จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 557



    'หมอนี่ชื่อดยุคลูซิลิฟสินะ  แม่ทัพฝ่ายศัตรูเป็นพวกสมองทึบรึไง'

    การเคลื่อนทัพ 100,000 นายของอีเทอนัล  ทัพหน้านำโดยทหารสวมเกราะสีทองอร่าม  ส่องสะท้อนวูบวาบรับกับแสงอาทิตย์เป็นอย่างดี  
    ตึง! ตึง!
    เสียงกลองศึกดังระรัวตลอดทาง  ปลุกความฮึกเหิมได้เป็นอย่างดี  ใครก็ตามที่ได้เห็นต่างต้องทึ่งในความยิ่งใหญ่อลังการของขบวนทัพ
    ทว่า  นี่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น

    ทหารส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ทัพเกราะทอง พวกเขาล้วนสวมเกราะเก่าทรุดโทรม  แถมยังมีสปีดการก้าวเท้าไม่เป็นจังหวะ  ราวกับไม่เคยถูกฝึกมาก่อน  โชคยังดีที่ถูกกลบไว้ด้วยเสียงกลองศึกอย่างแทนเนียน
    เหตุผลก็ง่ายมาก  เกินกว่าครึ่งของทัพเรือนแสนคราวนี้มิใช่ทหารมืออาชีพ  พวกเขาล้วนเป็นชาวเมืองธรรมดาที่ถูกเกณฑ์มารบโดยไม่เต็มใจ  ไม่เคยผ่านการฝึกพื้นฐานเลยสักครั้ง

    "บ้าจริง... ทำไมพวกเราต้องมาเสี่ยงชีวิตกับสงครามของพวกขุนนางด้วยเนี่ย"

    "เป็นขุนนางประสาอะไรถึงหันดาบเข้าใส่กษัตริย์  มิใช่ว่าขุนนางควรเชื่อฟังกษัตริย์อย่างไรข้อกังขารึไง"

    "เรื่องที่กษัตริย์ถูกทรยศก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพวกเราเลยสักนิด  ทุกคนอาจหิวตายก่อนได้เข้าสู่สงคราม"

    ชนชั้นล่างสุดของสังคม  พวกมันยากจนและหิวโหย  ไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสม  ไม่มีจิตสำนึกรักบ้านเมือง  สิ่งเดียวที่มีในหัวคือความอยู่รอดของแต่ละวัน

    "เฮ่อ... แล้วใครจะดูแลครอบครัวแทนฉัน  ภรรยาของฉันกำลังตั้งท้อง  เธอคงต้องเลี้ยงลูกของเราตามลำพัง..."    

    "การต้องสวมเกราะหนักกับถือหอกด้วยอายุปูนนี้  สังขารไม่เอื้อยอำนวยเลยสักนิด..."

    ชนชั้นแรงงานต้องทำงานกรรมกรหาเลี้ยงครอบครัวไปตลอดชีวิต

    "ฮือ... อยากเจอหน้าแม่จังเลย  ท่านแม่  ผมกลัว"

    "เจ็บขา... ทนไม่ไหวแล้ว"

    เด็กหนุ่มที่ยังไม่โตมีจำนวนเกินครึ่งจากทั้งหมด  และหน้าที่ของพวกเขาคือการไปเป็นโล่มนุษย์ที่ทัพหน้า  
    เมื่อเคลื่อนพลถึงไบรัน  คนเหล่านี้จะถูกสับเปลี่ยนให้ยืนหน้าสุดแทนที่ทหารเกราะทองอร่าม

    'แต่สภาพแบบนี้  แค่ใช้เป็นโล่มนุษย์ยังไม่ได้เลย'

    อาสเองก็มีชะตาต้องเป็นทัพหน้า  เส้นผมสีบลอนด์ทองของเขาช่างเด่นสง่าเตะตาเสียเหลือเกิน

    'เกราะสีทองสะท้อนกับแสงจนแสบตา  สิ่งนี้จะทำให้สายตาของทหารอ่อนล้า  แถมเสียงกลองศึกดังระรัวตลอดทางก็ยิ่งสร้างภาระทางจิตใจ  คนพวกนี้จะหมดสภาพก่อนเข้าสู่สนามรบ'

    ดยุคลูซิลิฟย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้

    ขุนนางมักไม่รู้ถึงความเป็นไปของทหารชั้นผู้น้อย  ขุนนางไม่เคยรู้เลยว่า  การเคลื่อนทัพที่โอ่อ่าเช่นนี้จะสร้างแรงกดดันให้ทหารตึงเครียด  พวกมันคิดเพียงแค่  ทหารมีข้าวกินก็น่าจะพอใจแล้ว

    แต่จะไปตำหนิขุนนางอย่างรุนแรงก็ไม่ถูกนัก  พวกมันเติบโตและถูกเลี้ยงดูให้คิดเช่นนี้

    'เมื่อก่อนเราก็เป็นแบบนี้รึเปล่านะ'

    อาสครุ่นคิดระหว่างกำลังเคี้ยวขนมปังบาร์เล่แข็งไร้รสชาติ

    'การหยุดพักครั้งต่อไปคงมีทหารหนีทัพจำนวนมากแน่'

    และนั่นคือโอกาสที่เหมาะสม

    ***

    ฉายา 'ยักษ์แห่งอีเทอนัล' นั้นหมายถึงมาร์ควิสสไตมและดยุคลีซิลิฟ

    มาร์ควิสสไตมคือนักสำรวจที่คืนชีพให้กับผู้คนที่หนาวเหน็บทางแดนเหนือ  ส่วนดยุคลูซิลิฟ  มันรู้จักใช้สายเลือดขุนนางบริสุทธิ์ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด  มันมีพลังทางการเมืองสูงมาก  จะเห็นได้ว่า  กองทัพของขุนนางบรรดาศักดิ์สูงทั้งหลายต่างอยู่ในกำมือของมัน  ทั้งบารอนดูก้า  เอิร์ลเรด  เอิร์ลแคร์เรี่ยน  และมาร์ควิสเบร่า

    คนเหล่านี้เป็นใคร
    พวกมันล้วนเป็นผู้ปกครองดินแดนสำคัญในอีเทอนัล  มีกองทัพอันเกรียงไกรเป็นของตน  แม้กระทั่งอัสลันสมัยยังเป็นองค์ชายก็มิอาจออกคำสั่งกับคนเหล่านี้ได้

    "สมแล้วที่เป็นท่าน...  น้อยมากที่ขุนนางระดับดยุคจะบัญชาการรบด้วยตนเอง"

    ณ ที่พักดยุคลูซิลิฟ
    เอิร์ลเรดกล่าวชื่นชมทหารเกราะทอง 2,000 นายและทัพม้าอีก 5,000 นายจากใจ  มิได้เสแสร้งยกยอ
    เขามองว่า  การมีทหารเกราะทองเดินทำหน้าทัพจะส่งผลให้กำลังพลเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม
    กลับกัน  มาร์ควิสเบร่าแสดงสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย

    "ท่านคงสิ้นเปลืองเงินไปมากกับการเคลือบสีทองลงบนชุดเกราะของทหาร... มันคุ้มกันแล้วหรือ  ในเมื่อพวกเราสามารถยึดครองไบรันได้ด้วยวิธีการปรกติ"

    ดยุคลูซิลิฟจิบไวน์พร้อมกับยักไหล่

    "มาร์ควิสเบร่า  ท่านตื้นเขินเกินไปแล้ว  ทหารของฉันมิได้ใส่ชุดเกราะเคลือบทอง  แต่เป็นชุดที่สร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์  กองทัพของดยุคลูซิลิฟย่อมต้องไม่ธรรมดา  ท่านคิดเช่นนั้นรึเปล่า"

    "ขอรับ..."

    ขุนนางทั้งหมดต่างรู้สึกทึ่ง
    ทหารเกราะทองที่เดินนำทัพในคราวนี้  หรือก็คือทหารส่วนตัวของดยุคลูซิลิฟ  จำนวนพวกมันมีเกือบหมื่นนาย  
    ทั้งหมดสวมชุดเกราะที่สร้างจากทองคำแท้งั้นหรือ
    ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปมากมายขนาดไหนกัน
    ลูซิลิฟยักไหล่อีกครั้งเมื่อทุกสายตาจับจ้องมายังตน

    "ก็มากไม่เท่าไร  ชุดเกราะพวกนั้นเป็นแค่เครื่องประดับ  ค่าพลังป้องกันแสนน้อยนิด  สร้างขึ้นจากแผ่นทองบางเฉียบ  มิได้มีราคาสูงลิบขนาดนั้น"

    "...ท่านดยุค  แล้วเช่นนี้ทหารจะรอดชีวิตจากการโจมตีของศัตรูได้หรือ"

    ลูซิลิฟกล่าวตำหนิมาร์ควิสเบร่าที่หวั่นวิตกจนเกินพอดี
    "ทำไมทหารของฉันถึงเป็นอันตรายล่ะ  ฝ่ายศัตรูมีจำนวนเพียงหลักพัน  ต้องให้ทหารส่วนตัวของฉันออกโรงด้วยหรือ  เพียงครู่เดียวสงครามก็จบลงแล้ว"

    นั่นสินะ  ขุนนางที่เหลือเริ่มเห็นคล้อย 
    เป้าหมายของพวกมันคือการสร้างชื่อเสียงในศึกครั้งนี้  ต้องรบให้ชนะพร้อมกับแผ่ขยายอำนาจไปในเวลาเดียวกัน  พวกมันหวังปิดฉากไบรันในพริบตาทันทีที่เคลื่อนพลไปถึง

    "จริงด้วย  ด้วยกองทัพในปัจจุบัน  พวกเราสามารถปราบกบฏสำเร็จง่ายดาย  ไม่จำเป็นต้องถึงมือทหารของดยุคลูซิลิฟ  ให้พวกเขาคอยยืนปลุกใจกองทัพก็เพียงพอ"

    "ฮะฮ่า!  นั่นแหละที่ฉันต้องการ!  ฉันหวังจะให้ทหารฝ่ายเราฮึกเหิมด้วยวิธีนี้"

    "สุดยอด  สมกับเป็นท่านดยุค"

    ในมุมมองพวกมัน  วิธีการของดยุคลูซิลิฟนับว่าเฉลียวฉลาด  
    เกินกว่าครึ่งของทหารนับแสนล้วนเป็นชาวเมืองรากหญ้า  แต่ถึงกระนั้นก็มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด  อย่างไรก็เป็นโล่มนุษย์ชั้นเลิศ  คนเหล่านี้มีประโยชน์หลายด้าน  เช่นส่งไปให้เอิร์ลอัชเชอร์สังหารอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เขาหมดแรง  
    เอิร์ลอัชเชอร์ถือเป็นหนึ่งในขุมกำลังของฝ่ายกบฏที่ทัพอีเทอนัลหวาดผวา
    การเพิ่มขวัญกำลังใจทหารย่อมทำให้โล่มนุษย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    แต่กลับไม่มีขุนนางคนใดเลยที่ตระหนักจึงความจริงอันน่าตกตะลึง  
    การที่ดยุคลูซิลิฟมีเงินสำหรับสร้างชุดเกราะทองแท้ให้ทหารเกือบหมื่นนายได้  เป็นเพราะมันแอบเจียดงบจากหน่วยเสบียงไปใช้สอยส่วนตัว
    ส่งผลให้ตอนนี้ ทัพเรือนแสนของอีเทอนัลมีเสบียงเพียงพอแค่ 14 วันเท่านั้น  และเกือบทั้งหมดก็เป็นเสบียงเก่านานสามเดือนที่ลูซิลิฟเป็นผู้ค้าขายเสียเอง

    ระดับความพึงพอใจของทหารเริ่มน่าเป็นห่วง  ทหารที่เคลื่อนทัพนานตลอดวัน  ค่าเรี่ยวแรงและความหิวย่อมถึงขีดจำกัด  แต่พวกเขากลับต้องพบเจอกับอาหารเก่าค้างคืนแรมเดือน  จึงไม่แปลกที่จะเริ่มออกอาการหงุดหงิด
    พวกเขาล้วนถูกบังคับเกณฑ์มาโดยไม่เต็มใจ  กลับต้องกินอาหารเศษเดนเหล่านี้อีกงั้นหรือ

    "ท่านดยุค!  ทหารเริ่มหนีทัพกันแล้ว!"

    อัศวินรีบวิ่งเข้ามาทางที่พักพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
    ลูซิลิฟไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ได้

    "ทำไมกัน"

    นี่คือโอกาสครั้งสำคัญในการต่อสู้เพื่ออาณาจักรเชียวนะ  
    เหตุใดถึงคิดหนีทัพ
    มาร์ควิสเบร่ารีบออกคำสั่งกับอัศวินแทนดยุคลูซิลิฟ

    "จับพวกมันมาตัดหัวให้หมด!  แสดงให้ทหารคนอื่นเห็นถึงความผิดร้ายแรงของการหนีทัพ!"

    "ขอรับ!"

    อัศวินต่างตามไล่ทหารที่หนีทัพกระเจิดกระเจิง  มีทหารถูกจับได้ทั้งสิ้น 1,831 นายขณะกำลังหลบหนี  พวกเขาล้วนถูกตัดสินประหารชีวิตกันถ้วนหน้า  ก่อนตายได้ส่งเสียงโหยหวนร้องขอชีวิต  แต่ก็ไม่มีใครรอดกลับไปได้  
    ทหารรุ่นพี่ของเมืองพาร์ตูได้เดินเข้ามาหาพลทหารนายหนึ่งที่กำลังยืนมองอย่างเงียบงัน

    "อย่าคิดหนีทัพเชียว  เมืองพาร์ตูของพวกเราจะดูแลทหารเป็นอย่างดี  ขอสัญญาว่านายจะมีความสุขกับที่นี่"

    "หากนายหนีทัพล่ะก็  ชะตาชีวิตจะลงเอยเหมือนผู้คนเหล่านั้น  ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ  ก็ร่วมต่อสู้กับพวกเราให้สุดทาง"

    "นายน่าจะดีใจนะ  ที่ตอนนี้มีอาหารกินทุกมื้อ  ไม่ต้องหลับนอนบนถนนอันหนาวเหน็บอีกแล้ว"

    "พลทหารอาส  รับทราบ"

    เมื่อพูดจบ  อาสชำเลืองสายตาไปมองทางที่พักของของดยุคลูซิลิฟ

    'ดยุคไม่มีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด  แถมระดับความปลอดภัยก็ยังสูงมากทีเดียว'

    องครักษ์ของดยุคลูซิลิฟมีระดับต่ำกว่าอัศวินทมิฬของจักรวรรดิก็จริง  แต่จำนวนพวกมันมีมาก  และเหนืออื่นใดทั้งหมด  ปัญหาใหญ่คือบรรดาขุนนางที่รายล้อมดยุคลูซิลิฟ  พวกมันทุกคนล้วนมีฝีมือเก่งกาจ  ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะทั้งหมดพร้อมกัน  
    อาสจะเดินหมากพลาดไม่ได้เด็ดขาด

    'เราต้องรอจนกว่าโอกาสเหมาะสมมาถึง'

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้สลักความกลัวลงในใจทหารทุกนาย  ขวัญกำลังใจกองทัพต้องลดลงหลายระดับแน่  อาสคาดว่า  วันพรุ่งนี้คงมีทหารคิดหนีทัพมากกว่าเดิมหลายเท่า

    ***    

    ไบรันกำลังตกที่นั่งลำบากสุดขีด

    การโหมบุกจากทัพศัตรูเกิดขึ้นในทุกทิศ  ฝนธนูที่ยิงจากบนกำแพงเริ่มไม่ถี่และรุนแรงเหมือนช่วงแรก  

    "พ่อแม่ของพวกแกกำลังไม่มีข้าวกินเพราะยากจน!  กลับบ้านไปกราบเท้าพ่อแม่ซะ!"

    เสียงตะโกนของฮิวรอยไม่มีผลกับกองทัพฝ่ายศัตรูอีกแล้ว  ทัพหน้าของศัตรูเหลือไม่ถึง 10,000 คน  ก่อนทัพเสริมจะมาถึง  พวกมันต้องแสดงผลงานอย่างเต็มที่  ทหารฝ่ายอีเทอนอลถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว  มีแต่ต้องบุกถล่มกำแพงไบรันด้วยพลังเฮือกสุดท้าย

    "ชักแย่ล่ะสิ"

    ตึง!  ตึง!

    รถศึกของศัตรูกำลังกระทุ้งใส่ประตูเมืองไบรันไม่หยุด  
    หลังจากระบบจำกัดเวลาออนไลน์ของแคปซูลหมดลง  ยูร่ารีบออนไลน์ทันทีและได้พบกับความตกตะลึง

    "หากปล่อยให้ทัพศัตรูเข้ามาได้  เมื่อนั้นจะถึงคราวจบสิ้นของเรา"

    ยูร่าและสมาชิกโอเวอร์เกียร์ระดับขุนพล  จะรับมือกับศัตรูหลักพันที่ล้อมโจมตีจากทุกทิศทางไหวรึเปล่า
    คำตอบคือไม่มีทาง  เมื่อทหารอีเทอนัลเข้ามาด้านในได้  เมืองไบรันจะถูกยึดครองในเวลาเพียงอึดใจ

    "บัดซบ... ฉันอยากออกไปข้างนอกและทำลายความฮึกเหิมของพวกมันเสียเดี๋ยวนี้  แต่ถ้าเราเปิดประตูล่ะก็  คงแห่กันเข้ามาจนรับมือไม่ไหวแน่"

    ป็อนขบกรามแน่น  ค่าเรี่ยวแรงของเขาใกล้หมดลงเต็มที  ต่อให้ป็อนออกไปด้านนอกได้  เขาก็ไม่สามารถใช้ทักษะใดได้ทั้งนั้น 
    ท่ามกล่างบรรยากาศแสนสิ้นหวัง  ยูร่าและป็อนได้รับข้อความส่วนตัวจากลอเอล 

    >>  รีบนำทหารที่เหลือกลับมาสมทบที่แพเทรี่ยนซะ

    ป็อนเกิดคำถามทันที

    >>  แล้วชาวเมืองล่ะ

    >>  ชาวเมืองไบรันถือเป็นพลเมืองอีเทอนัล  ทหารฝ่ายศัตรูไม่มีทางเสียเวลาฆ่าฟันพวกเดียวกันเองแน่  นายถอนกำลังกลับอย่างสบายใจได้

    >> ชาวเมืองรับใช้กริดที่เป็นกบฏมายาวนาน  นายแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเขาจะไม่ถูกฆ่า

    >>  พวกมันคงดื่มด่ำกับชัยชนะและเมืองที่ยึดได้โดยไม่คิดฆ่าแกงชาวเมือง  หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น  แล้วพวกเรายังมีทางเลือกใดอีก  โอเวอร์เกียร์จะสูญเสียทหารอันมีค่าที่ฝึกฝนอย่างยากลำบากไม่ได้หรอกนะ

    >>  นี่นาย...!  ทำไมนายถึงละทิ้งประชาชนที่รับใช้กริดอย่างจงรักภักดีได้ลงคอ!

    เดิมที  ไบรันเป็นของกิลด์เซดากาห์มาก่อน  ป็อนและสมาชิกคนอื่นย่อมผูกพันธ์กับพวกเขา  การจะให้ทอดทิ้งชาวเมือง  ย่อมเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก  
    ลอเอลตระหนักถึงสิ่งนี้เป็นอย่างดี  แต่ปัจจุบัน  กิลด์โอเวอร์เกียร์กำลังอยู่ในภาวะสงคราม  เขาไม่อาจตัดสินใจเพียงเพราะเหตุผลส่วนตัวของใครบางคนได้

    >>  นายจะให้ผู้คนหลายหมื่นในเรย์ดันต้องล้มตาย  เพียงเพื่อปกป้องชาวเมืองหลักพันในไบรันรึไง...  ช่วยสงบสติลงหน่อย

    >>  โธ่โว้ย!!

    ป็อนขบกรามแน่น  แม้จะเข้าใจคำพูดของลอเอล  แต่จิตใต้สำนึกกลับกำลังโมโหสุดขีด  ลงเอยด้วย  เขาพูดในสิ่งที่ไม่สมควรออกไป

    >>  ทุกอย่างเป็นแบบนี้เพราะนายมันอ่อนหัด!  ไหนนายบอกว่าพวกเราจะตั้งรับการโจมตีจากอีเทอนัลไหว!  ไหนนายบอกว่าทัพอีเทอนัลจะไม่มีทางระดมพลได้ถึงหนึ่งแสนภายในสองสัปดาห์!  ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความอ่อนหัดของนาย...

    ระหว่างกำลังพูด  เสียงของเขาก็เริ่มแผ่วลง  
    ท้ายที่สุด  ป็อนก็ตระหนักว่าตนทำเรื่องไม่สมควรลงไป
    ลอเอลเป็นใครกัน

    ลอเอลคือคนที่ทำงานหนักกว่าใครในโอเวอร์เกียร์มาโดยตลอด  และทุกสิ่งก็เพื่อผลประโยชน์ของโอเวอร์เกียร์โดยไม่เคยทำเพื่อตนเอง  ลอเอลแบกรับทั้งภาระและความกดดันไว้มากมาย  
    สงครามหนนี้คือหนึ่งในความกดดันอันแสนหนักอึ้ง  
    ทุกคนในโอเวอร์เกียร์ต่างรู้ดี  ว่าพวกเขาติดหนี้ลอเอลมากเพียงใด  แต่ป็อนกลับควบคุมตัวเองไม่ได้  เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คิด  เขากลับกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของลอเอล

    >> ...ฉันขอโทษ

    ป็อนขอโทษลอเอลจากใจ  เขารู้สึกผิดอย่างแท้จริง

    >>  ไม่เลย  ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษพวกนาย  เพราะความจริงแล้ว  ฉันบิดบังพวกนายมาโดยตลอด

    >>  ...

    >>  มันจำเป็น  การจะหลอกศัตรู  จำเป็นต้องหลอกพวกพ้องให้แนบเนียนเสียก่อน  ฉันปิดบังความจริงไว้เพื่อให้พวกนายรักษาไบรันอย่างสุดกำลัง

    ลอเอลกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่
    ป็อนไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว

    >>  ตอนนี้ฉันกำลังยกทัพมุ่งหน้าไปยังไรน์ฮาร์ท

    >>  อะไรนะ...!

    เมืองหลวงของอีเทอนัล  ไรน์ฮาร์ท  ยามนี้มีทหารประจำการเพียงเบาบาง  
    ลอเอลกำลังนำกองทัพเตรียมถล่มที่นั่น

    >>  สงครามจะจบลงโดยเร็วที่สุด

    ขณะเดียวกัน  ภายในสถานที่ลึกลับ  
    สติกส์กำลังกระอักเลือดด้วยสีหน้าเจ็บปวดเจียนตาย  กริดจ้องมองเขาอย่างเป็นกังวล

    'ดันอาการกำเริบในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ'

    หลายสิบนาทีก่อน  เวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติทำงานด้านบนกำแพงป้อมแพเทรี่ยน  แต่ดันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นฉับพลัน  
    คำสาปของไรเดอร์ส  มังกรจอมเขมือบได้กำเริบพอดี  ส่งผลให้สติกส์คำนวณการใช้มานาผิดพลาด  
    ลงเอยด้วย  กริดและสติกส์ถูกส่งตัวมายังสถานที่ปริศนาซึ่งทั้งคู่ไม่รู้จัก

    'แถมข้อความส่วนตัวก็ไม่สามารถใช้การได้'

    พวกเขากำลังมืดแปดด้าน  สถานที่แห่งนี้คือดันเจี้ยนลับที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใด  
    ไบรันจะเป็นยังไงบ้างนะ
    ยูร่าและพวกพ้องที่เหลือยังสบายดีอยู่ไหม
    กริดกระวนกระวายใจมาก  แต่เขาก็ไม่อาจนำความหงุดหงิดไปลงกับสติกส์ได้  ชายหนุ่มรอคอยอย่างใจเย็น  
    สติกส์ค่อยๆ กินยาเข้าไปและเริ่มมีอาการดีขึ้น

    'เป็นความซวยหลังจากสร้างธนูเกรดมิธรึไงนะ'

    มังกรจอมเขมือบ  ไรเดอร์ส  กริดอยากฟันมันให้ขาดเป็นสองท่อนเสียประเดี๋ยวนี้    

Comments

  1. มีความรู้สึกเหมือนจะเจอมังกร

    ReplyDelete
  2. จะจับมังกรมาเป็นสัตว์เลี้ยงอีกบ่นิ่

    ReplyDelete
  3. กริชมีสัตว์เลี้ยงได้แค่ 2 ตัวเท่านั้นนอกจากจะเป็นคลาสเลี้ยงสัตว์เลี้ยงถึงจะมีสัตว์เลี้ยงได้ 5 ตัว

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00