จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 26
ทันทีที่สวมเกราะเหล็กสีทองอร่ามประกายวิบวับแสบตา ร่างกายของเราก็รู้สึกแข็งแกร่งดุจดั่งภูผาหินที่ไม่มีวันพังทลาย
ทันทีที่หยิบดาบยักษ์ที่มีความยาวถึง 3 เมตรขึ้นมากำในมือ ต่อให้มังกรทั้งตัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เราก็สามารถฟาดฟันให้ขาดเป็น 2 ท่อนได้อย่างง่ายดาย
อาวุธของพวกนักเลงที่ประเคนเข้ามาอย่างบ้างคลั่ง เราไม่คิดจะหลบมันเลยแม้แต่น้อย...ไม่มีความจำเป็นซักนิด
เคร้ง! กึก!
พวกมันต่างเหวี่ยงแขนเข้ามาอย่างสุดแรงเกิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำให้ชุดเกราะของเราเกิดรอยขีดข่วนได้ ร่างกายเราไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับอาวุธของพวกมันที่แตกหักแหลกสลายในพริบตา
"อ...อะไรกัน?"
"เกิดบ้าอะไรขึ้น...?"
กลุ่มนักเลงพวกนี้อาศัยอยู่ในโลกใต้ดินมานานเกือบตลอดชีวิตของพวกมัน สัญชาติญานการรับรู้ได้ถึงอันตรายจึงแหลมคมกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ทันทีที่อาวุธถูกทำลายลงคามือ ความสิ้นหวังได้ปรากฏขึ้นในสีหน้าของพวกมันอย่างชัดเจน
"เป็นไปไม่ได้! นี่มันบ้าเกิดไปแล้ว!!"
เราแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายราวกับปีศาจจากขุมนรกใส่พวกมันกลับไป "มันคือความเจ๋งของอุปกรณ์สวมใส่ยังไงล่ะ!"
ยา? ทักษะ? เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาของพวกนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มียุทธภัณฑ์มากมายนับไม่ถ้วนวางกองเรียงรายกันในโรงตีเหล็กแห่งนี้ ในฐานะผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดเราก็สามารถหยิบมันขึ้นมาใช้ได้ทั้งนั้น!
ชิ้ง...แคร้ง!
เราใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างกำด้ามของดาบยักษ์ยาว 3 เมตรเล่มนี้ไว้แน่นพร้อมกับเหวี่ยงออกไปด้านหน้า เราไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะใดๆ เราไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญใดๆ เราอาศัยเพียงการหมุนของน้ำหนักจากปลายคมดาบที่ฟาดเข้าใส่พวกมันตรงหน้า
ฉึบ!
เป็นความรู้สึกที่สดชื่นจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ดาบยักษ์ในมือได้ฟาดฟันผ่ากลุ่มนักเลงทั้งสามจนขาดเป็นสองท่อนในครั้งเดียว เกิดแสงสีเทาจำนวน 3 จุดส่องสว่างออกมาพร้อมกับการหายไปของพวกมันทุกคน
...
...
...
...
...
ในขณะที่ข้อความระบบอันน่าพิศมัยเด้งเตือนขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่เรากลับไม่มีเวลามัวมาดีใจในเรื่องนั้น
"ดาบกับชุดเกราะนี่มัน..."
โดยไม่รอช้า เรารีบใช้ทักษะการตรวจสอบของช่างตีเหล็กในตำนานทันที
[ ช่างตีเหล็กในตำนานนั้นมีสายตาดุจดั่งพญาเหยี่ยว หากไอเท็มใดมีคุณสมบัติลับซ่อนอยู่ มันจะไม่มีวันรอดพ้นสายตาของเขาไปได้อย่างแน่นอน ]
...
...
...
...
...
"อึก!..."
ความยอดเยี่ยมอย่างสุดกู่นี่มันอะไรกัน!!?? ทำไมโรงเหล็กภายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ถึงมีของสุดยอดแบบนี้วางอยู่ได้?
ในระหว่างที่เรากำลังยืนตกตะลึงพร้อมกับอ้าปากค้าง ข่านก็ค่อยๆ เดินมาจากด้านหลังพร้อมกับใช้ฝ่ามือจับบ่าเราไว้และออกแรงบีบจนเรารู้สึกเจ็บ
ข่านถามขึ้นด้วยเสียงสั่นระริกอย่างสุดขีด "เจ้า...ทำไมเจ้าถึงใช้ดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าได้!!??"
เราไม่รู้จะอธิบายข่านออกไปเป็นคำพูดยังไงดี จึงตัดสินใจตอบคำถามด้วยคำถามกลับไปแทน
"ข่าน ทำไมลุงถึงมีไอเท็มที่ยอดเยี่ยมแบบนี้อยู่กับตัวได้? หืม? ไปได้มันมายังไงกัน?"
"เฮ่ย!"
ทันทีที่เราตั้งคำถามเสร็จ ข่านก็ตกตะลึงอย่างสุดขีดจนดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
'หมอนี่มันเป็นกบรึไง ทำไมดวงตาถึงปูดโปนได้ขนาดนี้กันนะ?'
ดวงตาของข่านที่เกือบถลนออกจากเบ้าได้ทำให้เรารู้สึกเริ่มกังวล
"เจ้า...รู้จักมูลค่าของไอเท็มสองสิ่งนี้ด้วยงั้นหรือ?"
"แค่ดูก็รู้แล้วไม่ใช่รึไง? แถมยังถูกสร้างโดยอัลบาติโน่ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นด้วย"
"เอ๋! เจ้ารู้ไปถึงผู้สร้างได้ยังไงกัน? ระ...หรือว่าเจ้าคือ...?"
ใบหน้าของข่านกลายเป็นสีแดงก่ำราวกับคนกำลังเมาเหล้าสุดขีด หลังจากนั้นเขาก็โซเซถอยหลังไปพร้อมกับสลบเหมือดลงบนพื้น
'เอ้า!? ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้? ความดันขึ้นฉับพลันรึไง? ตาลุงนี่...'
นี่เราอุตส่าห์ลำบากลำบนทำภารกิจจนสำเร็จเพื่อให้มันมาตายด้วยความดันเลือดขึ้นฉับพลันงั้นหรอ? ไม่ได้เด็ดขาด เราจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่
"เฮ้...เฮ้! ลุง! ฟื้นขึ้นมาก่อน...ฟื้นก่อนเซ่!!"
"อั่ก!..."
"เฮ้ย!! น้ำลายฟูมปากเลยเรอะ! เฮ้ย ลุง! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นฟะ? อย่างเพิ่งตายเซ่! ข้าทำภารกิจสำเร็จแล้วใช่มั้ย? ตอบด้วย! อย่าเพิ่งตายเด็ดขาด ถ้าลุงมีภารกิจต่อเนื่องหลังจากนี้ก็รีบมอบมันมาให้ข้าเร็ว!!"
เดี๋ยวนะ...ถ้าข่านตายไปแล้วดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าจะเป็นยังไงต่อไปกัน?
"...เฮ้ ลุง! ทำใจดีๆ ไว้ก่อน! บ้าฉิบ! แข็งใจไว้ก่อนนะ ลุงจะมาตายตรงนี้ไม่ได้นะ..."
หลังจากที่เราถอดดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าวางกลับที่เดิม ร่างของลุงข่านก็ถูกเราหามมาที่คลินิกในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
...
...
...
หมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญอย่างวินสตันกลับมีถนนหนทางที่ทันสมัยและแข็งแรง หมู่บ้านนี้กำลังพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็วก้าวกระโดด ในไม่ช้าคงได้กลายเป็นเมื่อใหญ่เข้าซักวันแน่
ด้วยความที่มีสถานที่ล่าเหมาะสมกับผู้คนหลากหลายระดับเลเวล อีกทั้งยังเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยภารกิจเฉพาะและไอเท็มแปลกประหลาดหายากมากมาย ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ความเร็วการพัฒนาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
มาจนถึงวันนี้ ทุกครั้งที่มีโพลล์สอบถามถึง 'หมู่บ้านเริ่มต้นที่ผู้เล่นใหม่อยากไป' หมู่บ้านวินสตันก็มักจะติดอันดับ 1 ใน 10 ของโพลล์ทางสถานทีโทรทัศน์ทุกครั้งไป
ผู้คนต่างพากันอิจฉาเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิมภายในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก เพราะด้วยการพัฒนาที่รุดหน้าก้าวกระโดด ราคาของที่ดินจึงสูงลิ่วราวกับจรวดที่ทะยานขึ้นท้องฟ้า มูลค่าในปัจจุบันถูกตีราคาให้แพงกว่าต้นทุนเดิมถึง 20 เท่า ถ้าใครคิดขายตอนนี้ก็คงได้มีกินมีใช้ไปทั้งชาติ จึงไม่แปลกที่คนภายนอกจะมองว่าวินสตันเป็นหมู่บ้านที่มั่งคั่งร่ำรวย
แต่สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นกลับเป็นเพียงเปลือกนอกที่คนทั่วไปรับรู้ ความเป็นจริงช่างโหดร้ายกว่านั้นหลายเท่านัก แม้จะมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อนในตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่คุณภาพชีวิตของชาวบ้านวินสตันกลับยังคงย่ำอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเลยซักนิด นั่นเป็นเพราะการมีตัวตนของกลุ่มบริษัทเมโร่นั่นเอง
กลุ่มบริษัทเมโร่ได้ครอบครองกิจการธรุกิจมากมายในแถบโซนเหนือของอาณาจักรอีเทอนัลมาเป็นเวลานานแล้ว 'บัลมงต์' หรือเป็นที่รู้จักกันในนามผู้อยู่เบื้องหลังของกิจการกลุ่มบริษัทเมโร่ทั้งหมด เขามีสายตาที่เฉียบแหลมจนสามารถมองเห็นอนาคตอันรุ่งโรจน์ของหมู่บ้านวินสตันได้ก่อนผู้ใด จึงทำการกว้างซื้อที่ดินของหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้มาเป็นจำนวนมากในราคาที่ถูกแสนถูก
ดังนั้นในปัจจุบัน ที่ดินส่วนใหญ่ของหมู่บ้านวินสตันจึงตกเป็นของกลุ่มบริษัทเมโร่เกือบทั้งหมด โดยแม้จะยังไม่ถูกเลื่อนขึ้นเป็นเมืองใหญ่อย่างเป็นทางการก็จริง แต่ป้ายของห้างร้านกิจการใหญ่น้อยจำนวนมากภายในหมู่บ้านก็มีคำว่า 'เมโร่' สลักไว้เกือบทั้งหมด ส่งผลให้ชาวบ้านที่เป็นคนของหมู่บ้านนี้ดั้งเดิมจริงๆ จึงกำลังประสบวิกฤติตกงานและภาวะยากจน
การทำกิจการแบบผูกขาดภายในหมู่บ้านวินสตันได้ทำให้กลุ่มบริษัทเมโร่ทำกำไรอย่างถล่มทลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกขุนนางชั้นสูงต่างๆ เช่นบรรดาลอร์ดทั้งหลายจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะอัตราการจ่ายภาษีและส่วยคอรัปชั่นต่างๆ นั้นมีมูลค่ามหาศาลเกินกว่าจะไปขัดขวางได้
"ใช่แล้ว...คนเราต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล"
ในฐานะเจ้าของสูงสุดของกลุ่มบริษัทเมโร่ แน่นอนว่าบัลมงต์ย่อมมีความสุขยิ่งกว่าผู้ใดในทุกๆ วัน กำไรทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากหมู่บ้านล้วนกระเด็นเข้ากระเป๋าของเขาเกือบทั้งหมด บัลมงต์ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยได้โดยไม่ต้องสนใจค่าใช้จ่ายเลยซักนิด แต่ถึงกระนั้น สิ่งหนึ่งที่เป็นดั่งหนามอันแหลมคมซึ่งคอยทิ่มแทงใจชายผู้นี้มาตลอดหลายปีก็คือ...การมีอยู่ของโรงตีเหล็ก
เนื่องด้วยโองการจากกษัตริย์แห่งอาณาจักร ทำให้ในแต่ละหัวเมืองและหมู่บ้านต่างๆ สามารถมีโรงตีเหล็กได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เป็นนโยบายของรัฐบาลในการบริหารประเทศเพื่อที่จะควบคุมไม่ให้เมืองย่อยๆ หรือหมู่บ้านเล็กๆ มีกำลังทหารและสรรพาวุธมากเกินไปจนเกิดเป็นภัยคุกคาม
ดังนั้น โรงตีเหล็กที่ถูกต้องตามกฏหมายแห่งเดียวภายในหมู่บ้านวินสตันจึงเป็นของข่าน มิใช่กลุ่มบริษัทเมโร่...
ไม่มีธรุกิจใดที่จะทำกำไรสูงไปกว่าการขายอาวุธและชุดเกราะอีกแล้ว...
กลุ่มบริษัทเมโร่ได้ทำการขอซื้อโรงตีเหล็กต่อจากข่านอยู่หลายต่อหลายครั้งด้วยจำนวนเงินที่เขาจะมีกินมีใช้ไปทั้งชาติ แต่ทุกครั้งก็ถูกปฏิเสธกลับมาอย่างไม่เป็นท่า ด้วยเหตุผลเดียวกันซ้ำๆ เดิมๆ ในทุกครั้งก็คือ 'นี่คือธรุกิจของตระกูลที่สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นที่ 7 แล้ว' บริษัทเมโร่ไม่เคยทำสำเร็จเลยซักครั้ง...ไม่เว้นแม้แต่วิธีการข่มขู่
บัลมงต์ถึงกับต้องกุมขมับในความดื้อรั้นของข่าน แต่คนอย่างเขาจะยอมเสียหน้าให้กับโรงตีเหล็กเล็กๆ เพียงแห่งเดียวเชียวรึ? บัลมงต์ตัดสินใจใช้วิธีนอกกฏหมายกับข่านโดยทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกขั้นตอน
"พวกแกจงไปกว้านซื้ออาวุธและไอเท็มคุณภาพสูงมาจากร้าน 'ช่างตีเหล็กทาจิ' ให้หมดซะ! หลังจากนั้นก็นำมันมาขายให้กับชาวเมืองและนักเดินทางที่หมู่บ้านวินสตันในราคาถูกแสนถูก กำไรน่ะหรอ? ไม่ต้องไปสน! จะขาดทุนก็ช่าง แต่ต้องขายในราคาที่ถูกที่สุดให้ได้!"
ด้วยคำสั่งการของบัลมงต์ โรงตีเหล็กของข่านจึงค่อยๆ เสียฐานลูกค้าประจำไปทีละนิด จนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถขายอาวุธใดๆ ได้อีกต่อไป ไม่มีใครในหมู่บ้านวินสตันที่ไปซื้อของจากร้านข่านอีก เพราะอาวุธที่ขายจากร้านของเมโร่แม้จะมีคุณภาพที่ด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ราคานั้นกลับถูกกว่ากันลิบลับหลายเท่าตัว ถึงไม่ได้เป็นคนฉลาดก็ควรจะคิดได้ว่าต้องซื้อของจากร้านใคร
เท่านั้นยังไม่พอ บัลมงต์ยังหวังจะทำลายร้านของข่านด้วยกลอุบายอันชั่วร้ายในขั้นต่อไป
เขาทำการจ้างนักต้มตุ๋นเข้ามาจัดการกับข่าน...
"ถ้าคุณเพิ่มปริมาณการผลิตให้มากกว่านี้ได้ ฐานลูกค้าเดิมของคุณก็จะเพิ่มความมั่นใจมากขึ้นจนพวกเขากลับมาซื้อของจากคุณเหมือนเดิม ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ผมจะให้ยืมเอง โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำสุดๆ เป็นกรณีพิเศษไปเลย ดังนั้นคุณต้องหาทางนำเงินไปลงทุนเพิ่มปริมาณการผลิตอาวุธซะ แสดงให้ชาวบ้านโง่ๆ และกลุ่มบริษัทเมโร่เห็นว่าคุณน่ะเจ๋งแค่ไหน!"
ข่านติดกับนักต้มตุ๋นอย่างง่ายดายในทันที แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะนักต้มตุ๋นคนดังกล่าวที่ถูกจ้างมาเป็นเพื่อนสนิทเก่าแก่ของข่านเอง บัลมงต์ติดสินบนหมอนี่เป็นเงินจำนวนมหาศาล ข่านจึงตัดสินใจเซ็นสัญญากู้เงินทันทีโดยไม่อ่านแม้แต่ประโยคเดียว และผลที่เกิดขึ้นก็คือ ข่านต้องเป็นหนี้ก้อนโตจนดอกเบี้ยเพิ่มพูนมาถึงระดับที่เขาไม่สามารถจ่ายไหวอีกต่อไป
บัลมงต์ค่อยๆ ดื่มด่ำกับความฉิบหายของข่านอย่างมีความสุขไปทีละนิด
"ฮิฮิฮิ...โรงตีเหล็กของเจ้านั่น กำลังจะกลายมาเป็นของข้าในไม่ช้านี้แล้ว"
แผนการสุดท้ายของบัลมงต์ก็คือการส่งกลุ่มนักเลงเข้าไปข่มขู่ให้ข่านยอมเซ็นสัญญาขายกิจการให้ เขามั่นใจอย่างมากว่าครั้งนี้จะต้องสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแน่ แต่เดี๋ยวก่อน...ถ้าหากว่าข่านยังคงดื้อด้านเหมือนกับพวกวัวควายต่อไปล่ะ? เมื่อหวนย้อนนึกถึงอดีตที่ข่านเคยปฏิเสธการขายครั้งแล้วครั้งเล่า ความโกรธแค้นในใจของบัลมงต์ก็ปะทุเดือดพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลัน
"ไอ้พวกนักเลงบ้านั่นมัวทำอะไรกันอยู่? ไม่ใช่ข้ากำชับไปแล้วรึไงว่าถ้าคราวนี้ล้มเหลวล่ะก็ พวกมันเตรียมรับโทษสถานหนักได้เลยน่ะ!"
ใช่แล้ว บัลมงต์ข่มขู่พวกนักเลงด้วยขุมนรกที่รออยู่ถ้าหากว่าพวกมันทำงานนี้ไม่สำเร็จ ดังนั้นครั้งนี้กลุ่มนักเลงทั้งห้าคนจึงมีแรงฮึดมากขึ้นเป็นพิเศษ ไม่ผิดแน่...โรงตีเหล็กแห่งนั้นกำลังจะต้องตกเป็นของเขาในไม่ช้า...
...
"ว่าไงนะ? ไอ้พวกนักเลงกระจอกนั่นหายตัวไป?"
"ใช่แล้วขอรับ"
"ไอ้พวกไม่ได้ความเอ้ย!"
โครม!!
บัลมงต์คว่ำโตะทำงานของเขาที่มีกองเอกสารมากมายวางอยู่ด้วยท่าทีฉุนเฉียวสุดขีด หลังจากนั้นก็หันไปถามกับสมุนมือขวา 'แร็บบิท' ที่มีความใกล้ชิดมากที่สุดว่า "ใครเป็นคนจัดหากลุ่มนักเลงพวกนี้มา?"
"บีเอล"
"ไปลากคอมันมาที่นี่!"
ผ่านไปไม่นานนัก บีเอลก็ถูกนำตัวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางสั่นกลัวหงึกหงักราวกับลูกสุนัขที่ถูกทุบตี บัลมงต์เอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาราวกับขั้วโลกเหนือว่า "แกใช่มั้ยที่แนะนำพวกนักเลงกระจอกนั่นให้มารับงานนี้? แกบอกว่าพวกมันเชื่อใจได้งั้นหรอ? แล้วนี่คืออะไร? นอกจากพวกมันจะนำลายเซ็นของข่านกลับมาไม่ทันเวลาเส้นตายที่ข้ากำหนดแล้ว พวกมันยังแผ่นหนีหายกระเจิงไปไหนก็ไม่มีใครรู้ได้ แถมงานนี้ข้ายังจ่ายค่าแรงพวกมันล่วงหน้าไปแล้วด้วย...แล้วเจ้าจะรับผิดชอบยังไงได้บ้างล่ะ?"
"กะ...กระผมต้องขออภัยจริงๆ แต่พวกมันคือกลุ่มนักเลงที่มีชื่อเสียงในเรื่องต่ำทรามมากที่สุดในละแวกนี้แล้ว กระผมก็เลยจ้างมา..."
"ข้าไม่ต้องการคำขอโทษ!! ชดใช้มาซะ"
"หือ? เอ๋?" บีเอลมีสีหน้าสับสนอย่างสุดขีด เพราะเขาไม่เข้าใจว่าบัลมงต์กำลังหมายถึงสิ่งใด
บัลมงต์รู้สึกหงุดหงิดกับท่าที่อันแสนโง่เขลาของบีเอลเป็นอย่างมากจึงตัดสินใจพูดเข้าประเด็นไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม "แกคงโง่มากที่ไม่เข้าใจว่าบริษัทธรุกิจต้องการสิ่งใดเป็นการชดใช้...เงินยังไงล่ะ! ชดใช้เป็นเงินมาซะ! ทั้งค่าแรงล่วงหน้าที่ข้าได้จ่ายไป และค่าเสียเวลาที่ดันไปแนะนำให้พวกขยะมารับงานนี้!!"
"อะ...เอ๋? ขะ...ข้าไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นหรอกขอรับ ได้โปรดเมตตาด้วย..."
บีเอลเดินเข้าไปก้มกรามขอร้องแทบเท้าบัลมงต์อย่างน่าสมเพช แต่ถึงอย่างนั้นบัลมงต์ก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจเลยซักนิด
"ถ้าไม่มีเงินก็ไปหามาซะ! ไม่อย่างนั้นข้าจะนำตัวแกไปขายเป็นทาสในตลาดมืด ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลยล่ะนะ...หึหึ"
"นะ...นายท่าน! ได้โปรด!"
"เอาตัวมันออกไป!"
บีเอลนั้นทำงานอย่างหนักให้กับบัลมงต์มาตลอด 10 กว่าปี เขาซื่อสัตย์ราวกับสุนัขรับใช้ชั้นดีที่แสนเชื่องตัวหนึ่ง แต่ด้วยความผิดเพียงครั้งเดียวกลับต้องถูกบัลมงต์ลงโทษอย่างรุนแรงอย่างไร้ความปราณี ถึงแม้มันจะดูโหดร้ายมากเพียงใด ทว่าบัลมงต์ก็ไม่ได้คิดแยแสเลยซักนิด
'ป่าเถื่อนและหยิ่งผยอง'
แร็บบิทไม่ชอบนิสัยนี้ของบัลมงต์มากนัก แต่การได้ทำงานร่วมกับบัลมงต์ทำให้แร็บบิทได้รับลาภก้อนโตอยู่เสมอ เขาจึงยังคงอยู่เป็นมือขวาของชายผู้นี้อย่างซื่อสัตย์ไม่ไปไหน หลังจากที่บีเอลถูกลากออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงแค่แร็บบิทและบัลมงต์ตามลำพังสองคน แร็บบิทจึงเอ่ยปากขึ้น
"เป็นการยากที่จะเชื่อว่ากลุ่มนักเลงที่บีเอลจ้างมานั้นจะคิดหนีไป พวกมันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านวินสตันแห่งนี้ ถ้าหนีไปแล้วจะซุกหัวนอนที่ไหนกัน? ถึงจะโง่แค่ไหน แต่ก็ไม่น่ายอมละทิ้งบ้านเกิดเพียงเพื่อเงินจำนวนไม่เท่าไรหรอกกระมัง"
"ถ้าพวกมันไม่ได้หนีไปแล้วตอนนี้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันล่ะ? โดนไอ้แก่นั่นฆ่าเอารึไง?"
"ก็อาจจะใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่กระผมจะนึกออกในตอนนี้แล้ว เช้านี้กระผมได้ไปสำรวจโรงตีเหล็กของข่านด้วยตนเอง เวลานั้นมันยังอยู่ในสภาพปรกติเหมือนกันทุกวัน แต่หลังจากช่วงเช้ากระผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีกบ้าง"
บัลมงต์หันหน้ามาถามแร็บบิทที่กำลังอธิบายออกมาเป็นฉากๆ "แล้วข่านอยู่ไหน?"
"ข่านก็หายตัวไปเช่นกันขอรับ"
"บัดซบ! เกิดบ้าอะไรขึ้นในโรงตีเหล็กนั่นกัน?"
"คนของเรากำลังทำการสืบสวนอย่างเต็มกำลัง ได้โปรดใจเย็นรอผลการตรวจสอบด้วยขอรับ"
ไม่แปลกที่บัลมงต์จะรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากเหตุการณ์จะไม่เป็นไปตามที่ต้องการแล้ว ระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างเขากลับไม่มีข้อมูลเลยซักนิด ในห้องนั้น บัลมงต์กับแร็บบิทกำลังสันนิษฐานความเป็นไปได้ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างรัดกุม
"พบตัวข่านแล้วขอรับ!" สายข่าวเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับพูดจาเสียงดังฟังชัด "เมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน มีชาวบ้านเป็นพยายานพบเห็นข่านกำลังถูกเด็กหนุ่มนิรนามแบกอยู่บนหลังขอรับ"
"เด็กหนุ่มนิรนามงั้นหรอ?...หมอนั่นจะต้องเป็นตัวการของเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นแน่! แร็บบิท...นับแต่นี้ไป เรื่องของโรงตีเหล็กข่านข้ายกให้แกจัดการก็แล้วกัน ใครมาขวางทางก็รีบจำกัดทิ้งซะ!"
"ขอรับ"
...
ด้วยความที่บัลมงต์เป็นคนที่มีมุมมองและวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาจึงกลายเป็นพ่อค้าชั้นยอดได้ไม่ยากนัก แต่มีจุดอ่อนที่มักจะเป็นคนใจร้อนและมีนิสัยรุนแรงป่าเถื่อน
แล้วเหตุใดเขานำพากลุ่มบริษัทเมโร่มาไกลถึงขนาดนี้ได้น่ะหรือ? เพราะเขามีมือขวาที่ยอดเยี่ยมอย่างแร็บบิทอยู่ด้วยยังไงล่ะ...แร็บบิทมักจะมีนิสัยและการตัดสินใจที่สุขุมเยือกเย็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอยู่เสมอ ซึ่งนับว่าเป็นการปกปิดจุดอ่อนข้อบกพร่องของบัลมงต์ได้เป็นอย่างดี
และตอนนี้...
แร็บบิทคนนั้นกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับกริดในไม่ช้านี้แล้ว
จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 26 - จบตอน
ทันทีที่หยิบดาบยักษ์ที่มีความยาวถึง 3 เมตรขึ้นมากำในมือ ต่อให้มังกรทั้งตัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เราก็สามารถฟาดฟันให้ขาดเป็น 2 ท่อนได้อย่างง่ายดาย
อาวุธของพวกนักเลงที่ประเคนเข้ามาอย่างบ้างคลั่ง เราไม่คิดจะหลบมันเลยแม้แต่น้อย...ไม่มีความจำเป็นซักนิด
เคร้ง! กึก!
[ ท่านไม่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีของศัตรู! ]
พวกมันต่างเหวี่ยงแขนเข้ามาอย่างสุดแรงเกิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำให้ชุดเกราะของเราเกิดรอยขีดข่วนได้ ร่างกายเราไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับอาวุธของพวกมันที่แตกหักแหลกสลายในพริบตา
"อ...อะไรกัน?"
"เกิดบ้าอะไรขึ้น...?"
กลุ่มนักเลงพวกนี้อาศัยอยู่ในโลกใต้ดินมานานเกือบตลอดชีวิตของพวกมัน สัญชาติญานการรับรู้ได้ถึงอันตรายจึงแหลมคมกว่าคนทั่วไปหลายเท่า ทันทีที่อาวุธถูกทำลายลงคามือ ความสิ้นหวังได้ปรากฏขึ้นในสีหน้าของพวกมันอย่างชัดเจน
"เป็นไปไม่ได้! นี่มันบ้าเกิดไปแล้ว!!"
เราแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายราวกับปีศาจจากขุมนรกใส่พวกมันกลับไป "มันคือความเจ๋งของอุปกรณ์สวมใส่ยังไงล่ะ!"
ยา? ทักษะ? เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาของพวกนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มียุทธภัณฑ์มากมายนับไม่ถ้วนวางกองเรียงรายกันในโรงตีเหล็กแห่งนี้ ในฐานะผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดเราก็สามารถหยิบมันขึ้นมาใช้ได้ทั้งนั้น!
ชิ้ง...แคร้ง!
เราใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างกำด้ามของดาบยักษ์ยาว 3 เมตรเล่มนี้ไว้แน่นพร้อมกับเหวี่ยงออกไปด้านหน้า เราไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะใดๆ เราไม่จำเป็นต้องมีความชำนาญใดๆ เราอาศัยเพียงการหมุนของน้ำหนักจากปลายคมดาบที่ฟาดเข้าใส่พวกมันตรงหน้า
ฉึบ!
เป็นความรู้สึกที่สดชื่นจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ดาบยักษ์ในมือได้ฟาดฟันผ่ากลุ่มนักเลงทั้งสามจนขาดเป็นสองท่อนในครั้งเดียว เกิดแสงสีเทาจำนวน 3 จุดส่องสว่างออกมาพร้อมกับการหายไปของพวกมันทุกคน
[ ท่านจัดการกับนักเลงแห่งหมู่บ้านวินสตันที่มีนามว่าปราก้า ]
[ ค่าชื่อเสียงภายในหมู่บ้านวินสตันเพิ่มขึ้น 60 หน่วย ]
[ ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 4,300 หน่วย ]
...
[ ท่านจัดการกับนักเลงแห่งหมู่บ้านวินสตันที่มีนามว่าอัมพ์ ]
[ ค่าชื่อเสียงภายในหมู่บ้านวินสตันเพิ่มขึ้น 60 หน่วย ]
[ ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 4,300 หน่วย ]
...
[ ท่านจัดการกับนักเลงแห่งหมู่บ้านวินสตันที่มีนามว่าวีล ]
[ ค่าชื่อเสียงภายในหมู่บ้านวินสตันเพิ่มขึ้น 100 หน่วย ]
[ ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 6,600 หน่วย ]
...
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
[ เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น 1 ระดับ ]
...
[ ภารกิจเสร็จสิ้น ]
[ ความสัมพันธ์กับข่านเพิ่มเป็นระดับสูงสุด ]
...
ในขณะที่ข้อความระบบอันน่าพิศมัยเด้งเตือนขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่เรากลับไม่มีเวลามัวมาดีใจในเรื่องนั้น
"ดาบกับชุดเกราะนี่มัน..."
โดยไม่รอช้า เรารีบใช้ทักษะการตรวจสอบของช่างตีเหล็กในตำนานทันที
[ ช่างตีเหล็กในตำนานนั้นมีสายตาดุจดั่งพญาเหยี่ยว หากไอเท็มใดมีคุณสมบัติลับซ่อนอยู่ มันจะไม่มีวันรอดพ้นสายตาของเขาไปได้อย่างแน่นอน ]
...
[ ดาอินสเลฟ (แบบจำลอง) ]
ระดับไอเท็ม : ยูนีค
ค่าความคงทน : 500/500, พลังโจมตี : 451~635, ความเร็วในการโจมตี: -8%
* สร้างความเสียหายเพิ่มเติมเท่ากับ 10% ของพลังป้องกันเป้าหมาย
* ยิ่งมีศัตรูอยู่ในรัศมีการโจมตีมาก พลังโจมตีก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นตามไปด้วย
* ผู้สวมใส่จะได้รับทักษะ 'ประกายสีทอง'
เป็นสุดยอดผลงานที่สร้างขึ้นโดย 'อัลบาติโน่', มนุษย์คนแรกที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น 'ช่างฝีมือ' ก่อนที่จะถึงยุคสมัยของแพ็กม่า โดยเขามีความตั้งใจที่จะสร้างดาบในตำนานขึ้นมาใหม่อีกครั้ง, ดาบเล่มนั้นมีนามว่า 'ดาอินสเลฟ'
แม้จะด้อยกว่าดาอินสเลฟตามตำนานอยู่มาก แต่เขาก็ประสบความสำเร็จในการนำความสามารถบางประการของดาอินสเลฟเข้ามาใส่ในดาบเล่มนี้
ดาบเล่มนี้ถูกขนานนามว่าเป็น 'ผลงานชิ้นโบว์แดงของมวลมนุษยชาติ' โดยผู้ก่อตั้งอาณาจักรอีเทอนัลและกษัตริย์แห่งแดนเหนือผู้มีนามว่า 'โลรัน'
แม้แต่ช่างตีเหล็กในตำนานอย่างแพ็กม่าเองก็ยังกล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจในชิ้นงานมาจากความอุสาหะของอัลบาติโน่
เงื่อนไขการสวมใส่ : เลเวลตัวละคร 250 ขึ้นไป, ค่าพละกำลัง 1,800 ขึ้นไป, ทักษะความชำนาญดาบขั้นสูง
น้ำหนัก : 1,580 หน่วย
...
[ ไม่ปรากฏความสามารถลับของไอเท็ม ]
[ ท่านยังขาดประสบการณ์และความรู้ที่จะเข้าใจถึงวัดสุที่ใช้สร้างดาอินเสลฟ ( แบบจำลอง ) ขึ้นมา และท่านเองก็ยังมิอาจเข้าถึงเจตนารมณ์และสูตรการผลิตของผู้สร้างได้ ]
[ ความเข้าใจในดาอินสเลฟ ( แบบจำลอง ) ของท่านไม่เพิ่มขึ้น ]
...
[ วัลฮัลล่า ]
ระดับไอเท็ม : ยูนีค
ค่าความคงทน : 701/701, พลังป้องกัน : 872, ความเร็วในการเคลื่อนที่: -5%
* เพิ่มอัตราการฟื้นฟูพลังชีวิต 20%
* ถ้าพลังชีวิตเหลือต่ำกว่า 10%, บาเรียจะถูกสร้างขึ้นเพื่อดูดซับพลังโจมตี 3,000 หน่วย เป็นเวลา 5 วินาที
* เพิ่มพลังป้องกันอีก 10% สำหรับการโจมตีประเภท 'ตัด' และ 'แทง'
* เพิ่มพลังป้องกันเวทย์มนต์ 180 หน่วย
สุดยอดผลงานที่ถูกสร้างขึ้นโดยอัลบาติโน่, มนุษย์คนแรกที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น 'ช่างฝีมือ' ก่อนที่จะถึงยุคสมัยของแพ็กม่า โดยเขามีความตั้งใจที่จะสร้างชุดเกราะที่เป็นดั่งป้อมปราการเคลื่อนที่ขึ้นมา
ชุดเกราะตัวนี้ถูกขนานนามว่าเป็น 'ผลงานชิ้นโบว์แดงของมวลมนุษยชาติ' โดยผู้ก่อตั้งอาณาจักรอีเทอนัลและกษัตริย์แห่งแดนเหนือผู้มีนามว่า 'โลรัน'
แม้แต่ช่างตีเหล็กในตำนานอย่างแพ็กม่าเองก็ยังกล่าวว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจในชิ้นงานมาจากความอุสาหะของอัลบาติโน่
เงื่อนไขการสวมใส่ : เลเวล 250 ขึ้นไป, ค่าพลังกำลัง 800 แต้มขึ้นไป, ค่าความอดทน 1,000 แต้มขึ้นไป, ทักษะความชำนาญเกราะหนักขั้นสูง
น้ำหนัก : 1,712 หน่วย
...
[ ไม่ปรากฏความสามารถลับของไอเท็ม ]
[ ท่านยังขาดประสบการณ์และความรู้ที่จะเข้าใจถึงวัดสุที่ใช้สร้างวัลฮัลล่าขึ้นมา และท่านเองก็ยังมิอาจเข้าถึงเจตนารมณ์และสูตรการผลิตของผู้สร้างได้ ]
[ ความเข้าใจในวัลฮัลล่าของท่านไม่เพิ่มขึ้น ]
...
"อึก!..."
ความยอดเยี่ยมอย่างสุดกู่นี่มันอะไรกัน!!?? ทำไมโรงเหล็กภายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ถึงมีของสุดยอดแบบนี้วางอยู่ได้?
ในระหว่างที่เรากำลังยืนตกตะลึงพร้อมกับอ้าปากค้าง ข่านก็ค่อยๆ เดินมาจากด้านหลังพร้อมกับใช้ฝ่ามือจับบ่าเราไว้และออกแรงบีบจนเรารู้สึกเจ็บ
ข่านถามขึ้นด้วยเสียงสั่นระริกอย่างสุดขีด "เจ้า...ทำไมเจ้าถึงใช้ดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าได้!!??"
เราไม่รู้จะอธิบายข่านออกไปเป็นคำพูดยังไงดี จึงตัดสินใจตอบคำถามด้วยคำถามกลับไปแทน
"ข่าน ทำไมลุงถึงมีไอเท็มที่ยอดเยี่ยมแบบนี้อยู่กับตัวได้? หืม? ไปได้มันมายังไงกัน?"
"เฮ่ย!"
ทันทีที่เราตั้งคำถามเสร็จ ข่านก็ตกตะลึงอย่างสุดขีดจนดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า
'หมอนี่มันเป็นกบรึไง ทำไมดวงตาถึงปูดโปนได้ขนาดนี้กันนะ?'
ดวงตาของข่านที่เกือบถลนออกจากเบ้าได้ทำให้เรารู้สึกเริ่มกังวล
"เจ้า...รู้จักมูลค่าของไอเท็มสองสิ่งนี้ด้วยงั้นหรือ?"
"แค่ดูก็รู้แล้วไม่ใช่รึไง? แถมยังถูกสร้างโดยอัลบาติโน่ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นด้วย"
"เอ๋! เจ้ารู้ไปถึงผู้สร้างได้ยังไงกัน? ระ...หรือว่าเจ้าคือ...?"
ใบหน้าของข่านกลายเป็นสีแดงก่ำราวกับคนกำลังเมาเหล้าสุดขีด หลังจากนั้นเขาก็โซเซถอยหลังไปพร้อมกับสลบเหมือดลงบนพื้น
'เอ้า!? ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้? ความดันขึ้นฉับพลันรึไง? ตาลุงนี่...'
นี่เราอุตส่าห์ลำบากลำบนทำภารกิจจนสำเร็จเพื่อให้มันมาตายด้วยความดันเลือดขึ้นฉับพลันงั้นหรอ? ไม่ได้เด็ดขาด เราจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่
"เฮ้...เฮ้! ลุง! ฟื้นขึ้นมาก่อน...ฟื้นก่อนเซ่!!"
"อั่ก!..."
"เฮ้ย!! น้ำลายฟูมปากเลยเรอะ! เฮ้ย ลุง! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นฟะ? อย่างเพิ่งตายเซ่! ข้าทำภารกิจสำเร็จแล้วใช่มั้ย? ตอบด้วย! อย่าเพิ่งตายเด็ดขาด ถ้าลุงมีภารกิจต่อเนื่องหลังจากนี้ก็รีบมอบมันมาให้ข้าเร็ว!!"
เดี๋ยวนะ...ถ้าข่านตายไปแล้วดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าจะเป็นยังไงต่อไปกัน?
"...เฮ้ ลุง! ทำใจดีๆ ไว้ก่อน! บ้าฉิบ! แข็งใจไว้ก่อนนะ ลุงจะมาตายตรงนี้ไม่ได้นะ..."
หลังจากที่เราถอดดาอินสเลฟกับวัลฮัลล่าวางกลับที่เดิม ร่างของลุงข่านก็ถูกเราหามมาที่คลินิกในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
...
...
...
หมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญอย่างวินสตันกลับมีถนนหนทางที่ทันสมัยและแข็งแรง หมู่บ้านนี้กำลังพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็วก้าวกระโดด ในไม่ช้าคงได้กลายเป็นเมื่อใหญ่เข้าซักวันแน่
ด้วยความที่มีสถานที่ล่าเหมาะสมกับผู้คนหลากหลายระดับเลเวล อีกทั้งยังเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยภารกิจเฉพาะและไอเท็มแปลกประหลาดหายากมากมาย ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ความเร็วการพัฒนาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง
มาจนถึงวันนี้ ทุกครั้งที่มีโพลล์สอบถามถึง 'หมู่บ้านเริ่มต้นที่ผู้เล่นใหม่อยากไป' หมู่บ้านวินสตันก็มักจะติดอันดับ 1 ใน 10 ของโพลล์ทางสถานทีโทรทัศน์ทุกครั้งไป
ผู้คนต่างพากันอิจฉาเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิมภายในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก เพราะด้วยการพัฒนาที่รุดหน้าก้าวกระโดด ราคาของที่ดินจึงสูงลิ่วราวกับจรวดที่ทะยานขึ้นท้องฟ้า มูลค่าในปัจจุบันถูกตีราคาให้แพงกว่าต้นทุนเดิมถึง 20 เท่า ถ้าใครคิดขายตอนนี้ก็คงได้มีกินมีใช้ไปทั้งชาติ จึงไม่แปลกที่คนภายนอกจะมองว่าวินสตันเป็นหมู่บ้านที่มั่งคั่งร่ำรวย
แต่สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้นกลับเป็นเพียงเปลือกนอกที่คนทั่วไปรับรู้ ความเป็นจริงช่างโหดร้ายกว่านั้นหลายเท่านัก แม้จะมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดหย่อนในตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่คุณภาพชีวิตของชาวบ้านวินสตันกลับยังคงย่ำอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเลยซักนิด นั่นเป็นเพราะการมีตัวตนของกลุ่มบริษัทเมโร่นั่นเอง
กลุ่มบริษัทเมโร่ได้ครอบครองกิจการธรุกิจมากมายในแถบโซนเหนือของอาณาจักรอีเทอนัลมาเป็นเวลานานแล้ว 'บัลมงต์' หรือเป็นที่รู้จักกันในนามผู้อยู่เบื้องหลังของกิจการกลุ่มบริษัทเมโร่ทั้งหมด เขามีสายตาที่เฉียบแหลมจนสามารถมองเห็นอนาคตอันรุ่งโรจน์ของหมู่บ้านวินสตันได้ก่อนผู้ใด จึงทำการกว้างซื้อที่ดินของหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้มาเป็นจำนวนมากในราคาที่ถูกแสนถูก
ดังนั้นในปัจจุบัน ที่ดินส่วนใหญ่ของหมู่บ้านวินสตันจึงตกเป็นของกลุ่มบริษัทเมโร่เกือบทั้งหมด โดยแม้จะยังไม่ถูกเลื่อนขึ้นเป็นเมืองใหญ่อย่างเป็นทางการก็จริง แต่ป้ายของห้างร้านกิจการใหญ่น้อยจำนวนมากภายในหมู่บ้านก็มีคำว่า 'เมโร่' สลักไว้เกือบทั้งหมด ส่งผลให้ชาวบ้านที่เป็นคนของหมู่บ้านนี้ดั้งเดิมจริงๆ จึงกำลังประสบวิกฤติตกงานและภาวะยากจน
การทำกิจการแบบผูกขาดภายในหมู่บ้านวินสตันได้ทำให้กลุ่มบริษัทเมโร่ทำกำไรอย่างถล่มทลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกขุนนางชั้นสูงต่างๆ เช่นบรรดาลอร์ดทั้งหลายจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะอัตราการจ่ายภาษีและส่วยคอรัปชั่นต่างๆ นั้นมีมูลค่ามหาศาลเกินกว่าจะไปขัดขวางได้
"ใช่แล้ว...คนเราต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล"
ในฐานะเจ้าของสูงสุดของกลุ่มบริษัทเมโร่ แน่นอนว่าบัลมงต์ย่อมมีความสุขยิ่งกว่าผู้ใดในทุกๆ วัน กำไรทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากหมู่บ้านล้วนกระเด็นเข้ากระเป๋าของเขาเกือบทั้งหมด บัลมงต์ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยได้โดยไม่ต้องสนใจค่าใช้จ่ายเลยซักนิด แต่ถึงกระนั้น สิ่งหนึ่งที่เป็นดั่งหนามอันแหลมคมซึ่งคอยทิ่มแทงใจชายผู้นี้มาตลอดหลายปีก็คือ...การมีอยู่ของโรงตีเหล็ก
เนื่องด้วยโองการจากกษัตริย์แห่งอาณาจักร ทำให้ในแต่ละหัวเมืองและหมู่บ้านต่างๆ สามารถมีโรงตีเหล็กได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น เป็นนโยบายของรัฐบาลในการบริหารประเทศเพื่อที่จะควบคุมไม่ให้เมืองย่อยๆ หรือหมู่บ้านเล็กๆ มีกำลังทหารและสรรพาวุธมากเกินไปจนเกิดเป็นภัยคุกคาม
ดังนั้น โรงตีเหล็กที่ถูกต้องตามกฏหมายแห่งเดียวภายในหมู่บ้านวินสตันจึงเป็นของข่าน มิใช่กลุ่มบริษัทเมโร่...
ไม่มีธรุกิจใดที่จะทำกำไรสูงไปกว่าการขายอาวุธและชุดเกราะอีกแล้ว...
กลุ่มบริษัทเมโร่ได้ทำการขอซื้อโรงตีเหล็กต่อจากข่านอยู่หลายต่อหลายครั้งด้วยจำนวนเงินที่เขาจะมีกินมีใช้ไปทั้งชาติ แต่ทุกครั้งก็ถูกปฏิเสธกลับมาอย่างไม่เป็นท่า ด้วยเหตุผลเดียวกันซ้ำๆ เดิมๆ ในทุกครั้งก็คือ 'นี่คือธรุกิจของตระกูลที่สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นที่ 7 แล้ว' บริษัทเมโร่ไม่เคยทำสำเร็จเลยซักครั้ง...ไม่เว้นแม้แต่วิธีการข่มขู่
บัลมงต์ถึงกับต้องกุมขมับในความดื้อรั้นของข่าน แต่คนอย่างเขาจะยอมเสียหน้าให้กับโรงตีเหล็กเล็กๆ เพียงแห่งเดียวเชียวรึ? บัลมงต์ตัดสินใจใช้วิธีนอกกฏหมายกับข่านโดยทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกขั้นตอน
"พวกแกจงไปกว้านซื้ออาวุธและไอเท็มคุณภาพสูงมาจากร้าน 'ช่างตีเหล็กทาจิ' ให้หมดซะ! หลังจากนั้นก็นำมันมาขายให้กับชาวเมืองและนักเดินทางที่หมู่บ้านวินสตันในราคาถูกแสนถูก กำไรน่ะหรอ? ไม่ต้องไปสน! จะขาดทุนก็ช่าง แต่ต้องขายในราคาที่ถูกที่สุดให้ได้!"
ด้วยคำสั่งการของบัลมงต์ โรงตีเหล็กของข่านจึงค่อยๆ เสียฐานลูกค้าประจำไปทีละนิด จนในที่สุดเขาก็ไม่สามารถขายอาวุธใดๆ ได้อีกต่อไป ไม่มีใครในหมู่บ้านวินสตันที่ไปซื้อของจากร้านข่านอีก เพราะอาวุธที่ขายจากร้านของเมโร่แม้จะมีคุณภาพที่ด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ราคานั้นกลับถูกกว่ากันลิบลับหลายเท่าตัว ถึงไม่ได้เป็นคนฉลาดก็ควรจะคิดได้ว่าต้องซื้อของจากร้านใคร
เท่านั้นยังไม่พอ บัลมงต์ยังหวังจะทำลายร้านของข่านด้วยกลอุบายอันชั่วร้ายในขั้นต่อไป
เขาทำการจ้างนักต้มตุ๋นเข้ามาจัดการกับข่าน...
"ถ้าคุณเพิ่มปริมาณการผลิตให้มากกว่านี้ได้ ฐานลูกค้าเดิมของคุณก็จะเพิ่มความมั่นใจมากขึ้นจนพวกเขากลับมาซื้อของจากคุณเหมือนเดิม ไม่ต้องห่วงเรื่องเงิน ผมจะให้ยืมเอง โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำสุดๆ เป็นกรณีพิเศษไปเลย ดังนั้นคุณต้องหาทางนำเงินไปลงทุนเพิ่มปริมาณการผลิตอาวุธซะ แสดงให้ชาวบ้านโง่ๆ และกลุ่มบริษัทเมโร่เห็นว่าคุณน่ะเจ๋งแค่ไหน!"
ข่านติดกับนักต้มตุ๋นอย่างง่ายดายในทันที แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะนักต้มตุ๋นคนดังกล่าวที่ถูกจ้างมาเป็นเพื่อนสนิทเก่าแก่ของข่านเอง บัลมงต์ติดสินบนหมอนี่เป็นเงินจำนวนมหาศาล ข่านจึงตัดสินใจเซ็นสัญญากู้เงินทันทีโดยไม่อ่านแม้แต่ประโยคเดียว และผลที่เกิดขึ้นก็คือ ข่านต้องเป็นหนี้ก้อนโตจนดอกเบี้ยเพิ่มพูนมาถึงระดับที่เขาไม่สามารถจ่ายไหวอีกต่อไป
บัลมงต์ค่อยๆ ดื่มด่ำกับความฉิบหายของข่านอย่างมีความสุขไปทีละนิด
"ฮิฮิฮิ...โรงตีเหล็กของเจ้านั่น กำลังจะกลายมาเป็นของข้าในไม่ช้านี้แล้ว"
แผนการสุดท้ายของบัลมงต์ก็คือการส่งกลุ่มนักเลงเข้าไปข่มขู่ให้ข่านยอมเซ็นสัญญาขายกิจการให้ เขามั่นใจอย่างมากว่าครั้งนี้จะต้องสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแน่ แต่เดี๋ยวก่อน...ถ้าหากว่าข่านยังคงดื้อด้านเหมือนกับพวกวัวควายต่อไปล่ะ? เมื่อหวนย้อนนึกถึงอดีตที่ข่านเคยปฏิเสธการขายครั้งแล้วครั้งเล่า ความโกรธแค้นในใจของบัลมงต์ก็ปะทุเดือดพล่านขึ้นมาอย่างฉับพลัน
"ไอ้พวกนักเลงบ้านั่นมัวทำอะไรกันอยู่? ไม่ใช่ข้ากำชับไปแล้วรึไงว่าถ้าคราวนี้ล้มเหลวล่ะก็ พวกมันเตรียมรับโทษสถานหนักได้เลยน่ะ!"
ใช่แล้ว บัลมงต์ข่มขู่พวกนักเลงด้วยขุมนรกที่รออยู่ถ้าหากว่าพวกมันทำงานนี้ไม่สำเร็จ ดังนั้นครั้งนี้กลุ่มนักเลงทั้งห้าคนจึงมีแรงฮึดมากขึ้นเป็นพิเศษ ไม่ผิดแน่...โรงตีเหล็กแห่งนั้นกำลังจะต้องตกเป็นของเขาในไม่ช้า...
...
"ว่าไงนะ? ไอ้พวกนักเลงกระจอกนั่นหายตัวไป?"
"ใช่แล้วขอรับ"
"ไอ้พวกไม่ได้ความเอ้ย!"
โครม!!
บัลมงต์คว่ำโตะทำงานของเขาที่มีกองเอกสารมากมายวางอยู่ด้วยท่าทีฉุนเฉียวสุดขีด หลังจากนั้นก็หันไปถามกับสมุนมือขวา 'แร็บบิท' ที่มีความใกล้ชิดมากที่สุดว่า "ใครเป็นคนจัดหากลุ่มนักเลงพวกนี้มา?"
"บีเอล"
"ไปลากคอมันมาที่นี่!"
ผ่านไปไม่นานนัก บีเอลก็ถูกนำตัวเข้ามาในห้องด้วยท่าทางสั่นกลัวหงึกหงักราวกับลูกสุนัขที่ถูกทุบตี บัลมงต์เอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาราวกับขั้วโลกเหนือว่า "แกใช่มั้ยที่แนะนำพวกนักเลงกระจอกนั่นให้มารับงานนี้? แกบอกว่าพวกมันเชื่อใจได้งั้นหรอ? แล้วนี่คืออะไร? นอกจากพวกมันจะนำลายเซ็นของข่านกลับมาไม่ทันเวลาเส้นตายที่ข้ากำหนดแล้ว พวกมันยังแผ่นหนีหายกระเจิงไปไหนก็ไม่มีใครรู้ได้ แถมงานนี้ข้ายังจ่ายค่าแรงพวกมันล่วงหน้าไปแล้วด้วย...แล้วเจ้าจะรับผิดชอบยังไงได้บ้างล่ะ?"
"กะ...กระผมต้องขออภัยจริงๆ แต่พวกมันคือกลุ่มนักเลงที่มีชื่อเสียงในเรื่องต่ำทรามมากที่สุดในละแวกนี้แล้ว กระผมก็เลยจ้างมา..."
"ข้าไม่ต้องการคำขอโทษ!! ชดใช้มาซะ"
"หือ? เอ๋?" บีเอลมีสีหน้าสับสนอย่างสุดขีด เพราะเขาไม่เข้าใจว่าบัลมงต์กำลังหมายถึงสิ่งใด
บัลมงต์รู้สึกหงุดหงิดกับท่าที่อันแสนโง่เขลาของบีเอลเป็นอย่างมากจึงตัดสินใจพูดเข้าประเด็นไปตรงๆ ไม่อ้อมค้อม "แกคงโง่มากที่ไม่เข้าใจว่าบริษัทธรุกิจต้องการสิ่งใดเป็นการชดใช้...เงินยังไงล่ะ! ชดใช้เป็นเงินมาซะ! ทั้งค่าแรงล่วงหน้าที่ข้าได้จ่ายไป และค่าเสียเวลาที่ดันไปแนะนำให้พวกขยะมารับงานนี้!!"
"อะ...เอ๋? ขะ...ข้าไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นหรอกขอรับ ได้โปรดเมตตาด้วย..."
บีเอลเดินเข้าไปก้มกรามขอร้องแทบเท้าบัลมงต์อย่างน่าสมเพช แต่ถึงอย่างนั้นบัลมงต์ก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจเลยซักนิด
"ถ้าไม่มีเงินก็ไปหามาซะ! ไม่อย่างนั้นข้าจะนำตัวแกไปขายเป็นทาสในตลาดมืด ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลยล่ะนะ...หึหึ"
"นะ...นายท่าน! ได้โปรด!"
"เอาตัวมันออกไป!"
บีเอลนั้นทำงานอย่างหนักให้กับบัลมงต์มาตลอด 10 กว่าปี เขาซื่อสัตย์ราวกับสุนัขรับใช้ชั้นดีที่แสนเชื่องตัวหนึ่ง แต่ด้วยความผิดเพียงครั้งเดียวกลับต้องถูกบัลมงต์ลงโทษอย่างรุนแรงอย่างไร้ความปราณี ถึงแม้มันจะดูโหดร้ายมากเพียงใด ทว่าบัลมงต์ก็ไม่ได้คิดแยแสเลยซักนิด
'ป่าเถื่อนและหยิ่งผยอง'
แร็บบิทไม่ชอบนิสัยนี้ของบัลมงต์มากนัก แต่การได้ทำงานร่วมกับบัลมงต์ทำให้แร็บบิทได้รับลาภก้อนโตอยู่เสมอ เขาจึงยังคงอยู่เป็นมือขวาของชายผู้นี้อย่างซื่อสัตย์ไม่ไปไหน หลังจากที่บีเอลถูกลากออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงแค่แร็บบิทและบัลมงต์ตามลำพังสองคน แร็บบิทจึงเอ่ยปากขึ้น
"เป็นการยากที่จะเชื่อว่ากลุ่มนักเลงที่บีเอลจ้างมานั้นจะคิดหนีไป พวกมันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านวินสตันแห่งนี้ ถ้าหนีไปแล้วจะซุกหัวนอนที่ไหนกัน? ถึงจะโง่แค่ไหน แต่ก็ไม่น่ายอมละทิ้งบ้านเกิดเพียงเพื่อเงินจำนวนไม่เท่าไรหรอกกระมัง"
"ถ้าพวกมันไม่ได้หนีไปแล้วตอนนี้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนกันล่ะ? โดนไอ้แก่นั่นฆ่าเอารึไง?"
"ก็อาจจะใช่ นั่นเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่กระผมจะนึกออกในตอนนี้แล้ว เช้านี้กระผมได้ไปสำรวจโรงตีเหล็กของข่านด้วยตนเอง เวลานั้นมันยังอยู่ในสภาพปรกติเหมือนกันทุกวัน แต่หลังจากช่วงเช้ากระผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีกบ้าง"
บัลมงต์หันหน้ามาถามแร็บบิทที่กำลังอธิบายออกมาเป็นฉากๆ "แล้วข่านอยู่ไหน?"
"ข่านก็หายตัวไปเช่นกันขอรับ"
"บัดซบ! เกิดบ้าอะไรขึ้นในโรงตีเหล็กนั่นกัน?"
"คนของเรากำลังทำการสืบสวนอย่างเต็มกำลัง ได้โปรดใจเย็นรอผลการตรวจสอบด้วยขอรับ"
ไม่แปลกที่บัลมงต์จะรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากเหตุการณ์จะไม่เป็นไปตามที่ต้องการแล้ว ระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างเขากลับไม่มีข้อมูลเลยซักนิด ในห้องนั้น บัลมงต์กับแร็บบิทกำลังสันนิษฐานความเป็นไปได้ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างรัดกุม
"พบตัวข่านแล้วขอรับ!" สายข่าวเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับพูดจาเสียงดังฟังชัด "เมื่อ 2 ชั่วโมงก่อน มีชาวบ้านเป็นพยายานพบเห็นข่านกำลังถูกเด็กหนุ่มนิรนามแบกอยู่บนหลังขอรับ"
"เด็กหนุ่มนิรนามงั้นหรอ?...หมอนั่นจะต้องเป็นตัวการของเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นแน่! แร็บบิท...นับแต่นี้ไป เรื่องของโรงตีเหล็กข่านข้ายกให้แกจัดการก็แล้วกัน ใครมาขวางทางก็รีบจำกัดทิ้งซะ!"
"ขอรับ"
...
ด้วยความที่บัลมงต์เป็นคนที่มีมุมมองและวิสัยทัศน์กว้างไกล เขาจึงกลายเป็นพ่อค้าชั้นยอดได้ไม่ยากนัก แต่มีจุดอ่อนที่มักจะเป็นคนใจร้อนและมีนิสัยรุนแรงป่าเถื่อน
แล้วเหตุใดเขานำพากลุ่มบริษัทเมโร่มาไกลถึงขนาดนี้ได้น่ะหรือ? เพราะเขามีมือขวาที่ยอดเยี่ยมอย่างแร็บบิทอยู่ด้วยยังไงล่ะ...แร็บบิทมักจะมีนิสัยและการตัดสินใจที่สุขุมเยือกเย็นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอยู่เสมอ ซึ่งนับว่าเป็นการปกปิดจุดอ่อนข้อบกพร่องของบัลมงต์ได้เป็นอย่างดี
และตอนนี้...
แร็บบิทคนนั้นกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับกริดในไม่ช้านี้แล้ว
จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ ตอนที่ 26 - จบตอน
ภารกิจต่อไปจัดการตัดรากถอนโคนบ.เมโร่ในเมือง ภารกิจระดับA รางวัลที่ได้ทรัพย์สมบัติของ บ.เมโร่ทั้งหมด
ReplyDeleteกริด:รับทันที
ปล.มโนๆเดาๆ
ที่จริงแล้วกริดชื่อ กัตที่แขนเป็นปืนใหญ่ข้างหนึ่งสินะ
ReplyDeleteขอบคุณครับ
ReplyDeleteขอบคุณค่ะ
ReplyDeleteฆ่าคนชั่วก็ได้เวล ไม่ต้องไปตีมอนแล้วล่ะ
ReplyDeleteขอบคุณครับ
ReplyDelete