จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1043
เอเลอัวร์คือเมืองใหญ่ในอาณาจักรฮาเค่น กล่าวกันว่าเป็นแดนสวรรค์สำหรับจิตรกรและปฏิมากรทั่วโลก สถาปัตยกรรมที่นี่เต็มไปด้วยความงดงามอลังการ ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่อปีได้มหาศาล
แต่ปัจจุบัน มันทั้งรกร้างและแห้งแล้ง
จอมอสูรเฟย์ริสกวาดทำลายทุกสิ่งจนพินาศราบคาบ งานศิลป์จำนวนมากกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยไปบนพื้นทรายเหลืองทอง
ซู่ววว—
ห้วงมิติเวทมนตร์เหนือท้องฟ้าเริ่มบิดเบี้ยว ก่อนจะยิงเสาลำแสงหลายเส้นลงมายังผืนทรายร้อนระอุด้านล่าง
กริดและดยุคแห่งจักรวรรดิ
ในเวลากัน กองทัพจักรวรรดิที่เหลือ ยังคงประจำการบนเกาะเพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้คณะสำรวจสกังค์
“ที่นี่คือป้อมไทเลอร์?”
ภาพสองข้างทางกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แต่กลับมีเพียงบรรยากาศรกร้างแห้งแล้ง เหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์ทำได้เพียงเอียงคอสงสัย
ข้อมูลที่พวกตนได้รับคือ จอมอสูรเฟย์ริสกำลังบุกถล่มป้อมปราการไทเลอร์ ดังนั้น ปลายทางเวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติก็ควรจะเป็นภายในป้อมไทเลอร์เช่นกัน
แต่จะให้เรียกสถานที่แบบนี้ว่าป้อม…
ทันใดนั้น ใครบางคนเดินเข้ามาใกล้และอธิบายสถานการณ์ให้กับกลุ่มที่เพิ่งมาถึง
“ผิดแล้ว ที่นี่คือเอเลอัวร์ ป้อมไทเลอร์คือปราการด่านสุดท้ายของอาณาจักรฮาเค่น ทันทีที่เข้าสู่ภาวะสงครามกับจอมอสูร เวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติทุกชนิดได้ถูกปิดกั้นชั่วคราว”
น้ำเสียงแข็งทื่อประหนึ่งยืนท่องบท…
โทนเสียงราบเรียบไร้อารมณ์เช่นนี้ไม่ใช่ใครอื่น จอมเวทวายุแรงค์หนึ่งของโลก เซ็ดนอส
ทูน ลาเอลล่า ไอเบลลิน เซอร์คาน โค้ก และอีกหลายคน ภายในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ พวกมันคือตัวตนระดับขุนพลที่อำนาจเป็นรองเพียงสิบวีรชนฯ เท่านั้น
สติกส์พาทุกคนมารวมตัวที่นี่ ก่อนจะไปรับตัวกริดมาจากโบราณสถานเทพสงคราม ทั้งหมดมีชะตากรรมต้องเข้าร่วมศึกปราบจอมอสูรด้วยกัน
“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น การเดินทางจากที่นี่ไปยังป้อมไทเลอร์ต้องใช้เวลานานแค่ไหน?”
กริดทางพลางขมวดคิ้ว
“สิบชั่วโมงด้วยความเร็วสูงสุด”
“อะไรนะ? ต้องเดินเท้านานขนาดนั้นเชียว? พวกเราเป็นทหารเกณฑ์ฝึกใหม่หรือไง? ทำไมฉันต้องกลับไปใช้ชีวิตเหมือนตอนรับใช้ชาติอีกรอบ?”
“อิจฉานายจังที่เคยรับใช้ชาติ”
“ถ้าอิจฉามากนัก อย่าลืมโอนสัญชาติมาเป็นชาวเกาหลีใต้และเข้าร่วมกับกองทัพด้วยนะ”
“นั่นมันออกจะ…”
“สิบชั่วโมงไม่นานไปหน่อยหรือ? ป้อมไม่แตกไปก่อนรึไงกว่าพวกเราจะไปถึง?”
เฟย์ริสอาศัยดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ถูกสังหารเพื่อเปิดประตูนรกอัญเชิญกองทัพอสูรส่วนตัวขึ้นมา
หากมันทะลวงฝ่าป้อมไปถึงวังหลวง เกรงว่าเหยื่อจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจนสามารถอัญเชิญกองทัพรอบใหม่ และนั่นจะยิ่งทำให้การล่าทำได้ยากขึ้น
โทบันส่ายศีรษะ
“ซีบาลรวบรวมเหล่าขุนนางและอัศวินหัวกะทิของอาณาจักรคอยยันไว้ที่ป้อมไทเลอร์ ด้วยธรรมชาติของปราการ คงไม่แตกพ่ายง่ายดายขนาดนั้น แถมครอเกล เฮ่า อเล็กซานเดอร์ คิรินัส และเรเชลก็เดินทางใกล้ถึงป้อมแล้ว”
“โทบันพูดถูก พวกเราควรหวังให้เฟย์ริสไม่ถูกจัดการไปเสียก่อนมากกว่า”
“งั้นหรือ…”
ครอเกลและซีบาลเป็นแรงเกอร์ที่อยู่คนละมิติกับขุนพลโอเวอร์เกียร์ ถึงจะยังเทียบกริดไม่ได้ แต่ก็มีเพียงน้อยคนบนโลกที่สามารถดวลกับทั้งสองอย่างสูสี แถมฝ่ายนั้นยังมีอันดับหนึ่งแห่งเจ็ดดยุคและหอกเอกแห่งทวีป
ไม่น่าแปลกใจถ้าเฟย์ริสจะสิ้นใจตายก่อนที่กองทัพโอเวอร์เกียร์จะไปถึง
“ว่าแต่ ครอเกลใช้วิธีใดชักจูงคิรินัสกับเรเชล? แม้แต่กริดยังไม่สามารถบงการ NPC พิเศษได้ดั่งใจจนกว่าจะกลายเป็นขุนนางใหญ่”
“ครอเกลก็คือครอเกลวันยังค่ำ หมอนั่นเป็นสัตว์ประหลาดที่พิชิตภารกิจมากกว่าผู้เล่นคนอื่นแต่ไหนแต่ไร… อ…เอ๋?”
ผู้เล่นโอเวอร์เกียร์ระดับขุนพล รวมถึงหน่วยพลปืนใหญ่ที่เพิ่งเข้าร่วมสงครามเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งกิลด์สี่ พวกมันต่างตกตะลึงพลางอ้าปากค้างเมื่อเหลือบเห็นบุคคลตรงหน้า
ชื่อเหนือศีรษะส่องประกายสีทองระยิบระยับ
NPC พิเศษสามคน ประกอบด้วยเกล็นฮาล มอริส และบาซาร่า กำลังยืนคุยกับลอเอลด้วยท่าทีเป็นมิตร
“พวกเขาเป็นใคร…?”
“อ้อ… ลืมแนะนำตัวไป สามคนนี้คือดยุคแห่งจักรวรรดิ”
“ดยุคแห่ง… จักรวรรดิ? เอ๋!!”
“เจ็ดดยุคน่ะหรือ!?”
บุคคลที่มีพลังอำนาจล้นพ้นบนทวีปตะวันตก ตัวตนที่เป็นภัยคุกคามสูงสุดของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ซึ่งเป็นคู่สงคราม สาเหตุหลักที่กองทัพโอเวอร์เกียร์ไม่เคยหลับเต็มตื่น เพราะเจ็ดดยุคยังไม่ได้ออกโรงในสงครามอย่างจริงจัง
แม่ทัพใหญ่ของกองทหารศัตรู…
แล้วทำไมพวกมันถึงอยู่ที่นี่?
“คึคึคึก! เป็นเพราะความอัจฉริยะของฝ่าบาทกริดยังไงล่ะ!”
ลอเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงแสนภาคภูมิ
“…”
สมาชิกโอเวอร์เกียร์อึ้งจนพูดไม่ออก ความยกย่องที่เคยมีต่อครอเกลจนถึงเมื่อครู่พลันสลายไปหมดสิ้น
‘สมกับเป็นก็อดกริด…’
‘ครอเกลพามาได้สอง… แต่กริดพามาสาม…’
‘แถมทั้งสามคนยังดูแข็งแกร่งสุดๆ’
เกล็นฮาลและมอริสมาพร้อมพาหนะสัตว์ป่าร่างใหญ่ ฝ่ายแรกเป็นฮิปโปสองหัวน้ำหนักเกินหนึ่งตัน ส่วนฝ่ายหลังเป็นเสือเขี้ยวดาบลักษณะปราดเปรียว ไม่ว่าจะมองมุมใดก็แสนน่าเกรงขาม
โดยเฉพาะเกล็นฮาลที่มาพร้อมชุดเกราะหนักหรูหราและโล่ใหญ่ บรรยากาศรอบตัวแข็งแกร่งดุจดังภูผาไม่สั่นคลอน คงเป็นคลาสแทงค์ที่ไม่มีวันล้มลงแม้จะถูกแรงเกอร์จำนวนมากรุมโจมตี
‘ถ้าจำไม่ผิด ฉายาของเขาคือราชาอมตะ’
พวกมันคงจินตนาการไม่ออกว่า ในเวลาที่หมอนี่เอาจริง มันจะสู้ในสภาพกึ่งเปลือยกายโดยไม่พึ่งพาชุดเกราะ…
เหล่าแรงเกอร์ที่เข้าใจผิดว่าเกล็นฮาลเป็นคลาสแทงค์ต่างเดินเข้าไปทักทายอย่างนอบน้อม
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมสงครามฝ่ายเดียวกับท่านดยุคแห่งจักรวรรดิ”
“สมกับเป็นท่านราชาโอเวอร์เกียร์ รอบตัวล้วนเปี่ยมด้วยขุนพลฝีมือเยี่ยม”
พวกมันมีชะตาต้องร่วมศึกเดียวกัน ความกลมเกลียวคือปัจจัยที่พึงมี อีกฝ่ายเป็นถึงจอมอสูรเฟย์ริสสุดแกร่ง จำเป็นต้องมีพวกพ้องร่วมต่อสู้ให้มากที่สุด
ชาวโอเวอร์เกียร์ต่างปฏิบัติต่อดยุคทั้งสามด้วยท่าทีนอบน้อม ขณะเดียวกัน ฝ่ายดยุคก็ไม่ถือตัว ทักทายแต่ละคนกลับไปด้วยไมตรี
โทบันที่ต้องการเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับดยุค มันพยายามตีสนิทอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใด ความสัมพันธ์กลับไม่คืบหน้าแม้แต่น้อย ยังค้างคาที่ 0 แต้มเช่นเคย
เฉกเช่นผู้เล่นที่เหลือ ดยุคจักรวรรดิถูกตีสนิทได้ยากไม่แพ้ราชาเนตรมารเลยทีเดียว
แล้วกริดใช้กลปีศาจใดชักจูงพวกมัน?
ทุกคนจ้องมองกริดด้วยแววตาแบบเดียวกับที่มองตัวประหลาด แต่ชายหนุ่มมิได้แยแส สมาธิกำลังจดจ่ออยู่กับประเด็นอื่น
‘ห้าเสาหลัก…’
กริดเพิ่งบรรลุภารกิจเกรด SSS และได้สิทธิ์เข้าออกโบราณสถานเทพสงครามตามใจชอบ
อธิบายให้เห็นภาพคือ ชายหนุ่มสามารถใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติไปบนเกาะได้ทันที โดยไม่ต้องล่องเรือนานนับสิบวันเหมือนคนอื่น
แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาสบายใจ
กริดค่อนข้างผิดหวังเมื่อทราบว่า ศักยภาพที่แท้จริงของห้าเสาสูงกว่าเจ็ดดยุคที่ตนสนิทสนมด้วย
รวมถึงคำพูดของเทพสงครามในวันก่อน
‘น้ำเต็มแก้วที่มิอาจพัฒนาไปมากกว่านี้’
นั่นหมายถึงสามดยุค และคงเป็นสาเหตุที่เทพสงครามไม่มอบเส้นทางผู้บำเพ็ญตนให้พวกมัน
แต่กับไคลน์นั้นไม่ใช่
ไคลน์ที่น่าจะเดินทางมาถึงเกาะพร้อมมาร์ควิสฟูลบาจ เพียงไม่กี่วัน เทพสงครามกลับชื่นชอบและมอบเส้นทางแห่งพลังให้
หมายความว่า เทพสงครามประเมินให้ไคลน์มีศักยภาพในอนาคตที่ดีกว่าทั้งสามดยุค
และต้องไม่ลืมว่า ไคลน์มีพรสวรรค์น้อยที่สุดในบรรดาห้าเสาหลัก…
‘อีกสี่เสาหลักต้องถูกเทพสงครามชักชวนแน่’
หลังจากกลายเป็นสาวกเทพสงครามได้ไม่นาน พลังไคลน์เพิ่มขึ้นจากสมัยอดีตชนิดที่เทียบไม่ติด หากสี่เสาหลักที่เหลือยอมรับพลังเทพสงครามเหมือนไคลน์ เกรงว่าพวกมันจะกลายเป็นบุคคลที่กริดมิอาจเอาชนะได้เลย
‘อาจถึงระดับยังบัน…’
กริดเคยมั่นใจว่า ความสัมพันธ์กับจักรวรรดิคงราบรื่นหลังจากตีสนิทสามดยุคสำเร็จ แต่ปัญหาที่ชายหนุ่มกังวลเริ่มเกิดขึ้นจนได้
ดยุคจักรวรรดิมีอำนาจมากที่จะงัดข้อกับห้าเสาหลักจริงหรือ? เพราะอีกฝ่ายมีศักยภาพในอนาคตสูงกว่ามาก
‘ว่าแต่… ทำไมไคลน์ถึงวิ่งหนีเราโดยที่แสร้งทำเป็นจำผิดคน?’
ในตอนแรก กริดไม่คิดว่าไคลน์วิ่งหนีด้วยซ้ำ อาจเป็นเพียงการหลงทางผ่านมาแถวนี้ แต่เมื่อไตร่ตรองโดยละเอียด ชายหนุ่มเริ่มมั่นใจว่าพฤติกรรมของไคลน์หมายถึงการ ‘หนี’
หลักฐานคือภารกิจที่ถูกเคลียร์
เพราะอะไรกัน?
‘อ๊ะ! หรือว่า…’
กริดที่พยายามครุ่นคิดหาเหตุผลอยู่นาน มันเริ่มระลึกความทรงจำเก่าแก่ในอดีต
…
“แกเป็นใคร? หืม? …ก็แค่มดปลวก”
…
“เมื่อครู่พูดว่าอะไรนะ? ไอ้กระจอกอย่างแกไม่รักชีวิตตัวเองแล้วหรือ?”
…
บทสนทนาสุดเหยียดหยัน
สมัยอดีต บราฮัมเคยหยิบยืมร่างกริดเพื่อสู้กับมูมัดของแอ็กนัส ในวันนั้น บราฮัมเหยียดหยันดูแคลนไคลน์เป็นเพียงมดปลวกริมทาง
ไคลน์เสียแขนไปหนึ่งข้าง มันรีบหนีไปด้วยท่าทางคล้ายกับแตกฉี่รดกางเกง
ความทรงจำกริดยังแม่นยำ
‘มันคงหวาดกลัวสุดขีด’
ไม่ผิดแน่
‘ไคลน์จำหน้าเราได้ และเกิดความกลัว’
ในบางครั้ง กิริยาท่าทางสุดโอหังกลับส่งผลด้านบวกอย่างน่าเหลือเชื่อ เป็นเพราะบราฮัม กริดจึงรอดพ้นจากภัยอันตรายที่ไม่สมควรเผชิญ
เป็นอีกครั้งที่เขาตระหนักถึงความสำคัญของชายที่ชื่อบราฮัม
กริดลั่นวาจา
‘คราวหน้าที่พบไคลน์ เราต้องโอหังเข้าไว้’
แผลใจไม่ใช่สิ่งที่เอาชนะกันได้ง่าย กริดทราบเรื่องนี้ดีกว่าใคร และหวังฉวยโอกาสนำแผลใจของไคลน์มาเล่นงานให้ถึงที่สุด
ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องศีลธรรม กริดเคยโด่งดังในด้านนิสัยต่ำทรามและป่าเถื่อนมาก่อน เพียงเผยนิสัยด้านมืดต่อหน้าไคลน์ สถานการณ์จะคลี่คลายในทันที
‘บางที ไคลน์อาจมีประโยชน์ในอนาคต’
“ฝ่าบาทกริด”
“หืม…?”
หลังจากก้มหน้าครุ่นคิดอยู่นาน ชายหนุ่มเงยศีรษะขึ้นมองตามเสียงเรียก
เป็นลอเอล
หลังจากปรึกษารูปขบวนเดินทัพที่เหมาะสมโดยพึ่งพาปัญญาของสติกส์และบาซาร่า เมื่อได้ข้อสรุป ลอเอลจึงเดินมาหากริด
“ได้โปรดมอบสิทธิ์ควบคุมกองทัพให้กระหม่อมด้วย ที่เหลือเดี๋ยวจัดการให้เอง”
“อา…”
กริดหันไปมองใบหน้าพวกพ้องที่ยืนรายล้อมรอบตัว มีทั้งสิบวีรชนฯ สมาชิกขุนพล หน่วยพลปืนใหญ่ ปิอาโร่ สามดยุค และเอิร์ลบาแก็ต
มิตรสหายที่แข็งแกร่งกำลังผนึกกำลัง…
“…เดี๋ยว”
เอิร์ลบาแก็ต?
“หมอนั่นใคร?”
ท่ามกลางกลุ่มพวกพ้อง การปรากฏตัวของบุคคลประหลาดย่อมไม่ใช่เรื่องปรกติ กริดไม่เข้าใจว่า เหตุใดขุนนางใหญ่ของจักรวรรดิถึงอยู่ที่นี่ด้วย
ฮิวรอยที่ปลอมเป็นเอิร์ลบาแก็ตพลันหน้าแดง
‘ฝ่าบาทจำเราไม่ได้…’
ศึกปราบเฟย์ริสแสนสำคัญ แน่นอนว่าสมาชิกโอเวอร์เกียร์ทุกคนถูกระดมพลมาที่ฮาเค่น และฮิวรอยก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ในสภาพเอิร์ลบาแก็ต
ในฐานะที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน ฮิวรอยเชื่อว่ากริดต้องทราบถึงตัวตนที่แท้จริงได้แน่ ไม่ว่าตนจะอยู่ในร่างของใคร
ทว่า นั่นไม่จริงเลย
ไม่เพียงจำไม่ได้ กริดยังไม่เอะใจด้วยซ้ำว่าฮิวรอยหายไป คล้ายกับนักพูดหนึ่งคนไม่ส่งผลต่อสงคราม
“…”
ฮิวรอยรู้สึกเจ็บแปลบไปถึงทรวง มันขบกราบแน่น พลังแปลงโฉมเริ่มคลายตัว นักพูดแรงค์หนึ่งของโลกเริ่มร่ำไห้พร้อมกับกลิ่นขี้ไก่ตุๆ
ความพยายามอย่างยากลำบากตลอดเดือนที่ผ่านมาปลิวหายไปกับสายลม
“…อะแฮ่ม”
เมื่อกริดทราบตัวตนที่แท้จริงของเอิร์ลบาแก็ต มันรีบกระแอมด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
***
ผาหินสูงตระหง่าน 70 เมตรและพร้อมกับกำแพงหนาหลายชั้น นี่คือความยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของปราการเหล็กที่ดังระบือไกลทั่วทวีป
ในอดีต แม้แต่จักรวรรดิซาฮารันยังยอมตัดใจยกเลิกการปิดล้อมและล่าถอยกลับไป
ป้อมไทเลอร์
ภายในป้อมสวรรค์ไทเลอร์ หมู่ทหารกำลังส่งเสียงตะโกนเรียกขานนามของบุรุษหนึ่งคนอย่างไม่ขาดปาก
ซีบาล ซีบาล ซีบาล…
ทหารฮาเค่นสรรเสริญชายที่เคยเป็นเจ้านายพวกตนในอดีต และปัจจุบัน คนผู้นั้นคือนักบินของจักรกลเวทมนตร์สุดทรงพลังนามว่าไรเดอร์ส
『การต่อสู้กับเฟย์ริสครั้งนี้จะต่างออกไปแน่ ผมมั่นใจว่าฝ่ายผู้เล่นจะทำได้เหนือความคาดหมาย เตรียมรอชมความสนุกตื่นเต้นได้เลยครับ! 』
『อดีตผู้เล่นอันดับสองของโลกและอดีตขุนนางใหญ่แห่งฮาเค่น ผมไม่คิดว่าซีบาลจะเคยมีกองทัพใหญ่นี้ในบัญชา』
『ด้วยความสัตย์จริง ผมคิดว่ากองทัพและเหล่าขุนนางไม่ต่างจากอาณาจักรอื่นที่ล่มสลายไปมากนัก เพียงแต่ในคราวนี้มีตัวแปรที่ชื่อจักรกลเวทมนตร์』
การปรากฏตัวของผู้เล่นเหรียญทองการแข่ง PVP ซาทิสฟายนานาชาติครั้งที่สี่
กล้องทุกตัวกำลังจับภาพของหุ่นยักษ์สีขาวที่กำลังถูกกุมบังเหียนโดยผู้เล่นหนึ่งคน สายตาจักรกลเวทมนตร์กำลังมองไปยังเส้นขอบฟ้าไกล ในมือถือหอกยาวใหญ่ บรรยากาศรอบตัวองอาจน่าเกรงขาม
ฟ้าวววว
ทันใดนั้น เส้นขอบฟ้าเริ่มบิดเบี้ยว เป็นสัญญาณการมาถึงของกองทัพอสูรหลายพันตน รูปลักษณ์ของพวกมันล้วนสะอิดสะเอียนน่ารังเกียจ
หากจอมอสูรเฟย์ริสคือปีศาจที่เกิดมาเพื่อทำลายโลกมนุษย์ ซีบาลและจักรกลเวทมนตร์จะเปรียบดังเทวทูตผู้ช่วยปกป้องโลก
“ของวิเศษเผ่าคนยักษ์งั้นหรือ?”
เฟย์ริสพึมพำ
จักรกลเวทมนตร์ ผลผลิตซึ่งเกิดจากความโอหังและไม่รู้เดียงสาของมนุษย์ที่คิดต่อต้านเทพบนสวรรค์ ขณะเดียวกันก็เป็นของแสลงสำหรับจอมอสูรไม่น้อย
แต่นั่นก็ต่อเมื่อผู้ขับขี่เป็นเผ่าคนยักษ์…
กองทัพอสูรของตนจะกลืนกินป้อมปราการแห่งนี้เหมือนกับหลายศึกที่ผ่านมา เฟย์ริสแสยะยิ้มแสนมั่นใจ
“ลุยกันเลย”
มันออกคำสั่งแก่กองทัพอสูรราวสามพันตน
โฮกกกกกก!!
สิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจจำนวนมาก เลเวลขั้นต่ำ 360 เริ่มวิ่งกรูเข้าใส่และปืนไต่ผนังหินผาชัน
『สงครามเริ่มแล้วครับ…! 』
ผู้ชมทั่วโลกต่างหยุดหายใจชั่วขณะ
เฟย์ริสที่ถล่มอาณาจักรแล้วอาณาจักรเล่าจะถูกปราบลงในวันนี้.. หรือจะมีอีกหนึ่งอาณาจักรที่ต้องล่มสลายไปต่อหน้า?
ผู้ชมร้อยล้านทั่วโลกเฝ้ามองภาพบนหน้าจออย่างหายใจไม่ทั่วท้อง
ขณะเดียวกัน
‘เราไม่ได้สู้เพื่อเกียรติยศหรือความยิ่งใหญ่…’
ขณะกำลังยืนบนหัวไหล่ของไรเดอร์ ด้านล่างเป็นกองทัพอสูรที่กำลังปืนไต่ด้วยท่าทีหิวกระหาย ซีบาลทำการชักอาวุธออกมากำแน่น
เป็นอาวุธอีโก้ที่แพนเมียเคยสร้างให้ตั้งแต่สมัยอดีตนมนาน—พลองเงิน
ปัจจุบัน มันอัปเกรดอาวุธชนิดนี้ด้วยผลของภารกิจและชิ้นส่วนลับประจำคลาส
<+8พลองเงิน> มีออปชันที่ยอดเยี่ยมอย่าง ‘ขยายขนาด’ และ ‘ทะลุผ่าน’
‘แต่เราสู้เพื่อปกป้อง!’
ในอดีต จากบรรดาสงครามมากมายของมนุษย์ ส่วนใหญ่เริ่มจากความละโมบเป็นที่ตั้ง
ซีบาลซึ่งเป็นอดีตหัวกิลด์สเน็กและผู้เล่นอันดับสองของโลก ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวมันก็เคยต่อสู้ด้วยเหตุผลเหล่านั้น
แสวงหาอำนาจ ปรารถนาพลัง
แต่ไม่ใช่กับปัจจุบัน
กาลเวลาหล่อหลอมให้มนุษย์เติบโต และซีบาลก็ค้นพบเหตุผลใหม่ที่ตัวมันต้องจับอาวุธสู้
เหตุผลที่องอาจสง่างามควรค่าแก่การยกย่อง
“ขยายขนาด!!”
ขณะฝูงอสูรปีนไต่ประชิดกำแพงป้อมพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่กลุ่มทหารอย่างเกรี้ยวกราด
เปรี้ยง!!
พลองขนาดยักษ์ทิ่มแทงลงด้านล่างด้วยลักษณะคล้ายหอก โดยไม่ถูกกีดขวาง ปลายพลองพุ่งผ่านร่างอสูรหลายสิบตัวเป็นเส้นตรงในพริบตา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนเส้นทางล้วนกลายเป็นแสงสีเทาในบันดล
“เฮ—!!”
หมู่ทหารต่างโห่ร้องดีใจเมื่อได้เห็นศัตรูจำนวนมากถูกกำจัดในคราเดียว
ในวินาทีนี้ วีรบุรุษคนใหม่ถือกำเนิดจากความเจ็บปวด สิ้นหวัง และจิตใจที่ไม่ยอมแพ้
😁
ReplyDeleteขอบคุณมากๆครับ🙏