จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 217
"ชิ! เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง? ฉันคิดว่ามันน่าจะไปได้สวยซะอีก"
ชะตาชีวิตของกริดพลิกผันนับตั้งแต่กลายเป็นผู้สืบทอดแห่งแพ็กม่า ในสมัยอดีต ชีวิตของเขาต้องพบเจอกับความอับโชคมากมาย ทว่า หลังจากกลายเป็นคลาสเกรดเลเจนดารี สิ่งต่างๆ ดูเหมือนจะส่งผลไปทางบวกเสมอ ไม่ว่าจะมันเป็นเรื่องที่ยากลำบากสักแค่ไหน
แต่ชักเริ่มสงสัยแล้วว่า ทำไมทุกครั้งเขาลงมือทำอะไร ทุกสิ่งก็ดูจะกลายเป็นความยากลำบากไปเสียหมด หรือนี่คือสิ่งตอบแทนที่ชีวิตช่วงก่อนหน้าเริ่มจะราบรื่น?
กริดพยายามระงับความโกรธ เขากวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นว่า
"นี่คือเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอาณาจักรไม่ใช่หรือ? มันไม่ได้หมายถึงความร่ำรวยสินะ? เฮ่อ... แล้วทำไมสภาพของชาวเมืองถึงได้อดสูขนาดนี้? ถูกกองโจรเข้าปล้นสะดมรึไง?"
"ในอดีต มันเคยเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งอันดับหนึ่งในอาณาจักร แต่ทุกสิ่งได้เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน ในปีที่พวกหนอนยักษ์เริ่มปรากฏตัวขึ้น"
"หนอนยักษ์? พวกนั้นเกี่ยวอะไรกับเรย์ดัน?"
ลอเอลอธิบายต่อไป
"นี่คือสิ่งที่เฟคเกอร์เค้นมาได้จากเทศมนตรีและชาวเมืองที่นี่"
10 ปีก่อน เรย์ดันคือเมืองใหญ่อันดับสองของอีเทอนัลรองจากไรน์ฮาร์ท ถึงกับถูกขนานนามให้เป็นเมืองหลวงที่สอง ทว่า สถานการณ์ได้พลิกเป็นหลังมือเมื่อหนอนยักษ์เริ่มปรากฏตัว
หนอนยักษ์ที่มารุกรานดินแดนนั้นดุร้ายมาก พวกมันไม่อาจถูกปราบปรามได้โดยกองทหารทั่วไป ดินแดนตะวันตกของอาณาจักรกลายเป็นทะเลทรายอันรกร้างอย่างรวดเร็ว เส้นทางขนส่งถูกตัดขาด รวมไปถึงแหล่งน้ำสะอาดด้วย
ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้น มอนสเตอร์ทะเลทรายทั้งหลายเริ่มโผล่ขึ้นมาเพิ่ม สถานการณ์ย่ำแย่จนเรย์ดันถูกทิ้งร้างให้โดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลทรายตามลำพัง ปัญหาการขาดแคลนอาหารจึงบานปลายใหญ่หลวง
"การสนับสนุนเสบียงจากอาณาจักรเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ ทำให้ลอร์ดของเรย์ดันคนเก่าต้องยอมแพ้กับปัญหานี้ ชาวเมืองนับแสนจำใจต้องทอดทิ้งถิ่นที่อยู่ไป"
แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่จากไปไหน แต่ละคนล้วนมีเหตุผลที่แตกต่างกัน ลงเอยด้วย มีประชากรเหลืออยู่ในเมืองเพียง 40,000 คนในปีนั้น
"ช่วงแรก พวกเขาพยายามปกป้องแหล่งน้ำอย่างสุดกำลัง แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่า สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ ยอมยกแหล่งน้ำให้กับบรรดามอนสเตอร์ไป"
กษัตริย์วิสบาเดนพยายามช่วยเหลือโดยการส่งนักสู้ที่ยอดเยี่ยมมาช่วยกอบกู้ดินแดนตะวันตก ทว่า ไม่มีใครในอาณาจักรอีเทอนัลที่เก่งเทียบเท่าเอิร์ลอัชเชอร์อีกแล้ว และเอิร์ลอัชเชอร์ก็ไม่อาจละทิ้งแพเทรี่ยนได้
"ลงเอยด้วย เมื่อผู้คนที่นี่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักร พวกเขาก็หันไปพึงพาจักรวรรดิ คำของร้องให้ช่วยเหลือถูกส่งไปถึงจักรวรรดิในทันที และพวกมันก็ตอบรับอย่างรวดเร็วเช่นกัน นี่คือโอกาสอันดีที่จะได้กลืนกินดินแดนที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอีเทอนัล"
จักรวรรดิทำการส่งกองอัศวินทมิฬมาปราบปราม กองอัศวินทมิฬนั้นเป็นรองเพียงกองอัศวินสีชาดเท่านั้น แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับมอนสเตอร์ในดินแดนตะวันตกไหว
"มาถึงจุดนี้ จักรวรรดิต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่างลงไป ในการจะกวาดล้างดินแดนตะวันตกให้สิ้นซาก กองทัพขนาดมหึมาคือสิ่งจำเป็น ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำได้เลย หากคำนึงถึงฐานะของจักรวรรดิในเวลานั้น"
ในที่สุด พวกมันก็ได้ข้อสรุป
"จักรวรรดิจะทำการส่งกองกำลังมาปกป้องแม่น้ำเฮอเบ็นด์จากมอนเตอร์ แต่ต้องแลกมากับการที่เรย์ดันคอยส่งบรรณาการให้จักรวรรดิทุกปี ทั้งคู่จึงตกลงทำสัญญากันนับแต่นั้น"
"เป็นสัญญาที่ฟังดูสมเหตุสมผล ผู้คนของเรย์ดันไม่มีทางปฏิเสธมัน"
"ใช่แล้ว แต่ปัญหาก็คือ จักรวรรดิขอขึ้นค่าบรรณาการในทุกปี"
ด้วยการปกป้องจากจักรวรรดิ เรย์ดันสามารถแก้ปัญหาขาดแคลนอาหารได้ด้วยแหล่งน้ำ เศรษฐกิจกำลังพื้นตัวทีละนิด แต่ก็เท่านั้น เพียงไม่นานก็กลับมาอัตคัดขัดสนเหมือนเดิมหลังจากจักรวรรดิขอเพิ่มบรรณาการ ลงเอยด้วย เรย์ดันกลายเป็นเมืองที่ขาดแคลนอาหารอีกครั้ง
"จนกระทั่งผู้คนของเรย์ดันไม่สามารถยอมรับค่าบรรณาการไหว จักรวรรดิจึงตอบโต้ด้วยการถอนกำลังทหารออกจากแม่น้ำเฮอเบ็นด์ ทำให้ในเวลานี้ เรย์ดันเหลือประชากรเพียง 2 หมื่นคนเท่านั้น พวกเขากำลังอยู่ในภายวะขาดอาหารเจียนตาย และเป็นเวลาที่พวกเรามาถึงพอดี"
กริดแทบไม่เชื่อหูตนเอง
"ทำไมอาณาจักรถึงทอดทิ้งเรย์ดัน? ฉันเข้าใจว่า มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะกวาดล้างมอนสเตอร์ให้หมด แต่แค่การส่งเสบียงเล็กน้อยก็น่าจะทำได้มิใช่หรือ?"
"นั่นไม่มีประโยชน์ ทางอาณาจักรคิดว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะช่วยเหลือพวกโง่เขลาซึ่งไม่ยอมสละเมืองที่กำลังจะอดตาย"
นับเป็นการตัดสินใจที่เย็นชาแต่ถูกต้อง อย่างน้อยกริดก็คิดแบบนั้น
"นั่นสินะ พอจะเข้าใจแล้ว ในฐานะอาณาจักร งานที่ต้องรับมือก็คงยุ่งมากอยู่แล้ว แต่ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ยอมสละเมืองล่ะ? กล้าพูดได้เต็มปากว่า แค่เพียงพวกเขาสละเมือง ปัญหาทุกอย่างก็จะจบ"
"โชคไม่ดีนัก… เมื่อ 10 ปีก่อน ลอร์ดของเรย์ดันได้รับสมัครไพร่พลออกไปโจมตีรังแวมไพร์ และคนที่ไม่ยอมสละเรย์ดันก็คือครอบครัวของอาสาสมัครเหล่านั้น"
"พวกเขาไม่รู้ว่าบุตรชายหรือสามีจะกลับมาเรย์ดันตอนไหนสินะ?
"ถูกต้อง ก็อย่างที่นายรู้ ต่างจากชีวิตจริง โลกในซาทิสฟาย หากแยกจากกันแล้ว การที่เอ็นพีซีจะหวนมาพบกันอีกครั้งเป็นเรื่องที่ยากมาก..."
10 ปีก่อน หนอนยักษ์ปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่ไล่เลี่ยกับการออกโจมตีรังแวมไพร์ เรย์ดันเข้าสู่การล่มสลายภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือนเท่านั้น ส่วนกองกำลังที่เข้าโจมตีรังแวมไพร์มีกำหนดจะกลับภายในครึ่งปี ทำให้บรรดาสมาชิกครอบครัวต่างเฝ้ารออย่างมีความหวัง
พวกเขารอมาโดยตลอด 1 ปี 2 ปี 3 ปี… แต่กองกำลังล่าแวมไพร์ก็ไม่กลับมา
ถึงกระนั้น สมาชิกครอบครัวก็ยังคงปักหลักอาศัยอยู่ในเรย์ดันต่อไป ผลก็คือ เมื่อผ่านไปสิบปี ยังมีประชากรรอคอยการกลับมาของครอบครัวอยู่ราว 40,000 คน แต่กว่าครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ถอดใจหนีไปแล้วก็อดตายอยู่ที่นี่
"พวกเขารอนานถึง 10 ปีโดยหวังว่าทีมล่าแวมไพร์จะยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งในความเป็นจริง ทั้งหมดคงไม่มีใครรอดแล้ว… ความผูกพันในสายเลือดช่างน่ากลัวนัก"
แม้กริดจะคิดว่าคนกลุ่มนี้โง่เขลา แต่ส่วนหนึ่งก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจ เป็นเพราะถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้กับครอบครัวเขาบ้าง ทั้งพ่อแม่และเซฮีก็คงทำแบบเดียวกันกับชาวเมืองเรย์ดันที่เหลืออยู่
"ฉันสรุปให้ก็แล้วกัน ลอร์ดคนเก่าช่างโง่เขลานัก คิดยังไงถึงได้ไปบุกรังแวมไพร์?"
"ก่อนที่หนอนยักษ์จะปรากฏตัว แวมไพร์คือมอนสเตอร์ชนิดเดียวที่เป็นภัยต่อเรย์ดัน รังแวมไพร์ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก พวกมันล่าชาวเมืองเรย์ดันเป็นอาหาร การตัดสินใจของลอร์ดคนเก่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้"
แวมไพร์ดยุค แมรี่โรส กริดพลันย้อนนึกถึงแวนไพร์ตนที่เคยพบก่อนหน้านี้ เขาอดขนลูกซู่ขึ้นมาไม่ได้
"...แล้วทุกวันนี้ยังมีแวมไพร์อยู่ไหม?"
"ไม่แล้ว แวมไพร์ไม่ปรากฏตัวตั้งแต่ที่หนอนยักษ์โผล่ออกมา หากประเมิณจากความแข็งแกร่งของแวมไพร์ พวกมันไม่มีทางเสร็จมอนสเตอร์แน่ ตอนนี้คงกำลังใช้มอนสเตอร์เป็นแหล่งอาหารมากกว่า"
"นั่นถือว่าโชคดี อืม… แล้วยังไงต่อ? พวกเราต้องทำอะไรต่อไป?"
ลอเอลตอบกลับทันทีราวกับรออยู่แล้ว
"พวกเราต้องเร่งเคลียร์หน้าดิน"
"..."
9 วันที่ไม่มีกริดก่อนหน้านี้ สมาชิกโอเวอร์เกียร์ได้ปราบมอสเตอร์รอบๆ แม่น้ำเฮอเบ็นด์จนหมด พวกเขาทำการเชื่อมแหล่งน้ำเข้ากับฟาร์ม ถือเป็นภาพที่น่าพึงพอใจหากเทียบกับแรงกายที่ทุ่มเทลงไป
"งานหนักมันก็ดี ฉากที่ผู้คนหลั่งเหงื่ออย่างมีความสุขก็ช่างงดงาม..." แต่กริดก็ไม่คิดที่จะทำมัน
"ตอนนี้ฉันเป็นถึงดยุคแล้วนะ ยังต้องลงไปออกแรงเหมือนคนอื่นอีกหรือ? จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลยรึไง?"
ลอเอลยักไหล่เล็กน้อย
"นายไม่ต้องก็ได้ นายยังมีสถานที่ทำงานนอกเหนือจากนี้อยู่"
ลอเอลรับคำสั่งจากกริดให้นำตัวข่านมายังเรย์ดันด้วย ทันทีที่มาถึง เขาได้สั่งคนให้สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกกับข่านเป็นพิเศษ
ใช่แล้ว โรงตีเหล็ก
"ได้โปรดทำหน้าที่ในฐานะช่างตีเหล็กในตำนานด้วย พวกเรากำลังขาดแคลนอุปกรณ์ทำฟาร์มที่มีคุณภาพ ลำพังข่านคนเดียวทำไม่ทัน ดังนั้นนายต้องช่วยเขาสร้างอุปกรณ์ทำฟาร์มขึ้นในปริมาณมาก"
"อะไรนะ?"
ช่างตีเหล็กในตำนานต้องมานั่งสร้างอุปกรณ์ทำฟาร์มงั้นหรือ?
"เฮ้ เฮ้ ทำไมนายถึงทำสีหน้าแบบนั้น?" ลอเอลส่งสายตาตำหนิกริด
"พวกเราต้องการความสามารถของนายในการชุบชีวิตเรย์ดัน แล้วนายคิดจะปฏิเสธงั้นหรือ? ไม่คิดจะทำหน้าที่ของลอร์ดที่ดีบ้างรึไง?"
กริดยอมรับแต่โดยดี เขาไม่โต้เถียงสิ่งใดอีก
"...ฉันก็แค่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีพอ"
'นับตั้งแต่เป็นดยุค ดูเหมือนเราจะทำตัวโอหังเกินไปหน่อย'
ก็แค่อุปกรณ์ทำฟาร์มงั้นหรือ? สำหรับช่างตีเหล็กในตำนาน ไม่มีคำว่า <แค่> อยู่ในหัว กริดเรียกจิตวิญญานช่างตีเหล็กในตำนานออกมาอีกครั้ง ศักดิ์ศรีไม่เข้าท่าถูกโยนทิ้งไป ชายหนุ่มถกแขนเสื้อขึ้นพร้อมกับควักค้อนตีเหล็กออกมา
"เชื่อมือฉัน"
"..."
มุมปากลอเอลพลันกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำต้องห้าม ทว่า เมื่อลองคิดดูให้ดี เขาก็เบาใจลงเล็กน้อย
'ช่างเถอะ อุปกรณ์ทำฟาร์มไม่มีเกรดอื่นนอกจากทั่วไปอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล'
คลาสสายต่อสู้ย่อมไม่รู้จักอุปกรณ์การผลิตมากนัก ตลอดชีวิตพวกเขาแทบไม่เคยมีโอกาสได้จับ ค้อนก็คือค้อน จอบก็คือจอบ อุปกรณ์ทำฟาร์มตามท้องตลาดล้วนมีเกรดทั่วไป
ช่างตีเหล็กที่เน้นผลิตในปริมาณมากย่อมไม่คำนึงถึงคุณภาพ แต่คิดว่ากริดเป็นใครกัน? ทุกครั้งที่เขาสร้างไอเท็ม ขั้นต่ำคือเวลา 20 ชั่วโมงที่ทุ่มเทให้ ไม่ว่าสิ่งที่สร้างจะเป็นอะไรก็ตาม และต้องอย่างลืมว่า กริดมีทั้งค้อนและจอบสองหัวเกรดเลเจนดารีอยู่กับตัว
"งั้นไปก่อนนะ ฉันต้องรีบเริ่มงานแล้ว"
กริดจะสร้างอุปกรณ์ทำฟาร์มชั้นเลิศที่แม้แต่ชาวเมืองไร้เรี่ยวแรงก็ใช้ได้คล่องแคล่ว! เขาสาบานพร้อมกับเดินเข้าไปในเมือง
ลอเอลตะโกนไล่หลังมา
"จริงสิกริด... แล้วสองคนนี้เป็นใคร?"
"อ้อ" กริดพลันนึกได้ว่ามีปิอาโร่กับบลันด์เดินทางมาด้วย เขาจึงหันไปพูดกับสองคนนั้น
"ก็อย่างที่พวกนายเห็น ฉันจำเป็นต้องหมกตัวอยู่ในโรงตีเหล็กอีกพักใหญ่ ระหว่างนั้นพวกนายคงเบื่อแย่เลยสินะ? ควรออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายสักหน่อยไหม?"
"ถ้าให้ฉันเดินชมรอบเมืองไปพร้อมกับการฝึกบลันด์ ก็คงพอมีอะไรให้ทำอยู่บ้าง"
ปิอาโร่ออกความเห็น แต่กริดก็พูดต่อไปราวกับไม่ได้ยิน
"ฉันจะบอกวิธีแก้เบื่อให้"
กริดชี้นิ้วตรงไปยังฟาร์มโล่งกว้าง
ปิอาโร่และบลันด์เติบโตมาในฐานะขุนนางชั้นสูง พวกเขาล้วนเป็นตัวตนอัจฉริยะที่ได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษเสมอมา ทั้งสองจึงไม่เข้าใจว่า กริดชี้นิ้วเข้าไปในฟาร์มโล่งทำไม
ก็แน่ล่ะ พวกเขาไม่เคยถูกใช้ให้ทำงานไร่สวนมาก่อนเลยสักครั้ง
"ช่วยเคลียร์ฟาร์มให้ฉันหน่อยได้ไหม ขอร้องล่ะ"
"อ--อะไรนะ?"
บลันด์พลันตกตะลึง เขาเป็นถึงหัวกะทิของอาณาจักรและมีสายเลือดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ คนสำคัญของอาณาจักรอย่างเขากลับถูกใช้ให้ทำงานไร่สวนงั้นหรือ?
ไม่สิ กรณีของตน บลันด์พอจะเข้าใจได้ เพราะยามนี้เขาคือตัวประกัน แต่ปิอาโร่นั้นไม่ใช่ ปิอาโร่คืออดีตกัปตันกองอัศวินสีชาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีป เป็นนักดาบผู้ยิ่งใหญ่และมีวิชาดาบอันสูงส่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกใช้งานให้ทำฟาร์มอีกรึ?
บลันด์คิดว่า กริดคงเสียสติไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น...
"การออกแรงสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันเองก็ไม่เคยมีโอาสได้ทำฟาร์มมาก่อน เป็นโอกาสอันดีที่จะได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดใหม่ที่ไม่เคยฝึก หรือไม่ก็ได้เรียนรู้ท่าทางการเคลื่อนไหวใหม่ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์กับวิชาดาบ… เข้าใจแล้ว ฉันจะทำ"
ปิอาโร่ยอมทำแต่โดยดีงั้นหรือ? นักดาบผู้ยิ่งใหญ่ ชายผู้ซึ่งเข้าใกล้ความเป็นอริยะดาบมากที่สุด เขากลับยอมทำฟาร์มอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้ยังไง? บลันด์นิ่งเงียบไปพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแรง
กริดพลันสงสัย
"นายยอมทำฟาร์มจริงหรือ?"
กริดประหลาดใจมาก เขคาดไม่ถึงว่าปิอาโร่จะตอบตกลงทันที
"ทำไมนายถึงยอมทำง่ายนัก?"
ปิอาโร่หันไปมองใบหน้าอันแสนสับสนของกริดและตอบกลับไป
"9 วันที่ผ่านมา ฉันได้รับพลังใจที่จะมีชีวิตต่อไปจากนายและบลันด์ ฉันคงไม่คิดจะใช้ชั่วชีวิตที่เหลือเพื่อการแก้แค้นเพียงอย่างเดียว ไม่ช้าก็เร็ว นายก็จะแก้แค้นให้ฉันสำเร็จ หลังจากนั้นฉันก็ต้องสลัดอดีตทิ้ง และเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตในบั้นปลายที่เหลือ อย่าลืมว่า ฉันไม่ใช่ขุนนางอีกแล้ว คงเป็นการดีที่จะหัดใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาสามัญไว้ล่วงหน้า"
"...ขอบคุณมาก"
กริดผงกศีรษะให้ปิอาโร่เบาๆ เขาไม่ได้ขอบคุณปิอาโร่เพียงเพราะช่วยงานทำฟาร์ม แต่ยังขอบคุณเรื่องที่ปิอาโร่ตัดสินใจมีชีวิตต่อไป
'เราเปลี่ยนแปลงชะตากรรมผู้คนได้อีกแล้วสินะ...'
อิทธิพลของกริดสงผลกับวิถีชีวิตผู้คนจำนวนมาก เขาตระหนักถึงเรื่องนั้นและลองคิดให้ลึกซึ้งขึ้น
'ลอร์ดคือตำแหน่งที่จะต้องปกครองคนนับหมื่นนับแสน เรายังเป็นหัวหน้ากิลด์ที่ต้องนำพาสมาชิกโอเวอร์เกียร์ทุกคนไปในแนวทางที่ยิ่งใหญ่ เราจะต้องไม่ลืมเรื่องนั้น ทุกการกระทำและคำพูดสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมผู้คนได้มากมาย'
กริดสาบานกับตนเองว่าจะต้องเติบโตขึ้นในทุกครั้งที่เผชิญอุปสรรคใหญ่ ทว่า เขาก็ไม่อาจสลัดนิสัยดั้งเดิมที่มักจะโผล่ออกมาในยามวิกฤติ ในอนาคคงต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้ กริดคิดเช่นนั้น
เขาจากลาวินสตันเพื่อมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนตะวันตก คำพูดของปิอาโร่ทำให้กริดเติบโตขึ้นไปอีกขั้น
ขอบคุณมากคับ
ReplyDeleteขอบคุณมาก
ReplyDeleteยังไงก้ยังไม่หายโง่เหมือนเดิม นั่นแหละ5555
ReplyDelete