จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,122



[อาณาจักรโอเวอร์เกียร์และเผ่าเอลฟ์ต่างจับมือเป็นพันธมิตรกัน!]


“อะไรนะ?”


“เกิดอะไรขึ้น?”


ผู้เล่นและนักข่าวจำนวนมาก


หลังจากเดือดดาลเพราะถูก ‘เลซี’ ตัดฉากจบในตอนสำคัญ จึงเร่งเดินทางไปยังป่าต้นไม้โลกด้วยความเร็วสูงสุด แต่ทันใดนั้น พวกมันพลันชะงักค้างราวกับรูปปั้นหิน


ฉากของผู้เล่นหลายหมื่น ซึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังป่าต้นไม้โลกจากทุกทิศ พลันหยุดค้างอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย สิ่งนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยครั้ง แม้กระทั่งในหมู่พนักงานรุ่นบุกเบิกของ SA กรุปก็ตาม


ภาพตรงหน้าสมควรถูกตั้งชื่อว่า


<รูปปั้นคนโง่>


“ล…ล็อกเอาต์!”


กองทัพนักข่าวรีบล็อกเอาต์ลนลาน


สำหรับพวกไม่ได้ล็อกเอาต์ทันที ไม่ใช่เพราะไม่อยาก เพียงแต่กำลังติด ‘ต่อสู้’ จนไม่สามารถล็อกเอาต์กะทันหัน


มีใครไม่ทราบอุปนิสัยของเอลฟ์บ้าง?


ข่าวทางการทูตใหม่แกะกล่องของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ การจับมือเป็นพันธมิตรกับเผ่าเอลฟ์ สิ่งมีชีวิตชั้นสูงแสนเย่อหยิ่งและหัวรั้น กลายเป็นข่าวด่วนล่าสุด ชนิดทุกสำนักต้องแข่งกันในด้านความเร็ว


***


“ให้ตายสิ อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ยังคงทำเรื่องน่าเหลือเชื่อได้เหมือนเคย”


ณ เกาะเพิร์ล


ร่องรอยสุดท้ายของอารยธรรมสาบสูญ


เคยถูกใช้เป็นเวที PVPรอบชิงชนะเลิศในการแข่งซาทิสฟายนานาชาติปีแรก ปัจจุบัน หนึ่งชายหนึ่งหญิงกำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก


ฝ่ายสตรีมีนามว่าจิสึกะ


ฝ่ายบุรุษมีนามว่าบองเดร


เดาจากบรรยากาศ ความสัมพันธ์คนทั้งสองคงไม่ลงรอยสักเท่าใด


“ระบบเกมยินยอมให้มนุษย์เป็นพันธมิตรกับเอลฟ์ได้ด้วยหรือ? อาณาจักรโอเวอร์เกียร์มีนักการทูตพรสวรรค์? หรือไม่ก็…”


แกร่ก!


แกร่ก! แกร่ก!


มวลอากาศเย็นเฉียบฉับพลัน


อนุภาคสีใสขนาดเล็กกำลังก่อตัวกลายเป็นแผ่นม่านบาง


เพล้ง!!


ในวินาทีบาเรียน้ำแข็งสร้างเสร็จ ดาบขึ้นสนิมเล่มหนึ่งเสียบทะลวงเข้าไปพอดิบพอดี


‘บัดซบ!’


ใบหน้าบองเดรพลันอึมครึม


เพียงจินตนาการคิดว่า คมดาบจะเสียบทะลุใบหน้า หากมันลงมือช้ากว่านี้อีกเพียงวินาทีเดียว จอมอาคมน้ำแข็งพลันเสียวไปถึงสันหลัง


เคร้ง—!


เคร้งเคร้งเคร้งเคร้งเคร้งเคร้ง!


ดาบเหล็กถาโถมโหมกระหน่ำราวกับพายุ


บองเดรเลือกตอบโต้ด้วยเวทน้ำแข็ง แถมยังเป็นเวทมนตร์ระดับพื้นฐาน


มันใช้เวทมนตร์ ‘สร้างน้ำแข็ง’ เพื่อผลิตก้อนน้ำแข็งสำหรับหักเหวิถีดาบของศัตรู เทคนิคนี้นับว่าได้ผลมากทีเดียว


ส่งผลให้บองเดร ผู้มีบาดแผลเต็มตัว สบโอกาสดื่มโพชันฟื้นฟูพลังชีวิต ก่อนจะเปิดปากพล่าม


“หรือไม่ก็… กริดคงใช้คารมคมคายหลอกจีบเอลฟ์สาวสวยใสซื่อ แม้แต่ออร์คลอร์ดยังหลงกลมาแล้ว กับแค่เผ่าเอลฟ์ไร้เดียงสา คงไม่ยากเกินไปกระมัง”


ปัจจุบัน กริดคงกำลังเสพสุขกับสาวเอลฟ์


นั่นคือความนัยของบองเดร


แน่นอน มันทำไปเพื่อยั่วยุจิสึกะ


เจตนาให้เธอโกรธ เนื่องมาจาก จิสึกะคือต้นตอทำให้มันต้องมีสภาพจนตรอกเช่นนี้


“…”


จิสึกะยังคงเงียบงัน


ฝ่ามือสั่นระริก ดวงตาจ้องเขม็ง ราวกับกำลังเพ่งสมาธิทั้งหมดไว้ยังจุดเดียว


สิ่งนี้คือการ ‘ชาร์จพลัง’ เพื่อให้ศรสร้างความรุนแรงได้ถึงขีดจำกัด


“ชิ!”


มันพยายามทำให้เธอโกรธ แต่วาจากลับไม่ส่งผลแม้แต่น้อย


เมื่อเห็นว่าจิสึกะยังคงไร้อารมณ์ บองเดรเพียงส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา


หลังจากถูกแทงหัวไหล่ จอมอาคมน้ำแข็งเลื่อนฝ่ามือไปทางอัศวินความตาย ผู้กำลังปรี่เข้าโจมตีในระยะประชิด


“ศูนย์องศาสัมบูรณ์”


แกร่กแกร่กแกร่กแกร่ก—!!


เกาะเพิร์ลเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง


ภูมิประเทศพลันแปรเปลี่ยน


ทุกสรรพสิ่งรอบตัวล้วนแข็งทื่อ บองเดรยืนท่ามกลางขุนเขาน้ำแข็งขนาดมหึมา


“แฮ่ก… แฮ่ก…”


ต่อหน้าลมหายใจกระเส่าของบองเดร อัศวินความตายถูกแช่แข็ง การเคลื่อนไหวแน่นิ่งขณะเตรียมง้างดาบฟันใส่


แต่ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่ได้คงอยู่ถาวร


บองเดรขบกรามเจ็บแค้น


‘บ้าจริง! โชคร้ายชะมัด’


ไม่เคยรู้มาก่อนว่าบนเกาะเพิร์ลจะมีมอนสเตอร์บอสอาศัยอยู่


และผลพวงจากการต่อสู้นานนับชั่วโมง ทรัพยากรทุกชนิดได้ถูกใช้ไปจนเกลี้ยง


ความหวังเลือนรางเต็มที


เรากำลังจะตายเยี่ยงสุนัขข้างถนน


จิสึกะ นังปีศาจ บังอาจทำให้เรา…


ขณะบองเดรกำลังครุ่นคิด


“อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ถ้าเราสองคนร่วมมือกัน โอกาสจัดการมันยังมี”


ฉึบ—


โลกทั้งใบอาจกลายเป็นธารน้ำแข็ง


แต่เพราะปาร์ตี้กับบองเดร จิสึกะจึงรอดพ้นจากเอฟเฟคของเวทมนตร์ และได้เวลาสำแดงสุดยอดพลังให้ประจักษ์


ทันใดนั้น


ครืนนนนนนนนน—!


วิถีกระสุนสีแดงฉาน เกิดจากการหมุนควงสว่านด้วยความเร็วสูงของลูกธนู กำลังพุ่งพาดผ่านโลกแห่งน้ำแข็งของบองเดรเป็นเส้นตรงทางยาว


ศรกัมปนาททะลวงผ่านก้อนน้ำแข็งห่อหุ้มร่างกายอัศวินความตาย ตามต่อด้วยการป่นกะโหลกของเหยื่อให้กลายเป็นผุยผง


[ท่านเอาชนะวิญญาณอาฆาตแห่งปราสาทไลออน ‘เธโอดอร์’ สำเร็จ!]


[เลเวลเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ]


[เลเวลเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ]


[หัวหน้าปาร์ตี้ ‘จิสึกะ’ ได้รับไอเท็ม ‘เกราะกางเกงของอัศวินวิญญาณอาฆาต’]


[สมาชิกปาร์ตี้ ‘บองเดร’ ได้รับไอเท็ม ‘เกราะหมวกของอัศวินวิญาณอาฆาต’]


[สมาชิกปาร์ตี้ ‘บองเดร’ ได้รับไอเท็ม ‘หนังสือทักษะ : ศรมานา’]


[หัวหน้าปาร์ตี้ ‘จิสึกะ’ ได้รับไอเท็ม ‘หนังสือเวทมนตร์ : ถาดน้ำแข็ง’]


“วู้ฮู้ว! เจ๋งเป้ง!!”


บองเดรสะใจออกนอกหน้า


มีความสุขขนาดไหนก็ดูเอาจาก มันวิ่งไปแตะมือจิสึกะ ผู้เคยเป็นอริกันจนกระทั่งเมื่อครู่


นึกว่าจะไม่รอดเสียแล้ว กลับกลายเป็นว่า เราเอาชนะศึกปราบบอสมาได้!


“คึก…”


บองเดร ผู้ได้สติกลับมาหลังจากดีใจออกนอกหน้า เริ่มเดินเซถอยหลังสองก้าว พร้อมกับสวมสีหน้าดำมืดและกล่าวสบถ


“บัดซบ! จอมเวทมันฉันต่างหาก! แล้วทำไมหนังสือเวทมนตร์ถึงอยู่กับเธอ!?”


“มาแลกกันก็ได้ นายเอาหนังสือเวทมนตร์ไป ส่วนฉันเอาหนังสือทักษะ”


“ขอคิดดูก่อน บางทีศรมานาอาจมีมูลค่าสูงกว่า”


“ยังมัวสนใจมูลค่าอีกหรือ? พวกเราเพิ่งปราบบอสยากสำเร็จ ถึงความสามัคคีจะห่วยแตกก็เถอะ”


“มันผ่านไปแล้วน่า”


“ลองมาเที่ยวเกาหลีสักครั้งไหม”


“เกาหลี? ร้อนฉิบ! ฉันจะไม่ไปเหยียบประเทศของกริดอีกเป็นอันขาด!”


ครั้งหนึ่ง บองเดรเคยเป็นแรงเกอร์แถวหน้าของโลก ตัวแทนทีมชาติฝรั่งเศส


แต่ชื่อเสียงของมันดำดิ่งในชั่วข้ามคืน หลังจากถูกกริดโค่นในการแข่ง PVP ด้วยระยะเวลาเพียง 4 วินาที


ถัดมานังถูกเฟคเกอร์ถล่มด้วยตัวคนเดียว จนกิลด์ไอซ์ฟลาเวอร์ของบองเดรมีอันต้องระหกระเหิน สุดท้ายตัดสินใจยุบทิ้ง หลังจากนั้น มันกลับมาแข่งนานาชาติอีกครั้ง และถูกกริดปราบอย่างน่าสมเพชไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไร ในช่วงหลัง มันหนีขึ้นไปทางตอนเหนือ แต่ก็ยังถูกแอ็กนัสตามไปรุกราน PK…


คงเป็นการโกหก หากจะบอกว่าบองเดรไม่โกรธแค้นกริดและกิลด์โอเวอร์เกียร์เลย บองเดรจึงตอบปฏิเสธไมตรีจากจิสึกะอย่างไม่ไยดี


แน่นอน มันทราบ


ความพ่ายแพ้ต่อกริด เกิดขึ้นเพราะตัวมันไร้พลัง ส่วนเหตุการณ์เฟคเกอร์ ก็เกิดจากความประมาทเลินเล่อเช่นกัน


ดังนั้น การแค้นเคืองไปตลอดชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องฉลาด เหนือสิ่งอื่นใด มันเคยยกกองทัพรุกรานดินแดนของกิลด์โอเวอร์เกียร์ในนาม ‘เจ็ดกิลด์ใหญ่’ มาก่อน พฤติกรรมเช่นนี้สมควรถูกกรรมตามสนองแล้ว


“เฮ่อ…! เธอไสหัวไปได้แล้ว พวกเราไม่ควรยุ่งเกี่ยวกันอีกในอนาคต!”


บองเดรกดปุ่มยอมรับหน้าต่างแลกเปลี่ยนจากจิสึกะ


‘ศรมานา’ และ ‘ถาดน้ำแข็ง’ ถูกเปลี่ยนมือ แม้ว่าราคาตลาดจะแตกต่างกันถึงสามเท่า


จิสึกะ ผู้เป็นฝ่ายได้เปรียบ ฉีกยิ้มกว้าง


“ฉันติดหนี้นายแล้ว แล้วจะใช้คืนวันหลัง”


“ไม่จำเป็น เธอหูตึงหรือไง? ฉันบอกว่าพวกเราไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก!”


“ปากร้ายแต่ใจดีชะมัด”


“ไม่ได้ใจดี แต่เป็นคำขอโทษ การล้มบอสจะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีเธอ”


“สำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีนายเช่นกัน ดังนั้น ฉันขอขอบคุณจากใจจริง”


“…”


คนสองคนพบกันโดยบังเอิญบนเกาะ


แน่นอน ต่างคนต่างเก็บเลเวลโดยไม่ก้าวก่ายกันและกัน


จนกระทั่งอัศวินความตายปรากฏ จิสึกะได้ทำการลากไปยังจุดเก็บเลเวลบองเดร


แน่นอน เป็นไปตามคาด คำพูดแรกจากปากจอมอาคมน้ำแข็ง บองเดร คือถ้อยคำก่นด่าแสนหยาบคาย


นอกจากจะไม่รับคำเชิญปาร์ตี้ มันยังปฏิเสธและต่อว่าจิสึกะต่างๆ นานา


แต่หลังจากเฉียดใกล้ความตายหนแล้วหนเล่า มันไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับปาร์ตี้และร่วมมือต่อสู้


หลังจากนั้น ผลลัพธ์จากการร่วมแรงร่วมใจออกมาดีเกินคาด ถือเป็นประสบการณ์ไม่เลวสำหรับบองเดร


“บองเดร นายแข็งแกร่งขึ้นมาก”


ไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า ชายคนนี้กลายเป็นเฟคเกอร์แห่งคลาสสายจอมเวทเต็มตัว


ฝีมือควบคุมของบองเดรเหนือขีดจำกัดมนุษย์ไปไกลแล้ว


โดยเฉพาะการเล็งสร้างก้อนน้ำแข็งหักเหวิถีดาบศัตรู คงเชื่อได้ยากว่าจะมีมนุษย์คนใดทำสำเร็จ หากจิสึกะไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง


“เธอก็เหมือนกัน”


บองเดรยอมรับในฝีมือจิสึกะ


จริงอยู่ว่า ต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งชั่วโมง กว่าจะสั่งสม ‘ดาเมจ’ ถึงจุดเพียงพอสำหรับล้มบอสใหญ่ แต่ต้องไม่ลืมว่า อัศวินความตายตนนี้มีเลเวลไม่ต่ำกว่า 400


มันไม่อยากเชื่อว่า เธอสามารถป่นกะโหลกอัศวินความตายบัดซบนั่นจนแหลกละเอียด


บองเดรยังไม่เข้าใจหลักการ ‘ชาร์จพลัง’ ของคลาสนักธนูสักเท่าไร แต่ด้วยการชาร์จเพียงสิบวินาที พลังทำลายของจิสึกะกลับมหาศาลจนน่าเหลือเชื่อ ถึงจะไม่รุนแรงชนิดฟ้าถล่มแผ่นดินทลายเท่ากริดก็ตาม


มันมั่นใจว่าการประเมินของตัวเองถูกต้อง เนื่องจากย้อนดูวิดีโอฉากกริดดวลออร์คลอร์ดหนแล้วหนเล่าจนทะลุปรุโปร่ง


‘แต่ถ้าเธอชาร์จไว้สักหนึ่งนาที การโจมตีจะทรงพลังขนาดไหนกัน…’


“…ว่าแต่ ทำไมเธอถึงต้องเก็บเลเวลคนเดียวไกลขนาดนี้?”


บองเดร ผู้กดออกจากปาร์ตี้ พลันชะงักฝีเท้าและหันมาซักถาม


ด้วยความสัตย์จริง มันกำลังฉงน


กิลด์โอเวอร์เกียร์โด่งดังในด้านผูกขาดดันเจี้ยน โดยเฉพาะขุมทรัพย์อย่างเมืองแวมไพร์รอบเรย์ดัน การออกจากจุดปลอดภัย และเดินทางมาเก็บเลเวล ภายใต้สถานการณ์ยากลำบากตามลำพังบนเกาะห่างไกล บองเดรไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว


และถ้าจะให้คิดว่า เธอจงใจเล็งฆ่าบอสใหญ่ สิ่งนี้ก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลกว่าเดิม


จิสึกะเป็นนักธนู


ห่างไกลจากคำว่า ‘โซโล่บอส’ มากโข


อย่างน้อยถ้าเล็งบอสไว้แต่แรก การมาพร้อมแทงค์สักคนคือเรื่องจำเป็น


จิสึกะยักไหล่


“ฉันกำลังฝึกตัวเอง”


“ฝีกหรือ… ไม่เลว”


บองเดรอมยิ้มจืดชืด ภายในใจกำลังคิดว่า เหตุใดจุดประสงค์ของเธอ ถึงเหมือนกับตัวมันจนน่าตกใจ


“ขอโทษสำหรับคำพูดไร้สาระ ฉันทราบว่าเธอคบกับกริด ก็เลยจงใจว่าร้าย ให้กริดเป็นเหมือนกับเพลย์บอยเจ้าชู้”


ใช่แล้ว เป็นการกล่าวหาเลื่อนลอยชนิดไม่ใกล้เคียงความจริงเลยสักนิด


กับเผ่าเอลฟ์ สิ่งมีชีวิตเย่อหยิ่งทระนงตน ลำพังลมปากหอมหวาน ไม่มีทางโน้มน้าวใจสำเร็จแน่


แต่จิสึกะคิดต่าง


“ไม่หรอก นายพูดถูกแล้ว คงมีเอลฟ์สาวสวยสักตนหลงกริดจนใจอ่อน ยอมจับมือเป็นพันธมิตร”


“…ไม่มีทาง”


“มั่นใจได้ยังไง? นายยังไม่รู้จักกริดดีพอ”


“ถ้านั่นเป็นเรื่องจริง เธอจะไม่แย่เอาหรือ ป่านนี้กริดคงกำลังเล่นจ้ำจี้กับเอลฟ์แน่”


“ก็แค่ในเกม”


“…?”


“ฉันไม่สนว่ากริดจะทำอะไรกับใครในเกม ตรงกันข้าม ยิ่งมีประสบการณ์มากก็ยิ่งดี”


โลกจริงและซาทิสฟายแตกต่างกัน


จิสึกะมีแผนลงเอยกับกริดในชีวิตจริง เธอจะไม่ปล่อยให้ใครชิงตัดหน้าเด็ดขาด ส่วนภายในเกมนั้นตรงข้าม เธอแทบไม่แยแส


“…ใจกว้างสมกับเป็นสาวอเมริกาใต้”


“แล้วอีกอย่าง ตอนฉันเริ่มชอบกริด เขาได้แต่งงานไปแล้ว เรียกว่าหมดสิทธิ์กุมหัวใจในเกมตั้งแต่เริ่ม”


“แบบนี้เองหรือ…”


บองเดรพยักหน้ารับก่อนจะเดินจากไป


เมื่ออยู่ตามลำพัง จิสึกะกวาดสายตาอ่านข้อความระบบมุมหน้าจอ


[‘ตัวตน’ ของท่านถูกยกระดับเท่าเทียมบรรพบุรุษ อดีตนักธนูในตำนาน ‘โพเวีย’]


[ขอแนะนำให้เดินทางไปยังป่าต้นไม้โลก]


[สิบสองผู้พิทักษ์ หรือราชาเอลฟ์ จะยินดีต้อนรับท่าน และมอบคำบอกใบ้สำคัญ]


“เสร็จสักที”


ว่ากันตามตรง จิสึกะมีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดโพเวียมานานแล้ว


แต่เธอปฏิเสธ เพราะทราบดีว่า เส้นทางของโพเวียมิได้ช่วยให้เข้าถึงแก่นแท้ของธนู


เมื่อเทียบกับตำนานอันมากมายในอดีต ลำดับความแข็งแกร่งของโพเวียจะอยู่ตรงกลางค่อนไปทางล่าง


ฉะนั้น จิสึกะจึงต้องการสร้างทางเดินเป็นของตัวเอง ทางเดินอันเปี่ยมด้วยอนาคต ทางเดินอันทรงพลังยิ่งกว่าผู้สืบทอดโพเวีย


ณ ค่ำคืนดารารายเต็มท้องฟ้า


สิบวีรชนทั่วทั้งทวีปต่างกำลังพัฒนาตัวเอง


พวกเขาต้องเผชิญหน้าศัตรูแข็งแกร่ง เกิดความท้อแท้ แต่ไม่ท้อถอย ขณะเดียวกันก็สานสัมพันธ์กับคนรอบตัว


***


“ไอรีน!”


กริด ผู้เดินทางกลับถึงเมืองหลวงพร้อมอัศวินและเบเนียลู โผเข้ากอดไอรีนอย่างแนบแน่นร้อนแรง แม้ทุกทีจะเป็นยอดนักรักอยู่แล้ว แต่คราวนี้ดุดันเป็นพิเศษ ไม่แยแสสายตาชาวเมืองหรือผู้เล่นผ่านไปมาหน้าประตูเมือง


“เคย์กำลังรออยู่”


ลอเอลส่งเสียง ปลุกกริดให้ตื่นจากภวังค์


“เข้าใจแล้ว ไอรีน คุณมากับผมไหม?”


“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่อยากขัดขวางการทำงาน”


“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย มาด้วยกันเถอะ”


กริดกุมมือไอรีนแน่นถนัด พร้อมกับจูงเธอเดินเข้าไปในปราสาท


ชายหนุ่มสัมผัสถึงริ้วรอยเล็กน้อยรอบดวงตาภรรยา แต่มิได้กังวลเหมือนเมื่อก่อน ในเมื่อเหลือเวลาไม่อีกมาก มันก็จะทุ่มความรักให้ไอรีนอย่างเต็มกำลัง


“สุดยอด…”


กริด ผู้ออกเดินทางผจญภัยหลายวัน พลันโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ


ปราสาทโอเวอร์เกียร์ ปัจจุบันถูกเคย์แก้ไขปรับแต่งโครงสร้างใหม่หมด กลายเป็นอาคารกว้างขวาง โอ่โถง และมีสีสันมากขึ้น โดยเฉพาะโครงสร้างภายใน ทั้งงดงามและเปี่ยมอรรถประโยชน์ในเวลาเดียวกัน


‘สวยมาก แถมบริเวณใช้สอยก็ยังเพิ่มขึ้น’


นี่คือพลังของสถาปนิก?


หลังจากสำรวจทุกมุมจนถี่ถ้วน กริดสวมสีหน้าอึมครึมเป็นเวลานาน


‘ถ้าเรามีทักษะสถาปนิก… ควรใช้พิมพ์เขียมวังหลวงเองดีไหม?’


พิมพ์เขียววังหลวง กริดได้ครอบครองเพราะความใจกว้างของจักรพรรดิฮวนเดอร์


ถือเป็นไอเท็มลับแสนสำคัญ บางทีอาจมีมูลค่าเทียบเท่า ‘หนังสือหายากของแพ็กม่า’


เงื่อนไขการใช้งานคือ ต้องเป็นสถาปนิก หากสามารถเรียนได้ พิมพ์เขียวจะช่วยให้ผู้อ่านได้รับทักษะสถาปนิกขั้น ‘ช่างฝีมือ’


หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ กริดจะกลายเป็นสถาปนิกช่างฝีมือทันที เมื่อใช้งานพิมพ์เขียวหลังจากครอบครองทักษะ ‘สถาปนิกชั้นต้น’


อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่ผลีผลาม


‘ค่อยตัดสินใจภายหลัง’


พิมพ์เขียวไม่เหมือนกับชิ้นส่วนลับแพ็กม่า


ไม่เฉพาะตัวเอง มันมีมูลค่าสูงกับผู้อื่นด้วย


การเรียนเองอาจไม่คุ้ม ไม่ควรหน้ามืดตามัวเพียงเพราะความโลภ


สามารถนำไปใช้เป็นแคร์รอต หลอกล่อให้บุคคลพรสวรรค์เข้ามาติดกับ


‘ยิ่งไปกว่านั้น การก่อสร้างอาคารไม่ใช่เรื่องง่าย’


สำหรับช่างเหล็ก การผลิตไอเท็มสักชิ้น ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ไปจนถึงหลายวัน แต่หน่วยการทำงานของสถาปนิกคือสัปดาห์ หรือไม่ก็เป็นเดือน เช่นนั้นแล้ว กริดผู้ไม่มีเวลาจะเก็บเลเวลและตีเหล็กไปพร้อมกัน จะทุ่มเวลาให้การก่อสร้างได้สักเท่าไรเชียว?


ฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น


‘เราแค่อยากได้โรงเหล็กพกพา ทักษะขั้นต้นก็น่าจะพอแล้ว’


จะเรียนได้หรือไม่ เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบ


กริดกลืนน้ำลายอย่างกดดัน มันเดินไปหาคนแคระเคย์ ผู้กำลังตัดแต่งหินในจุดห่างไกล พร้อมกับส่งเสียงซักถาม


“นายคิดว่าฉันเรียนสถาปนิกได้ไหม?”


“ฝ่าบาทคงมีวิธีแล้วสินะ”


แม้เคย์จะเป็นคนประหลาด แต่ก็มีสมองในระดับอัจฉริยะ


เมื่อมันตอบว่า ‘สร้างโรงเหล็กพกพาไม่ได้’ ถัดจากนั้นไม่นาน กริดได้แสดงเจตจำนง ต้องการเรียนเทคนิคสถาปนิกด้วยตัวเอง เคย์จึงมองเห็นสาเหตุทะลุปรุโปร่ง


“ฝ่าบาทคิดจะสร้างโรงเหล็กจากโลหะใหม่ของท่านใช่ไหม”


“…ถูกต้อง”


ละโมบเคลื่อนไหวได้เอง มีความคงทนอนันต์ และปรับเปลี่ยนความยืดหยุ่นได้อิสระ


หากสร้างโรงเหล็กด้วยละโมบ ก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพลทหารลากจูงอีกต่อไป บางที อาจพัฒนาไปสร้างป้อมปราการลอยฟ้า


เคย์ส่ายหัว


“น่าเสียดาย แต่คงเป็นไปไม่ได้ ช่างเหล็กไม่สามารถเรียนทักษะสร้างอาคาร ทั้งสองศาสตร์แตกต่างกันสิ้นเชิง”


“ถึงจะมีค่าความชำนาญสูงก็ไม่ไหวหรือ?”


“การสร้างอาคารมิได้ใช้เพียงความชำนาญ แต่รวมถึงคณิตศาสตร์ จำเป็นต้องมีพรสวรรค์หลายด้าน”


ในวินาทีนี้ กริดมั่นใจแล้ว


เคย์ไม่ได้ชำนาญก่อสร้างเพราะเป็นช่างเหล็ก แต่เพราะมันคือคนแคระ


“แบบนี้เองหรือ…”


กริดเผยสีหน้าผิดหวังชัดเจน


ป้อมปราการลอยฟ้า… ไม่สิ โรงเหล็ก


นึกว่าเราจะได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลกโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังงาน มโนภาพความฝันพังครืนภายในเวลาแสนสั้น


ขณะกริดกำลังเหม่อลอย เคย์กล่าวถ้อยคำแฝงเลศนัย


“บางที ฝ่าบาทอาจสร้างโรงเหล็กด้วยแร่ละโมบสำเร็จ โดยไม่ต้องมีทักษะสถาปนิก”


“…?!”


ใบหูกริดกระพือทันใด


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,511
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00