จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1042
การพานพบหลังจากพลัดพรากร่วมยี่สิบปี
ปมปริศนาในใจล้วนถูกไขกระจ่าง ความบาดหมางไม่ลงเหลือให้ค้างคาอีกต่อไป
อาจมีบ้างที่พวกมันนึกเสียดายกับความตายของดีวอส แต่อารมณ์หดหู่นั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
เพียงชั่วครู่… ไม่ได้แปลว่าไม่เห็นใจ
ถึงจะเคยมีเรื่องบาดหมางไม่ลงรอย ถึงจะไม่ค่อยสนิทสนม และถึงจะขัดแย้งทางการค้าหลายครั้ง แต่จะดีจะร้ายอย่างไร อีกฝ่ายก็เป็นขุนนางใหญ่ที่ร่วมรับใช้จักรพรรดิองค์เดียวกันมายาวนาน แถมความภักดีที่ดีวอสมอบให้บ้านเมืองนั้นเป็นของจริง
หลักฐานที่ชัดเจนคือ ดีวอสมอบความจงรักภักดีต่อจักรวรรดิอย่างไม่ลืมหูลืมตาจนมีอันต้องจบชีวิตลง
แต่ความเห็นใจนั้นเป็นคนละส่วนกับความเสียใจ พวกมันเห็นใจตามมารยาทและศีลธรรมพื้นฐาน ทว่า ไม่มีใครเสียใจกับการจากไปของดยุคแห่งสุรา ดีวอส
ไม่ใช่เพื่อนสนิท เป็นตระกูลคู่แข่ง ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อกัน ไม่มีเหตุผลให้ต้องแยแส
ความล่มจมของตระกูลดยุคอื่นย่อมหมายถึงความรุ่งเรืองของตระกูลดยุคตนเอง ดินแดนในปกครองและพลเมืองจะถูกจัดสรรใหม่ มีหลายตระกูลที่ได้ส่วนแบ่งจากจุดนี้
อิทธิพลและคู่แข่งทางการค้าหายไป
แถมยังมีข่าวลือหนาหูว่า นับตั้งแต่ย่างเข้าวัยกลางคน ดีวอสติดสุราหนักและมักใช้ความรุนแรงกับคนในตระกูลเสมอ มีบ่อยครั้งที่พลั้งมือฆ่าทหารและกลบเกลื่อนว่าเป็นการลงโทษทางวินัย
สำหรับสามดยุค หากให้ชั่งน้ำหนักระหว่างเสียใจหรือน่ายินดี ความตายของดีวอสคงออกไปในทางน่ายินดีมากกว่า
ส่วนตระกูลทิฟฟ่อนจะจัดการอย่างไรต่อไปคงเป็นเรื่องของอนาคต มีความเป็นไปได้สูงว่า บุตรชายดีวอสจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งดยุคแทน
‘คนที่ไม่เหมาะสมจะถูกธรรมชาติคัดกรอง’
เกล็นฮาลได้แต่นึกสงสัย หากถึงคราวตนต้องตายไปบ้าง สังคมรอบข้างจะรู้สึกเช่นไร?
ไม่อยากจินตนาการเลย…
ขณะกำลังครุ่นคิด มอริสหันมาตอบ
“อย่างน้อยก็มีฉันที่ร้องไห้…”
“ฮะฮะฮะ! ขอบใจมาก”
หมดเวลาไว้อาลัยแล้ว…
ดยุคเกล็นฮาลหันมาจ้องกริด
“พิธีศพของดีวอสจะถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่หลังจากพวกเรากลับถึงจักรวรรดิ”
ถึงดีวอสจะคุกคามชีวิตของท่าน แต่นี่คือจารีตธรรมเนียมที่พวกเรามิอาจหลีกเลี่ยง
ดยุคแห่งสุรา ดีวอส มันจะถูกจารึกว่าสละชีพอย่างกล้าหาญในสงครามระหว่างอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
วีรบุรุษผู้ต่อสู้เพื่อแผ่นดินแม่
ได้โปรดเข้าใจฝ่ายเราด้วย
กริดเข้าใจความนัยที่เกล็นฮาลแฝงไว้ ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“ฉันไม่ใช่คนของจักรวรรดิ นายไม่ต้องบอกทุกเรื่องก็ได้”
“ขอบคุณที่เข้าใจ”
ปัญหาหลักๆ ถูกสะสางหมดแล้ว ถัดไปเป็นการถกประเด็นเกี่ยวกับแผนสำรวจโบราณสถานในอนาคต
ด้วยความสัตย์จริง จนกระทั่งไม่กี่ชั่วโมงก่อน สามดยุคโน้มน้าวกริดบ่อยครั้งว่า แผนสำรวจโบราณสถานควรถูกยกเลิกโดยเร็ว
ไม่เพียงสาวกเทพสงครามหกเทคนิคจะน่ารำคาญ แต่พวกมันยังมีปริมาณมากและเดินลาดตระเวนเป็นกลุ่มใหญ่ ควรล่าถอยในตอนที่ยังมีโอกาสสำเร็จ
ทว่า สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
ณ จุดห่างไกลออกไป
“ท่านเกล็นฮาล!!”
ทหารหนึ่งหมื่นนายกำลังเคลื่อนพลเข้าใกล้ นำทัพหน้าสุดโดยมาร์ควิสฟูลบาจ
“หืม… ดินบริเวณนี้อุดมสมบูรณ์มาก เป็นสาเหตุทำให้ต้นข้าวแข็งแรงสินะ…”
ใช่แล้ว เพราะมีปิอาโร่อยู่ด้วย
สาเหตุที่สามดยุคเปลี่ยนใจ ไม่เกี่ยวกับการมาถึงของทหารหมื่นนายและขุนนางอีกหลักสิบ แต่เกิดจากตัวตนเพียงหนึ่งเดียวของปิอาโร่
พวกมันรู้สึกสบายใจอย่างไม่มีเหตุผลเมื่อมีปิอาโร่อยู่ฝ่ายเดียวกัน
ย้อนกลับไปสมัยยังเป็นสองเสาหลัก จักรวรรดิซาฮารันถูกขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งทั่วทวีปรุมล้อมทำศึกไม่เว้นในแต่ละวัน
ทว่าทุกครั้ง ปิอาโร่จะปรากฏตัวในตอนท้ายดุจดังอัศวินม้าขาวและขจัดภัยอันตรายทั้งหมดจนราบคาบ
เพียงชายได้เห็นชายผู้นี้ยืนใกล้ๆ ประชาชนซาฮารันจะอุ่นใจและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก พวกมันสามารถข่มตาหลับฝันดีทุกค่ำคืนแม้เป็นยามศึกสงครามเข้มข้น
โดยเฉพาะเกล็นฮาลที่ได้ปิอาโร่ช่วยปกป้องพลเมืองในดินแดนไว้บ่อยครั้ง
สำหรับดยุคที่เหลือ ปิอาโร่เปรียบดังกำแพงเขื่อนที่ไม่มีวันพังทลายไม่ว่าจะถูกน้ำกัดเซาะนานเพียงใด
ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจส่งผลให้พวกมันเริ่มเห็นความหวังที่จะเอาชนะโบราณสถานเทพสงคราม
จนกระทั่งใครบางคนกล่าวขึ้นเพื่อทำลายภาพมายา
“พวกเราฝ่ายโอเวอร์เกียร์จะพักแผนสำรวจเกาะไว้เท่านี้ก่อน”
เป็นกริด
“เอ๋?”
สมควรต้องประหลาดใจ เพราะในตอนแรก สามดยุคล้วนเห็นสายตาเจือความละโมบของกริดอย่างชัดเจน
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุรุษแข็งแกร่งจะแสวงหาพลังอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อสมบัติเป็นถึงคัมภีร์เทพสงครามแสนล้ำค่า
แต่กริดกลับบอกว่าจะหยุดพักการสำรวจ?
ทั้งที่มีสุดยอดบุคคลแห่งทวีปอย่างปิอาโร่ร่วมทางด้วยเนี่ยนะ?
หากเป็นเมื่อก่อน พวกมันอาจเข้าใจจุดประสงค์ที่ต้องการล้มเลิก แต่ไม่ใช่กับปัจจุบัน
เมื่อเห็นสามดยุคแสดงสีหน้าฉงน กริดอธิบาย
“จอมอสูรกำลังถล่มทวีป… ฉันกังวล”
เมื่อครู่ ในตอนที่กริดตำหนิตัวเองเรื่องที่สั่งให้ปิอาโร่ปลิดชีพรีกัล เหล่าสิบวีรชนฯ บนเกาะต่างส่งข้อความเสียงมาปลอบใจ
น่าแปลกมาก…
ไหนว่าโบราณสถานเทพสงครามตัดขาดการสื่อสารและเวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติทุกชนิด?
ใช่แล้ว นับตั้งแต่ทุกคนมาถึงเกาะ ระบบสื่อสารทั้งหมดเป็นอัมพาต
แต่กฎดังกล่าวถูกยกเลิกหลังจากการปิอาโร่ถูกอัญเชิญด้วยความช่วยเหลือจากเทพสงคราม
ถึงจะไม่รู้ว่าเทพตั้งใจหรือลืมปิดระบบ แต่ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า ระบบข้อความส่วนตัวสามารถใช้งานได้
อัจฉริยะลอเอลคือบุคคลแรกที่ค้นพบช่องโหว่นี้และใช้มันสื่อสารกับพวกพ้องบนทวีป
ข่าวในปัจจุบันคือ ฮาเค่นเหลือเพียงปราการด่านสุดท้ายก่อนจะล่มสลายโดยสมบูรณ์
จอมอสูรเฟย์ริสบุกถึงป้อมไทเลอร์ซึ่งซีบาลขับจักรกลเวทมนตร์คอยต้านไว้อย่างสุดความสามารถ รวมถึงการสนับสนุนจากเฮ่า อเล็กซานเดอร์ และครอเกล
สายข่าวยังรายงานอีกว่า ที่ป้อมไทเลอร์มีอริยหอกเรเชลและหอกเอกคิรินัสรวมอยู่ด้วย
เมื่อได้ทราบข่าว กริดออกอาการกระวนกระวายทันที
ชายหนุ่มย่อมทราบถึงความทรงพลังของอริยดาบครอเกลและจักรกลเวทมนตร์ซีบาล
ยังมีเฮ่าที่ทำพันธสัญญากับตน และอเล็กซานเดอร์ที่พัฒนาตัวเองขึ้นจากเดิมมาก ถือเป็นกลุ่มแรงเกอร์ที่มีพลังต่อสู้ลำดับหัวแถวของโลก
ถ้าร่วมมือกับคิรินัสและเรเชลซึ่งว่ากันว่าแข็งแกร่งกว่าดยุคอมตะ·เกล็นฮาลเล็กน้อย…
‘เฟย์ริสอาจถูกโค่นก่อนเรากลับไปถึง’
แบบนี้ไม่ดีแน่
เหตุผลสำคัญที่โอเวอร์เกียร์ไม่แยแสเฟย์ริสจนกว่ามันจะก่อความเสียหายแก่อาณาจักรโดยตรง เพราะลอเอลประเมินไว้ว่า เฟย์ริสไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับผู้เล่นทั่วไป
ต่อให้ฝ่ายที่โค่นสำเร็จเป็นครอเกลเพื่อนสนิท แต่กริดก็ไม่คิดยกเฟย์ริสให้ใครหน้าไหนทั้งนั้น
‘จะมีสมบัติอะไรดรอปบ้างก็ไม่รู้!’
กริดหันไปมองใบหน้าเหล่าสิบวีรชนฯ
นับตั้งแต่ออกเดินทาง ทุกคนมีเลเวลเพิ่มขึ้นตั้งแต่สองถึงหกระดับ โดยเฉพาะเฟคเกอร์ที่ได้รับคัมภีร์เท้าท่องยอดหญ้า ประสิทธิภาพของชายคนนั้นโดดเด่นกว่าใคร
ขณะเดียวกัน ยูร่าที่ได้รับคำแนะนำจากเทพสงครามโดยตรง เธอเองก็เหมือนจะจับประเด็นบางอย่างได้
ส่วนยูเฟอมิน่าที่แอบคัดลอกทักษะสุดโกงต่างๆ นานาของสาวกเทพสงครามมาตลอดหลายวัน ปัจจุบัน มีฝีมือต่อสู้ของเธอเข้าขั้นไร้เทียมทาน
การเดินทางยาวนานร่วมเดือนไม่สูญเปล่า
‘ควรต้องพักไว้ก่อน’
กริดและลอเอลเริ่มจินตนาการถึงแผนล้มเฟย์ริส
ปิอาโร่ เมอร์เซเดส จู๊ด สติกส์ โนลล์ คาซิม มาซง และแรงเกอร์โอเวอร์เกียร์อีกร่วมร้อย ชายหนุ่มเตรียมเคลื่อนทัพใหญ่โอเวอร์เกียร์เข้าประจัญบานจอมอสูรโดยไม่ออมมือ
หากเอาชนะสำเร็จ จากค่าประสบการณ์ส่วนแบ่งและไอเท็มดรอปที่แต่ละคนจะได้รับ นี่คือการพัฒนาขุมพลังอาณาจักรครั้งใหญ่
โอกาสเช่นนี้มีไม่บ่อยนัก ต้องรีบไขว่คว้าไว้
‘ส่วนเราก็บรรลุเป้าหมายแรกที่ต้องการแล้ว’
เลเวล 399… ดาบพินาศทัพสองแสน
ถึงเวลากลับทวีป… ความสำคัญปัจจุบันอยู่ที่เฟย์ริสมากกว่าการหาคัมภีร์ และแน่นอน กริดไม่คิดกลับไปตามลำพัง
คงไม่ดีแน่หากสามดยุคสำรวจโบราณสถานต่อและแย่งชิงคัมภีร์ที่เหลือไป
‘…และถ้าเกิดมีใครตาย’
ตนต้องเสียใจมากแน่
ทั้งสามเป็นคนดีที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม แถมยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิกับโอเวอร์เกียร์ในอนาคต
กริดไม่อยากให้มีใครต้องตาย
ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าวสามดยุค
“พักแผนสำรวจโบราณสถานไว้ก่อนไหม? พวกเราร่วมมือกันปราบเฟย์ริสดีกว่า”
“…?”
สีหน้าท่าทีของสามดยุคแสดงออกชัดเจนว่าไม่เข้าใจเจตนากริด
บนเกราะแห่งนี้มีคัมภีร์หายากของเทพสงครามซ่อนอยู่ แต่กลับกัน เฟย์ริสเป็นเพียงจอมอสูรลำดับ 22 ซึ่งเรียกได้ว่าระดับกลางๆ ค่อนไปทางอ่อนแอ
อย่างไหนสำคัญกว่า? คงไม่ต้องอธิบายให้เปลืองแรง
‘เวลา’ คือกุญแจสำคัญของโบราณสถาน พวกตนมาถึงที่นี่ก่อนใคร และได้รับอภิสิทธิ์ให้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างบนเกาะ จากนั้นค่อยกลับไปฆ่าเฟย์ริสก็ยังไม่สาย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า คัมภีร์เทพสงครามมีมูลค่าสูงกว่าไอเท็มดรอปจากเฟย์ริสแน่นอน
“ถึงจะน่าละอายที่ต้องกล่าวเช่นนี้ แต่ผมขอไม่ปิดบังต่อท่าน… จักรวรรดิมองว่าการอาละวาดของเฟย์ริสเป็นผลดีมากกว่า ยิ่งทวีปตะวันตกเดือดร้อน อาณาจักรเล็กจะยิ่งขาดจักรวรรดิไม่ได้”
จะดีจะร้ายอย่างไร เกล็นฮาลก็เป็นขุนนางใหญ่ฝ่ายจักรวรรดิที่ต้องทำตามประสงค์ขององค์จักรพรรดิ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กริดหาเหตุผลใดมาโน้มน้าวต่อไม่ได้อีก
นี่คือช่วงเวลาเฉิดฉายของลอเอล
“ปัจจุบัน ทวีปตะวันตกอยู่ในสภาพถูกคุกคามรุนแรง หากฝ่ายโอเวอร์เกียร์สามารถปราบจอมอสูรเฟย์ริสสำเร็จ อิทธิพลของพวกเราจะเพิ่มขึ้น และฝั่งจักรวรรดิจะลดน้อยลง”
“…”
“ยังมองไม่ออกหรือ? ฝ่าบาทกริดเชื้อเชิญให้พวกคุณช่วยปราบจอมอสูรเฟย์ริสก็เพราะ หากในอนาคต อิทธิพลของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ทัดเทียมจักรวรรดิซาฮารัน สองฝ่ายจะจับมือเป็นพันธมิตรได้ง่ายขึ้น”
ลอเอลพยายามแถให้ดูดีและแนบเนียนที่สุด
หากไม่ใช่อัจฉริยะในด้านการโป้ปดคงไม่มีทางประดิษฐ์คำพูดสวยหรูเช่นนี้ได้
และมันได้ผล
“…จริงด้วยสินะ เข้าใจแล้ว”
เกล็นฮาลและมอริสพยักหน้าพร้อมกัน
ส่วนบาซาร่าเพียงอมยิ้ม
เธอย่อมมองเจตนาที่แท้จริงของลอเอลออก แต่ไม่ต้องการดับเทียนความพยายาม
บาซาร่ามองการณ์ไกลกว่าใคร เธอคิดว่า หากอาณาจักรโอเวอร์เกียร์และจักรวรรดิผูกสัมพันธ์ต่อกัน จะเป็นผลดีในระยะยาวกับแผนยึดครองทวีปตะวันออกมากกว่า
การร่วมมือช่วยกันปราบเฟย์ริสไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับทวีปอยู่แล้ว เพราะถ้าฝ่ายโอเวอร์เกียร์ล้มเลิกแผนสำรวจ พวกมันที่เหลือก็คงสำรวจไม่คืบหน้าเช่นกัน
ขณะบรรยากาศกำลังเป็นใจ กริดตอกลิ่ม
“พวกเราสามารถย่นเวลาเดินทางได้มาก จอมปราชญ์สติกส์กำลังมาที่นี่ เขาจะช่วยให้ทุกคนกลับทวีปตะวันตกได้ในพริบตา”
“เคยได้ยินมาว่าเวทมนตร์เคลื่อนย้ายของมหาจอมปราชญ์นั้นยิ่งใหญ่ แต่ผมไม่คิดว่าจะได้ผลกับโบราณสถานเทพสงคราม”
“สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว พวกนายลองทดสอบใช้เวทมนตร์สื่อสารดูสิ”
โดยไม่รีรอ สามดยุครีบตรวจสอบสถานะของเวทมนตร์สื่อสาร และผลออกมาคือใช้ได้
ลงเอยด้วย จุดประสงค์คณะเดินทางเปลี่ยนจากโบราณสถานกลายเป็นปราบจอมอสูรเฟย์ริสเรียบร้อย
ขณะรับชมเหตุการณ์สุดประหลาดเบื้องหน้า ทหารนับหมื่นและมาร์ควิสฟูลบาจต่างพากันขมวดคิ้วฉงน
‘ทำไมท่านดยุคถึงยืนสนทนากับกษัตริย์อาณาจักรศัตรูด้วยบรรยากาศเป็นมิตรเช่นนี้?’
‘ท่านดยุคสนิทกับราชาโอเวอร์เกียร์หรือ?’
‘เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?’
สีหน้าของมาร์ควิสฟูลบาจและทหารนับหมื่นเป็นไปในทางเดียวกัน คือตกตะลึงจนหาคำอธิบายไม่ได้
ขณะกริดและสามดยุคพูดคุยอย่างออกรส บุรุษปริศนาที่นั่งยองเล่นดิน (?) ข้างคูนาได้ลุกขึ้นและเดินมายืนข้างกริด
ตัวตนของชายปริศนาคือ…
“ป…ปิอาโร่!”
คนทรยศปิอาโร่
กองทัพนับหมื่นพลันระส่ำระสาย อารมณ์หลากหลายครอบงำจิตใจทหารแตกต่างออกไป
บางคนยังเชื่อมั่นใจตัวปิอาโร่และไม่คิดว่าเขาเป็นผู้ทรยศ ส่วนคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางได้แสดงสีหน้ารังเกียจโกรธแค้น
แน่นอน ฝ่ายหลังมีเยอะกว่ามาก
ตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปี สภาสูงของจักรวรรดิได้ตราหน้าปิอาโร่ให้เป็นคนทรยศต่ำทราม สิ่งนี้มีเขียนไว้ในตำราเรียนทุกเล่ม
ตระกูลปิอาโร่ถูกประหารแขวนคอประจานหน้าชาวเมืองอย่างอำมหิตโหดเหี้ยม
ด้วยเหตุนี้ มีเพียงน้อยคนนักที่ปักใจเชื่อว่าปิอาโร่ถูกป้าย
และฟูลบาจคือหนึ่งในกลุ่มคนน้อยนิดนั่น
มันเองก็เป็นขุนนาง ตำแหน่งมาร์ควิสมิได้ไต่เต้าสำเร็จภายในระยะเวลาห้าปีสิบปี แน่นอน มันเคยทำงานร่วมกับปิอาโร่มาก่อน
ดวงตาที่เหมือนปลาตายของฟูลบาจพลันพร่ามัวเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับสามดยุค มันทราบความจริงทั้งหมดทันที
ฟูลบาจเดินเข้าไปทักปิอาโร่
“ขอบคุณสวรรค์ที่ท่านยังแข็งแรง…”
“…พ่อกับแม่นายสบายดีไหม?”
“สบายดีครับ ถึงพวกท่านจะชราลงมากแล้ว แต่ก็แข็งแรงพอจะช่วยเหลือตัวเองได้”
“คิดไว้แล้วว่าต้องอายุยืน วีรบุรุษที่เปิดยุ้งฉางให้ชาวบ้านเข้าไปหลบซ่อนภัยพิบัติธรรมชาติ สวรรค์ต้องอวยพรอยู่แล้ว ถึงภายในยุ้งจะเหลือเสบียงไม่มากก็ตาม”
“แตกต่างจากพวกเขา กระผมเป็นบุตรชายที่ไม่ได้ความ เสพสุขจนอ้วนฉุ แถมยังสังเวยบุตรสาวเพื่อความก้าวหน้าของตัวเอง”
“ไม่แปลกสักหน่อย ถ้าพ่อแม่นายคือบุคคลโอบอ้อมอารีที่เปิดยุ้งฉางใหญ่เป็นที่หลบภัยแก่ชาวบ้าน ตัวนายก็เป็นผู้ที่ทำงานอย่างหนักเพื่อหาเสบียงมาเติมเต็มยุ้งฉาง คงเหนื่อยมากใช่ไหม?”
“ท่านดยุคปิอาโร่…”
เขายังอยู่… สุดยอดวีรบุรุษคนเดิม
เพียงบทสนทนาสั้นๆ กลับทำให้จิตใจฟูลบาจถูกเติมเต็ม ชายคนนี้ไม่ได้เป็นวีรบุรุษแผ่นดินเพราะโชคช่วย
ในอดีต ตัวมันเป็นเพียงขุนนาง จึงมิอาจขัดโองการฝ่าบาทมหาจักรพรรดิได้ มีบ่อยครั้งที่เอนเอียงแอบสงสัยว่า แท้จริงแล้ว ปิอาโร่อาจเป็นผู้ทรยศ
“ผมขอโทษ…”
ฟูลบาจร่ำไห้ แขนขาของมันไร้เรี่ยวแรง
ขณะเดียวกัน เหล่าขุนนางที่ฟูลบาจเคยเข้าใจว่าทอดทิ้งไปตนหมด พวกมันต่างยืนร่ำไห้อย่างซาบซึ้งเมื่อได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่
รอยร้าวในใจทุกคนเริ่มสมานและกลับมากลมเกลียวอีกครั้ง
ฮิวรอยที่ปลอมตัวเป็นเอิร์ลบาแก็ตทำได้เพียงยืนขมวดคิ้วด้วยหน้าบอกบุญไม่รับ
‘ปิอาโร่… นี่นายจงใจแกล้งกันรึไง?’
ไม่รู้หรือว่าต้องทรมานเพียงใดกว่าจะสร้างความร้าวฉานในหมู่ขุนนางจักรวรรดิสำเร็จ?
ขณะฮิวรอยกำลังโกรธเคือง
> เราอยากรู้นัก…
เสียงเทพสงครามเซราทุลดังก้องในหัวกริด
> เจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยจริงหรือ
หมายความว่ายังไง?
กริดพลันกระวนกระวาย มันรีบกวาดสายตาสอดส่องรอบตัว แล้วก็ได้เห็นกลุ่มมนุษย์ในจุดห่างไกลกำลังวิ่งกรูเข้าหาด้วยความเร็วสูง
อัศวินสวมเกราะขาวแวววาวประมาณหนึ่งร้อยนาย พวกมันเคลื่อนทัพเข้าใกล้ด้วยบรรยากาศฮึกเหิมผิดธรรมชาติ
ดยุคเกล็นฮาลย่อมทราบถึงตัวตนของอัศวินเหล่านี้ มันพลันผงะพร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลง
“ไคล์…! จากบรรดาสี่ทัพที่เป็นกองหนุนของจักรวรรดิ หนึ่งในนั้นมีกองทัพไคล์ด้วย!”
‘ไคล์?’
ใบหน้ากริดเริ่มบิดเบี้ยวคล้ายกับถูกบังคับให้อมอึหมา
หนึ่งในห้าเสาหลักแห่งจักรวรรดิ
ในอดีต กริดเคยเผชิญหน้ากับมันหนหนึ่ง หากพลังของบราฮัมและมูมัดไม่บังเอิญแสดงผลพอดีล่ะก็…
กริดและแอ็กนัสคงเสียชีวิตในสงครามดังกล่าวอย่างไร้ข้อกังขา
ถึงจะอ่อนแอที่สุดในห้าเสาหลัก แต่ไคล์ก็เหนือมนุษย์ทั่วไปมาก แถมอุปนิสัยยังพิสดาร แตกต่างจากเจ็ดดยุคโดยสิ้นเชิง
ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างปิอาโร่หลอกล่อไม่ได้ผล ไคล์เป็นศัตรูที่ต้องใช้กำลังปะทะอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
> ไม่เหมือนกับเจ้า ชายคนนี้เชื่อฟังเราและเลือกเดินบนเส้นทางแสวงหาพลังอย่างชาญฉลาด
“…!?”
> หากต้องการออกไปจากที่นี่ เจ้าต้องเอาชนะสาวกคนใหม่ของเราให้ได้เสียก่อน
[ภารกิจถูกสร้างขึ้น!]
<สาวกเทพสงคราม·ไคล์>
ระดับความยาก : SSS
หนึ่งในห้าเสาหลักแห่งจักรวรรดิ ไคล์ เดินทางสำรวจโบราณสถานเทพสงครามตามบัญชาขององค์จักรพรรดิ
จากนั้น มันได้พบกับเทพสงครามโดยตรง
ไคล์ลุ่มหลงในความแข็งแกร่ง มันเลือกรับพรที่เทพสงครามประทานให้ และกลายเป็นสาวกเทพสงครามผู้เปี่ยมศรัทธา
จงต่อสู้และเอาชนะศัตรูที่หมายลงโทษท่านในฐานะคนนอกรีตให้จงได้
เงื่อนไขสำเร็จภารกิจ : ไคล์ตายหรือพ่ายแพ้
รางวัลภารกิจ : ได้รับสิทธิ์ผ่านเข้าออกโบราณสถานเทพสงครามอย่างอิสระ
บทลงโทษภารกิจล้มเหลว :
- เลเวลลดลง 5 ระดับ
- การสื่อสารทุกชนิดและเวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติถูกตัดขาด
- เทพสงครามสนใจในตัวท่านเพิ่มขึ้น
“ชิ…!”
เลเวลซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างยากลำบากตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา อุตส่าห์ถึงระดับ 399 แล้ว แถมเทคนิคดาบทัพสองแสนก็อยู่แค่เอื้อม
หากภารกิจล้มเหลว มันต้องเผชิญความสูญเสียเทียบเท่าระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็ม มิใช่สิ่งที่จะใช้เงินชดเชยคืนได้
กริดที่กำลังสั่นเทารีบหันไปตะโกนกับทุกคน
“หยุดมันไว้ให้ได้!”
ทันใดนั้น
“เจอตัวแกแล้ว!”
เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!
เปรี้ยงงงง!!
สายฟ้าฟาดยาวเป็นเส้นตรงบนแนวราบ
ไคล์ผมขาว แขนหนึ่งข้าง รอบกายรายล้อมด้วยประกายอัสนีเข้มข้นชนิดที่สมัยอดีตเทียบไม่ติด มันพุ่งเข้าหากริดด้วยความเร็วซึ่งไม่มีใครมองตามทัน …มนุษย์หนึ่งคนมีพลังเทียบเท่าภัยพิบัติธรรมชาติได้อย่างไร?
“เจ้าคนนอกรีต!! บังอาจปฏิเสธไมตรีที่องค์เทพหยิบยื่นให้เชียวหรือ— อ…เอ๋?”
ไคล์ที่ตะเบ็งสุดเสียงด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว มันพลันชะงักฝีเท้า
สาเหตุเพราะ ใบหน้าของเป้าหมายภารกิจที่ไคล์ได้รับจากเทพสงคราม ไปกระตุ้นต่อมความทรงจำสุดเลวร้ายที่มันอยากลืมเลือนให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เค้าลางใบหน้าผู้สืบทอดราชาไร้พ่ายที่มันบังเอิญเหลือบเห็นใต้หมวกฟาง
มหาจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
บุรุษซึ่งตัดแขนขวาตนง่ายดายด้วยพลังที่ห่างชั้นหลายสิบหลายร้อยเท่า ไคล์ไม่มีวันลืมเลือนฝันร้ายชั่วชีวิตของตน
“ขอโทษที… สงสัยจำคนผิด”
ร่างกายไคล์แข็งทื่อโดยสมบูรณ์
“…?”
กริดได้แต่ยืนมึนงง
“ลาก่อน”
เมื่อกล่าวจบ ไคล์หันหลังกลับและพุ่งหายไปราวกับไม่เคยยืนอยู่
[ท่านบรรลุภารกิจ ‘สาวกเทพสงคราม·ไคล์’]
[นับแต่นี้ไป ท่านสามารถผ่านเข้าออกโบราณสถานเทพสงครามได้ตามใจชอบ]
“…???”
บรรยากาศเงียบงันเข้าครอบงำทั้งกริดและเซราทุลเป็นเวลานาน ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกมันไม่กล่าวสิ่งใดต่อกันพักใหญ่
จนกระทั่ง
ซู่ววววว—
แสงเวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติปรากฏเหนือศีรษะทุกคน ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากมหาจอมปราชญ์สติกส์
กริดที่ต้องรีบกลับทวีปตะวันตกให้ทันเวลา มันกล่าวกับเทพสงครามอย่างนอบน้อม
“แล้วจะกลับมาใหม่นะครับ”
> …
“บัย”
> …
ไคล์ โบ๊ะบ๊ะได้โล่จริงๆ
ReplyDeleteบัย 5555555
ReplyDeleteตัดจบเควสได้เยี่ยม ฮ่าๆ
ReplyDeleteอย่างฮา นึกว่าจะจบแบบค้างสะแล้ว
ReplyDelete😁😆
ขอบคุณมากครับ👍
โอ้ยยยย สงสาร 555
ReplyDelete555+
ReplyDelete555555มีบัยตอนท้ายด้วยนะ
ReplyDeleteมันง่ายจัซะเควสระดับSSSเลยนะโว้ยไม่ใช่ระดับE
ReplyDeleteแม้แต่ท่านเทพก็ยืนงง บัย
ReplyDeleteโอ้ยยย ไม่ไหว ขำท้องเเข็งไปหมดละ 5555
ReplyDelete555
ReplyDelete