จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 162
อันที่จริง การแข่งขันซาทิสฟายสามารถทำแบบออนไลน์ได้ในตัวเกมซาทิสฟายโดยตรง
ทว่ารัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการส่งเสริมการท่องเที่ยว พวกเขาจึงตัดสินใจจัดการแข่งแบบออฟไลน์ขึ้น รวมไปถึงพิธีเปิดด้วย ทุกอย่างผ่านไปได้อย่างยิ่งใหญ่อลังการ ในเมื่อมีชาวต่างชาติกว่าแปดแสนคนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศ เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาจึงส่งเสริมเศรษฐกิจเกาหลีใต้ได้อย่างมหาศาล
"ด้วยเหตุนี้ ความสำคัญของเอส เอ กรุ๊ปก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมไปอีก"
มีหลายชาติต่างติดต่อเข้ามาเสนอตัวขอจัดแข่งซาทิสฟายในปีถัดไป คณะกรรมการบริษัทเอส เอ กรุ๊ปต่างคาดการณ์กันว่า ราคาของหุ้นบริษัทจะต้องทะยานสูงขึ้นจนอยู่นอกเหนือจินตนาการแน่นอน
"วินวินทั้งสองฝ่าย"
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้หน้าในการจัดงาน แม้จะมีเอส เอ กรุ๊ปคอยหนุนหลังอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่เศรษฐกิจการท่องเที่ยวเฟืองฟูขึ้น เป็นเพราะไอเดียของรัฐบาล แถมยังได้ความชื่นชอบจากประชาชนไปเต็มๆ
ส่วนหุ้นของเอส เอ กรุ๊ปก็ทะยานจนฉุดไม่อยู่อีกแล้ว ด้วยนโยบาย <คืนกำไร 3.6% สู่สังคม> ของเอส เอ กรุ๊ป กลุ่มคนยากจนที่จะได้รับความช่วยเหลือในคราวนี้ คงมีจำนวนมหาศาลจนคาดไม่ถึงแน่นอน
บรรดาแร้งเกอร์ต่างก็ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนโตเพื่อแลกกับการเสียเวลาเดินทางมายังเกาหลีใต้ และผู้คนทั่วโลกก็ได้รับความสนุกสนานอิ่มเอมใจเมื่อได้รับชมการถ่ายทอดสด เป็นอีเวนท์ที่น่าพึงพอใจสำหรับทุกฝ่าย จึงเข้าใจได้ว่า ทำไมบรรดาคณะกรรมการถึงหัวเราะอย่างชอบใจเช่นนี้
ซาทิสฟายกำลังทำให้ผู้คนทั้งโลกพึงพอใจสมกับชื่อของมัน และนั่นก็เป็นสาเหตุหลักที่ลิมชอลโฮตั้งชื่อนี้ในตอนแรก
"ความพยายามอย่างหนักของเราไม่สูญเปล่า"
ราวกับเป็นพระเจ้าที่สร้างโลกใบใหม่ให้ทุกคนมีความสุข แต่ตัวเขา นักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างโลกใบนั้น ลิมชอลโฮสามารถสร้างโลกเสมือนจริงอันไร้ขีดจำกัดขึ้นมาได้สำเร็จเป็นคนแรก
เขามาถึงจุดที่โลกจะต้องจารึกไปตลอดกาล ว่าลิมชอลโฮคือนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่เหนือทุกขีดจำกัดไปแล้ว
***
เกิดเสียงดังอื้ออึงอยู่ด้านหลัง
"มีสาวสวยอยู่เต็มไปหมด หุ่นผอมเพรียวแบบนี้สเปคฉันเลย"
ป็อนรู้สึกดีเป็นพิเศษ
เพราะงานแข่งครั้งนี้ เขามีโอกาสได้ประมือกับผู้เล่นระดับท็อปในสังเวียน ได้รับเงินก้อนโต และยังมีโอกาสเหล่สาวตะวันออกสุดสวยไปในตัว เป็นความรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยเมฆ
"กริด นายอยากออกมาดื่มกับฉันไหม ฉันจะซื้อเหล้าราคาแพงเตรียมไว้เอง เถอะน่า มาใช่เวลาร่วมกัน"
ป็อนที่หน้าตาหล่อเหลาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเดินตามท้องถนน เขาก็เรียกความสนใจไม่ได้ยาก แม้สำเนียงภาษาอังกฤษของป็อนจะดูประหลาดไปสักหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคในการเกี้ยวพาราสี
จิสึกะที่กำลังนั่งอยู่ในระเบียงของคาเฟ่แห่งหนึ่ง เธอหันไปจ้องมองป็อนด้วยสายตาประหลาดใจเป็นที่สุด
'นั่นป็อนจริงหรือ ทั้งในเกมแอล ที เอสและซาทิสฟาย เขาไม่เคยแสดงออกเลยสักครั้งว่าสนใจเพศตรงข้าม แถมยังเอาแต่ทะเลาะเป็นเด็กกับแวนเนอร์ไปวันๆ เขาคือชายผู้อุทิศกายใจให้กับการฝึกฝนและอัพเลเวลตลอดเวลา'
จิสึกะพลันรู้สึกอึดอัดกับตัวตนในชีวิตจริงของป็อน
"รู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว เพิ่งจะรู้นี่แหละว่าเป็นคนแบบนี้"
เรกัสอมยิ้มให้จิสึกะเล็กน้อยในขณะที่เขากำลังจัดการไอสกรีมพาร์เฟ่ตรงหน้า
"ในซาทิสฟาย เขาเอาแต่มุ่งมั่นกับการเป็นที่หนึ่งจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น พออยู่ในชีวิตจริงก็เลยอยากผ่อนคลายบ้างล่ะมั้ง มีแร้งเกอร์ไม่น้อยที่เป็นแบบนี้"
"ก็เป็นไปได้--...หือ"
จิสึกะพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับเหลือบมาเห็นชุดที่เรกัสกำลังสวมอยู่
"อะไรของนายเนี่ย! นายเริ่มสวมชุดเทควอนโดตั้งแต่เมื่อไร!"
"ฉันก็สวมมันไว้ตลอดตั้งแต่ที่เข้ามาในเกาหลีใต้แล้ว อะไรของเธอน่ะ จิสึกะ นี่เธอไม่ได้สังเกตการแต่งกายของเพื่อนที่อยู่ด้วยกันร่วมชั่วโมงเลยงั้นเหรอ หรือว่ากำลังเหม่อลอยอะไรอยู่"
จิสึกะพ่นลมออกมาอย่างหงุดหงิดและไม่ตอบคำถาม
"ไปเปลี่ยนชุดซะ! ถ้าอยู่ด้วยกันแค่พวกเราสามคนฉันไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าออกไปข้างนอกมันเตะตาผู้คนเกินไป"
แซ่ก แซ่ก...
ในความเป็นจริง ตอนนี้ก็มีผู้คนจำนวนมากกำลังรายล้อมทั้งจิสึกะกับเรกัสไว้ พวกเขาล้วนอยากได้รูปถ่ายและลายเซ็นต์จากสองดาราดัง แต่มีหรือที่ผู้เล่นซาทิสฟายระดับท็อปของโลก ผู้ซึ่งทำเงินได้เทียบเท่ากับรายได้ของประเทศเล็กๆ จะออกไปไหนมาไหนโดยไม่มีบอร์ดี้การ์ดคอยประกบ ทั้งสองสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศได้โดยไม่ถูกใครรบกวน เพราะตอนนี้มีชายกำยำกว่าสิบคนรายล้อมทั้งเรกัสและจิสึกะไว้
"ถ้าไม่ให้ฉันสวมชุดเทควอนโดในประเทศแห่งเทควอนโด แล้วเธอจะให้ฉันสวมอะไร"
"..."
จิสึกะถึงกับผงะในคำตอบของเรกัส ทว่าเธอก็ไม่คิดรบเร้าชายคนนี้อีก
"ก็ได้ ก็ได้ แต่งตัวตามที่นายต้องการเลย แล้วก็รีบจัดการพาร์เฟ่นั่นซะ"
สองสิ่งที่จิสึกะมองเห็นในตัวผู้ชาย
หากผู้ชายคนไหนไม่ต่ำทราม คนนั้นก็จะต้องมีนิสัยเหมือนกับเด็กน้อย
'แต่กริดกลับมีทั้งสองอย่าง...'
ความประทับใจแรกที่เธอมีต่อกริดนั้นติดลบดำดิ่ง เขาทั้งโง่เขลา หัวรั้น และสนใจแต่หน้าอกใหญ่ๆ เท่านั้น
ทว่า ชายคนนี้กลับเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนน่าตกตะลึง และนิสัยในด้านต่ำทรามนั้นหายไปจนหมดสิ้นหลังจากแต่งงานกับไอรีน กริดเทินทูดไอรีนแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่สนใจหน้าอกใหญ่ๆ ของสาวคนไหนเลยนับจากนั้น รวมไปถึงหน้าอกของจิสึกะด้วย
หรือเป็นเพราะจิสึกะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกริดอย่างใกล้ชิดกันนะ จนกระทั่งวันหนึ่ง แววตาของจิสึกะก็เริ่มจับจ้องไปหากริด หลังจากที่กริดปรากฏตัวออกมาช่วยชีวิตเธอในสงครามไบรันราวกับพระเอกขี่ม้าขาว นับแต่นั้น ในใจของจิสึกะก็มีกริดอยู่ตลอดเวลา
ทว่า กริดที่จิสึกะเห็นนั้นเป็นเพียงภาพเสมือนในซาทิสฟาย เธอไม่รู้ว่าตัวจริงของเขาจะเป็นแบบไหนกันแน่
'ถ้าหากเราได้พบกริดในชีวิตจริง… กลัวว่าจะเป็นแบบเดียวกับป็อนจัง'
เธอจะผิดหวังไหมน่ะหรือ ก็คงอย่างนั้น แต่เธอก็พอรับได้
'ตอนนี้เราก็อยู่ที่เกาหลีใต้ เป็นโอกาสอันดีที่จะได้พบเขา ดีล่ะ ตัดสินใจได้แล้ว'
จิสึกะลุกพรวดขึ้น ผู้ชายหนุ่มที่มุงดูอยู่ต่างพากันโห่ร้องขึ้นมาทันที เพราะเรือนร่างอันเย้ายวนของเธอที่ตอนแรกถูกบดบังไว้ด้วยเก้าอี้ ยามนี้ได้เผยออกมาให้ทุกคนได้เห็น
"ฉันจะกลับโรงแรม"
"ทำไมถึงรีบนัก เธอเพิ่งจะมาเกาหลีเป็นครั้งแรกไม่ใช่เหรอ ไม่เดิมชมวิวก่อนล่ะ"
"ฉันจะมาเที่ยวชมวิวที่เกาหลีใต้อีกกี่ครั้งก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันอยากเข้าซาทิสฟาย"
"เป็นความคิดที่ดี" เรกัสเองพลันมีไฟขึ้นมาบ้าง เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และตามจิสึกะไปติดๆ
"เวลาทุกนาทีมีค่า ดีล่ะ! รีบออกล่าและเก็บเลเวลกันเถอะ เพราะยังไงพวกเราก็ไม่มีนัดหมายจนกว่าจะถึงเวลาแข่งอยู่แล้ว"
"นายไปเก็บเลเวลคนเดียวก็แล้วกัน ฉันจะเข้าซาทิสฟายไปถามถึงที่อยู่ของบ้านกริด"
เรกัสขมวดคิ้วอย่างสงสัย
"ที่อยู่งั้นเหรอ เธอคิดจะไปหาเขารึไง อีกเดี๋ยวก็คงได้เจอกันในงานแข่งแล้วน่า กริดมีชื่อเข้าแข่งอยู่นะ ทำไมเธอถึงคิดจะไปหาเขาถึงบ้าน นั่นมันถือเป็นการเสียมารยาทรึเปล่า"
"กริดไม่ได้มาร่วมพิธีเปิด บางทีเขาอาจไม่ปรากฏตัวเลยตลอดงานก็ได้"
จิสึกะพูดไปพลาง รีบเดินไปพลาง
'เธอทำตัวแปลกมากเลยวันนี้'
เรกัสเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เขาทำได้เพียงยักไหล่เล็กน้อยและเดินตามเธอไปพร้อมกับบอร์ดี้การ์ด
"เดี๋ยวนะ"
ป็อนที่กำลังเดินเข้าร้านมาพร้อมกับสาวสวยห้าคน เมื่อเขาได้เห็นจิสึกะกับเรกัสเดินกลับไปทางโรงแรม
'สองคนนั่นจะไปเก็บเลเวลงั้นเหรอ'
อันดับแร้งเกอร์อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ ถ้าหากใครบางคนประมาท การมัวเที่ยวเล่นในเกาหลีใต้เช่นนี้จะถือเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไหมนะ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ป็อนพลันสลัดสาวสวยทั้งห้าออกและเดินตามทั้งสองกลับโรงแรมทันที
***
"แฮ่ก… แฮ่ก… ในที่สุดก็มาถึงสักที"
เขาบิน ดื่มโพชั่นมานา แล้วก็บินอีกรอบ โดยจะทำการร่อนลงเมื่อระยะหน่วงโพชั่นมานายังมาไม่ถึง หลังจากนั้นก็บินอีกรอบ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกริดมาถึงเกราะคอร์ก
'นับว่ายังดีที่เราสามารถเพิ่มค่าความพากเพียรได้อยู่บ้าง'
ชายหนุ่มเดินทางติดต่อกัน46ชั่วโมงรวดโดยไม่หยุดพัก แม้ค่าเรี่ยวแรงหมดลงหลายครั้งจนกริดเกือบจะหักห้ามใจตนเองให้หยุดพักไม่ได้ ทว่าเขาก็ไม่ต้องการพลาดโอกาสล่าบอสเฮลกาโอตัวที่กำลังจะเกิดนี้ เป็นการเดินทางที่ทั้งไกลและโหดร้ายกว่าไตรกีฬามาก แต่เพราะเหตุนั้น กริดจึงมาถึงเกาะคอร์กได้ทันเวลา
'รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก' เขาสัมผัสได้ถึงความสำเร็จอันยากลำบากที่คว้ามาได้ด้วยมือตนเอง แม้จะยังไม่ได้เริ่มขุดแร่เลยสักก้อน แต่ความภาคภูมิใจที่ผ่านการเดินทางอันยากลำบากมาได้ ทำให้กริดรู้สึกพึงพอใจระดับเดียวกับตอนที่เขาสร้างไอเท็มเกรดสูงขึ้นมาเลยทีเดียว
'ความรู้สึกที่ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมของตน… แบบนี้สินะ ผู้คนถึงชื่นชอบการปีนเขาและวิ่งมาราธอน ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราลองปืนเขาลูกที่อยู่หน้าบ้านเลยดีไหม'
กริดกำลังบินด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข เขากวาดสายตามองไปรอบๆ เกาะคอร์กด้านล่าง
"เป็นเมืองที่ดี"
เกาะคอร์กนั้นมีขนาดราว1ใน4ของเกราะเจจู(เกาหลีใต้) โดยถือเป็นเกาะที่ไม่เล็กมาก และอากาศก็กำลังดี ทำให้เมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางเกาะมีระดับการพัฒนาที่สูงทีเดียว
'เทียบเท่าไบรันได้เลย… ถ้าอย่างนั้น ประชากรที่นี่ก็คงมีราวหมื่นคน แปลว่ารอบๆ คงมีแหล่งเก็บเลเวลที่น่าสนใจสินะ'
กริดร่อนลงและเดินชมเมืองไปรอบๆ เป็นเพราะมีผ้าคลุมแบบมีซิป กริดจึงไม่ต้องผ่านด่านตรวจตรงประตูเมือง และลอบแผงตัวเข้าไปกับฝูงชนได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้ามาในร้านอาหารแห่งหนึ่ง เพราะก่อนจะลุยดันเจี้ยนเฮลกาโอ เขาจำเป็นต้องเติมพลังงานเข้าไปเสียก่อน
"เนื้อเต่าทะเลกับวาฬงั้นเหรอ ฉันไม่เคยลองมาก่อน มันอร่อยมากไหม"
เจ้าของร้านอาหารแนะนำกริดอย่างมั่นใจ
"ย่อมต้องอร่อยมากอยู่แล้ว เนื้อเต่าทะเลและวาฬนั้นเข้ากันอย่างลงตัว คุณควรลองนะ"
เขาชวนเอ็นพีซีพูดคุย และตอบกลับไปในสิ่งที่เอ็นพีซีคนนั้นอยากได้ยิน ทั้งหมดก็เพื่อเพิ่มค่าความสัมพันธ์ โดยวิธีที่ง่ายและได้ผลมากที่สุดในการเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับเอ็นพีซีก็คือ การซื้อสินค้าของพวกเขาในจำนวนมากหรือในราคาที่สูง
กริดสมัยเป็นนักรบไม่เคยรู้เรื่องพื้นฐานพวกนี้มาก่อน เขาสร้างความสัมพันธ์กับเอ็นพีซีด้วยการพูดคุยและทำภารกิจอยู่นานแรมปี แต่หลังจากที่ฮิวรอยนำเกล็ดซิลฟิดมามอบให้เขา หลายเดือนต่อจากนั้นกริดได้ใช้เวลาอยู่กับฮิวรอยหลายครั้ง และได้รับรู้วิธีการสร้างความสัมพันธ์กับเอ็นพีซีอย่างมีประสิทธิภาพ
"ฉันเชื่อคุณนะ งั้นเอาเนื้อเต่าทะเลและวาฬตามที่แนะนำมาที่นึงก็แล้วกัน… ส่วนอีกจานก็ ขอเป็นจานเด็ดของเกาะแห่งนี้จะได้ไหม วันนี้ฉันรู้สึกอยากกินให้พุงกางไปเลย"
"โอ้! ชายหนุ่มผู้เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ! ตกลง ถ้าอย่างนั้นฉันจะนำเป็ดรสเลิศมาเสริฟให้อีกจาน"
กริดชอบอาหารประเภทย่าง ผัด ทอด และหม้อไฟ ทว่าอาหารของดินแดนตอนเหนือนั้นส่วนใหญ่เป็นประเภทต้ม ซึ่งไม่ค่อยถูกปากกริดเท่าใดนัก
'นับตั้งแต่ที่ย้ายมาอยู่ดินแดนตอนเหนือ หลังจากนั้นเราก็ไม่ค่อยมีความสุขกับการกินอีกเลย...'
แต่เมนูประจำของเกาะคอร์กส่วนใหญ่มักเป็นของทอดและย่าง
'จะกินให้พุงแตกให้ดู!'
กริดนั่งรออาหารด้วยความคาดหวัง หลังจากนั้นเจ้าของร้านก็ยกมาเสริฟ ด้วยความที่กริดมีค่าความอดทนและความพากเพียรที่สูง ทำให้ท้องของเขาสามารถรองรับอาหารได้จำนวนมากกว่าคนปรกติ เจ้าของร้านพลันต้องดวงตาลุกวาวเมื่อได้เห็นกริดซัดเข้าไปจานแล้วจานเล่า
"ทานอาหารของสามคนหมดในมื้อเดียว… ยอดเยี่ยมมาก!"
'ถ้าเอ็นพีซีพูดมาแบบนี้...'
หากเป็นฮิวรอยจะทำยังไงต่อไปนะ กริดครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม
"ปรกติฉันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกนะ แต่ฝีมือการทำอาหารของคุณทำให้ฉันหยุดทานไม่ได้เลย"
"ฮ่าฮ่า..."
ด้วยค่าความเกรงขามที่สูงของกริด แม้ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดัน แต่นั่นก็จะยิ่งทำให้พวกเขายอมรับในตัวกริดง่ายขึ้น ทันทีที่กริดทำตัวตามสบายและพูดจาเอาอกเอาใจ พวกเขาก็รู้สึกชมชอบในตัวกริดขึ้นมาทันที
"คุณดูเหมือนนักท่องเที่ยวเลยนะ มาทำอะไรที่เกราะคอร์กล่ะ"
'สำเร็จ'
กริดตอบเจ้าของร้านกลับไปด้วยแววตาอันแสนอ้อนวอน
"ฉันมาที่นี่เพื่อพบกับมอนสเตอร์จ้าวแห่งเพลิงโลกันต์ ไม่ทราบว่าคุณจะบอกได้ไหมว่าทางเข้าดันเจี้ยนอยู่ตรงไหน"
"เดี๋ยวนะ คุณหมายถึงเฮลกาโองั้นเหรอ" เจ้าของร้านพลันหน้าซีดเผือด
"ดันเจี้ยนที่เฮลกาโอปรากฏตัวนั้นตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะแห่งนี้… ว่าแต่ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคุณถึงอยากไปพบมัน นั่นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลยนะ"
"แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียว"
เจ้าของร้านสั่นระริกเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็พยายามอธิบายอย่างละเอียด
"มันคืออสูรผู้ปกครองเกาะแห่งนี้มาตั้งสมัยบรรพบุรุษของฉันแล้ว มีคนกล่าวไว้ว่า ผู้ที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับมันมีจำนวนเกินกว่าพันคน… จนกระทั่งวันหนึ่ง อริยะดาบมุลเล่อได้ปรากฏตัวขึ้นและแปรเปลี่ยนร่างของเฮลกาโอให้เหลือเพียงซากขี้เถ้า ทว่าแม้จะสูญเสียร่างที่แท้จริงไป แต่ดวงวิญญานของมันก็ไม่อาจถูกขจัดได้อย่างสมบูรณ์ เฮลกาโฮจึงปรากฏตัวออกมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ พวกชาวบ้านต่างหวาดกลัวกันว่า หากวันหนึ่งเฮลกาโอสามารถพื้นฟูตนเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อไร ถึงวันนั้นเกาะแห่งนี้จะต้องกลายเป็นขุมนรกแน่นอน"
ค่อนข้างเป็นบทพูดที่กำกวม
'นี่คือบทสนทนาก่อนภารกิจงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าจะให้เราไปผนึกเฮลกาโอ ขนาดอริยะดาบมุลเล่อยังทำไม่ได้ แล้วคนอย่างเราจะมีน้ำยาไปทำอะไร'
เป็นเรื่องเหลวไหลมาก
ในขณะที่กริดกำลังนึกเสียใจ เจ้าของร้านก็ได้ให้คำแนะนำต่อ
"เปลวเพลิงทมิฬของเฮลกาโอนั้นร้อนแรงกว่าเปลวเพลิงสีเขียวหยกของอสูรทั่วไปมาก ดังนั้นจงระวังตัวให้ดี ถ้าหากคุณไปหา<เอลเลน>ที่พักอยู่ทางตอนใต้ของเมือง และบอกเธอว่าฉันส่งคุณมา เธอจะช่วยเคลือบชุดเกราะของคุณไว้ด้วยสีที่ทำมาจากศิลาอัคคี… ดังนั้น ก่อนที่คุณจะไปหาเฮลกาโอ ฉันแนะนำให้คุณไปหา<เอลเลน ฮาลมันด์>เพื่อเพิ่มค่าต้านทานธาตุไฟก่อน"
"สีเคลือบเกราะที่ทำจากศิลาอัคคีงั้นหรือ"
กริดเริ่มสนใจขึ้นมาทันที เขารีบลุกขึ้นและถามเจ้าของร้านถึงรายละเอียดที่อยู่ของเอลเลน หลังจากนั้นก็รีบตรงไปที่นั่นโดยเร็ว
"เข้ามาสิ"
เอลเลนคือหญิงชราใจดี เมื่อได้ยินเรื่องราวจากปากกริด เธอจึงให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น หลังจากนั้นเธอก็ชิ้วนิ้วไปยังบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ในสวนหลังบ้าน
"ยอดไปเลยใช่ไหม สีพวกนี้ล้วนมีส่วนผสมของศิลาอัคคีทั้งนั้น ฉันเพียงแค่วางศิลาอัคคีก้อนหนึ่งลงไป ซึ่งน้ำในบ่อนั้นถูกผสมด้วยของเหลวสูตรพิเศษจากฉันเอง"
"โอ้..."
ภายในบ่อมีศิลาอัคคีวางอยู่ก้อนหนึ่ง มันมีขนาดเพียงแค่กำปั้นเด็กทารกเท่านั้น ทว่ากลับทำให้น้ำในบ่ออันกว้างใหญ่ทั้งหมดกลายเป็นสีแดงได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอลเลนยังคงอธิบายต่อไป
"ไม่ใช่แค่สีของมันที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ชุดเกราะหรือเสื้อผ้าที่ถูกเคลือบด้วยสีชนิดนี้จะมีค่าต้านทานธาตุไฟที่สูงขึ้น เพราะมันเหมือนกับเคลือบด้วยเปลวไฟโดยตรง"
กริดนำเกราะและถุงมือแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา
"ถุงมือทำมาจากผ้า อาจเคลือบด้วยสีได้ง่ายก็จริง แต่ชุเกราะเนี่ยสิ มันทำมาจากมิธริล สีของคุณจะเคลือบติดรึเปล่า"
เอลเลนพยักหน้ารับทันที
"ศิลาอัคคีขึ้นชื่อในด้านการหลอมรวม… มันจึงสามารถผสมได้กับทุกสิ่ง"
สมกับเป็นแร่หายากที่ใช้ทำอาวุธเวทย์มนต์ชั้นสูง
'ตัวเราคงไม่ติดอาการถูกเผาอยู่แล้ว แต่ความร้อนจากเปลวไฟก็ยังสร้างความเสียหายต่อร่างกายได้อยู่ ส่วนรองเท้าบราฮัมก็มีสีดำ มันคงเข้ากันกับชุดเกราะและถุงมือสีแดงได้ดี… เยี่ยมเลย'
กริดกล่าวถามออกไปอย่างสุภาพ
"ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนช่วยเคลือบถุงมือกับชุดเกราะพวกนี้ให้ด้วย"
เอลเลนพยักหน้าอีกครั้ง
"ไม่มีปัญหา ถ้าหากคุณยอมจ่ายฉันมาในราคา500เหรียญทอง"
"...เห๋!"
กริดนั้นคิดว่าเอลเลนคือเอ็นพีซีลับที่จะไม่ปรากฏตัวออกมาให้คนเห็นง่ายๆ เขาคาดว่านี่คือสิทธิพิเศษซึ่งได้จากการทำดีกับเจ้าของร้านอาหาร และเขาคิดว่าเอลเลนคงจะทำมันให้ฟรีโดยไม่คิดเงิน ทว่าดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
ในขณะที่กริดกำลับสับสน ที่ประตูทางเข้าบ้านเอลเลน มีผู้เล่นอีกหลายคนเดินเข้ามาและพูดว่า
"คุณคือคุณยายเอลเลนใช่ไหม ฉันได้ยินเรื่องของคุณมาจากยายที่ร้านของชำ"
"ฉันได้ยินมาจากช่างตีเหล็ก คุณยายสามารถเพิ่มค่าต้านทานไฟให้อุปกรณ์ได้ใช่ไหม"
กริดเข้าใจได้ทันที
'คำแนะนำจากเจ้าของร้านอาหารไม่ใช่สิ่งที่พิเศษอะไร'
เอลเลนไม่ใช่เอ็นพีซีลับ แต่เป็นเพียงเอ็นพีซีค้าขายทั่วไป โดยผู้เล่นที่ประจำอยู่เกาะคอร์กทุกคนก็คงเป็นลูกค้าตัวยงของเธอ
'โลกนี้มันโหดร้าย'
กริดจ่ายเงิน500เหรียญทองด้วยฝ่ามือที่สั่นระริก ที่จริงมันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก หากคิดว่าเงินแค่500เหรียญทองนั้นสามารถเพิ่มคุณสมบัติพิเศษให้ไอเท็มได้ถึงสองชิ้น เพราะมูลค่าของออปชั่นที่เพิ่มมา เรียกได้ว่ามิอาจประเมินค่าได้
สนุกมากมายครับ
ReplyDelete