จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 557
'หมอนี่ชื่อดยุคลูซิลิฟสินะ แม่ทัพฝ่ายศัตรูเป็นพวกสมองทึบรึไง'
การเคลื่อนทัพ 100,000 นายของอีเทอนัล ทัพหน้านำโดยทหารสวมเกราะสีทองอร่าม ส่องสะท้อนวูบวาบรับกับแสงอาทิตย์เป็นอย่างดี
ตึง! ตึง!
เสียงกลองศึกดังระรัวตลอดทาง ปลุกความฮึกเหิมได้เป็นอย่างดี ใครก็ตามที่ได้เห็นต่างต้องทึ่งในความยิ่งใหญ่อลังการของขบวนทัพ
ทว่า นี่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น
ทหารส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ทัพเกราะทอง พวกเขาล้วนสวมเกราะเก่าทรุดโทรม แถมยังมีสปีดการก้าวเท้าไม่เป็นจังหวะ ราวกับไม่เคยถูกฝึกมาก่อน โชคยังดีที่ถูกกลบไว้ด้วยเสียงกลองศึกอย่างแทนเนียน
เหตุผลก็ง่ายมาก เกินกว่าครึ่งของทัพเรือนแสนคราวนี้มิใช่ทหารมืออาชีพ พวกเขาล้วนเป็นชาวเมืองธรรมดาที่ถูกเกณฑ์มารบโดยไม่เต็มใจ ไม่เคยผ่านการฝึกพื้นฐานเลยสักครั้ง
"บ้าจริง... ทำไมพวกเราต้องมาเสี่ยงชีวิตกับสงครามของพวกขุนนางด้วยเนี่ย"
"เป็นขุนนางประสาอะไรถึงหันดาบเข้าใส่กษัตริย์ มิใช่ว่าขุนนางควรเชื่อฟังกษัตริย์อย่างไรข้อกังขารึไง"
"เรื่องที่กษัตริย์ถูกทรยศก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับพวกเราเลยสักนิด ทุกคนอาจหิวตายก่อนได้เข้าสู่สงคราม"
ชนชั้นล่างสุดของสังคม พวกมันยากจนและหิวโหย ไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสม ไม่มีจิตสำนึกรักบ้านเมือง สิ่งเดียวที่มีในหัวคือความอยู่รอดของแต่ละวัน
"เฮ่อ... แล้วใครจะดูแลครอบครัวแทนฉัน ภรรยาของฉันกำลังตั้งท้อง เธอคงต้องเลี้ยงลูกของเราตามลำพัง..."
"การต้องสวมเกราะหนักกับถือหอกด้วยอายุปูนนี้ สังขารไม่เอื้อยอำนวยเลยสักนิด..."
ชนชั้นแรงงานต้องทำงานกรรมกรหาเลี้ยงครอบครัวไปตลอดชีวิต
"ฮือ... อยากเจอหน้าแม่จังเลย ท่านแม่ ผมกลัว"
"เจ็บขา... ทนไม่ไหวแล้ว"
เด็กหนุ่มที่ยังไม่โตมีจำนวนเกินครึ่งจากทั้งหมด และหน้าที่ของพวกเขาคือการไปเป็นโล่มนุษย์ที่ทัพหน้า
เมื่อเคลื่อนพลถึงไบรัน คนเหล่านี้จะถูกสับเปลี่ยนให้ยืนหน้าสุดแทนที่ทหารเกราะทองอร่าม
'แต่สภาพแบบนี้ แค่ใช้เป็นโล่มนุษย์ยังไม่ได้เลย'
อาสเองก็มีชะตาต้องเป็นทัพหน้า เส้นผมสีบลอนด์ทองของเขาช่างเด่นสง่าเตะตาเสียเหลือเกิน
'เกราะสีทองสะท้อนกับแสงจนแสบตา สิ่งนี้จะทำให้สายตาของทหารอ่อนล้า แถมเสียงกลองศึกดังระรัวตลอดทางก็ยิ่งสร้างภาระทางจิตใจ คนพวกนี้จะหมดสภาพก่อนเข้าสู่สนามรบ'
ดยุคลูซิลิฟย่อมไม่รู้เรื่องพวกนี้
ขุนนางมักไม่รู้ถึงความเป็นไปของทหารชั้นผู้น้อย ขุนนางไม่เคยรู้เลยว่า การเคลื่อนทัพที่โอ่อ่าเช่นนี้จะสร้างแรงกดดันให้ทหารตึงเครียด พวกมันคิดเพียงแค่ ทหารมีข้าวกินก็น่าจะพอใจแล้ว
แต่จะไปตำหนิขุนนางอย่างรุนแรงก็ไม่ถูกนัก พวกมันเติบโตและถูกเลี้ยงดูให้คิดเช่นนี้
'เมื่อก่อนเราก็เป็นแบบนี้รึเปล่านะ'
อาสครุ่นคิดระหว่างกำลังเคี้ยวขนมปังบาร์เล่แข็งไร้รสชาติ
'การหยุดพักครั้งต่อไปคงมีทหารหนีทัพจำนวนมากแน่'
และนั่นคือโอกาสที่เหมาะสม
***
ฉายา 'ยักษ์แห่งอีเทอนัล' นั้นหมายถึงมาร์ควิสสไตมและดยุคลีซิลิฟ
มาร์ควิสสไตมคือนักสำรวจที่คืนชีพให้กับผู้คนที่หนาวเหน็บทางแดนเหนือ ส่วนดยุคลูซิลิฟ มันรู้จักใช้สายเลือดขุนนางบริสุทธิ์ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด มันมีพลังทางการเมืองสูงมาก จะเห็นได้ว่า กองทัพของขุนนางบรรดาศักดิ์สูงทั้งหลายต่างอยู่ในกำมือของมัน ทั้งบารอนดูก้า เอิร์ลเรด เอิร์ลแคร์เรี่ยน และมาร์ควิสเบร่า
คนเหล่านี้เป็นใคร
พวกมันล้วนเป็นผู้ปกครองดินแดนสำคัญในอีเทอนัล มีกองทัพอันเกรียงไกรเป็นของตน แม้กระทั่งอัสลันสมัยยังเป็นองค์ชายก็มิอาจออกคำสั่งกับคนเหล่านี้ได้
"สมแล้วที่เป็นท่าน... น้อยมากที่ขุนนางระดับดยุคจะบัญชาการรบด้วยตนเอง"
ณ ที่พักดยุคลูซิลิฟ
เอิร์ลเรดกล่าวชื่นชมทหารเกราะทอง 2,000 นายและทัพม้าอีก 5,000 นายจากใจ มิได้เสแสร้งยกยอ
เขามองว่า การมีทหารเกราะทองเดินทำหน้าทัพจะส่งผลให้กำลังพลเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม
กลับกัน มาร์ควิสเบร่าแสดงสีหน้าเป็นกังวลเล็กน้อย
"ท่านคงสิ้นเปลืองเงินไปมากกับการเคลือบสีทองลงบนชุดเกราะของทหาร... มันคุ้มกันแล้วหรือ ในเมื่อพวกเราสามารถยึดครองไบรันได้ด้วยวิธีการปรกติ"
ดยุคลูซิลิฟจิบไวน์พร้อมกับยักไหล่
"มาร์ควิสเบร่า ท่านตื้นเขินเกินไปแล้ว ทหารของฉันมิได้ใส่ชุดเกราะเคลือบทอง แต่เป็นชุดที่สร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ กองทัพของดยุคลูซิลิฟย่อมต้องไม่ธรรมดา ท่านคิดเช่นนั้นรึเปล่า"
"ขอรับ..."
ขุนนางทั้งหมดต่างรู้สึกทึ่ง
ทหารเกราะทองที่เดินนำทัพในคราวนี้ หรือก็คือทหารส่วนตัวของดยุคลูซิลิฟ จำนวนพวกมันมีเกือบหมื่นนาย
ทั้งหมดสวมชุดเกราะที่สร้างจากทองคำแท้งั้นหรือ
ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปมากมายขนาดไหนกัน
ลูซิลิฟยักไหล่อีกครั้งเมื่อทุกสายตาจับจ้องมายังตน
"ก็มากไม่เท่าไร ชุดเกราะพวกนั้นเป็นแค่เครื่องประดับ ค่าพลังป้องกันแสนน้อยนิด สร้างขึ้นจากแผ่นทองบางเฉียบ มิได้มีราคาสูงลิบขนาดนั้น"
"...ท่านดยุค แล้วเช่นนี้ทหารจะรอดชีวิตจากการโจมตีของศัตรูได้หรือ"
ลูซิลิฟกล่าวตำหนิมาร์ควิสเบร่าที่หวั่นวิตกจนเกินพอดี
"ทำไมทหารของฉันถึงเป็นอันตรายล่ะ ฝ่ายศัตรูมีจำนวนเพียงหลักพัน ต้องให้ทหารส่วนตัวของฉันออกโรงด้วยหรือ เพียงครู่เดียวสงครามก็จบลงแล้ว"
นั่นสินะ ขุนนางที่เหลือเริ่มเห็นคล้อย
เป้าหมายของพวกมันคือการสร้างชื่อเสียงในศึกครั้งนี้ ต้องรบให้ชนะพร้อมกับแผ่ขยายอำนาจไปในเวลาเดียวกัน พวกมันหวังปิดฉากไบรันในพริบตาทันทีที่เคลื่อนพลไปถึง
"จริงด้วย ด้วยกองทัพในปัจจุบัน พวกเราสามารถปราบกบฏสำเร็จง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องถึงมือทหารของดยุคลูซิลิฟ ให้พวกเขาคอยยืนปลุกใจกองทัพก็เพียงพอ"
"ฮะฮ่า! นั่นแหละที่ฉันต้องการ! ฉันหวังจะให้ทหารฝ่ายเราฮึกเหิมด้วยวิธีนี้"
"สุดยอด สมกับเป็นท่านดยุค"
ในมุมมองพวกมัน วิธีการของดยุคลูซิลิฟนับว่าเฉลียวฉลาด
เกินกว่าครึ่งของทหารนับแสนล้วนเป็นชาวเมืองรากหญ้า แต่ถึงกระนั้นก็มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด อย่างไรก็เป็นโล่มนุษย์ชั้นเลิศ คนเหล่านี้มีประโยชน์หลายด้าน เช่นส่งไปให้เอิร์ลอัชเชอร์สังหารอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เขาหมดแรง
เอิร์ลอัชเชอร์ถือเป็นหนึ่งในขุมกำลังของฝ่ายกบฏที่ทัพอีเทอนัลหวาดผวา
การเพิ่มขวัญกำลังใจทหารย่อมทำให้โล่มนุษย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่กลับไม่มีขุนนางคนใดเลยที่ตระหนักจึงความจริงอันน่าตกตะลึง
การที่ดยุคลูซิลิฟมีเงินสำหรับสร้างชุดเกราะทองแท้ให้ทหารเกือบหมื่นนายได้ เป็นเพราะมันแอบเจียดงบจากหน่วยเสบียงไปใช้สอยส่วนตัว
ส่งผลให้ตอนนี้ ทัพเรือนแสนของอีเทอนัลมีเสบียงเพียงพอแค่ 14 วันเท่านั้น และเกือบทั้งหมดก็เป็นเสบียงเก่านานสามเดือนที่ลูซิลิฟเป็นผู้ค้าขายเสียเอง
ระดับความพึงพอใจของทหารเริ่มน่าเป็นห่วง ทหารที่เคลื่อนทัพนานตลอดวัน ค่าเรี่ยวแรงและความหิวย่อมถึงขีดจำกัด แต่พวกเขากลับต้องพบเจอกับอาหารเก่าค้างคืนแรมเดือน จึงไม่แปลกที่จะเริ่มออกอาการหงุดหงิด
พวกเขาล้วนถูกบังคับเกณฑ์มาโดยไม่เต็มใจ กลับต้องกินอาหารเศษเดนเหล่านี้อีกงั้นหรือ
"ท่านดยุค! ทหารเริ่มหนีทัพกันแล้ว!"
อัศวินรีบวิ่งเข้ามาทางที่พักพร้อมกับตะโกนเสียงดัง
ลูซิลิฟไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ได้
"ทำไมกัน"
นี่คือโอกาสครั้งสำคัญในการต่อสู้เพื่ออาณาจักรเชียวนะ
เหตุใดถึงคิดหนีทัพ
มาร์ควิสเบร่ารีบออกคำสั่งกับอัศวินแทนดยุคลูซิลิฟ
"จับพวกมันมาตัดหัวให้หมด! แสดงให้ทหารคนอื่นเห็นถึงความผิดร้ายแรงของการหนีทัพ!"
"ขอรับ!"
อัศวินต่างตามไล่ทหารที่หนีทัพกระเจิดกระเจิง มีทหารถูกจับได้ทั้งสิ้น 1,831 นายขณะกำลังหลบหนี พวกเขาล้วนถูกตัดสินประหารชีวิตกันถ้วนหน้า ก่อนตายได้ส่งเสียงโหยหวนร้องขอชีวิต แต่ก็ไม่มีใครรอดกลับไปได้
ทหารรุ่นพี่ของเมืองพาร์ตูได้เดินเข้ามาหาพลทหารนายหนึ่งที่กำลังยืนมองอย่างเงียบงัน
"อย่าคิดหนีทัพเชียว เมืองพาร์ตูของพวกเราจะดูแลทหารเป็นอย่างดี ขอสัญญาว่านายจะมีความสุขกับที่นี่"
"หากนายหนีทัพล่ะก็ ชะตาชีวิตจะลงเอยเหมือนผู้คนเหล่านั้น ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ก็ร่วมต่อสู้กับพวกเราให้สุดทาง"
"นายน่าจะดีใจนะ ที่ตอนนี้มีอาหารกินทุกมื้อ ไม่ต้องหลับนอนบนถนนอันหนาวเหน็บอีกแล้ว"
"พลทหารอาส รับทราบ"
เมื่อพูดจบ อาสชำเลืองสายตาไปมองทางที่พักของของดยุคลูซิลิฟ
'ดยุคไม่มีการเคลื่อนไหวเลยสักนิด แถมระดับความปลอดภัยก็ยังสูงมากทีเดียว'
องครักษ์ของดยุคลูซิลิฟมีระดับต่ำกว่าอัศวินทมิฬของจักรวรรดิก็จริง แต่จำนวนพวกมันมีมาก และเหนืออื่นใดทั้งหมด ปัญหาใหญ่คือบรรดาขุนนางที่รายล้อมดยุคลูซิลิฟ พวกมันทุกคนล้วนมีฝีมือเก่งกาจ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะทั้งหมดพร้อมกัน
อาสจะเดินหมากพลาดไม่ได้เด็ดขาด
'เราต้องรอจนกว่าโอกาสเหมาะสมมาถึง'
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้สลักความกลัวลงในใจทหารทุกนาย ขวัญกำลังใจกองทัพต้องลดลงหลายระดับแน่ อาสคาดว่า วันพรุ่งนี้คงมีทหารคิดหนีทัพมากกว่าเดิมหลายเท่า
***
ไบรันกำลังตกที่นั่งลำบากสุดขีด
การโหมบุกจากทัพศัตรูเกิดขึ้นในทุกทิศ ฝนธนูที่ยิงจากบนกำแพงเริ่มไม่ถี่และรุนแรงเหมือนช่วงแรก
"พ่อแม่ของพวกแกกำลังไม่มีข้าวกินเพราะยากจน! กลับบ้านไปกราบเท้าพ่อแม่ซะ!"
เสียงตะโกนของฮิวรอยไม่มีผลกับกองทัพฝ่ายศัตรูอีกแล้ว ทัพหน้าของศัตรูเหลือไม่ถึง 10,000 คน ก่อนทัพเสริมจะมาถึง พวกมันต้องแสดงผลงานอย่างเต็มที่ ทหารฝ่ายอีเทอนอลถอยกลับไม่ได้อีกแล้ว มีแต่ต้องบุกถล่มกำแพงไบรันด้วยพลังเฮือกสุดท้าย
"ชักแย่ล่ะสิ"
ตึง! ตึง!
รถศึกของศัตรูกำลังกระทุ้งใส่ประตูเมืองไบรันไม่หยุด
หลังจากระบบจำกัดเวลาออนไลน์ของแคปซูลหมดลง ยูร่ารีบออนไลน์ทันทีและได้พบกับความตกตะลึง
"หากปล่อยให้ทัพศัตรูเข้ามาได้ เมื่อนั้นจะถึงคราวจบสิ้นของเรา"
ยูร่าและสมาชิกโอเวอร์เกียร์ระดับขุนพล จะรับมือกับศัตรูหลักพันที่ล้อมโจมตีจากทุกทิศทางไหวรึเปล่า
คำตอบคือไม่มีทาง เมื่อทหารอีเทอนัลเข้ามาด้านในได้ เมืองไบรันจะถูกยึดครองในเวลาเพียงอึดใจ
"บัดซบ... ฉันอยากออกไปข้างนอกและทำลายความฮึกเหิมของพวกมันเสียเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเราเปิดประตูล่ะก็ คงแห่กันเข้ามาจนรับมือไม่ไหวแน่"
ป็อนขบกรามแน่น ค่าเรี่ยวแรงของเขาใกล้หมดลงเต็มที ต่อให้ป็อนออกไปด้านนอกได้ เขาก็ไม่สามารถใช้ทักษะใดได้ทั้งนั้น
ท่ามกล่างบรรยากาศแสนสิ้นหวัง ยูร่าและป็อนได้รับข้อความส่วนตัวจากลอเอล
>> รีบนำทหารที่เหลือกลับมาสมทบที่แพเทรี่ยนซะ
ป็อนเกิดคำถามทันที
>> แล้วชาวเมืองล่ะ
>> ชาวเมืองไบรันถือเป็นพลเมืองอีเทอนัล ทหารฝ่ายศัตรูไม่มีทางเสียเวลาฆ่าฟันพวกเดียวกันเองแน่ นายถอนกำลังกลับอย่างสบายใจได้
>> ชาวเมืองรับใช้กริดที่เป็นกบฏมายาวนาน นายแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเขาจะไม่ถูกฆ่า
>> พวกมันคงดื่มด่ำกับชัยชนะและเมืองที่ยึดได้โดยไม่คิดฆ่าแกงชาวเมือง หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น แล้วพวกเรายังมีทางเลือกใดอีก โอเวอร์เกียร์จะสูญเสียทหารอันมีค่าที่ฝึกฝนอย่างยากลำบากไม่ได้หรอกนะ
>> นี่นาย...! ทำไมนายถึงละทิ้งประชาชนที่รับใช้กริดอย่างจงรักภักดีได้ลงคอ!
เดิมที ไบรันเป็นของกิลด์เซดากาห์มาก่อน ป็อนและสมาชิกคนอื่นย่อมผูกพันธ์กับพวกเขา การจะให้ทอดทิ้งชาวเมือง ย่อมเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก
ลอเอลตระหนักถึงสิ่งนี้เป็นอย่างดี แต่ปัจจุบัน กิลด์โอเวอร์เกียร์กำลังอยู่ในภาวะสงคราม เขาไม่อาจตัดสินใจเพียงเพราะเหตุผลส่วนตัวของใครบางคนได้
>> นายจะให้ผู้คนหลายหมื่นในเรย์ดันต้องล้มตาย เพียงเพื่อปกป้องชาวเมืองหลักพันในไบรันรึไง... ช่วยสงบสติลงหน่อย
>> โธ่โว้ย!!
ป็อนขบกรามแน่น แม้จะเข้าใจคำพูดของลอเอล แต่จิตใต้สำนึกกลับกำลังโมโหสุดขีด ลงเอยด้วย เขาพูดในสิ่งที่ไม่สมควรออกไป
>> ทุกอย่างเป็นแบบนี้เพราะนายมันอ่อนหัด! ไหนนายบอกว่าพวกเราจะตั้งรับการโจมตีจากอีเทอนัลไหว! ไหนนายบอกว่าทัพอีเทอนัลจะไม่มีทางระดมพลได้ถึงหนึ่งแสนภายในสองสัปดาห์! ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความอ่อนหัดของนาย...
ระหว่างกำลังพูด เสียงของเขาก็เริ่มแผ่วลง
ท้ายที่สุด ป็อนก็ตระหนักว่าตนทำเรื่องไม่สมควรลงไป
ลอเอลเป็นใครกัน
ลอเอลคือคนที่ทำงานหนักกว่าใครในโอเวอร์เกียร์มาโดยตลอด และทุกสิ่งก็เพื่อผลประโยชน์ของโอเวอร์เกียร์โดยไม่เคยทำเพื่อตนเอง ลอเอลแบกรับทั้งภาระและความกดดันไว้มากมาย
สงครามหนนี้คือหนึ่งในความกดดันอันแสนหนักอึ้ง
ทุกคนในโอเวอร์เกียร์ต่างรู้ดี ว่าพวกเขาติดหนี้ลอเอลมากเพียงใด แต่ป็อนกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คิด เขากลับกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของลอเอล
>> ...ฉันขอโทษ
ป็อนขอโทษลอเอลจากใจ เขารู้สึกผิดอย่างแท้จริง
>> ไม่เลย ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษพวกนาย เพราะความจริงแล้ว ฉันบิดบังพวกนายมาโดยตลอด
>> ...
>> มันจำเป็น การจะหลอกศัตรู จำเป็นต้องหลอกพวกพ้องให้แนบเนียนเสียก่อน ฉันปิดบังความจริงไว้เพื่อให้พวกนายรักษาไบรันอย่างสุดกำลัง
ลอเอลกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่
ป็อนไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
>> ตอนนี้ฉันกำลังยกทัพมุ่งหน้าไปยังไรน์ฮาร์ท
>> อะไรนะ...!
เมืองหลวงของอีเทอนัล ไรน์ฮาร์ท ยามนี้มีทหารประจำการเพียงเบาบาง
ลอเอลกำลังนำกองทัพเตรียมถล่มที่นั่น
>> สงครามจะจบลงโดยเร็วที่สุด
ขณะเดียวกัน ภายในสถานที่ลึกลับ
สติกส์กำลังกระอักเลือดด้วยสีหน้าเจ็บปวดเจียนตาย กริดจ้องมองเขาอย่างเป็นกังวล
'ดันอาการกำเริบในเวลาแบบนี้เนี่ยนะ'
หลายสิบนาทีก่อน เวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติทำงานด้านบนกำแพงป้อมแพเทรี่ยน แต่ดันเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นฉับพลัน
คำสาปของไรเดอร์ส มังกรจอมเขมือบได้กำเริบพอดี ส่งผลให้สติกส์คำนวณการใช้มานาผิดพลาด
ลงเอยด้วย กริดและสติกส์ถูกส่งตัวมายังสถานที่ปริศนาซึ่งทั้งคู่ไม่รู้จัก
'แถมข้อความส่วนตัวก็ไม่สามารถใช้การได้'
พวกเขากำลังมืดแปดด้าน สถานที่แห่งนี้คือดันเจี้ยนลับที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใด
ไบรันจะเป็นยังไงบ้างนะ
ยูร่าและพวกพ้องที่เหลือยังสบายดีอยู่ไหม
กริดกระวนกระวายใจมาก แต่เขาก็ไม่อาจนำความหงุดหงิดไปลงกับสติกส์ได้ ชายหนุ่มรอคอยอย่างใจเย็น
สติกส์ค่อยๆ กินยาเข้าไปและเริ่มมีอาการดีขึ้น
'เป็นความซวยหลังจากสร้างธนูเกรดมิธรึไงนะ'
มังกรจอมเขมือบ ไรเดอร์ส กริดอยากฟันมันให้ขาดเป็นสองท่อนเสียประเดี๋ยวนี้
มีความรู้สึกเหมือนจะเจอมังกร
ReplyDeleteจะจับมังกรมาเป็นสัตว์เลี้ยงอีกบ่นิ่
ReplyDeleteกริชมีสัตว์เลี้ยงได้แค่ 2 ตัวเท่านั้นนอกจากจะเป็นคลาสเลี้ยงสัตว์เลี้ยงถึงจะมีสัตว์เลี้ยงได้ 5 ตัว
ReplyDeleteมีได้3ตัวครับ
Delete