จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 501



       "ลุยเลย!  โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์"

       แกร่ก!  แกร่ก แกร่ก แกร่ก!

       ณ ผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่รอบเรย์ดัน  
       ชายผมดำคนหนึ่งกำลังเดินทางพร้อมกับโครงกระดูกอีกสองตน

       ฟ้าววววววว~

       "อ๊ะ!"  
       ถุด! ถุด!

       ชายคนดังกล่าวแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวเมื่อถูกพายุพัดพาเม็ดทรายใส่ดวงตาและปาก
       ส่วนโครงกระดูกที่กำลังตามมาไม่ห่างนั้น

       แกร่ก!

       แกร่กแกร่ก!

       โครงกระดูกไม่อาจต้านทานลมพายุที่พัดผ่าน  กระดูกตามร่างกายพลันหลุดจากข้อต่อ   
       ดูราวกับเป็นนักเต้นรำที่อ่อนช้อย  ในยามร่างกายพวกมันค่อยๆ ถูกแยกส่วนออกจากกัน

[ โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ได้รับความเสียหายรุนแรง ]
[ โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ (1) กลับสู่ผืนดินอีกครั้ง ]
[ โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ (2) กลับสู่ผืนดินอีกครั้ง ]
[ โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์จะไม่สูญเสียค่าประสบการณ์ ]

       "..."

       หลังจากเคลียร์เมืองแวมไพร์ลำดับแปดเสร็จ  กริดก็มีแผนจะออกล่าลูกแมงป่องทะเลทราย  มอนสเตอร์ชนิดนี้มีเลเวลเพียง 20 ถึง 30 เท่านั้น  เรียกว่าเป็นเหยื่อของมอนสเตอร์อีกทอดจะถูกต้องกว่า
       หากกริดคอยสนับสนุน  โครงกระดูกทั้งสองจะสามารถสังหารพวกมันและเลเวลอัพได้เล็กน้อย

       แต่แล้วนี่มันอะไรกัน
       โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์กลับถูกสายลมพัดผ่านฆ่าตายโดยยังไม่ได้พบหน้าลูกแมงป่องสักตัว! 
       กริดถึงกับอึ้ง
       
       "สุดยอด... กระจอกโดยสมบูรณ์แบบ"

       มอนสเตอร์อันเดดมักมีจุดอ่อนในด้านความเปราะของร่างกาย  ร่างที่ทำจากกระดูกมักแตกหักได้ง่ายกว่ามอนสเตอร์ปรกติ  ทำให้พลังต่อสู้ค่อนข้างต่ำ  
       แต่โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์กลับห่วยยิ่งกว่านั้น  เพราะค่าสถานะราวกับขยะเช่นนี้  เพียงสายลมพัดผ่าน  ร่างกายก็แตกหัก  ข้อต่อหลุดแยกออกจากกัน  มันคือสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดในบรรดามอนสเตอร์ประเภทอันเดดทั้งหมดที่กริดเคบพบเจอมา

       "นี่คือพลังที่ได้รับจากการเอาชนะแวมไพร์ผู้สืบสายเลือดโดยตรง..."

       เขารู้ดีว่าโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์สามารถพัฒนาไปเป็นนักรบที่เก่งกาจ  แต่ไม่ว่าจะเก่งกาจขนาดไหน  ก็ไม่มีทางเทียบชั้นอัศวินความตายได้  
       แล้วจะคุ้มจริงหรือที่ต้องเสียเวลาปลุกปั้นพวกมันทั้งสอง
       กริดอดตั้งคำถามไม่ได้

       'แต่ก็ยังมีข้อดีอยู่บ้าง...'

       โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์จะไม่เสียค่าประสบการณ์เมื่อตาย  พวกมันแค่หายไป  
       หากกริดขยันอัญเชิญออกมาเก็บเลเวลอย่างสม่ำเสมอ  การปั้นให้เก่งกว่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

       "กลับไปถึงเรย์ดันเมื่อไรค่อยออกล่ากระต่าย"

       กริดหมดแรงจูงใจในวันนี้  ชายหนุ่มตัดสินใจล็อกเอาต์ออกจากเกม  บัดนี้ถึงเวลาที่ต้องนอนในโลกความจริงแล้ว  
       สองวันที่ผ่านมา  กริดนอนน้อยกว่าปรกติมาก  ยามนี้ร่างกายจึงเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ
       
       ***

       ในขณะกริดหลับพักก่อน  เฉกเช่นทุกครั้ง  ลอเอลยังคงทำงานแทนกริดอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย  ความขยันหมั่นเพียรเช่นนี้ได้จุดประกายไฟในการทำงานหนักของสมาชิกโอเวอร์เกียร์คนอื่นที่เหลือ
       แต่ในเวลาเดียวกัน  ก็ได้จุดประกายความรู้สึกเห็นอกเห็นใจลอเอลด้วย

       อาณาจักรเก๊าส์  อาณาจักรที่ตั้งอยู่เหนือสุดของทวีปตะวันตก  มีชายแดนติดกับอาณาจักรอีเทอนัล  ฝั่งตะวันตกและตะวันออกของอาณาจักรทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงไม่มาก  
       และความสัมพันธ์ก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก  ทั้งคู่เป็นอริกันอย่างลับๆ

       ในการจะเดินทางไปยังใจกลางทวีปตะวันตก  เก๊าส์ต้องผ่านอีเทอนัลเท่านั้น  
       ในการจะเดินทางไปยังทะเล  อีเทอนัลก็ต้องผ่านเก๊าส์เท่านั้นเช่นกัน
       กำแพงภาษีมูลค่ามหาศาลต้องถูกจ่ายหากมีการค้าขายระหว่างอาณาจักรเกิดขึ้น  
       เก๊าส์นั้นเสียเปรียบกว่าอีเทอนัลมาก  เพราะการเดินทางไปยังใจกลางทวีปย่อมสำคัญกว่าการเดินทางไปยังทะเล

       "ถ้าไม่มีเอิร์ลอัชเชอร์ล่ะก็..."

       มาร์ควิสวาลติน  
       ตระกูลของมันรับใช้อาณาจักรเก๊าส์มานานหลายรุ่น  บัดนี้มันมีหน้าที่ปกปักรักษาเมืองป้อมปราการบอร์เนียว  
       บอร์เนียวคือป้อมปราการอันแข็งแกร่งที่ตั้งเด่นตระหง่านประจัญหน้ากับป้อมปราการแพเทรี่ยน  มีบ่อยครั้งในอดีตที่เมืองนี้ต้องรับศึกจากกองทัพแพเทรี่ยน  ถือเป็นป้อมปราการที่สำคัญแห่งหนึ่งของอาณาจักรเก๊าส์มายาวนาน

       จากบันทึกประวัติศาสตร์  สงครามระหว่างบอร์เนียวกับแพเทรี่ยนมีมากกว่าร้อยครั้ง  แต่นั่นเป็นเรื่องของอดีต  ปัจจุบัน  สองเมืองป้อมปราการไม่เกิดสงครามขึ้นมาพักใหญ่แล้ว
       นั่นมีสาเหตุมาจากหนึ่งในสิบมหาจอมเวทแห่งทวีป 'เอิร์ลอัชเชอร์'  นับตั้งแต่อัชเชอร์กลายมาเป็นลอร์ดของแพเทรี่ยน  มาควิสวาลตินก็ไม่คิดรุกรานแพเทรี่ยนอีกเลย
       เพราะไม่ว่าจะมีกองทัพที่แข็งแกร่งมากเพียงใด  แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนสูญเปล่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเวทมนตร์อันทรงพลังของเอิร์ลอัชเชอร์  เกรงว่ากองทัพทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา

       "เราน่าจะตั้งใจเรียนเวทมนตร์ตั้งแต่เด็ก..."

       มาควิสวาลตินดันเลือกเรียนวิชาดาบ
       ในขณะที่มันกำลังชำเลืองสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย  เสียงของคนสนิทมือขวาก็ดังขึ้นจากภายนอก

       "มีแขกจากอีเทอนัลขอเข้าพบท่าน"

       "หืม"

       แม้อาจไม่ลงรอยกัน  แต่ใช่ว่าจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างอีเทอนัลกับเก๊าส์เลย  
       ในฐานะอาณาจักรใกล้เคียง  ทั้งสองยอมต้องมีความสัมพันธ์ทางการเมืองเป็นฉากหน้าอย่างผิวเผิน  และหากต้องการเดินทางไปยังอาณาจักรเก๊าส์  เมืองที่ต้องผ่านอย่างเลี่ยงไม่ได้คือบอร์เนียว  
       ด้วยเหตุนี้  จึงมีขุนนางระดับสูงจากอีเทอนัลติดต่อขอเข้าพบลอร์ดแห่งบอร์เนียวบ่อยครั้ง

       "ให้เข้ามาได้"

       มาร์ควิสวาลตินไม่ใช่คนโง่  ตัวมันมีพรสวรรค์ทางด้านการเมืองไม่น้อย  ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร  แต่ด้วยฐานะของนักการเมืองมืออาชีพ  วาลตินย่อมต้อนรับขับสู้ด้วยไมตรี
       หลังจากนั้นไม่นาน  ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปภายในห้องทำงานวาลติน  เขาคือเด็กหนุ่มที่มีเส้นผมสีเงิน
       
       'ไม่สิ  หมอนี่เด็กเกินไปรึเปล่า'

       แขกมาเยือนคราวนี้มีใบหน้าเยาว์วัยกว่าที่คาดไว้มาก  ถึงกระนั้นวาลตินก็ยังต้อนรับขับสู้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
       "ยินดีต้อนรับสู่บอร์เนียว  ว่าแต่ผมควรเรียกคุณว่าอย่างไรดี"
       
       เด็กหนุ่มผมเงินก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวแนะนำตัวอย่างสุภาพนอบน้อม

       "ผมคือเอิร์ลลอเอลแห่งอาณาจักรอีเทอนัล  การมาเยือนในวันนี้ก็เพื่อเป็นตัวแทนของดยุคกริดแห่งเรย์ดัน"

       "โฮ่..."

       มาคริสวาลตินหรี่ตาลงทันที
       ชื่อของลอเอลและกริด  ไม่มีทางที่วาลตินจะไม่รู้จัก  เมื่อไม่กี่ปีก่อน  ในยามที่ไรน์ฮาร์ทถูกกองทัพโกเล็มรุกรานหนัก  ชื่อของสองคนนี้โด่งดังอย่างมากในการเป็นวีรบุรุษกอบกู้อาณาจักรไว้  
       แต่ถึงกระนั้น  วาลตินกลับสนใจข่าวลือล่าสุดมากกว่า

       'กริดคือผู้สังหารองค์ชายเร็น  อดีตทายาทลำดับหนึ่งในการสืบทอดบัลลังก์อีเทอนัล'

       ด้วยเหตุนี้  ความสัมพันธ์ระหว่างเรย์ดันกับราชวงศ์อีเทอนัลจึงเข้าขั้นเลวร้าย  บางทีเรย์ดันอาจต้องโดดเดี่ยวและถูกบีบบังคับให้แยกตัวในไม่ช้า
       และสาเหตุที่พวกเขาส่งทูตมาเยือนที่นี่...

       'หากข่าวลือเป็นจริงล่ะก็... ชักน่าสนุกแล้วสิ'

       มาควิสวาลตินเกิดความตื่นเต้นและคาดหวังขึ้นทันที  แต่มันก็มิได้แสดงออกมาทางสีหน้า  ยังคงถามลอเอลกลับไปอย่างใจเย็น
       "คุณคือเอิร์ลลอเอลผู้โด่งดังคนนั้นเองหรือ  ฮะฮะ!  ชื่อเสียงของคุณดังไกลมาถึงอาณาจักรเก๊าส์  เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ"       

       ลอเอลจับมืออันใหญ่และหนาของมาร์ควิสวาลตันด้วยท่าทีน้อบน้อม  หลังจากนั้นก็ตอบกลับไปว่า
       "เป็นเกียรติมากเช่นกันที่ได้พบกับคุณ  มาร์ควิสวาลติน  ราชสีห์แห่งเก๊าส์  ผู้ที่แม้แต่เอิร์ลอัชเชอร์  หนึ่งในสิบมหาจอมเวทย์ของทวีปยังต้องหวาดกลัว"

       "ฮะฮ่าฮ่า!  ชมกันเกินไปแล้ว!"

       อันที่จริง  มาร์ควิสวาลตินรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าเอิร์ลอัชเชอร์เล็กน้อย  ดังนั้นคำเยินยอของลอเอลจึงตรงจุดมาก
       ทว่าคำพูดเหล่านี้มิได้ผิดจากความจริง  มาควิสวาลตินถนัดในกลศึกชนิดพิเศษ  ทั่วทั้งอาณาจักรเก๊าส์  คงไม่มีแม่ทัพคนใดรับมือกับเอิร์ลอัชเชอร์ได้ดีกว่ามาร์ควิสวาลตินอีกแล้ว  
       และสาเหตุที่เอิร์ลอัชเชอร์ไม่คิดรุกรานบอร์เนียว  ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมาร์ควิสวาลตินคนนี้

       วาลตินอมยิ้มเล็กน้อย  ก่อนจะถามลอเอลอย่างเป็นธรรมชาติ
       "วันนี้คุณมีธุระเรื่องใดหรือ"

       ลอเอลอธิบายต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
       "ราชวงศ์อีเทอนัลกำลังบีบบังคับให้เรย์ดันต้องตกที่นั่งลำบาก  ดยุคกริดไม่อาจอดทนได้อีกแล้ว  เขาต้องการให้เรย์ดันเป็นอิสระจากอีเทอนัลโดยเร็ว"

       เป็นที่เลื่องลือกันว่า  เมื่อครั้งที่กริดได้รับตำแหน่งดยุค  เขาลั่นสัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อกษัตริย์วิสบาเดนเพียงพระองค์เดียว  หาใช่ราชวงศ์อีเทอนัล  
       แถมยังมีข่าวลือหนาหูว่า  กริดคือผู้สังหารองค์ชายเร็น  ด้วยเหตุนี้  ความสัมพันธ์ของกริดกับอีเทอนัลจึงไม่สู้ดี
       ลอเอลรับรู้ว่าข้อมูลเหล่านี้กระจายออกไปทั่วทั้งทวีป 
       คำพูดของตนเมื่อครู่  รับรองได้เลยว่ามาร์ควิสวาลตินต้องเชื่อสนิทใจ

       "ดยุคกริดมีแผนจะให้พ่อตาอย่างมาร์ควิสสไตมช่วยสนับสนุนในการแยกตัวเป็นอิสระ  แต่การจะทำให้เรย์ดันเป็นปึกแผ่นกับดินแดนตอนเหนือ  ดยุคกริดต้องยึดครองแพเทรี่ยนให้ได้เสียก่อน"

       "..."

       มาร์ควิสวาลตินเฝ้ารออย่างใจเย็น  มันพยายามข่มรอยยิ้มที่เกือบจะหลุดเผยหลายครั้ง
       ภายในใจตอนนี้กำลังกระโดดโลนเต้นราวกับคนบ้า
       ในที่สุดลอเอลก็เอ่ยปากถาม
       
       "ก็อย่างที่คุณทราบ  เรย์ดันเป็นดินแดนรกร้างและว่างเปล่า  ประชากรมีเพียง 20,000 คน  กำลังทหารจึงน้อยและด้อยคุณภาพ  พวกเรามิอาจยึดครองแพเทรี่ยนได้ด้วยพลังของตนเอง  ดังนั้น  มาร์ควิสวาลติน  ราชสีห์แห่งเก๊าส์  ได้โปรดยื่นมือช่วยพวกเราด้วย  กรุณาส่งกองทัพอันแข็งแกร่งของบอร์เนียวมาคอยสนับสนุนการยึดครองแพเทรี่ยน"

       ลอเอลก้มศีรษะลงพร้อมกับกล่าวถ้อยคำขอร้องด้วยน้ำเสียงนอบน้อมมากที่สุด  สีหน้าของเขากำลังดูสิ้นหวัง  ทำให้มาร์ควิสวาลตินเชื่อลอเอลอย่างหมดใจ
       มันพยักหน้าเล็กน้อย

       "หลังจากยื่นมือเช้าช่วยดยุคกริด  อาณาจักรเก๊าส์จะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทน"

       "หากพวกเรายืดครองแพเทรี่ยนสำเร็จ  ดินแดนตอนเหนือและตะวันตกของอีเทอนัลจะกลายเป็นหนึ่งเดียว  และผู้มีอำนาจสูงสุดของดินแดนดังกล่าวคือดยุคกริด"
       ลอเอลส่งกระดาษเอกสารที่เตรียมไว้ล่วงหน้าให้มาร์ควิสวาลติน
       "ดยุคกริดขอสัญญาว่าจะยกเลิกภาษีทั้งหมด  แถมยังจะส่งมอบบรรณาการให้อาณาจักร์เก๊าส์ในทุกเดือน  ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยถูกระบุไว้ในเอกสารสนธิสัญญาข้างต้นแล้ว"

       "หืม..."

       รอยยิ้มของวาลตินยิ่งฉีกกว้างกว่าเดิมเมื่อได้อ่านสนธิสัญญา  เงื่อนไขทั้งหมดฟังดูสวยหรูมากเสียจนมันไม่อาจระงับความดีใจไว้ได้
       แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง  วาลตินก็แสดงสีหน้าเคลือบแคลง

       "ผมรู้ดีว่าดยุคกริดคือบุตรเขยของมาร์ควิสสไตมผู้ปกครองดินแดนตอนเหนือทั้งหมด  แต่อดผมสงสัยมิได้ว่า  เหตุใดพวกคุณถึงไม่หยิบยืมพลังอำนาจของมาร์ควิสสไตมเพื่อยึดครองแพเทรี่ยน  ทำไมถึงต้องขอความช่วยเหลือจากเรา"

       "กษัตริย์อัสลินปิดกันทุกการสื่อสารกับแดนเหนือ  ด้วยเหตุนี้  เรย์ดันจึงไม่อาจติดต่อมาร์ควิสสไตมได้เลย  และนั่นยิ่งทำให้ดยุคกริดต้องการยึดครองแพเทรี่ยนใจจะขาด"

       เป็นคำตอบที่ไม่ว่าใครก็คาดเดาได้
       มาร์ควิสวาลตันยพยักหน้าเล็กน้อย
       "เข้าใจแล้ว  แต่ดยุคกริดต้องจัดการกับเอิร์ลอัชเชอร์ด้วยตนเอง  ทางเราไม่ต้องการเสียไพร่พลมากเกินไป"

       "แน่นอน  เชื่อมือพวกเราได้เลย  ผมคิดว่าทางคุณคงได้ยินกิตติศัพท์การสู้รบของดยุคกริดมาบ้างแล้ว"

       "วีรบุรุษอาณาจักรสินะ... ฝีมือของเขาน่าจะรับมือกับเอิร์ลอัชเชอร์ได้  ตกลง  ผมจะส่งกองทัพไปช่วยเหลือ"       

       ทหารของกองทัพบอร์เนียวล้วนชำนาญการศึก  พวกมันทุกคนถูกฝึกด้วยเงื่อนไขพร้อมรบตลอดเวลา  ทำให้กองทัพเหล่านี้กระหายสงครามมากเป็นพิเศษ

       'แน่นอนว่ากองทัพทางเราก็เหมือนกัน!'

       สิ่งแรกที่มาร์ควิสวาลตินทำคือการส่งจดหมายไปปรึกษากับราชวงศ์เก๊าส์  หลังจากได้รับรู้เรื่องราวความเป็นไปทั้งหมดของสงคราม  ของทัพของบอร์เนียวก็ถูกระดมมพลเป็นการด่วน  
       จำนวนสุดท้ายคือ 10,000 นาย

       ***

       เรย์ดันมีกำลังรบทั้งหมด 4,000 นาย  โดยมากถึง 3,000 นายถูกส่งไปยังการศึกหนนี้
       หากล้มเหลวล่ะก็  ระดับความปลอดภัยของเรย์ดันก็จะตกที่นั่งลำบากทันที  
       แต่สมาชิกโอเวอร์เกียร์ก็หาได้หวั่นวิตก  พวกเขามั่นใจในฝีมือของกำลังพลฝั่งตนมาก  ขุนพลระดับหัวกะทิทุกคนยกเว้นกริดถูกเรียกตัวเข้าร่วมสงคราม  เป็นการยากที่จะให้จินตนาการถึงความพ่ายแพ้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  พวกเขามีนักรบโลหิต 'แค็ทซ์'  การมีตัวตนในสนามรบของชายคนนี้  เกรงว่าจะหาคู่ต่อกรได้ยากยิ่งแล้ว
       
       "แต่ทำไมสปีดการเคลื่อนทัพถึงเร็วนัก!"

       สมาชิกโอเวอร์เกียร์ต่างพากันงุนงงในยามที่กำลังเดินตามทหารจำนวน 3,000 นายข้ามผ่านผืนทะเลทราย  เพราะสปีดของการเคลื่อนทัพนั้นสูงเกินไป  สูงกว่าที่ควรจะเป็นมาก
       แม้กองทัพเรย์ดันอาจเชี่ยวชาญการรบบนพื้นผิวทะเลทรายเป็นพิเศษ  แต่การทำเช่นนี้  อีกไม่นานทหารทุกนายจะต้องเหนื่อยล้ามาก
       
       โทบันพูดขึ้นเพื่อดับความกังวลใจของทุกคน
       "แม่ทัพในศึกนี้คืออัสโมเฟล  เขาจะต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมรองรับแน่  หมอนั่นมีกลศึกยอดเยี่ยมกว่าใครทั้งหมด  พวกเราเชื่อใจอัสโมเฟลเถอะน่า"

       "หืม...  นั่นสินะ"

       เหล่าสมาชิกโอเวอร์เกียร์ต่างกำลังทำหน้าที่ปกป้องหน่วยเสบียงจากมอนสเตอร์ดุร้าย  ทั้งหมดจึงล้วนคิดว่า  ผู้ที่นำทัพอยู่หน้าสุดคืออัสโมเฟล  แม้เขาอาจหายตัวไปนานเป็นเดือน  แต่ในยามศึกสำคัญย่อมไม่ละทิ้งหน้าที่แน่นอน

       "มุ่งหน้า  เป้าหมาย  แพเทรี่ยน"

       ชายคนนี้มีค่าสติปัญญาสูงสุดเพียง 20 แต้มเท่านั้น  ในฐานะแม่ทัพที่ไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำสิ่งใด  จู๊ดตัดสินใจเร่งความเร็วขึ้นอีก

Comments

  1. 555 รอลุ้นต่อว่า จู๊ด จะพาลุยแหลกขนาดไหน สนุกมากครับ ขอบคุณที่แปลให้ได้ติดตาม

    ReplyDelete
  2. Replies
    1. หมายถึง ตอนใช่ไหม...ใช่ไหม

      Delete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00