จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 476
สงครามยังไม่จบลง
ผู้เล่นฝ่ายบลัดคาร์นิวัลกว่า 500 คนยังคงดิ้นรนขัดขืนจนถึงที่สุด
เป็นระดับการขัดขืนที่แสนสิ้นหวัง
"พวกเราต้องรอด...!"
ทำไมพวกมันถึงไม่อยากตายนัก
คำตอบนั้นง่ายมาก เพราะหากตาย ทั้งค่าประสบการณ์และไอเท็มจะสูญเสียเป็นจำนวนมาก!
"อย่าหนี! ตอบโต้พวกมัน!"
"อีกฝ่ายมีไม่ถึง 20 คนด้วยซ้ำ! อีกเดี๋ยวค่าเรี่ยวแรงก็หมดแล้ว!"
ฝ่ายบลัดคาร์นิวัลที่กำลังดิ้นรนเริ่มมีกำลังใจมากขึ้น
เฉกเช่นหนูที่ถูกแมวต้อนจนมุม มันจะแว้งกลับมาสู้อย่างดุร้าย
สมาชิกโอเวอร์เกียร์เริ่มตึงเครียดเพราะอีกฝ่ายมีจำนวนมากกว่า
แต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ กริดกลับยังใจเย็นอยู่ได้ เขาแทบไม่ปรากฏความกังวลบนใบหน้าเลยสักนิด แม้กระทั่งตัดสินใจที่จะออกจากสนามรบเพื่อเดินทางไปยังวังหลวง
"ลอเอล มากับฉันและยูเฟอมิน่า พวกเราต้องเข้าเฝ้ากษัตริย์เผ่าวารี"
กริดร่อนลงมาจากท้องฟ้าและพูดขึ้น
ลอเอลตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ
"ตอนนี้เลยหรือ สงครามยังไม่จบ สำคัญขนาดต้องให้พวกพ้องเสี่ยงชีวิตเลยรึไง..."
"มาซง กษัตริย์เผ่าวารีจะออกจากห้องบรรทมเพียงหนึ่งครั้งในสามวัน และนั่นคือเวลานี้ หากพวกเราไม่รีบ ก็ต้องรออีกถึงสามวันเพื่อจะเข้าเฝ้า ยิ่งไปกว่านั้น ระบบเกมไม่อนุญาตให้ใครบุกรุกห้องบรรทมโดยเด็ดขาด"
ลอเอลขมวดคิ้วให้กับคำอธิบายของยูเฟอมิน่า
"กษัตริย์เอาแต่นอนทั้งวันเนี่ยนะ แม้กระทั่งในยามสงครามเช่นนี้!"
"เขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตั้งแต่ที่องค์หญิงสิ้นประชนม์ เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่กษัตริย์ไม่แยแสอาณาจักรแห่งนี้"
"น่าสมเพช… คนที่ไม่สมควรจะเป็นกษัตริย์ดันถือกำเนิดขึ้นในเชื้อพระวงศ์และได้ครองราชย์ แถมยังละทิ้งบ้านเมืองของตนเองอีก!"
สามวันถือเป็นเวลาที่นาน สามารถกระทำหลายสิ่งให้เสร็จสรรพ รวมไปถึงการเก็บรวบรวมวัตถุดิบต่างๆ ที่สำคัญ
ลงเอยด้วย ลอเอลตัดสินใจไปกับกริดและยูเฟอมิน่า
แต่เขาควรละทิ้งพวกพ้องไว้เช่นนี้จริงหรือ ลอเอลมีสีหน้าลังเล
กริดตบบ่าลอเอลอย่างเบามือ
"ไม่ต้องกังวลไป ทั้งปิอาโร่และอัสโมเฟลก็อยู่ที่นี่"
"ฉันตระหนักถึงพลังของทั้งคู่เป็นอย่างดี ปิอาโร่มีค่าเทียบเท่า 1,000 คน ส่วนอัสโมเฟลก็แข็งแกร่งระดับสมาชิกหัวกะทิของโอเวอร์เกียร์ แต่พวกพ้องเรากำลังเหนื่อยล้ามาก"
ศัตรูมีจำนวนมากเกินไป แถมยังมีผู้เล่นคลาสระดับสามเหลืออยู่อีกหกคน
"ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า กว่าปิอาโร่จะฆ่าพวกมันหมดทุกคน สมาชิกโอเวอร์เกียร์จะทนไหวจนถึงเวลานั้นรึเปล่า..."
ลอเอลแสดงสีหน้ากังวลชัดเจน และเป็นความกังวลที่มีเหตุผลรองรับ
เดิมทีแล้ว นี่ไม่ใช่นิสัยของลอเอลเลยสักนิด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตนต้องการ ลอเอลสามารถสละชีวิตของพวกพ้องโดยปราศจากความลังเล เขาเป็นคนเลือดเย็นเช่นนี้
'แต่ไม่ใช่อีกแล้ว… ลอเอล นายเปลี่ยนไป เหมือนกับฉัน'
กริดเลื่อนมือขึ้นไปลูบศีรษะของลอเอลเบาๆ
"วางใจเถอะ อัสโมเฟลเก่งกว่าที่นายคิดมาก"
ด้วยความสัตย์จริง กริดเคยประเมินอัสโมเฟลไว้ต่ำจนกระทั่งได้เห็นอัสโมเฟลในสภาพ 'กลับคืนสู่ฝีมือเดิม' ด้วยดาบแห่งลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่
ในอดีต กริดเคยคิดว่าอัสโมเฟลคงมีฝีมือเพียงหัวกะทิของโอเวอร์เกียร์เท่านั้น
ใช่แล้ว นั่นเป็นการคาดคะเนที่ผิดพลาด พลังที่แท้จริงของอัสโมเฟลที่กริดค้นพบคือ...
"เขาเทียบเท่าปิอาโร่"
เป็นระดับที่เหนือกว่ากริด แถมอัสโมเฟลยังเป็นเอ็นพีซีพิเศษที่พัฒนาได้อย่างไร้ขีดจำกัด
กริดพลันสั่นระริกอย่างตื่นเต้นทุกครั้งหวนคิดถึงทักษะติดตัวพิเศษของอัสโมเฟลอย่าง 'มหาพรสวรรค์เบ่งบานในบั้นปลายชีวิต' และ 'ความมุ่งมั่นของหมายเลขสอง'
'หากครอเกลคือคนที่สักวันจะก้าวข้ามปิอาโร่'
อัสโมเฟลเองก็เช่นกัน
***
"เป็นไปไม่ได้...! ทหารเลวเพียวคนเดียวทำไมถึงเก่งกาจขนาดนี้!"
"ฉันไม่ใช่ทหาร! ฉันคือกัปตันกองอัศวินเวทมนต์โอเวอร์เกียร์ที่ขึ้นตรงต่อดยุคกริด..."
"อั่ก...! นี่ฉันต้องตายด้วยฝีมือทหารเลวจริงหรือ...! น่าขายหน้าฉิบ!"
"..."
อัสโมเฟลเคยเป็นสุดยอดนักดาบอันดับสองรองจากปิอาโร่ เขาถูกขนานนามให้เป็น 'เสาหลัก' แห่งซาฮารัน แต่เกียรติยศในอดีตไม่ส่งผลมาถึงตอนนี้เลยสักนิด กองทัพศัตรูเอาแต่เรียกตนว่าเป็นทหารเลวเพราะผู้หญิงที่ชื่อไวท์เรียกเพียงครั้งเดียว
ความพยายามในการอธิบายล้วนสูญเปล่า บลัดคาร์นิวัลไม่คิดฟังคำพูดจากทหารของศัตรูอยู่แล้ว พวกมันแค่คิดเอาชีวิตให้รอดเท่านั้น
"อั่ก… ขนาดชาวนากับทหารยังเก่งขนาดนี้...! ปีศาจที่อยู่ภายในเรย์ดันจะน่ากลัวขนาดไหนกัน!"
"ไม่! ฟังก่อน! ฉันไม่ใช่ทหาร ฉันเป็น..."
"จ--เจ้าบ้ากริดฝึกทหารด้วยวิธีไหนกัน! บ้าจริง! ฉันจะไม่เข้าไปเฉียดใกล้เรย์ดันตลอดชีวิต!"
"..."
อัสโมเฟลเคยแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าดยุคกริดสักครั้งหรือไม่
คำตอบคือไม่ เขาไม่เคยมีเวทีได้แสดงฝีมืออย่างเด่นชัดมาก่อน
แต่ปัจจุบันเวทีนั้นมาถึงแล้ว อัสโมเฟลไม่มีทางพลาดการคว้าโอกาสทองนี้ไปแน่ เขาต้องการให้ดยุคกริดยอมรับในฝีมือของตน แต่ไม่ว่าตนจะสังหารศัตรูไปมากมายเพียงใด อีกฝ่ายก็เอาแต่เรียกว่าเป็นทหารเลวอยู่ร่ำไป
'นายท่านจะเข้าใจผิดว่าเราเป็นทหารจริงๆ รึเปล่านะ'
ฉัวะ!
ฉึก!
อัสโมเฟลที่เกิดความกังวลได้เร่งมือฆ่าศัตรูคนแล้วคนเล่า
ผู้เล่นคลาสระดับสองเหล่านี้มีฝีมือการควบคุมที่ไม่เลว แต่อัสโมเฟลกลับหลบการโจมตีอันยอดเยี่ยมได้ทั้งหมดและสวนกลับไป ทุกครั้งที่อัสโมเฟลลงมือ จักต้องมีผู้คนมากมายล้มตาย
การกระทำเหล่านี้เรียกความชื่นชมจากสมาชิกโอเวอร์เกียร์ได้มากทีเดียว
'อัสโมเฟลเก่งขนาดนี้เชียว'
'ฉันคิดว่าเขาเป็นเอ็นพีซีสำหรับฝึกทหารโดยเฉพาะเสียอีก...'
แข็งแกร่งมาก
หากจะอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน ชายคนนี้มีความว่องไวระดับเฟคเกอร์ พลังทำลายรุนแรงระดับพีคซอร์ด แต่ไม่มีระยะหน่วงที่นาน
เทียบได้กับกริด ปิอาโร่ และครอเกลเลยทีเดียว
"...แต่เขากำลังถูกปฏิบัติตัวราวกับเป็นเพียงทหารคนหนึ่ง"
สมาชิกโอเวอร์เกียร์อมยิ้มอย่างขบขันเมื่อได้เห็นอัสโมเฟลผู้แข็งแกร่งล้มศัตรูคนแล้วคนเล่า
บรรยากาศของสนามรบกำลังเปลี่ยนแปลง
***
ยูเฟอมิน่าประเมินไว้ว่า ไซเรนคืออาณาจักรที่อยู่ในระดับ 'พอใช้'
จำนวนประชากรคือ 200,000 คน ตั้งอยู่ในท้องทะเลลึกและไม่มีปฏิสัมพันธ์กับอาณาจักรอื่นใดอีก สนใจแต่เพียงวัฒนธรรมตนเองเท่านั้น
"เผ่าวารีส่วนใหญ่ใจแคบและขี้เกียจ พวกเขามองโลกแคบมากและไม่มีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต สำหรับพวกเขา สถานที่แห่งนี้คือโลกทั้งใบแล้ว"
ความเรียบง่ายมักมอบความรู้สึกที่ดีให้เสมอ
"คนหัวก้าวหน้าที่ขวนขวายการพัฒนาเปลี่ยนแปลงมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเกียจคร้านและไม่แยแส โดยกษัตริย์มาซงก็เป็นหนึ่งในนั้น แถมพวกชาวเมืองก็ไม่เคยสนใจว่าอาณาจักรแห่งนี้จะมีกษัตริย์ปกครองรึไม่"
"สภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยวและสงบสุขได้หล่อหล่อมให้ผู้คนเกียจคร้าน และผู้คนเกียจคร้านก็จะถือกำเนิดกษัตริย์ไร้ความสามารถขึ้นมา นี่มันอาณาจักรบ้าบออะไรกัน… ไร้อนาคตสิ้นดี"
"...!"
ยูเฟอมิน่าพลันขมวดคิ้วเมื่อลอเอลพูดว่า 'ไร้อนาคต'
เพราะคำๆ นี้ลอเอลพูดเป็นภาษาเกาหลี แต่มันเป็นภาษาเกาหลีที่ซับซ้อนจนไม่ถูกระบบเกมซาทิสฟายแปลงให้เป็นภาษาทางการ
กริดเองก็อึ้งไปเช่นกัน
"ลอเอล นายไปเรียนวิธีการพูดแบบนี้มาจากไหน"
"ฉันศึกษาภาษาเกาหลีเพราะต้องการเข้าใจนายอย่างลึกซึ้ง ภาษาเกาหลีนั้นอิงตามหลักวิทยาศาสตร์และทำความเข้าใจได้ง่ายมาก เมื่อหลอมรวมเข้ากับความรู้ของฉันในชาติที่แล้ว ฉันจึงเชี่ยวชาญภาษาเกาหลีได้ในเวลาเพียงสี่วัน"
"วิธีการพูดเมื่อครู่ก็ด้วยหรือ..."
"การเรียนภาษาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือการเรียนรู้จากสิ่งที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงพวกแสลงหรือคำย่อต่างๆ ฉันรู้จักแม้กระทั่งคำว่า 'อึมกันจิน' ซึ่งบ่งบองถึงตัวตนในปัจจุบันของฉันได้เป็นอย่างดี ทั้งเข้มงวด ทำงานหนัก และจริงใจ"
( อึมกันจิน - เป็นการนำอักษรตัวแรกของ "เข้มงวด ทำงานหนัก จริงใจ" ในภาษาเกาหลีมาเขียนเรียงกันให้เป็นคำย่อ )
"..."
ลอเอลไม่ใช่สมาชิกโอเวอร์เกียร์ที่ย้ายมาอยู่หรือมีบ้านอยู่ในเกาหลีใต้
เมื่อครั้งงานแข่งนานาชาติหนที่หนึ่ง เขายังไม่ได้เป็นสมาชิกโอเวอร์เกียร์ ทำให้พลาดโอกาสทองในการซื้อที่ดินใกล้กับตึกของกริด
ถึงกระนั่น ลอเอลกลับเป็นชาวต่างชาติคนแรกในกิลด์ที่แตกฉานภาษาเกาหลี
ลอเอลหันไปถามยูเฟอมิน่าที่กำลังอึ้งอยู่
"มาซงกำลังเศร้าเสียใจกับการตายขององค์หญิงใช่ไหม แต่ฉันได้ยินมาว่ายังมีองค์ชายอยู่อีกสามคน พวกเขาไปไหนกันหมด"
"องค์ชายลำดับสอง 'นูอง' เป็นคนเกียจคร้านมาก เขาพยายามใช้พลังงานให้น้อยที่สุด วันๆ นึงทำเพียงกินและนอน แต่ในทางกลับกัน องค์ชายอันดับหนึ่ง 'พาอง' และองค์ชายลำดับสามอย่าง 'กูล็อง' นั้นพึ่งพาได้ แตกต่างจากเผ่าวารีคนอื่น องค์ชายสองคนนี้มีหัวก้าวหน้าเล็กน้อย พวกเขามีแนวคิดจะปกป้องไซเรนด้วยการปิดกั้นทางเข้าออกทั้งหมดและตัดขาดกับมนุษย์อีกครั้ง ทว่าก็มิได้คิดปฏิรูปไซเรนขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด"
"อย่างน้อยก็ดีกว่าผู้เป็นพ่อละนะ ฉันเข้าใจพวกเขา ในมุมมองของเผ่าวารี ฉันไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับพวกมนุษย์สุดแสนละโมภเช่นกัน"
ลอเอลพยักหน้าเป็นระยะในยามที่เดินผ่านโถงยาว เขากำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง
ลอเอลกำลังวางแผนสิ่งใดอยู่นะ
ในขณะที่กริดและยูเฟอมิน่าใคร่รู้อยากถาม ลอเอลชิงพูดขึ้นมาก่อน
"มาเปลี่ยนกษัตริย์กันเถอะ"
ลอเอลเกิดไอเดียบ้าบิ่นขึ้นมา
***
กษัตริย์ไซเรนลำดับ 35 มาซง
เขาก้าวขึ้นมาเป็นกษัตริย์เพียงเพราะเกิดก่อนพี่น้องคนอื่น
เฉกเช่นกษัตริย์ส่วนใหญ่ มาซงมิได้แยแสอาณาจักรของตนมากนัก เขาใช้ชีวิตไปวันๆ พร้อมกับเสพสุขตามสิทธิ์ที่กษัตริย์พึงมี
ดวงตาไร้วิญญาณราวกับปลาตาย ขาดความมุ่งมั่นโดยสิ้นเชิง เขากำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์และกล่าวทักทายปาร์ตี้ของกริด
"หากไม่ได้พวกเจ้า… ป่านนี้ไซเรนคงถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว เราขอขอบคุณแทนประชาชนทุกคน ส่วนรางวัลตอบแทน พวกเจ้าสามารถไปรับได้กับผู้วิเศษมิอง"
ความเอาใจใส่ต่ออาณาจักรนั้นต่ำต้อยจนน่ารังเกียจ กริดพลันหงุดหงิดแม้จะทราบรายละเอียดก่อนแล้วล่วงหน้า
ในขณะที่ลอเอลกำลังจะบอกว่ากริดต้องพูดสิ่งใดบ้าง
เป็นฝ่ายกริดที่ชิงพูดขึ้นก่อน
"ก่อนอื่นก็ยกก้นออกมาจากเก้าอี้ไข่มุกนั่นซะ แล้วลุกขึ้นเดินมาหาฉัน"
ลอเอลที่เมื่อครู่พะงาบปากกำลังจะพูดบางสิ่ง บัดนี้หุบลงสนิทด้วยสีหน้าพึงพอใจ
"หลังจากนั้นก็ก้มหัวให้ฉันคนนี้ และกล่าวขอบคุณที่ช่วยชาวเมืองและราชวงศ์เอาไว้!"
"...!"
มาซงแทบไม่เชื่อหู เขาเติบโตมาเป็นองค์ชายลำดับหนึ่งและได้รับการปฏิบัติชั้นเลิศมาตลอด จนกระทั่งครองบัลลังก์อย่างยาวนาน ก็ไม่เคยมีผู้ใดกล้าพูดล่วงเกินถึงขนาดนี้
ทหารที่ยืนอยู่ขนาบข้างซ้ายขวาพลันผงะไป พวกเขายังไม่เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดีนัก
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด กริดเอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง
"ลงมาซะ!"
แรกเริ่มเดิมที กริดคิดจับมือเป็นพันธมิตรกับไซเรน หลังจากนั้นก็จะแลกเปลี่ยนวิทยาการทางทหารและความรู้ทางเศรษฐกิจ อาณาจักรทั้งสองก็จะพัฒนาขึ้นด้วยสปีดที่สูงกว่าเดิม
แต่ดูเหมือนคงต้องเปลี่ยนใจ ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรไซเรนในสภาพปัจจุบัน
ถ้าเช่นนั้นแล้ว...
"ไซเรนต้องมาอยู่ใต้อาณัติของฉัน!"
ในอดีต กริดเคยมีความฝันอยากเป็นกษัตริย์ เพราะนั่นจะทำให้เขาร่ำรวยกว่าการเปิดบริษัทตีเหล็กขนาดกลางที่แร็บบิทแนะนำ นับแต่นั้น กริดจึงฝันถึงการเป็นกษัตริย์มาตลอด
ทุกสิ่งเริ่มขึ้นจากความอยากร่ำอยากรวย แต่กริดในตอนนี้มิได้คิดเช่นนั้นอีกแล้ว
เขาต้องยืนอยู่บนจุดสูงสุดให้ได้
ในฐานะหัวหน้ากิลด์โอเวอร์เกียร์ซึ่งรวบรวมขุนพลหัวกะทิจากทุกสาขาเอาไว้ กริดต้องการกลายเป็นผู้ที่ไร้จุดอ่อน นี่คือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเกมออนไลน์ที่ระบบต่อสู้คือจุดเด่น ไม่ว่าใครต่างก็นึกฝันอยากเป็นที่หนึ่งด้วยกันทั้งสิ้น และกริดก็มีคุณสมบัติมากพอจะฝันเช่นนั้นได้
"นับแต่นี้ไป กษัตริย์ของไซเรนต้องรับใช้ฉัน หากไม่มีการตอบสนอง ฉันจะใช้กำลังทหารเข้ายึดครอง"
กริดได้ตอกลิ่มสุดท้ายเข้าไปในอกมาซง
ลอเอลพลันอมยิ้ม
'นายดูแลตัวเองได้แล้วสินะ'
ในแง่ของจำนวนคนและภูมิประเทศ ไซเรนเป็นอาณาจักรที่บริหารปกครองได้ง่าย
สถานการณ์เช่นนี้ คงเป็นการดีกว่าหากจะใช้กำลังเข้ายึดครองมากกว่าเป็นพันธมิตร แม้อาจมีการหลั่งเลือดบ้าง แต่นั่นคือสิ่งจำเป็น
ลอเอลยินดีกับกริดที่โตวันโตคืนทางความคิด
ก็อดกริดเอาหวะ
ReplyDeleteได้เวลายึดครองอาณาจักรแล้ว
ReplyDeleteก๊อดนี่มันก๊อดจริงๆ 55555
ReplyDelete