จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 217



       "ชิ!  เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง?  ฉันคิดว่ามันน่าจะไปได้สวยซะอีก"

       ชะตาชีวิตของกริดพลิกผันนับตั้งแต่กลายเป็นผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า  ในสมัยอดีต  ชีวิตของเขาต้องพบเจอกับความอับโชคมากมาย  ทว่า  หลังจากกลายเป็นคลาสเกรดเลเจนดารี  สิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะส่งผลไปทางบวกเสมอ  ไม่ว่าจะมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากสักแค่ไหน  

       แต่ชักเริ่มสงสัยแล้วว่า  ทำไมทุกครั้งเขาลงมือทำอะไร  ทุกสิ่งก็ดูจะกลายเป็นความยากลำบากไปเสียหมด  หรือนี่คือสิ่งตอบแทนที่ชีวิตช่วงก่อนหน้าเริ่มจะราบรื่น?

       กริดพยายามระงับความโกรธ  เขากวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นว่า

       "นี่คือเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอาณาจักรไม่ใช่หรือ?  มันไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยสินะ?  เฮ่อ...  แล้วทำไมสภาพของชาวเมืองถึงได้อดสูขนาดนี้?  ถูกกองโจรเข้าปล้นสะดมรึไง?"

       "ในอดีต  มันเคยเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งอันดับหนึ่งในอาณาจักร  แต่ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน  ในปีที่พวกหนอนยักษ์เริ่มปรากฏตัวขึ้น"

       "หนอนยักษ์?  พวกนั้นเกี่ยวอะไรกับเรย์ดัน?"

       ลอเอลอธิบายต่อไป

       "นี่คือสิ่งที่เฟคเกอร์เค้นมาได้จากเทศมนตรีและชาวเมืองที่นี่"

       10 ปีก่อน  เรย์ดันคือเมืองใหญ่อันดับสองของอีเทอนัลรองจากไรน์ฮาร์ท  ถึงกับถูกขนานนามให้เป็นเมืองหลวงที่สอง  ทว่า  สถานการณ์ได้พลิกเป็นหลังมือเมื่อหนอนยักษ์เริ่มปรากฏตัว

       หนอนยักษ์ที่มารุกรานดินแดนนั้นดุร้ายมาก  พวกมันไม่อาจถูกปราบปรามได้โดยกองทหารทั่วไป  ดินแดนตะวันตกของอาณาจักรกลายเป็นทะเลทรายอันรกร้างอย่างรวดเร็ว  เส้นทางขนส่งถูกตัดขาด  รวมไปถึงแหล่งน้ำสะอาดด้วย

       ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น  มอนสเตอร์ทะเลทรายทั้งหลายเริ่มโผล่ขึ้นมาเพิ่ม  สถานการณ์ย่ำแย่จนเรย์ดันถูกทิ้งร้างให้โดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลทรายตามลำพัง  ปัญหาการขาดแคลนอาหารจึงบานปลายใหญ่หลวง

       "การสนับสนุนเสบียงจากอาณาจักรเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้  ทำให้ลอร์ดของเรย์ดันคนเก่าต้องยอมแพ้กับปัญหานี้  ชาวเมืองนับแสนจำใจต้องทอดทิ้งถิ่นที่อยู่ไป"

       แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่จากไปไหน  แต่ละคนล้วนมีเหตุผลที่แตกต่างกัน  ลงเอยด้วย  มีประชากรเหลืออยู่ในเมืองเพียง 40,000 คนในปีนั้น

       "ช่วงแรก  พวกเขาพยายามปกป้องแหล่งน้ำอย่างสุดกำลัง  แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่า  สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้  ยอมยกแหล่งน้ำให้กับบรรดามอนสเตอร์ไป"

       กษัตริย์วิสบาเดนพยายามช่วยเหลือโดยการส่งนักสู้ที่ยอดเยี่ยมมาช่วยกอบกู้ดินแดนตะวันตก  ทว่า  ไม่มีใครในอาณาจักรอีเทอนัลที่เก่งเทียบเท่าเอิร์ลอัชเชอร์อีกแล้ว  และเอิร์ลอัชเชอร์ก็ไม่อาจละทิ้งแพเทรี่ยนได้

       "ลงเอยด้วย  เมื่อผู้คนที่นี่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักร  พวกเขาก็หันไปพึงพาจักรวรรดิ  คำของร้องให้ช่วยเหลือถูกส่งไปถึงจักรวรรดิในทันที  และพวกมันก็ตอบรับอย่างรวดเร็วเช่นกัน  นี่คือโอกาสอันดีที่จะได้กลืนกินดินแดนที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอีเทอนัล"

       จักรวรรดิทำการส่งกองอัศวินทมิฬมาปราบปราม  กองอัศวินทมิฬนั้นเป็นรองเพียงกองอัศวินสีชาดเท่านั้น  แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับมอนสเตอร์ในดินแดนตะวันตกไหว

       "มาถึงจุดนี้  จักรวรรดิต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างลงไป  ในการจะกวาดล้างดินแดนตะวันตกให้สิ้นซาก  กองทัพขนาดมหึมาคือสิ่งจำเป็น  ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้เลย  หากคำนึงถึงฐานะของจักรวรรดิในเวลานั้น"

       ในที่สุด  พวกมันก็ได้ข้อสรุป  

       "จักรวรรดิจะทำการส่งกองกำลังมาปกป้องแม่น้ำเฮอเบ็นด์จากมอนเตอร์  แต่ต้องแลกมากับการที่เรย์ดันคอยส่งบรรณาการให้จักรวรรดิทุกปี  ทั้งคู่จึงตกลงทำสัญญากันนับแต่นั้น"

       "เป็นสัญญาที่ฟังดูสมเหตุสมผล  ผู้คนของเรย์ดันไม่มีทางปฏิเสธมัน"

       "ใช่แล้ว  แต่ปัญหาก็คือ  จักรวรรดิขอขึ้นค่าบรรณาการในทุกปี"

       ด้วยการปกป้องจากจักรวรรดิ  เรย์ดันสามารถแก้ปัญหาขาดแคลนอาหารได้ด้วยแหล่งน้ำ  เศรษฐกิจกำลังพื้นตัวทีละนิด  แต่ก็เท่านั้น  เพียงไม่นานก็กลับมาอัตคัดขัดสนเหมือนเดิมหลังจากจักรวรรดิขอเพิ่มบรรณาการ  ลงเอยด้วย  เรย์ดันกลายเป็นเมืองที่ขาดแคลนอาหารอีกครั้ง

       "จนกระทั่งผู้คนของเรย์ดันไม่สามารถยอมรับค่าบรรณาการไหว  จักรวรรดิจึงตอบโต้ด้วยการถอนกำลังทหารออกจากแม่น้ำเฮอเบ็นด์  ทำให้ในเวลานี้  เรย์ดันเหลือประชากรเพียง 2 หมื่นคนเท่านั้น  พวกเขากำลังอยู่ในภายวะขาดอาหารเจียนตาย  และเป็นเวลาที่พวกเรามาถึงพอดี"

       กริดแทบไม่เชื่อหูตนเอง

       "ทำไมอาณาจักรถึงทอดทิ้งเรย์ดัน?  ฉันเข้าใจว่า  มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะกวาดล้างมอนสเตอร์ให้หมด  แต่แค่การส่งเสบียงเล็กน้อยก็น่าจะทำได้มิใช่หรือ?"

       "นั่นไม่มีประโยชน์  ทางอาณาจักรคิดว่า  ไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยเหลือพวกโง่เขลาซึ่งไม่ยอมสละเมืองที่กำลังจะอดตาย"

       นับเป็นการตัดสินใจที่เย็นชาแต่ถูกต้อง  อย่างน้อยกริดก็คิดแบบนั้น

       "นั่นสินะ  พอจะเข้าใจแล้ว  ในฐานะอาณาจักร  งานที่ต้องรับมือก็คงยุ่งมากอยู่แล้ว  แต่ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ยอมสละเมืองล่ะ?  กล้าพูดได้เต็มปากว่า  แค่เพียงพวกเขาสละเมือง  ปัญหาทุกอย่างก็จะจบ"

       "โชคไม่ดีนัก… เมื่อ 10 ปีก่อน  ลอร์ดของเรย์ดันได้รับสมัครไพร่พลออกไปโจมตีรังแวมไพร์  และคนที่ไม่ยอมสละเรย์ดันก็คือครอบครัวของอาสาสมัครเหล่านั้น"

       "พวกเขาไม่รู้ว่าบุตรชายหรือสามีจะกลับมาเรย์ดันตอนไหนสินะ?

       "ถูกต้อง  ก็อย่างที่นายรู้  ต่างจากชีวิตจริง  โลกในซาทิสฟาย  หากแยกจากกันแล้ว  การที่เอ็นพีซีจะหวนมาพบกันอีกครั้งเป็นเรื่องที่ยากมาก..."

       10 ปีก่อน  หนอนยักษ์ปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่ไล่เลี่ยกับการออกโจมตีรังแวมไพร์  เรย์ดันเข้าสู่การล่มสลายภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้น  ส่วนกองกำลังที่เข้าโจมตีรังแวมไพร์มีกำหนดจะกลับภายในครึ่งปี  ทำให้บรรดาสมาชิกครอบครัวต่างเฝ้ารออย่างมีความหวัง

       พวกเขารอมาโดยตลอด  1 ปี  2 ปี  3 ปี… แต่กองกำลังล่าแวมไพร์ก็ไม่กลับมา   

       ถึงกระนั้น  สมาชิกครอบครัวก็ยังคงปักหลักอาศัยอยู่ในเรย์ดันต่อไป  ผลก็คือ  เมื่อผ่านไปสิบปี  ยังมีประชากรรอคอยการกลับมาของครอบครัวอยู่ราว 40,000 คน  แต่กว่าครึ่งหนึ่ง  ถ้าไม่ถอดใจหนีไปแล้วก็อดตายอยู่ที่นี่

       "พวกเขารอนานถึง 10 ปีโดยหวังว่าทีมล่าแวมไพร์จะยังมีชีวิตอยู่  ซึ่งในความเป็นจริง  ทั้งหมดคงไม่มีใครรอดแล้ว… ความผูกพันในสายเลือดช่างน่ากลัวนัก"

       แม้กริดจะคิดว่าคนกลุ่มนี้โง่เขลา  แต่ส่วนหนึ่งก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจ  เป็นเพราะถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้กับครอบครัวเขาบ้าง  ทั้งพ่อแม่และเซฮีก็คงทำแบบเดียวกันกับชาวเมืองเรย์ดันที่เหลืออยู่

       "ฉันสรุปให้ก็แล้วกัน  ลอร์ดคนเก่าช่างโง่เขลานัก  คิดยังไงถึงได้ไปบุกรังแวมไพร์?"

       "ก่อนที่หนอนยักษ์จะปรากฏตัว  แวมไพร์คือมอนสเตอร์ชนิดเดียวที่เป็นภัยต่อเรย์ดัน  รังแวมไพร์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก  พวกมันล่าชาวเมืองเรย์ดันเป็นอาหาร  การตัดสินใจของลอร์ดคนเก่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้"

       แวมไพร์ดยุค  แมรี่โรส  กริดพลันย้อนนึกถึงแวนไพร์ตนที่เคยพบก่อนหน้านี้  เขาอดขนลูกซู่ขึ้นมาไม่ได้

       "...แล้วทุกวันนี้ยังมีแวมไพร์อยู่ไหม?"

       "ไม่แล้ว  แวมไพร์ไม่ปรากฏตัวตั้งแต่ที่หนอนยักษ์โผล่ออกมา  หากประเมิณจากความแข็งแกร่งของแวมไพร์  พวกมันไม่มีทางเสร็จมอนสเตอร์แน่  ตอนนี้คงกำลังใช้มอนสเตอร์เป็นแหล่งอาหารมากกว่า"

       "นั่นถือว่าโชคดี  อืม… แล้วยังไงต่อ?  พวกเราต้องทำอะไรต่อไป?"

       ลอเอลตอบกลับทันทีราวกับรออยู่แล้ว

       "พวกเราต้องเร่งเคลียร์หน้าดิน"

       "..."

       9 วันที่ไม่มีกริดก่อนหน้านี้  สมาชิกโอเวอร์เกียร์ได้ปราบมอสเตอร์รอบๆ แม่น้ำเฮอเบ็นด์จนหมด  พวกเขาทำการเชื่อมแหล่งน้ำเข้ากับฟาร์ม  ถือเป็นภาพที่น่าพึงพอใจหากเทียบกับแรงกายที่ทุ่มเทลงไป

       "งานหนักมันก็ดี  ฉากที่ผู้คนหลั่งเหงื่ออย่างมีความสุขก็ช่างงดงาม..."  แต่กริดก็ไม่คิดที่จะทำมัน

       "ตอนนี้ฉันเป็นถึงดยุคแล้วนะ  ยังต้องลงไปออกแรงเหมือนคนอื่นอีกหรือ?  จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยรึไง?"

       ลอเอลยักไหล่เล็กน้อย

       "นายไม่ต้องก็ได้  นายยังมีสถานที่ทำงานนอกเหนือจากนี้อยู่"

       ลอเอลรับคำสั่งจากกริดให้นำตัวข่านมายังเรย์ดันด้วย  ทันทีที่มาถึง  เขาได้สั่งคนให้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกกับข่านเป็นพิเศษ  

       ใช่แล้ว  โรงตีเหล็ก

       "ได้โปรดทำหน้าที่ในฐานะช่างตีเหล็กในตำนานด้วย  พวกเรากำลังขาดแคลนอุปกรณ์ทำฟาร์มที่มีคุณภาพ  ลำพังข่านคนเดียวทำไม่ทัน  ดังนั้นนายต้องช่วยเขาสร้างอุปกรณ์ทำฟาร์มขึ้นในปริมาณมาก"

       "อะไรนะ?"

       ช่างตีเหล็กในตำนานต้องมานั่งสร้างอุปกรณ์ทำฟาร์มงั้นหรือ?

       "เฮ้ เฮ้  ทำไมนายถึงทำสีหน้าแบบนั้น?"  ลอเอลส่งสายตาตำหนิกริด

       "พวกเราต้องการความสามารถของนายในการชุบชีวิตเรย์ดัน  แล้วนายคิดจะปฏิเสธงั้นหรือ?  ไม่คิดจะทำหน้าที่ของลอร์ดที่ดีบ้างรึไง?"

       กริดยอมรับแต่โดยดี  เขาไม่โต้เถียงสิ่งใดอีก

       "...ฉันก็แค่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีพอ"

       'นับตั้งแต่เป็นดยุค  ดูเหมือนเราจะทำตัวโอหังเกินไปหน่อย'

       ก็แค่อุปกรณ์ทำฟาร์มงั้นหรือ?  สำหรับช่างตีเหล็กในตำนาน  ไม่มีคำว่า <แค่> อยู่ในหัว  กริดเรียกจิตวิญญานช่างตีเหล็กในตำนานออกมาอีกครั้ง  ศักดิ์ศรีไม่เข้าท่าถูกโยนทิ้งไป  ชายหนุ่มถกแขนเสื้อขึ้นพร้อมกับควักค้อนตีเหล็กออกมา

       "เชื่อมือฉัน"

       "..."

       มุมปากลอเอลพลันกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำต้องห้าม  ทว่า  เมื่อลองคิดดูให้ดี  เขาก็เบาใจลงเล็กน้อย         

       'ช่างเถอะ  อุปกรณ์ทำฟาร์มไม่มีเกรดอื่นนอกจากทั่วไปอยู่แล้ว  ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล'

       คลาสสายต่อสู้ย่อมไม่รู้จักอุปกรณ์การผลิตมากนัก  ตลอดชีวิตพวกเขาแทบไม่เคยมีโอกาสได้จับ  ค้อนก็คือค้อน  จอบก็คือจอบ  อุปกรณ์ทำฟาร์มตามท้องตลาดล้วนมีเกรดทั่วไป

       ช่างตีเหล็กที่เน้นผลิตในปริมาณมากย่อมไม่คำนึงถึงคุณภาพ  แต่คิดว่ากริดเป็นใครกัน?  ทุกครั้งที่เขาสร้างไอเท็ม  ขั้นต่ำคือเวลา 20 ชั่วโมงที่ทุ่มเทให้  ไม่ว่าสิ่งที่สร้างจะเป็นอะไรก็ตาม  และต้องอย่างลืมว่า  กริดมีทั้งค้อนและจอบสองหัวเกรดเลเจนดารีอยู่กับตัว

       "งั้นไปก่อนนะ  ฉันต้องรีบเริ่มงานแล้ว"

       กริดจะสร้างอุปกรณ์ทำฟาร์มชั้นเลิศที่แม้แต่ชาวเมืองไร้เรี่ยวแรงก็ใช้ได้คล่องแคล่ว!  เขาสาบานพร้อมกับเดินเข้าไปในเมือง

       ลอเอลตะโกนไล่หลังมา

       "จริงสิกริด...  แล้วสองคนนี้เป็นใคร?"

       "อ้อ"  กริดพลันนึกได้ว่ามีปิอาโร่กับบลันด์เดินทางมาด้วย  เขาจึงหันไปพูดกับสองคนนั้น
       
       "ก็อย่างที่พวกนายเห็น  ฉันจำเป็นต้องหมกตัวอยู่ในโรงตีเหล็กอีกพักใหญ่  ระหว่างนั้นพวกนายคงเบื่อแย่เลยสินะ?  ควรออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายสักหน่อยไหม?"

       "ถ้าให้ฉันเดินชมรอบเมืองไปพร้อมกับการฝึกบลันด์  ก็คงพอมีอะไรให้ทำอยู่บ้าง"

       ปิอาโร่ออกความเห็น  แต่กริดก็พูดต่อไปราวกับไม่ได้ยิน

       "ฉันจะบอกวิธีแก้เบื่อให้"

       กริดชี้นิ้วตรงไปยังฟาร์มโล่งกว้าง

       ปิอาโร่และบลันด์เติบโตมาในฐานะขุนนางชั้นสูง  พวกเขาล้วนเป็นตัวตนอัจฉริยะที่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษเสมอมา  ทั้งสองจึงไม่เข้าใจว่า  กริดชี้นิ้วเข้าไปในฟาร์มโล่งทำไม  

       ก็แน่ล่ะ  พวกเขาไม่เคยถูกใช้ให้ทำงานไร่สวนมาก่อนเลยสักครั้ง  

       "ช่วยเคลียร์ฟาร์มให้ฉันหน่อยได้ไหม  ขอร้องล่ะ"

       "อ--อะไรนะ?"

       บลันด์พลันตกตะลึง  เขาเป็นถึงหัวกะทิของอาณาจักรและมีสายเลือดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่  คนสำคัญของอาณาจักรอย่างเขากลับถูกใช้ให้ทำงานไร่สวนงั้นหรือ?

       ไม่สิ  กรณีของตน  บลันด์พอจะเข้าใจได้  เพราะยามนี้เขาคือตัวประกัน  แต่ปิอาโร่นั้นไม่ใช่  ปิอาโร่คืออดีตกัปตันกองอัศวินสีชาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป  เป็นนักดาบผู้ยิ่งใหญ่และมีวิชาดาบอันสูงส่ง  แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกใช้งานให้ทำฟาร์มอีกรึ?

       บลันด์คิดว่า  กริดคงเสียสติไปแล้ว  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น...

       "การออกแรงสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้  ยิ่งไปกว่านั้น  ฉันเองก็ไม่เคยมีโอาสได้ทำฟาร์มมาก่อน  เป็นโอกาสอันดีที่จะได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดใหม่ที่ไม่เคยฝึก  หรือไม่ก็ได้เรียนรู้ท่าทางการเคลื่อนไหวใหม่ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์กับวิชาดาบ…  เข้าใจแล้ว  ฉันจะทำ"

       ปิอาโร่ยอมทำแต่โดยดีงั้นหรือ?  นักดาบผู้ยิ่งใหญ่  ชายผู้ซึ่งเข้าใกล้ความเป็นอริยะดาบมากที่สุด  เขากลับยอมทำฟาร์มอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้ยังไง?  บลันด์นิ่งเงียบไปพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแรง

       กริดพลันสงสัย

       "นายยอมทำฟาร์มจริงหรือ?"

       กริดประหลาดใจมาก  เขคาดไม่ถึงว่าปิอาโร่จะตอบตกลงทันที

       "ทำไมนายถึงยอมทำง่ายนัก?"

       ปิอาโร่หันไปมองใบหน้าอันแสนสับสนของกริดและตอบกลับไป

       "9 วันที่ผ่านมา  ฉันได้รับพลังใจที่จะมีชีวิตต่อไปจากนายและบลันด์  ฉันคงไม่คิดจะใช้ชั่วชีวิตที่เหลือเพื่อการแก้แค้นเพียงอย่างเดียว  ไม่ช้าก็เร็ว  นายก็จะแก้แค้นให้ฉันสำเร็จ  หลังจากนั้นฉันก็ต้องสลัดอดีตทิ้ง  และเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตในบั้นปลายที่เหลือ  อย่าลืมว่า  ฉันไม่ใช่ขุนนางอีกแล้ว  คงเป็นการดีที่จะหัดใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาสามัญไว้ล่วงหน้า"

       "...ขอบคุณมาก"

       กริดผงกศีรษะให้ปิอาโร่เบาๆ   เขาไม่ได้ขอบคุณปิอาโร่เพียงเพราะช่วยงานทำฟาร์ม  แต่ยังขอบคุณเรื่องที่ปิอาโร่ตัดสินใจมีชีวิตต่อไป

       'เราเปลี่ยนแปลงชะตากรรมผู้คนได้อีกแล้วสินะ...'

       อิทธิพลของกริดสงผลกับวิถีชีวิตผู้คนจำนวนมาก  เขาตระหนักถึงเรื่องนั้นและลองคิดให้ลึกซึ้งขึ้น

       'ลอร์ดคือตำแหน่งที่จะต้องปกครองคนนับหมื่นนับแสน  เรายังเป็นหัวหน้ากิลด์ที่ต้องนำพาสมาชิกโอเวอร์เกียร์ทุกคนไปในแนวทางที่ยิ่งใหญ่  เราจะต้องไม่ลืมเรื่องนั้น  ทุกการกระทำและคำพูดสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมผู้คนได้มากมาย'

       กริดสาบานกับตนเองว่าจะต้องเติบโตขึ้นในทุกครั้งที่เผชิญอุปสรรคใหญ่  ทว่า  เขาก็ไม่อาจสลัดนิสัยดั้งเดิมที่มักจะโผล่ออกมาในยามวิกฤติ  ในอนาคคงต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้  กริดคิดเช่นนั้น

       เขาจากลาวินสตันเพื่อมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนตะวันตก  คำพูดของปิอาโร่ทำให้กริดเติบโตขึ้นไปอีกขั้น

Comments

  1. ขอบคุณมากคับ

    ReplyDelete
  2. ยังไงก้ยังไม่หายโง่เหมือนเดิม นั่นแหละ5555

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00