จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,121



“ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของสิบสองผู้พิทักษ์มานาน จะไม่เป็นอะไรจริงหรือหากตำแหน่งเกิดว่างลงกะทันหัน"


ปิอาโร่ไม่เหมือนกริด


แน่นอน ย่อมมีเหตุผลให้แตกต่าง


กริดอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ส่วนปิอาโร่คือวีรบุรุษอาณาจักรผู้รายล้อมด้วยสาวงาม


หลังจากสานสัมพันธ์กับสตรีผู้หนึ่งเป็นเวลานาน ปิอาโร่ได้สร้างครอบครัวขึ้น หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ เขาแตกต่างจากเกือบทุกคนตรงนี้ มีความรับผิดชอบสูงกว่ามาก


“ไม่ต้องห่วง ขนาดว่าฉันจะหายไปเที่ยวเล่นในท้องรัฟเฟลเชียมาสักพัก ครอบครัวพวกเราก็ยังดำรงอยู่ได้ ดังนั้น การขาดหายไปของฉันคงไม่ส่งผลสักเท่าไร”


“มีผู้สืบทอดเตรียมไว้แล้วสินะ”


“ฮุฮุ แน่นอน”


หากไม่นับเอลฟ์อายุน้อยอย่าง ‘เดเลียลู’ สิบสองผู้พิทักษ์ทุกคนล้วนมีผู้สืบทอดล่วงหน้า


ผู้สืบทอดแต่ละคนย่อมไม่ธรรมดา ฝีมือและพรสวรรค์สูงกว่ากลุ่มเอลฟ์รุ่นใหม่ทั้งหมดยกเว้นเดเลียลู


“หมายความว่า พวกเราพาเธอไปได้โดยไม่ติดขัดอะไรใช่ไหม?”


“ก็คงงั้น…”


เบเลียลูหัวเราะขื่นขม, จินตนาการถึงเอลฟ์ชายแสนอ่อนแอและขี้เกียจภายในเผ่า, จินตนาการถึงมนุษย์ชายชั่วร้ายผู้วางยาพวกตนและหวังจับไปขาย


ปิอาโร่จ้องมองอย่างลุ่มลึก


“ผมรักคุณนะ ขอสัญญาว่าจะพรากหัวใจคุณมาเป็นของผมให้ได้ คุณจะได้อยู่ในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ตลอดไป"


ปิอาโร่ทราบดี


เบเนียลูตกหลุมรักตน


อย่างไรก็ตาม จากธรรมชาติของเผ่าเอลฟ์ คงเป็นการยากจะให้อีกฝ่ายสารภาพรักก่อน


ปิอาโร่จึงเสียสละตัวเอง, เป็นฝ่ายชิงบอกรักตัดหน้า โดยแสร้งทำเป็นไม่เคยทราบว่าอีกฝ่ายแอบมีใจให้


“คุ…คุณปิอาโร่…”


เบเนียลูพลันแก้มแดง


พึบพับพึบพับ.


ใบหูแหลมยาวของเอลฟ์สาวกำลังกระพือในลักษณะไม่ต่างจากปีกผีเสื้อ


คงเป็นอาการหลังจากเกิดความขวยเขินเหนือพรรณนา


“คุณพูดจริงหรือ? ฉันเป็นเอลฟ์ ส่วนคุณเป็นมนุษย์"


“เผ่าพันธุ์เกี่ยวข้องอย่างไรกับความรัก? แค่ผมรักคุณก็พอแล้ว ถึงผมจะมีอายุขัยสั้นกว่าคุณก็จริง แต่ในเมื่อทราบว่าเหลือเวลาชีวิตไม่มาก ผมจะยิ่งมอบความรักให้คุณมากกว่าเดิม เอาใจใส่มากกว่าเดิม และมีความสุขด้วยกันตลอดไป”


ขณะจ้องมองดวงตาแสนซาบซึ้งของเบเนียลู ปิอาโร่สัมผัสถึงเศษเสี้ยวความเจ็บปวดจากก้นบึ้งจิตใจเธอ บาดแผลของเอลฟ์สาวถูกกรีดลึกไม่ต่างจากตนในอดีต


ปิอาโร่ต้องการนำทางเบเนียลู ถึงวิธีการสมานแผลใจให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง


คนแบบพวกเราสามารถมีความสุขได้


คนแบบพวกเราก็มีสิทธิ์ได้รับความสุข


สิ่งนี้มิได้เกิดจากความเห็นใจเพียงผิวเผินเปลือกนอก แต่เป็นอารมณ์ร่วมของบุคคลผู้เคยตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันมาก่อน


“จิตใจของฉันดำมืดจนมองเจ้าผิดไป ต้องขอโทษด้วยนะ”


เบเนียลูหันไปกล่าวขอโทษรัฟเฟลเชีย


เธอไม่โกรธเคียงอีกฝ่าย แม้จะถูกรัฟเฟลเชียกลืนลงท้องเป็นเวลานานก็ตาม


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปิอาโร่อมยิ้ม


มันชื่นชมทัศนคติของเบเนียลู


ในเมื่อรัฟเฟลเชียทำไปตามสัญชาตญาณ โกรธเคืองไปแล้วจะได้อะไรกลับมา?


เหนือสิ่งอื่นใด ปิอาโร่ยังชื่นชอบใบหน้าของเอลฟ์สาวตนนี้มาก


ดวงตาเรียวคมดุดัน, เกิดจากความพยายามทำตัวให้เข้มแข็งตลอดเวลา, ช่างน่ารักน่าชังเหนือคำบรรยาย


โดยสรุปแล้ว เบเนียลูคือหญิงสาวตรงตามรสนิยมปิอาโร่ทุกประการ มันจึงหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกับเธอ


“แล้วคุณจะต้องรักผม”


อบอุ่นและอ่อนโยน


เนื้อเสียงอันเข้มแข็งของปิอาโร่กำลังสั่นคลอนหัวใจเบเนียลูอย่างหนัก


ทันใดนั้น เบเนียลูผู้มีใบหน้าแดงก่ำ, รีบส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น


“ฉันไม่เชื่อ… คุณต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าทำแบบนั้นได้จริง”


‘เชี่ยไรเนี่ย…’


ขณะจ้องมองปิอาโร่และเบเนียลูกำลังพลอดรัก กริดทำได้เพียงส่ายศีรษะ


พวกเราอยู่ในการประชุมจับมือเป็นพันธมิตรกับเอลฟ์ไม่ใช่หรือ?


วิธีใหม่ในการสานสัมพันธ์ คือการขอแต่งงานอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัลใช่ไหม?


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ…


‘แต่นายก็เท่ชะมัด’


ไม่ว่าจะผิดกาลเทศะหรือไม่ แต่ความซื่อตรงของปิอาโร่ได้มอบแรงบันดาลใจให้กริดเป็นอย่างมาก


ชายหนุ่มเกิดความประทับใจในตัวปิอาโร่


โดยเฉพาะการกล่าวถึงประเด็นด้านอายุขัย สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ปิอาโร่กลับถ่ายทอดได้ซึ้งกินใจจนน่าเหลือเชื่อ


‘เมื่อเหลือเวลาไม่มาก… ความรักจึงเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม’


มันนึกเจ็บใจตัวเอง


เป็นเพราะกริดทราบว่าอายุขัยของตนแตกต่างจากไอรีน จึงแสดงสีหน้าเจ็บปวดให้เธอเห็นบ่อยครั้งขณะอยู่ด้วยกัน


ไอรีนเจ็บปวดกว่าเรามาก แต่นอกจากจะไม่ปลอบใจ กลับยังทำให้ไอรีนเจ็บช้ำกว่าเดิม


‘นับแต่นี้ไป เราจะเป็นเหมือนปิอาโร่…’


จะไม่ให้เวลามาเป็นอุปสรรคของความรัก


ใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสียใจในภายหลัง


ปลอบประโลมไอรีนด้วยรอยแสนยิ้มอบอุ่นและคำพูดหวานซึ้ง


มอบความรักให้เธออย่างหมดหัวใจ จะได้จากกันอย่างไม่มีสิ่งใดให้ค้างคาภายหลัง


ขณะกำลังสาบานกับตัวเอง กริดบังเอิญเหลือบเห็นเมอร์เซเดส


“…”


น่าเหลือเชื่อมาก ในวินาทีนี้ เมอร์เซเดสไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง


ขณะสายตากำลังจ้องมองปิอาโร่และเบเนียลู เธอไม่ใช่อัศวินในตำนาน แต่เป็นเด็กสาวผู้ปรารถนาความรักจากชายในฝัน


ชายในฝันเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกริด


แน่นอน กริดเองก็ชอบเธอเช่นกัน


อัศวินผู้มีจิตใจซื่อตรงและฝีมือเก่งฉกาจ


การมีอัศวินงดงามเช่นนี้คอยรับใช้อย่างซื่อสัตย์ข้างกาย ไม่ว่าใครก็คงปฏิเสธไม่ลง


ย้อนกลับไปในอดีต กริดเคยตกหลุมรักใบหน้าอันงดงามของเมอร์เซเดสตั้งแต่แรกพบ


“เมอร์เซเดส”


“เพคะ ฝ่าบาท”


เมอร์เซเดสขานตอบด้วยอากัปกิริยาขึงขังผิดจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง


“เอ่อ…”


กริดเริ่มหน้าแดง


มันต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่ปากกลับขยับได้ยากเย็นเหลือเกิน


“…”


ชายหนุ่มยืนกระอักกระอ่วน ส่วนเมอร์เซเดสทำเพียงรอฟัง, เฉกเช่นทุกครั้ง, ด้วยสายตาอ่อนโยนและไม่เคลือบแคลง


“ฉ…ฉัน”


เมื่อได้สบตากับเมอร์เซเดส กริดไม่มัวลังเลอีกต่อไป


มันซื่อทรงต่อความรู้สึกของตัวเองหลังจากเห็นปิอาโร่เป็นแบบอย่าง จึงไม่ต้องการหลอกตัวเองและคนรอบข้าง


“ฉันอยากรักไอรีนโดยไม่เสียใจภายหลัง”


“เป็นเรื่องน่ายินดีเพคะ ฝ่าบาท”


การมอบความรักเป็นเรื่องดีเสมอ ไม่ว่าผู้รับจะเป็นใครก็ตาม


เมอร์เซเดสเผยรอยยิ้มพร้อมกับพยักหน้า


ทันใดนั้น ใบหน้าอัศวินในตำนานพลันแดงระเรื่อราวกับผลแคร์รอต พร้อมกับกล่าวถ้อยคำอันน่าตกตะลึงออกมา


“ดิฉันก็จะทำแบบเดียวกับฝ่าบาท”


“…เอ๋?”


“แต่ดิฉันไม่แน่ใจว่า ตัวเองจะรักท่านและท่านไอรีน, โดยไม่เสียใจภายหลัง, พร้อมกันทีเดียวสองคนได้หรือไม่ ขอเวลาไตร่ตรองดูก่อนนะเพคะ”


“…”


เมอร์เซเดสไม่เหมือนกับซูเอ


เธอผ่านอุปสรรคมากมายร่วมกับกริด จนกระทั่งตกหลุมรัก แต่กระนั้นก็ไม่กล้าสารภาพความจริงต่อเจ้านาย เนื่องจากมีตำแหน่งอัศวินประจำตัวคอยค้ำคอ


“ร…เรื่องนั้น…”


กริดกระอักกระอ่วน


เมอร์เซเดสกำลังเขินขายสุดขีด เธอรีบก้าวถอยหลังพร้อมกับเบือนหน้าไปทางอื่น


‘เธอรู้ด้วยหรือว่าเราชอบเธอ?’


ตั้งแต่เมื่อไร?


‘เชี่ย… น่าอับอายฉิบ’


ตึกตัก! ตึกตัก!


หัวใจโครมครามราวกับจะระเบิดออก…


ผ่านไปนานหลายนาทีอย่างเงียบงัน จนกระทั่งเมอร์เซเดสหันกลับมามองกริดอีกครั้ง แต่ตาซ้ายและตาขวากลับเพ่งไปยังคนละจุด ข้างหนึ่งจ้องใบหน้ากริด ส่วนอีกข้างมองไปทางอื่น ประหนึ่งไม่กล้าสบตาด้วยตรงๆ


“ด…ดิฉันจะรอคำตอบ จนกว่าชีวิตของตัวเองจะหาไม่!”


“…”


น่ารักฉิบหาย


ภาพของเมอร์เซเดสกำหมัดสองข้างพร้อมกับหลับตาตะโกน สำหรับกริด ไม่มีกิริยามารยาทใดน่ารักไปกว่านี้อีกแล้ว


ฉ่า~


ราวกับมีไอน้ำระเหยเหนือศีรษะของกริดและเมอร์เซเดส ใบหน้าทั้งคู่แดงก่ำราวกับใกล้ระเบิดเต็มที


ในเวลาเดียวกัน


“ช่างไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย”


“เรียกว่ามีนิสัยเปิดเผยจะเหมาะกว่านะ”


“…”


อัศวินและกษัตริย์สารภาพรักต่อกัน โดยไม่สนว่าอยู่ระหว่างการประชุมหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางอาณาจักร?


อเมลด้าและพวกพ้องต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ พวกเธอไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องได้ยินอะไรเช่นนี้


ทางด้านสกังค์และปาร์ตี้กำลังอมยิ้ม


เป็นรอยยิ้มอบอุ่น, พึงพอใจ และไม่มีเจตนาเหยียดหยันแต่อย่างใด


“คุณกริดมีหัวใจบริสุทธิ์จนน่าเหลือเชื่อ”


“ฮะฮะ จริงด้วย”


พลังในการดึงดูดผู้คน


หลายคนมักเอาไปพูดลับหลังว่า หลังจากกริดได้เป็นกษัตริย์คนแรก ทุกวันคงเอาแต่เสพสุขกับภรรยารองและนางสนมจนอิ่มเอม


ในเมื่อทำได้ ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องไม่ทำ


แต่กริดเลือก ‘ไม่ทำ’


เขาไม่หลงใหลการเปิดฮาเร็มขนาดมหึมาให้สมฐานะราชาโอเวอร์เกียร์ บุคคลอันดับสองแห่งทวีปตะวันตก แต่กริดเลือกยึดติดกับรักเดียวอย่างน่าชื่นชม


เป็นธรรมชาติตรงข้ามกับภาพลักษณ์ของราชาอสูรในสายตาใครหลายคน พวกมันมักจินตนาการว่า เพียงกริดโมโห ก็สามารถสั่งฆ่าทหารทิ้งเป็นว่าเล่นได้แล้ว


‘เป็นเพราะนิสัยเช่นนี้ เหล่าอัจฉริยะของโลกจึงรุมล้อมไม่ห่าง’


บุคคลผู้เทิดทูนสายสัมพันธ์เหนือสิ่งใด…


ความชื่นชอบของสกังค์ต่อกริด ทวีจำนวนขึ้นอย่างมากภายในการเดินทางไม่กี่วัน


***


หลังจากจบการประชุม ทางเอลฟ์ได้จัดการเลี้ยงต้อนรับกริดอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะ


ก่อกองไฟรอบหมู่บ้าน มื้ออาหารเต็มไปด้วยเนื้อ ผลไม้ ไวน์ และผัก กริดฟาดเรียบจนกระเพาะอาหารไม่สามารถรับอะไรเพิ่มได้อีก


“นี่… ท่านมารดา”


ขณะนั่งร่วมโต๊ะข้างเมอร์เซเดส กริดแอบปลีกตัวออกมาพบต้นไม้โลกตามลำพัง


น้ำเสียงการพูดเป็นไปอย่างสนิทสนม


แม้ตัวตนของต้นไม้โลกจะใกล้เคียงเทพ แต่กริดก็สามารถพูดคุยได้สะดวกใจกว่ามาก


เทพเอาแต่เฝ้ามองมนุษย์จากดินแดนสวรรค์ แต่มารดาต้นไม้โลก คอยปกป้องมนุษย์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด


จากข้อมูลของลอเอล ภัยแล้งคือการลงโทษจากมารดาต้นไม้โลก ส่วนความอุดมสมบูรณ์คือพรอันประเสริฐ


ส่งผลให้กริด, ผู้เชื่อมั่นในคุณงามความดีของต้นไม้โลก, ยอมไว้ใจต้นไม้โลก


> มีอะไรหรือ


“พันธสัญญาของภูตธาตุ, ท่านมารดามอบสิ่งนี้ให้เหล่าอัศวินของผมได้ไหม”


ในอดีต ต้นไม้โลกเคยอำนวยความสะดวกให้กริดมาแล้วมากมาย


ไม่เฉพาะกริด แต่สมาชิกกิลด์โอเวอร์เกียร์ทั้งหมดล้วนได้รับสิทธิ์ทำพันธสัญญา


อย่างไรก็ตาม เหล่าอัศวินใกล้ตัวกลับไม่ได้รับโอกาสดังกล่าวแม้แต่คนเดียว รวมถึงเมอร์เซเดส


ย้อนกลับไปตอนนั้น กริดสำนึกในบุญคุณต้นไม้โลกอย่างมาก จึงไม่กล้าเรียกร้องเพิ่มจากเดิม แต่สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไป


อัสโมเฟล เมอร์เซเดส และปาร์ตี้อเมลด้า ทุกคนต่างสละชีวิตเข้าต่อสู้กับไคล์เพื่อปกป้องเอลฟ์ด้วยความกล้าหาญ ส่วนปิอาโร่คือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตเบเนียลูกับรัฟเฟลเชียไว้


กริดค่อนข้างมั่นใจว่า หากเป็นคนเหล่านี้ บางทีมารดาต้นไม้โลกอาจใจอ่อนยอมมอบพันธสัญญาเพิ่มเติม


แต่ตรงข้ามกับความคาดหวัง ต้นไม้โลกตอบปฏิเสธ


> เป็นไปได้ยาก


“เพราะเหตุใด?”


ครืนนน.


กิ่งหนึ่งของต้นไม้โลกเริ่มขยับ


ปลายกิ่งชี้ไปทางปิอาโร่


> เขาสื่อสารกับธรรมชาติได้โดยตรง การมีภูตธาตุคงไม่ช่วยอะไรมากนัก ศักดิ์ของภูตธาตุเป็นรองธรรมชาติ


“กระทั่งราชาแห่งภูต?”


> ต่อให้เป็นราชาภูต แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่ดี ช่วงแรกอาจเป็นประโยชน์ให้เขาได้ก็จริง แต่ในภายหลัง เขาคนนั้นจะพัฒนาขึ้นจนราชาแห่งภูตกลายเป็นตัวช่วยไร้ประโยชน์ ดังนั้น ราชาภูตคงตอบปฏิเสธ


ถัดมา กิ่งไม้ชี้ไปทางอัสโมเฟล


> ชายคนนั้นคือ ‘ราชาโดดเดี่ยว’ ไม่สามารถสื่อสารกับภูตได้ พื้นฐานสำคัญของการทำพันธสัญญาคือ ต้องรับรู้ตัวตนของภูตให้ได้เสียก่อน แต่เขาไม่มีคุณสมบัตินั้น


“อะไรคือราชาโดดเดี่ยว? เขาต้องอยู่ตามลำพังไปจนตายเลยหรือ?”


กริดย่อมไม่เข้าใจ


อัสโมเฟลจะโดดเดี่ยวได้อย่างไร ในเมื่อกำลังเป็นบริวารของตน


ชายคนนั้นกำลังเยียวยาแผลใจในอดีต


บางครั้งก็ยังเผยให้เห็นด้านสดใส


กริดเปล่งเสียงซักถาม แต่ต้นไม้โลกกลับเงียบงันจนผิดวิสัย


ชายหนุ่มรีบถามซ้ำด้วยสีหน้าอึมครึม


“อย่าบอกนะว่า… อัสโมเฟลพร้อมจากไปทุกเมื่อ?”


> …


เป็นความเงียบงันอีกระลอก


กริดพลันเศร้าหมอง เพราะความเงียบนั้นคือคำตอบในตัวเอง


“ผมสามารถ… เปลี่ยนอัสโมเฟลได้ไหม? ถ้าลองทุ่มความพยายามทั้งหมด…”


> เราตอบคำถามของเจ้าไม่ได้


“…”


กริดเชื่อมั่น


อัสโมเฟลต้องหายจากแผลใจได้แน่


และตนจะเป็นคนทำให้สิ่งนั้นเป็นจริง


“แล้วหมายความว่าอย่างไร ทำไมอัสโมเฟลถึงไม่สามารถรับรู้ตัวตนของภูต? เขามองไม่เห็นภูตหรือ?”


กริดซักถามพลางชี้ไปยังก้อนแสงสีขาววนเวียนรอบตัว ขณะเดียวกัน ต้นไม้โลกยืนยันหนักแน่น


> ถูกต้อง


“แต่เขาทำเหมือนมองเห็นมาตลอด…”


> ถ้าเจ้าพูดว่า ‘ตรงนี้มีภูต’ เขาก็จะเชื่อว่าตรงนี้มีภูต


จริงด้วย…


ต่อให้กริดชี้ถั่วเหลืองหมักและเรียกมันว่าถั่วแดง อัสโมเฟลก็จะเชื่อว่าสิ่งนั้นคือถั่วแดงโดยไม่เคลือบแคลง เขาเป็นคนเช่นนี้มาตลอด


ถัดมา กิ่งไม้ชี้ไปทางเมอร์เซเดส


> แม้แต่เธอก็ทำพันธสัญญาไม่ได้


“ทำไมกัน?”


> เทพทุกตนมีความหวาดระแวงเสมอ ในเมื่อเทพแห่งภูตหวาดระแวงพลังของเธอ จึงไม่มีทางอนุญาตให้ภูตตนใดทำพันธสัญญา


“พลังทำให้เทพหวาดระแวง…?”


กริดเข้าใจทันที


“เนตรมองทะลุ?”


> ถูกต้อง มนุษย์ไม่ควรมีสิ่งนี้


‘…ก็แหงสิ’


สมเหตุสมผลแล้ว


ว่ากันตามหลักการ พลัง ‘มองทะลุทุกสิ่ง’ ทรงพลังเกินไป ควรเป็นของเทพมากกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ


‘เราไม่ควรพาเมอร์เซเดสไปพบเทพ…’


เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก ไม่ควรสร้างความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น


ขณะกริดกำลังครุ่นคิด กิ่งไม้ชี้ไปทางกลุ่มของอเมลด้า


> พวกเขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอ


“เข้าใจแล้ว…”


สิ่งนี้เป็นเรื่องของ ‘บารมี’ จึงไม่จำเป็นต้องเสียใจ บารมีสามารถสั่งสมเพิ่มได้ในภายหลัง


‘ปัญหาคืออัสโมเฟล’


กริดกำลังยืนเงียบงันใต้ต้นไม้โลก


สายตากวาดหาอัสโมเฟลภายในฝูงชน


ชายคนนั้นกำลังยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนตามลำพัง ไม่สุงสิงกับพวกพ้องหรือเอลฟ์ตนใด


‘ราชาโดดเดี่ยว…’


ลอเอลคงชอบชื่อนี้มาก


ทันใดนั้น ลอเอลส่งข้อความเสียงส่วนตัวมาหา ทำเอากริดถึงกับสะดุ้ง


> คำตอบจากเคย์คือ เป็นไปไม่ได้


กริดเคยถามไปว่า เคย์สามารถสร้างโรงเหล็กแบบพกพาได้ไหม


> ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?


> เขาเล่าว่า ปัญหาอยู่ตรงกำลังคนสำหรับเคลื่อนย้าย การลากอาคารหนักขนาดนั้นต้องใช้ทหารจำนวนมาก แต่ฝ่าบาทคงไม่ได้เดินทางไปบนถนนหลวงทุกครั้งใช่ไหม? อาจเป็นไปได้ถ้าหากใช้ม้าลากหลายตัว แต่การสร้างล้อเพื่อรับน้ำหนักสิ่งก่อสร้างไม่ใช่เรื่องง่าย


> สร้างให้เล็กลงไม่ได้หรือ? สักสามพยองก็พอ


> กำแพงโรงเหล็กจำเป็นต้องทนทาน เพื่อรองรับการขยายความร้อนฉับพลันจากเตาหลอม ส่วนเพดานต้องยกสูง เป็นเรื่องของปล่องไฟและระบบระบายอากาศ และเหนือสิ่งอื่นใด ฝ่าบาทคงทราบดีไม่ใช่หรือ ว่าการตีเหล็กแต่ละครั้งใช้ปริมาณน้ำมากแค่ไหน


> เข้าใจแล้ว ถึงจะสร้างขนาดเล็กลงได้ แต่เลี่ยงน้ำหนักไม่ได้สินะ


> ถูกต้อง ดังนั้น ฉันคิดว่าฝ่าบาทควรสร้างโรงเหล็กพกพาด้วยตัวเอง


> ขนาดเคย์ยังสร้างไม่ได้ แล้วฉันจะสร้างได้อย่างไร? ไม่ใช่สถาปนิกสักหน่อย


> พูดเรื่องอะไร? เคย์ก็เป็นช่างเหล็กไม่ใช่หรือ


> …!


> งานสถาปนิกเป็นเพียงทักษะเสริม หากช่างเหล็กมีค่าความชำนาญสูง ก็คงเรียนศาสตร์สถาปนิกได้เช่นกันกระมัง? หรือไม่ก็อาจเป็นพลังพิเศษของเผ่าคนแคระ แล้วทำไมฝ่าบาทไม่ลองใช้สมญานามราชาสหเผ่าพันธุ์ให้เกิดประโยชน์ บางทีอาจได้ความพิเศษของคนแคระมาครอง


แต่พลังพิเศษของเผ่าเป้าหมายเกิดจากการสุ่ม กริดไม่สามารถเลือกเองได้


ถ้าเคย์มีทักษะด้านสถาปนิกได้เพราะเผ่าคนแคระ คงฉลาดกว่าหากเราเลือกยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้…


อย่างไรก็ตาม กริดยังพอมีหวัง


‘เราชำนาญทักษะตัดเย็บได้ แล้วทำไมจะชำนาญสถาปนิกบ้างไม่ได้?’


แน่นอน ทักษะใหม่คงไม่สามารถเรียนได้ทันทีเพราะมีค่าความชำนาญมากพอ


สำหรับกริด มันเรียนทักษะตัดเย็บมาจากภารกิจของฟาติม่า


ถ้าอย่างนั้น ต้องทำให้เคย์มอบภารกิจ?


‘ไม่สิ, เดี๋ยวก่อน’


> ต่อให้ฉันเรียนทักษะสถาปนิกได้ แต่ระดับของมันคงต่ำมาก แล้วผลลัพธ์จะออกมาดีกว่างานของเคย์ได้ยังไง?


> ใช้ ‘ละโมบ’ เป็นวัสดุก่อสร้าง


> อะไรนะ?


> สร้างโรงเหล็กบินได้ ด้วยวิธีนี้ ปัญหาทั้งหมดของเคย์จะถูกแก้ไขในคราวเดียว


เชี่ย… หมอนี่มันอัจฉริยะ!


เมื่อทราบเช่นนี้ กริดต้องการรีบบินกลับอาณาจักรทันที


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,510
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. อย่าให้อัสโมเฟลจากไปเลยยย สงสารมากถูกควบคุมจนต้องทำร้ายพวกพ้อง ถูกใส่ร้าย ถูกเกลียดชังจากบาปของแมรี่ สุดท้ายสิ่งที่ตอบแทนคือการอยู่คนเดียวหรออ

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณ​มาก​ครับ​

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00