไม่ใช่รึไงเนี่ย?'
เราชอบเอ็นพีซีแบบโดรันมากกว่า แม้เขาจะประเมินเลเวลของเราสูงเกินไปจนตามตื้อหวังให้เรารับภารกิจ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่เอ็นพีซีที่มองเราด้วยสายตาน่ารังเกียจ
'ทุกครั้งที่คิดถึงโดรัน...อดเสียดายแหวนที่หมอนั่นสวมไม่ได้ทุกที'
เรารู้สึกอาลัยอาวรณ์กับแหวนวงนั้นของโดรันเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากที่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าซักพัก จิตใจของเราก็กลับมาสดชื่นเป็นปรกติอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินหน้าขึ้นเขาไป เราตัดสินใจตรวจสอบหน้าต่างค่าสถานะเป็นหนสุดท้าย
จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 14 - จบตอน
กลายเป็นคนสู้ชีวิตไปล่ะ
ReplyDeleteขอบคุณค่ะ
ReplyDeleteขอบคุณครับเรื่องนี้ก็สนุกดีนะครับ
ReplyDeleteขอบคุณครับ
ReplyDeleteตนอื่นดูถูกยังไม่ชินอีกหรอ
ReplyDeleteชีวิตต้องสู้ เป็นคนต้องสู้ชีวิต
ReplyDelete