จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 14

       เมื่อเราทำการผ่าฟืนไปได้ถึงชิ้นที่ 280   ความหิวโหยเริ่มรบเร้าอย่างรุนแรงขึ้นจนทำให้สายตาพร่ามัว   แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังไม่คิดที่จะหยุดมือ

       'ถ้ายอมแพ้แค่นี้...ก็ไม่ใช่ตัวเราน่ะสิ...'

       ตั้งแต่เด็กแล้ว  เราไม่เคยมีอะไรที่โดดเด่นเหมือนกับคนอื่น   เราไม่ใช่คนฉลาด  ไม่ใช่คนหล่อเหลา  แล้วก็ไม่ได้มีนิสัยที่ดีเลิศอะไร    เราห่วยแตกในกีฬาทุกชนิด  ไม่เคยมีพรสวรรค์ในด้านไหนซักด้านมาก่อน

       เรามันเป็นพวกไร้ความสามารถที่ได้แต่คอยยืนมองและอิจฉาคนอื่นเท่านั้น...

       ไม่ปฏิเสธเลยว่าเราคือตัวอย่างที่ล้มเหลวของมวลมนุษยชาติ   แต่ถึงอย่างนั้น  เราก็ยังสามารถมีตัวตนในสังคมโรงเรียนได้ด้วยความอดทนและเพียรพยาม

       เราไม่ใช่คนเฉลียวฉลาด   ในการสอบแต่ละครั้ง  เราจำเป็นต้องอ่านหนังสือมากกว่าคนอื่นเท่าตัวเพียงเพื่อให้ได้ผลการเรียนแค่ระดับปานกลาง   เราไม่ใช่คนนิสัยดี  เรื่องทำให้คนในห้องยอมรับเราได้   มีแต่ต้องเล่นเป็นตัวตลกเลียนแบบนักการเมืองเพื่อเรียกเสียงฮาเท่านั้น   เราไม่ใช่คนร่างกายแข็งแรงและมีพรสวรรค์เกี่ยวกับกีฬา   ในคาบพละ  การที่เราจะลงเล่นฟุตบอลกับเพื่อนได้  เป็นเพราะเราเอาแต่วิ่งพล่านไล่บอลไปทั่วสนามราวกับคนบ้า

       เรารู้จุดอ่อนของตัวเองเป็นอย่างดี   จึงต้องพยายามมากกว่าคนอื่นหลายเท่า   ต้องขอบคุณความขยันอดทนที่พระเจ้าประทานมาให้    ในที่สุดเราก็สามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยพร้อมกับผ่านการเกณฑ์ทหารมาได้อย่างราบรื่น    แม้จะต้องเป็นหนี้ก้อนโตจากเกมซาทิสฟายก็จริง  แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังสามารถใช้ชีวิตตามปรกติได้อย่างไม่มีปัญหา

       จุดแข็งข้อเดียวในตัวเรา...คงเป็นความเพียรพยายามและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่กระหน่ำถาโถมเข้ามา

       "เลเวล...เงินทอง..."

       เราใช้สิ่งเหล่านี้สะกดจิตตัวเองให้สับขวานลงไปอย่างไม่หยุดหย่อน   พริบตาเดียวก็สามารถผ่าฟืนไปได้มากถึง 460 ท่อนแล้ว 

       ...แต่หน้าต่างข้อความระบบกลับเด้งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

       [ ค่าสถานะ 'ความพากเพียร' ถูกเปิดใช้งานแล้ว ]

       "เอ๋?"

       ค่าสถานะใหม่ถูกเปิดใช้งานได้ยังไง?  เรารีบตรวจสอบทันที

...

       [ ความพากเพียร ]

       แม้อุปสรรคจะหนักหนาสักเพียงใด  แต่ท่านคือผู้ที่ไม่ย่อท้อและไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งเหล่านั้น   ส่งผลให้ตัวละครของท่านเหน็ดเหนื่อยได้ยากขึ้นกว่าเดิม   สามารถแบกน้ำหนักสัมภาระได้มากขึ้นจากเดิม   และความรู้สึกพึงพอใจหลังจากที่ทำภารกิจสำเร็จจะอยู่นานขึ้นกว่าเดิม

       * ยิ่งมีค่าความพากเพียรเยอะก็จะยิ่งส่งผลมากขึ้น

       * ไม่สามารถนำแต้มค่าสถานะมาเพิ่มระดับได้

       * ทุก 10 แต้มของค่าความพากเพียรที่เพิ่มขึ้น  จะส่งผลให้ค่าสถานะ 'ความทรหด' เพิ่มขึ้น 1 แต้มตามไปด้วย

...

       "เจ๋งโคตร!"

       ตัวเราจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยากขึ้น  แบกสัมภาระแบกได้มากขึ้น  และความสุขความพึงพอใจที่นานขึ้นกว่าเดิม!    แถมทุกค่าความพากเพียร 10 แต้มยังจะนำไปเพิ่มค่า 'ความทรหด' ให้อย่างอัตโนมัติอีกด้วย 

       'ต้องใช้ความพากเพียรเพื่อเพิ่มค่าความทรหดงั้นหรอ?'

       เรารู้สึกสับสนเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาสับฟืนต่ออีกครั้ง

       'แต่น่าแปลก...ก่อนหน้านี้เราก็เคยแสดงความพากเพียรอยู่หลายครั้งหลายหนในระหว่างทำภารกิจอัชเชอร์    แล้วทำไมมันถึงเพิ่งจะมาถูกเปิดใช้งานเอาตอนนี้?'

       สิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือ...ความแตกต่างระหว่างคลาสทั่วไปกับคลาสระดับเลเจนดารี

       'แม้มันจะเป็นการกระทำที่เหมือนกัน   แต่คลาสระดับเลเจนดารีสามารถเลื่อนค่าสถานะได้ง่ายกว่างั้นหรอ?'

       เมื่อได้ล่วงรู้อีกความลับหนึ่งของคลาสเลเจนดารี   ตัวเราก็ยิ่งรู้สึกมุ่นมั่นมากขึ้น   คมขวานถูกกระหน่ำสับลงไปบนท่อนฟืนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง

       ฉึบ!  ฉึบ!  ฉึบ!

       ยิ่งมีฟืนถูกผ่าไปมากเท่าไหร่   ความชำนาญในการผ่าฟืนของเราก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

       ด้วยเทคนิค 'ปล่อยตัวไปตามธรรมชาติ' ในตอนแรกที่เราใช้   ค่าความทนทานของขวานจะลดลงไป 1 หน่วยในทุก 200 ท่อนฟืนที่ได้ผ่าไป    แต่มาถึงตอนนี้  นอกจากค่าความทนทานของขวานจะไม่ลดลงแล้ว  ความเร็วในการผ่าฟืนของเรากลับยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

       ทันทีที่ฟืนท่อนที่ 1,000 ถูกผ่าออก   ค่าสถานะ 'ความพากเพียร' ของเราได้เพิ่มขึ้นไปเป็น 4 แต้มพอดิบพอดี

       [ ไม่มีอะไรตกถึงท้องของท่านมานานมากแล้ว   ส่งผลให้ค่าสถานะทั้งหมดลดลงครึ่งหนึ่ง   โอกาสติดสถานะผิดปรกติเพิ่มเป็นสองเท่า  หากยังคงอยู่ในสถานะหิวโหยต่อไป   พลังชีวิตของท่านจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนตาย ]

       นี่คงเป็นขีดจำกัดแล้วสินะ...เราล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยลมหายใจที่เหนื่อยหอบ

       "แฮ่ก...แฮ่ก..."

       แข้งขาของเราอ่อนแรงสุดขีด  กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกรีดร้องอย่างเจ็บปวด  เราไม่สามารถขยับตัวได้อีกต่อไป    หากไม่นับค่าสถานะความพากเพียรที่เพิ่มเข้ามา   ด้วยค่าความอดทนที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของตัวละครเลเวล -3    ทำให้เราไม่เหลือเรี่ยวแรงจะกระทำสิ่งใดได้อีก

       เราหมดแรงสุดขีดหลังจากที่ผ่าฟืนได้ติดต่อกันเพียง 6 ชั่วโมงเท่านั้น...น่าสมเพชฉิบ   เราหยิบน้ำและขนมปังในกระเป๋าสัมภาระออกมากิน   พลางหันหน้ามองเข้าไปในป่าเกรย์ที่อยู่ทางทิศตะวันออก 

       'ตอนนี้ปาร์ตี้ล่าบอสผู้พิทักษ์แห่งพงไพรคงจะไปถึงที่หมายกันแล้วสินะ   โชคดีที่เราไม่ได้เข้าร่วม...ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นตัวตลกอย่างแน่นอน'

       ด้วยค่าความอดทนของตัวละครเลเวล -3   เราไม่มีทางที่จะเดินตามคนในปาร์ตี้ได้ทันแน่   มันคงน่าอายพิลึกถ้าหากต้องตายเพราะหมดแรงแทนที่จะโดนมอนสเตอร์ฆ่าตาย    เราส่ายหัวเล็กน้อยให้กับความโง่เง่าที่พยายามจะเข้าปาร์ตี้ให้ได้ในตอนแรก

       'เมื่อลองย้อนคิดกลับไป   ตัวเราไม่รู้แม้กระทั่งอัตราการดรอปของโอริชาลคั่มสีน้ำเงินด้วยซ้ำ   เราคิดง่ายเกินไปที่จะไปขอเข้าปาร์ตี้เพื่อหวังจะได้มันมา   คราวหลังคงต้องคิดอะไรให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น'

       ( ผู้แปล :  'ไอเท็มดรอป'  หมายถึงไอเท็มที่จะได้หลังจากการฆ่าบอส/มอนสเตอร์,  อัตราการดรอป  หมายถึงโอกาสที่ไอเท็มนั้นๆ จะดรอปให้หลังจากฆ่าบอส/มอนสเตอร์   มีหน่วยเป็น %    ยิ่งไอเท็มระดับสูง   โอกาสที่จะดรอปก็ยิ่งมีน้อย )

       ...ดูเหมือนความคิดอ่านของเราจะพัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนอยู่บ้าง

       หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง  เราก็เดินกลับเข้าไปในโรงตีเหล็กของสมิทอีกครั้ง

       "ผ่าฟืนเสร็จแล้ว   มากที่สุดที่ผมทำได้...คือ 1,000 ท่อน"

       "อะไรนะ?"  สมิทโพล่งขึ้นอย่างตกตะลึง  "วะฮ่าฮ่าฮ่า!   เด็กใหม่อย่างแกสามารถฝ่าฟืน 1,000 ท่อนได้ภายใน 6 ชั่วโมงเนี่ยนะ?   แกไม่ได้เป็นแค่เด็กใหม่นะเนี่ย...ยังเป็นไอ้ขี้โม้ด้วย!  คิดจะหลอกกันรึไง?"

       สมิทหัวเราะอย่างสุดเสียงพร้อมกับชำเลืองสายตามามองเราเป็นระยะ     

       'มันเป็นพวกสองบุคลิกรึไงกัน?'

       เราชี้นิ้วไปที่สวนหลังบ้านพร้อมกับพูดว่า  "แค่การผ่าฟืน 1,000 ท่อนใน 6 ชั่วโมงมันน่าโกหกตรงไหนกัน?   ถ้าคุณไม่เชื่อล่ะก็  ทำไมไม่ลองเดินไปดูด้วยตาตัวเองเลยล่ะ?"     

       "ไม่ต้องบอกก็จะทำอยู่แล้ว  ถ้าเล่นตุกติกล่ะก็   ข้าจะเตะก้นแกไปให้พ้นจากที่นี่ทันที!"

       เราเดินตามสมิทไปอย่างไม่รีบร้อนนัก   หลังจากที่เขาตรวจสอบกองฟืนอยู่ครู่หนึ่ง   สมิทก็อ้าปากค้างอย่างตกตะลึงทันทีที่รู้ว่าฟืนทั้ง 1,000 ท่อนเป็นของจริง

       "ปะ...เป็นไปได้ยังไง...?   ทำไมเด็กใหม่อย่างแกถึงผ่าฟืน 1,000 ท่อนได้ภายใน 6 ชั่วโมง?   แถมทั้งหมดยัง...สมบูรณ์แบบ!    ไม่สิ   เวลาไม่ใช่ปัญหาเลยซักนิด     แต่เด็กใหม่อย่างแกไม่น่าจะมีค่าความอดทนมากพอที่จะผ่าฟืน 1,000 ท่อนได้!  รีบสารภาพมาซะ...ฟืนทั้งหมดนี้มาจากไหนกันแน่?   หรือแกซื้อมาจากร้านช่างไม้ 'แวนส์' ?   ไม่สิ...หรือว่าแกไปซื้อมาจากคนตัดไม้บนภูเขา?  เจ้าบ้า!   ข้าบอกให้แกตัดฟืนทั้งหมดด้วยตัวเอง!"

       "อะไร?  ทำไมคุณต้องดูถูกผมด้วย?  ฟืนพวกนี้ผมผ่าด้วยตัวเองอย่างยากลำบากทุกท่อน!"

       "อย่ามาหลอกข้า!  มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!"     

       ตาลุงนี่เลอะเลือนไปแล้วรึไงนะ?   ทำไมมันถึงไม่ยอมเชื่อที่เราพูด? 

       เราตัดสินใจเดินไปหยิบไม้หนึ่งท่อนมาตั้งพร้อมกับง้างขวานในมือ     เมื่อสมิทเห็นดังนั้นก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว

       ฉึบ!

       ทักษะการผ่าฟืนของเราอยู่ในระดับสูงสุดหลังจากที่จัดการไปทั้งหมด 1,000 ท่อน   ทันทีที่คมขวานปะทะกับเนื้อไม้  เสียงอันไพเราะเสนาะหูได้ดังก้องกังวาลไปทั่วทั้งโรงตีเหล็ก 

       สมิทตื่นตะลึงกับเสียงที่ดังขึ้นเป็นอันมาก  เขาอ้าปากค้างทันทีที่เห็นฟืนถูกผ่าออกเป็นสองซีกอย่างสมบูรณ์แบบ   หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง  เขาก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า  "ข้าคิดว่าแกเป็นเพียงแค่เด็กใหม่โง่เง่าทั่วไป   แต่ไม่นึกเลยว่าแกจะมีทักษะช่างตัดไม้ที่น่าเหลือเชื่อขนาดนี้"

       "ไม่ใช่..."

       "ข้าว่า...แกไปเป็นช่างตัดไม้เถอะ"

       "ไม่..."  เรายื่นฝ่ามือออกมาหาสมิทที่กำลังพูดพล่ามไร้สาระอยู่  "ก่อนอื่น...มอบรางวัลตอบแทนภารกิจมาได้แล้ว"

       "อืม...ย่อมได้  แกทำงานได้ดีกว่าที่คิดไว้   ข้าจะตอบแทนให้อย่างสมน้ำสมเนื้อแน่"

       แววตาเคลือบแคลงสงสัยยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าของสมิท   แต่สุดท้ายเขาก็ยอมควักเหรียญทองแดงออกมาจำนวน 40 เหรียญ   หน้าต่างสำเร็จภารกิจเด้งขึ้นตรงหน้าเราเพื่อแจ้งว่าเราได้รับค่าประสบการณ์ 15 หน่วย   

       สายตาของสมิทมองเราต่างไปจากเดิมในทันที   ตอนแรกมันมองเราเป็นเพียงแค่แมลงสาปชั้นต่ำตัวหนึ่งเท่านั้น   แต่ตอนนี้   แววตาที่มันจ้องมาราวกับกำลังมองหมาข้างถนนตัวนึงอยู่...อย่างน้อยก็ดีขึ้นล่ะนะ

       เรารู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่ทำภารกิจสำเร็จเกินความคาดหมาย   การต้องทำภารกิจระดับ S และ SS อย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ทำให้เรารู้สึกจิตตกไม่น้อย   ดังนั้น  การสำเร็จภารกิจที่แสนธรรมดาแบบนี้ได้จึงช่วยชำระล้างบาดแผลในจิตใจที่เคยเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี   แต่ยังไม่ทันทีเราจะดื่มด่ำกับความสำเร็จได้นานนัก...สมิทก็ยื่นจอบสองหัวมาให้กับเราพร้อมกับพูดว่า

       "ถ้าแกเดินขึ้นเขาลูกนี้ไป  ที่นั่นจะมีเหมืองอยู่  ไปหาแร่เหล็กมาให้ข้าซะ!"

       "คุณต้องการเท่าไร?  "

       "มากที่สุดที่แกจะทำได้!"

...

       [ ภารกิจขุดแร่เหล็ก ]

       ระดับความยาก : E

       ช่างตีเหล็กสมิทยังคงเคลือบแคลงสงสัยในตัวท่าน

       เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กใหม่อย่างท่านถึงมีทักษะในการตัดไม้สูงกว่าเขาได้

       สมิทจึงเพิ่มระดับความยากของงานขึ้นไปจากเดิมเพื่อประเมินความสามารถที่แท้จริงของท่าน

       เงื่อนไขสำเร็จภารกิจ :  แร่เหล็ก 80 ก้อน

       รางวัลภารกิจ : ค่าความสัมพันธ์กับสมิท +30 หน่วย,  ค่าประสบการณ์ +55 หน่วย,  เงินจำนวน  20  เหรียญทองแดง

       บทลงโทษหากภารกิจล้มเหลว : ค่าความสัมพันธ์กับสมิท - 30 หน่วย

...

       ค่าประสบการณ์  55 แต้ม!  ถ้าหากทำภารกิจนี้สำเร็จ   เลเวลของเราก็จะเพิ่มขึ้น 3 เลเวลในทันที...เป็นการหลุดพ้นจากนรกเลเวลติดลบในพริบตา!   เรารู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก

       ไม่สิ...เดี๋ยวก่อน...'ผู้เล่นอื่นได้เริ่มเล่นที่เลเวล 1  แต่เรากลับตื่นเต้นดีใจที่มีเลเวล 0 เนี่ยนะ...'

       เรารับภารกิจมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

       "งั้นผมไปก่อนนะ"

       เราลองกวัดแกว่งจอบสองหัวไปมาอย่างเบามือ  ด้วยค่าสถานะความเข้าใจในไอเท็มที่มี  ทักษะการขุดแร่ก็คงไม่เป็นปัญาสำหรับเรามากนัก   เรารีบย่ำเท้าออกมาจากโรงตีเหล็กด้วยความรวดเร็ว   ในระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นเขา  เราได้พบเด็กคนหนึ่งเดินผ่านมา  จึงตะโกนถามออกไปว่า

       "เจ้าหนู...บนภูเขามีมอนสเตอร์บ้างมั้ย?

       เด็กคนนี้มีอายุราว 8 ขวบเท่านั้น   เขาตอบกลับมาพร้อมน้ำมูกที่กำลังไหลย้อยออกมาจากจมูก  "จะไปมีมอนสเตอร์บนภูเขาที่อยู่ติดกับหมู่บ้านได้ยังไง?   ถามอะไรไม่ใช้สมองคิดเลยนะ   พ่อของข้าเคยกล่าวว่า  พื้นที่ในบริเวณนี้ทั้งหมดมีทหารของท่านลอร์ดคอยเดินลาดตระเวนอยู่   เพราะอย่างนั้น  แกควรเลิกปอดแหกแล้วเดินขึ้นไปอย่างสบายใจซะ...เจ้านักเดินทาง"

       "ปะ...ปอดแหก?  ตูหรอ?"

       น้ำเสียงของเจ้าหนูนี้กวนส้นเท้าชะมัด!   เด็กแสบคนนี้ต้องโดนลงโทษซะบ้าง  เรากำหมัดแน่นพร้อมกับเล็งไปที่หัวของเด็กคนดังกล่าว   แต่ทันใดนั้นเอง  มีชายร่างใหญ่คนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้  ดูเหมือนเขาจะเป็นพ่อของเจ้าหนูนี่   ชายคนดังกล่าวมองไปมาระหว่างเรากับเด็กคนนี้พร้อมกับพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า

       "ลูกพ่อ  เจ้าจะไปยุ่งกับพวกนักเดินทางไม่ได้นะ   โดยเฉพาะหมอนี่  หน้าตาของเขาดูซื่อบื้ออย่างบอกไม่ถูก   ดังนั้น  อยู่ห่างเขาไว้ให้มากจะดีกว่านะ!"

       "ผมก็คิดอย่างนั้น   แต่ที่ผมตอบไปเพราะรู้สึกสงสาร   ท่าทางของหมอนี่ดูน่าสมเพชมากเลย"

       "ฮุฮุ  ลูกพ่อคงลำบากใจแย่เลยสินะ   แต่ยังไงก็เถอะ  ทำไมถึงได้มีนักเดินทางกระจอกแบบนี้ผ่านมาที่หมู่บ้านเราได้?   หมู่บ้านเราไม่ใช่สถานที่ให้พวกงี่เง่ามาเดินเล่นซะหน่อย"

       "ใช่แล้ว   แต่ในเมื่อเขาเอ่ยปากถามข้า   ข้าก็เลยไม่อยากเสียมารยาทออกไป"

       "ฮ่าฮ่าฮ่า!  โอเค  พ่อเข้าใจแล้ว   กลับบ้านไปกินข้าวกันเถอะ  แม่เจ้าคงรออยู่นานแล้ว"

       "ครับท่านพ่อ!"

       ...

       ในที่สุดพ่อลูกนรกคู่นี้ก็เดินจากไป   บ้าชิบ...นี่เราโดนแม้กระทั่งเด็กน้อยหยามเอาได้

       "มันไม่มากเกินไปหน่อยหรอ?"

       ท่าทีที่เอ็นพีซีปฏิบัติต่อเรานั้นเลวร้ายมาก   ในช่วงวันแรกของผู้เล่นใหม่  แม้จะมีเลเวล 1 ก็จริง  แต่ช่วงเวลานั้นเอ็นพีซีจะคอยดูแลเอาใจใส่ผู้เล่นใหม่เป็นอย่างดี   

       การที่พวกเอ็นพีซีมันเหยียดหยามรุนแรงขนาดนี้คงเป็นเพราะเลเวลที่ติดลบของเรา   พวกมันแทบทุกคนล้วนชำเลืองสายตามองอย่างน่ารังเกียจราวกับเราเป็นเพียงแมลงตัวหนึ่ง

       ในตอนที่เราพบหนังสือเปลี่ยนคลาสผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า   ค่าชื่อเสียงระดับทวีปของเราได้เพิ่มขึ้นจากเดิมมากถึง 500 หน่วย   แถมหลังจากที่เปลี่ยนคลาสเป็นผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่าแล้ว   เรายังได้รับค่าสถานะหยิ่งทระนงเพิ่มขึ้นมา   แต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดจะสูญเปล่าถ้าหากเลเวลของเรายังคงติดลบแบบนี้อยู่ต่อไป

       'หมายความว่า...โดรันแม่งเป็นคนดีสุดๆ เลยไม่ใช่รึไงเนี่ย?'

       เราชอบเอ็นพีซีแบบโดรันมากกว่า  แม้เขาจะประเมินเลเวลของเราสูงเกินไปจนตามตื้อหวังให้เรารับภารกิจ   แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่เอ็นพีซีที่มองเราด้วยสายตาน่ารังเกียจ 

       'ทุกครั้งที่คิดถึงโดรัน...อดเสียดายแหวนที่หมอนั่นสวมไม่ได้ทุกที'

       เรารู้สึกอาลัยอาวรณ์กับแหวนวงนั้นของโดรันเป็นอย่างมาก

       แต่หลังจากที่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้าซักพัก   จิตใจของเราก็กลับมาสดชื่นเป็นปรกติอีกครั้ง   ก่อนที่จะเดินหน้าขึ้นเขาไป  เราตัดสินใจตรวจสอบหน้าต่างค่าสถานะเป็นหนสุดท้าย



จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์  ตอนที่ 14 - จบตอน

Comments

  1. กลายเป็นคนสู้ชีวิตไปล่ะ

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณครับเรื่องนี้ก็สนุกดีนะครับ

    ReplyDelete
  3. ตนอื่นดูถูกยังไม่ชินอีกหรอ

    ReplyDelete
  4. ชีวิตต้องสู้ เป็นคนต้องสู้ชีวิต

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00