จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1025
การปรากฏตัวของจอมอสูรเฟย์ริสสร้างความตื่นเต้นให้ผู้เล่นจำนวนมากทั่วโลก
แต่ละคนล้วนมั่นใจ พวกมันจักต้องได้กอบโกยความมั่งคั่งมหาศาลจากอีเวนต์หนนี้
ความคิดอันโง่เขลาไม่เพียงมาจากกลุ่มแรงเกอร์ชื่อเสียงโด่งดังซึ่งรู้จักกันดี แต่ยังรวมถึงขั้วอำนาจลับปกปิดตัวตนที่เตรียมกอบโกยฉกฉวยโอกาส
และบทสรุปคือ พวกมันได้พานพบความฉิบหายวายป่วงสาหัสสากรรจ์
บ้างหลายสิบ บ้างหลายร้อย บ้างหลายพัน นั่นคือเหยื่อเคราะห์ร้ายที่ต้องสูญเสียชีวิตจากพลังโป้ปดและพลังแปรธาตุสุดหยั่งของเฟย์ริส
เฟย์ริสไม่หยุดคุกคามมนุษย์ ทุกแห่งหนที่เดินทางไปแปรเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพัง โดยเฉพาะสองอาณาจักรทางใต้ของทวีป พวกมันเผชิญความเสียหายชนิดมิอาจฟื้นฟูกลับดังเดิม
[เมือง ‘สกัลทิน่า’ แห่งอาณาจักรฮาเค่นถูกทำลายโดยสมบูรณ์]
[เมือง ‘อกาลูน่า’ แห่งอาณาจักรฮาเค่นถูกทำลายโดยสมบูรณ์]
[เมือง ‘เกรอน’ แห่งอาณาจักรโรเทมอนถูกทำลายโดยสมบูรณ์]
[เมือง…]
…
…
หมู่บ้านและเมืองใหญ่หลายแห่งถูกลบออกจากแผนที่โลกถาวร
อีกนัยหนึ่งยังหมายความว่า แม้แต่ขุมกำลังทหารระดับกองทัพอาณาจักร ก็ไม่มีน้ำยาพอจะกำราบจอมอสูรเพียงหนึ่งตน
ผู้เล่นเริ่มตื่นตัวและหวาดระแวง
ยิ่งเฟย์ริสทำลายเมืองมากเท่าไร จุดเก็บเลเวลและทำภารกิจของพวกมันยิ่งลดลง ทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่า ผู้เล่นต้องผนึกกำลังล้มเฟย์ริสลงให้จงได้
ไม่อย่างนั้น พวกตนจะไม่หลงเหลือสถานที่สำหรับเก็บเลเวลแม้แต่แห่งเดียว ถึงเวลาที่เหล่าแรงเกอร์ระดับท็อปต้องผนึกกำลังกอบกู้โลก
แผนการล่าเฟย์ริสถูกยกระดับจากแผนกอบโกยความมั่งคั่ง มาเป็นแผนกอบโกยชื่อเสียง เกียรติยศ และความมั่งคั่งแทน
กิลด์ใดที่กล้าแกร่งพอจะปราบมันลง กิลด์นั้นจะถูกจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ยาวนาน ไม่เพียงความมั่งคั่ง แต่ความสำเร็จในซาทิสฟายจะค้ำฟ้าตลอดกาล
เหล่าแรงเกอร์หลงลืมความแค้นต่อกันชั่วขณะ พวกมันจับมือวางแผนล้มจอมอสูรเฟย์ริสอย่างรัดกุม
และผลลัพธ์ก็คือ ความพ่ายแพ้หนแล้วหนเล่าไม่รู้จักจบสิ้น
เหล่าขุนพลหาญกล้ากลุ่มใหญ่ผนึกกำลังเป็นกองทัพบุกตะลุยใส่เฟย์ริส ในจำนวนนี้มีเทพสงครามอาเรสร่วมด้วย
ความสำเร็จสูงสุดของมวลมนุษย์คือการลดระดับพลังชีวิตเฟย์ริสเหลือ 50% แต่เมื่อหลอดเลือดลดต่ำถึงจุดหนึ่ง เฟย์ริสจะเข้าสู่ร่างจริงและระเบิดพลังแปรธาตุกวาดทำลายกองทัพผู้เล่นชนิดไม่เหลือซาก
นับแต่นั้น ความสิ้นหวังกลืนกินผืนทวีปตะวันตกโดยสมบูรณ์ สถานการณ์เลวร้ายลงทุกวินาที
เมื่อเฟย์ริสรวบรวม ‘ดวงวิญญาณ’ มนุษย์ได้ถึงจุดหนึ่ง มันทำการเปิดประตูขุมนรกและอัญเชิญกองทัพส่วนตัวขึ้นมาบนโลก
ลำพังเฟย์ริสตนเดียวยังปราบไม่ได้ แล้วพันธมิตรมนุษย์จะกำราบเฟย์ริสที่มาพร้อมกองทัพไหวหรือ?
ไม่มีทาง
ทวีปตะวันตกย่างกรายเข้าสู่สุดจบ อาณาจักรฮาเค่นและโรเทมอนกำลังถึงคราวพินาศ
ผู้เล่นที่สังกัดสองอาณาจักรดังกล่าวพากันสิ้นหวังท้อแท้ บ้านที่เคยพำนักพักพิงถูกทำลายจนเกลี้ยง หลงเหลือไว้เพียงความทรงจำขื่นขม
เมื่ออสูรปกครองเมือง กฎระเบียบที่เคยมีล้วนถูกยกเลิก ความปั่นป่วนโกลาหลเกิดขึ้นทุกหัวระแหง
แผนการปราบเฟย์ริสถูกยกระดับอีกครั้ง ไม่ใช่การแสวงหาเงินทองหรืออำนาจอีกต่อไป แต่เพื่อ ‘ความอยู่รอด’ ของผู้เล่นทั้งหมด
หลายฝ่ายต่างตัดพ้อหัวเสีย
เหตุไฉนกิลด์โอเวอร์เกียร์ถึงไม่ลงมือกระทำสิ่งใดเลย? หายนะมวลมนุษย์ปรากฏเบื้องหน้าเช่นนี้แล้ว ทำไมพวกคุณถึงไม่ยอมขยับตัวสักที?
ช่างน่าขัน
ทั้งที่กิลด์โอเวอร์เกียร์เคยถูกเหยียดหยันและประณามเรื่องผูกขาดปราบ ‘บอสอ่อนแอ’ อย่างจอมอสูรบีเลียลไว้เพียงผู้เดียว
กลุ่มผู้ที่เคยถากถางเอาแต่หุบปากเงียบในเวลาวิกฤติเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าออกมาแสดงตน
จริงอยู่ ไม่ใช่ทุกคนที่ตำหนิโอเวอร์เกียร์อย่างเสียหายในอดีต แต่ก็ไม่มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน แถมบางส่วนยังเป็นบุคคลมีชื่อเสียง
กระนั้น ลอเอลมิได้ใส่ใจคำตำหนิในอดีตมากนัก ไม่เกี่ยวกับการหวังมอบบทเรียนให้กับกลุ่มคนปากเสีย เพียงแต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยให้โอเวอร์เกียร์เคลื่อนไหว
เหนือสิ่งอื่นใด กิลด์โอเวอร์เกียร์เป็นองค์กรเอกชนที่แสวงหาผลประโยชน์ มิใช่รัฐบาลโลกหรือองค์กรการกุศล มิใช่ซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำเพื่อมวลมนุษยชาติ
ไม่มีเหตุผลที่ต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงรับความเสียหายแทนผู้อื่น ไม่ใช่หน้าที่เลย
ลอเอลมีแผนในหัวของมันอยู่แล้ว
“พวกเรายังสู้เฟย์ริสไม่ไหว สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ฟื้นฟูความเสียหายจากสงครามกับจักรวรรดิกลับคืน รวมถึงสำรวจโบราณสถานและครอบครองพลังใหม่ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะปราบเฟย์ริสได้”
ลอเอลตัดขาดเชื่อมต่อซาทิสฟายเพราะถึงขีดจำกัดออนไลน์ประจำวัน
หลังจากศึกษาทิศทางการเคลื่อนไหวของโลก มันร่างอีเมลฉบับหนึ่งและส่งไปหาสมาชิกกิลด์ทุกคนทันที
…ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่คัดค้าน
***
ณ ค่ายทหารชายฝั่งของกองทัพจักรวรรดิ
กริด สิบวีรชนฯ สามดยุค และสกังค์กำลังนั่งล้อมภายในกระโจมประชุม
เกล็นฮาลนั่งฝั่งตรงข้ามกริด ทุกคนพอจะเดาได้ว่ามันมีอำนาจสูงสุดในบรรดาสามดยุค
“ในเมื่อเป็นพันธมิตรกันแล้ว พวกเราขอแสดงความจริงใจโดยการแจ้งข้อมูลทั้งหมดที่มีให้พวกคุณทราบ”
เกล็นฮาลชำเลืองมองบาซาร่า เป็นสัญญาณให้เธอเริ่มอธิบาย
“ฝ่ายจักรวรรดิมีกำลังรบดังนี้ ทหาร 4,959 นาย อัศวิน 300 นาย รวมทั้งหมด 5,259 นาย แต่ทหารไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญสาวกเทพสงคราม และอัศวินไร้ประโยชน์เมื่อต้องเผชิญหน้าสาวกพร้อมกับดัก สรุปโดยสั้นคือ มีเพียงพวกเราสามคนที่สามารถต่อกรกับสาวกเทพสงครามภายในป่าไหว”
บนเกาะเล็กห่างไกลความเจริญ กองทัพจักรวรรดิกลับไร้พลังจนน่าตกใจ ไม่มีใครอยากเชื่อว่า แม้แต่เจ็ดดยุคยังเผชิญความสิ้นหวัง
“แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อฝ่ายคุณมีกุญแจ กับดักก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป อัศวินทั้งสามร้อยจะช่วยแบ่งเบาภาระ พวกเขาสามารถล้มสาวกเทพสงครามได้ หากใช้แปดคนรุมต่อสู้”
ในอดีต สิบวีรชนฯ เคยรับมือสาวกเทพสงคราม ‘สองเทคนิค’ อย่างยากลำบาก ต้องจับคู่กันเพื่อล้มในแต่ละตัว
ทว่านั่นเป็นเรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว ปัจจุบัน แต่ละคนเก่งกาจพอจะดวลชนะแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
กระนั้น สามดยุคกลับกล่าวว่า สาวกเทพสงครามบนเกาะต้องใช้อัศวินของเจ็ดดยุคมากถึงแปดคนรุมเชียวหรือ?
พีคซอร์ดยักไหล่อย่างเหยียดหยัน
‘อัศวินเจ็ดดยุคก็ไม่ได้เจ๋งสักเท่าไรนี่นา…’
เป็นอย่างที่คิด พวกตนแข็งแกร่ง
ถึงจะกลายเป็นมดปลวกเมื่ออยู่ต่อหน้าดยุค แต่นั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก
ทันใดนั้น พีคซอร์ดที่กำลังยกหางตัวเองมีอันต้องตะลึง มันแทบไม่เชื่อหู
“การรุมแปดต่อหนึ่งของอัศวินจะใช้ได้กับสาวกเทพสงครามแค่ ‘ห้าเทคนิค’ เท่านั้น เกินกว่านั้นคงไม่ไหว แต่ไม่ต้องห่วง จากข้อมูลที่ฝ่ายเรามี สาวกภายในป่าส่วนใหญ่มีแค่ห้าเทคนิค แผนการฝ่าเข้าป่าจึงมีโอกาสสำเร็จพอประมาณ”
ห้าเทคนิค
โฆษณาไก่ย่างห้าดาว*ที่กำลังโด่งดังบนอินเทอร์เน็ตพลันแล่นเข้ามาในหัวพีคซอร์ด มันจึงมั่นใจว่าไม่ได้ฟังคำว่า ‘ห้า’ ผิดไป เพราะช่วงนี้ได้ยินบ่อยจนติดหู
(*ดัดแปลงให้เข้ากับภาษาไทย)
‘…บ้าน่า ห้างั้นหรือ?’
แค่สองเทคนิคยังทำได้เพียงดวลตัวต่อตัว แล้วนี่มากถึงห้า?
นัยน์ตาพีคซอร์ดเริ่มสั่นระริก
โบราณสถานเทพสงครามมีระดับความยากสูงกว่าที่ตนคำนวณไว้ แถมอัศวินเจ็ดดยุคยังแข็งแกร่งในระดับน่าทึ่ง ทั้งสองสิ่งคือปัจจัยที่โอเวอร์เกียร์ควรวิตก
แต่ถึงอย่างนั้น สีหน้าของสิบวีรชนฯ ที่เหลือกลับยังสุขุม โดยเฉพาะอดีตเซดากาห์
พวกมันเล่นเกมออนไลน์หลายชนิด ชื่นชอบความท้าทายเป็นทุนเดิม จึงไม่แสดงอากัปกิริยาตื่นตระหนกหลังจากทราบความโหดร้ายของโบราณสถานและอัศวินเจ็ดดยุค
ด้านยูร่า คริส แค็ทซ์ และยูเฟอมิน่า คนเหล่านี้มิแสดงท่าทีตื่นกลัวเพราะมั่นใจในฝีมือตัวเอง
‘มีแค่เรางั้นหรือ?’
ขณะพีคซอร์ดรู้สึกถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว บทสนทนาระหว่างสองเสนาธิการ ลอเอลและบาซาร่า กำลังดำเนินอย่างต่อเนื่องเพื่อหาข้อสรุป
“ส่วนคำถามที่ว่า ภายในป่ามีสถานที่แบบใดซ่อนอยู่กันแน่ ฝ่ายเราก็ยังไม่มีคำตอบเช่นกัน”
“ที่ผมสงสัยคือ เมื่อพวกคุณกล่าวว่า หากมีกุญแจ แผนการฝ่าด่านป่าทึบจะมีโอกาสสำเร็จพอประมาณ นั่นหมายความว่า แผนการยังมีโอกาสล้มเหลวอยู่มาก ต่อให้คุณสามคน อัศวินสามร้อย และพวกเราสิบกว่าคนร่วมมือกัน ผมพูดถูกไหม?”
“ถูกต้อง”
“แล้วทำไมถึงมีโอกาสล้มเหลวอยู่มาก? ในเมื่อพวกคุณระบุว่าอุปสรรคสำคัญของผืนป่าคือกับดัก หากปราศจากกับดัก มันก็ควรราบรื่นไม่ใช่หรือ?”
“กับดักเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ไม่ใช่ปัญหาหนึ่งเดียว”
“ที่เหลือคือ?”
ลอเอลถามซักไซ้
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ขุนนางอาณาจักรเล็กมีโอกาสพูดมากเป็นพิเศษต่อหน้าเจ็ดดยุค แต่บาซาร่ามิได้แสดงอากัปกิริยาหงุดหงิด เธอตั้งใจอธิบายอย่างฉะฉาน
ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายคือพันธมิตรที่ควรเชื่อใจกันและกัน แถมฝ่ายจักรวรรดิคิดจะเผยข้อมูลทั้งหมดแต่แรกแล้ว
“ปัจจัยที่ไม่แน่นอนเกิดจาก สาวกห้าเทคนิคนั้นครอบครองพลังแตกต่างกันไป อาวุธที่ใช้ไม่เหมือนกัน บางตนมีพลังป้องกันที่น่าทึ่ง การโจมตีจากฝ่ายเราอาจต้องไร้ผล บางตนมีเทคนิคสำหรับก่อกวนจิตใจของศัตรู”
สรุปโดยสั้นคือ ยิ่งพวกมันรวมตัวกันมากเท่าไร ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นทวีคูณจนยากรับมือ
ในทางทฤษฎี อัศวินเจ็ดดยุคอาจรุมชนะสาวกเทพสงครามในสถานการณ์แปดต่อหนึ่ง
“แต่ไม่ใช่กับ 80 ต่อ 10 นั่นจะเป็นหนังคนละม้วน เทคนิคของพวกมันจะช่วยเติมเต็มกันและจนก่อปัญหาใหญ่ แม้แต่ฉัน เกล็นฮาล และมอริสร่วมมือกัน ยังมิอาจเอาชนะสาวกเทพสงครามเกินกว่าสิบตนพร้อมกันไหว”
ในสถานการณ์ที่มีกับดัก แค่ห้าตนก็ตึงมือมากแล้ว แต่เมื่อไร้กับดัก จำนวนที่รับมือได้พร้อมกันจึงมากขึ้น
ลอเอลขมวดคิ้ว
“หมายความว่า ถ้าเผชิญหน้าสาวกเทพสงครามหลายตนพร้อมกัน โอกาสพ่ายแพ้ก็ยิ่งสูงขึ้นสินะ”
“ถูกต้อง โดยธรรมชาติของพวกมัน สาวกเทพสงครามจะลาดตระเวนลำพัง แต่เมื่อการต่อสู้ยืดเยื้อ มีโอกาสสูงที่สาวกตัวตื่นจะลาดตระเวนพบเข้า วนซ้ำเช่นนี้ไปมาจนจำนวนพวกมันมากขึ้น และเฉกเช่นมอนสเตอร์ หลังจากตายไปแล้ว พวกมันจะเกิดใหม่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง”
“ให้ตายสิ…”
หากฆ่าไม่เร็วพอ มีโอกาสสูงมากที่จะวนเวียนไม่จบสิ้น และเป็นสาเหตุที่เจ็ดดยุคไม่มั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะฝ่าด่านป่าทึบสำเร็จ
‘ถ้าเราใช้เวลาบนเกาะนานเกินไป เกรงว่าจอมอสูรเฟย์ริสอาจอาละวาดถึงเขตอาณาจักรโอเวอร์เกียร์’
ยิ่งทิ้งช่วงห่าง เฟย์ริสก็ยิ่งอัญเชิญกองทัพส่วนตัวออกมาเพิ่ม จนถึงจุดที่ขุมพลังโอเวอร์เกียร์มิอาจต่อกรไหว แม้จะยกระดับตัวเองจากโบราณสถานแล้วก็ตาม
“พวกเราไม่ควรยื้อเวลานาน ทางจักรวรรดิจะส่งทัพเสริมมาเพิ่มรึเปล่า?”
“เรือรบขนาดใหญ่ห้าลำเดินทางออกจากท่าเรือกัลเลสเมื่อสิบห้าวันก่อน”
“สองสัปดาห์ก่อนหน้า? ยังไม่ถึงอีกหรือ?”
“คงเกิดอุบัติเหตุเข้า”
“…”
แต่เรื่องกำลังเสริมไม่น่าเป็นห่วงนัก ท้ายที่สุด ทัพเสริมต้องมาถึงเกาะอย่างแน่นอน ถึงเรือชุดแรกจะล้มเหลว จักรวรรดิก็จะส่งชุดที่สอง สาม สี่ ตามมาจนกว่าจะสำเร็จ
แต่นั่นจะทำให้เวลาล่วงเลยอย่างสูญเปล่า
‘ในกรณีเลวร้ายที่สุด พวกเราอาจต้องถอนตัวกลับกลางคันเพื่อสู้กับเฟย์ริส หากเป็นเช่นนั้น จักรวรรดิจะได้ครอบครองสมบัติส่วนใหญ่ของโบราณสถาน’
ภายใต้สถานการณ์กดดัน แม้แต่อัจฉริยะอย่างลอเอลก็มิอาจคิดหาแผนการที่ดีที่สุดได้
ไม่มีใครเลยสักคนที่ทราบว่า สิ่งใดคือต้นตอความล้มเหลวของกองเรือทัพเสริมจักรวรรดิ…
คงไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่า ‘เขาคนนั้น’ จะพยายามอย่างหนักเพื่อให้เรือของทัพเสริมเกิดความฉิบหายจนแล่นไม่ถึงเกาะ
ผลงานที่ยอดเยี่ยมเกินไป บางครั้งก็กลายเป็นดาบสองคมหันมาทำร้ายพวกเดียวกัน
***
สองชั่วโมงถัดมา
การประชุมที่นำโดยลอเอลและบาซาร่าจบลง
ข้อมูลถูกแลกเปลี่ยนโดยไม่มีปิดบัง แผนและระบบสั่งการถูกกำหนดบทบาทชัดเจน
กริดลุกขึ้นจากที่นั่ง
“ลุยกันเถอะ”
การประชุมน่าเบื่อจนเขาแทบเฉาตาย
ใจจริง กริดต้องการสร้างกางเกงในฆ่าเวลา แต่ตนทำเช่นนั้นต่อหน้าเจ็ดดยุคไม่ได้ ทางเลือกเดียวคือรับฟังเรื่องราวทั้งหมด …ใครบอกว่าความเบื่อฆ่าคนไม่ได้ ไม่จริงเลยสักนิด
สกังค์กลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นกริดกระตือรือร้นมากกว่าใคร
‘คุณกริด… ความกำลังจะแตก’
กริดไม่ได้รวบรวมชิ้นส่วนกุญแจสำเร็จ
ถึงไม่ทราบว่ากริดใช้วิธีใดตบตาสามดยุค แต่กับดักภายในป่าคงไม่ถูกยกเลิกแน่
…หรือแผนของกริดจะเป็นการล่อสามดยุคเข้าไปฆ่าทิ้งในป่าตั้งแต่แรก? ต้องใช่แน่
สกังค์ขนลุกไปทั่วร่างเพียงแค่นึกภาพตาม
มันเริ่มเกิดความลังเล ว่าจะบอกความจริงกับสามดยุคดีหรือไม่ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา สามดยุคแสดงความจริงใจต่อตนและพวกพ้องไม่น้อย ช่วยปกป้องชีวิตก็หลายหน เป็นสายสัมพันธ์ที่ถือกำเนิดหลังจากเผชิญอุปสรรคร่วมกัน
ขณะสกังค์ลังเล กริดและสามดยุคเตรียมตัวเคลื่อนพลพร้อมแล้ว
“ไปกันเถอะ”
“อื้อ”
สกังค์ร่วมเดินทางไปด้วย มันไม่แน่ใจว่าพวกตนจะถูกเก็บไปพร้อมสามดยุคหรือไม่ แต่คงจะแปลกเกินไปหากปฏิเสธร่วมทาง เพราะทีมสำรวจสกังค์มีข้อมูลของป่าแห่งนี้มากที่สุด
“…”
สีหน้าสกังค์ดำมืดตลอดทางจนกระทั่งคณะสำรวจทางย่างกรายถึงผืนป่า
ด้านในไม่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ เหตุเพราะกับดักอันตรายมีจำนวนมากเกินไป
ใกล้แล้วสินะ
สกังค์สัมผัสถึงลางร้าย
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก!
หัวใจสกังค์เต้นระรัว มันกำลังจินตนาการภาพการต่อสู้ในหัว กริดจะลอบแทงข้างหลังสามดยุคด้วยวิธีใดบ้าง? แล้วผู้บริสุทธิ์อย่างตนจะโดยลูกหลงไปด้วยไหม?
ฉึบ—
ต่อหน้าทุกคน กริดเหยียดแขนเข้าไปในมิติลึกลับซึ่งเป็นช่องสัมภาระของผู้เล่น
‘ท่านดยุค พวกเราขอโทษ… ผมคงยอมให้ทีมสำรวจกลายเป็นลูกหลงของกริดและสิบวีรชนฯ ไม่ได้’
สกังค์หลับตาลงด้วยสีหน้าเจ็บแปลบ มันเลือกจะเป็นคนกลางที่ไม่ฝักฝ่ายใด
ภาพกริดชักดาบฟาดฟันสามดยุคกำลังโลดแล่นในจินตนาการยอดนักสำรวจ
ทว่า
กริ๊ก!
ไอเท็มที่กริดหยิบออกจากช่องสัมภาระคือกุญแจประหลาด เมื่อราชาโอเวอร์เกียร์สอดเข้าไปในรูบนต้นไม้ กับดักรอบตัวถูกยกเลิกอย่างฉับพลัน
“…?”
สกังค์ลืมตาขึ้นอย่างตกตะลึง หัวสมองกำลังปั่นป่วนเมื่อกุญแจดอกดังกล่าวใช้งานได้ผล
กริ๊ก! กริ๊ก! กริ๊ก!
กริดตระเวนเดินไขทุกต้นไม้ที่มีรู
ด้วยความจังไรของราชาโอเวอร์เกียร์ ผืนป่าก็ไม่มีกับดักอีกต่อไป
“เชี่ยไรเนี่ย…”
จากบทสนทนาแปลกประหลาดก่อนหน้า กริดไม่มีความรู้เรื่องชิ้นส่วนกุญแจแม้แต่น้อย ชายคนนั้นกล่าวว่า กุญแจคือสิ่งที่เขาพกติดตัวแต่แรกแล้ว
เป็นคำตอบที่ไม่สอดคล้องกับทฤษฎีสกังค์สักอย่างเดียว
ใช่แล้ว
‘กุญแจ’ ที่กริดหมายถึงในบทสนทนาต้องเป็นกุญแจคนละดอกกับปริศนาภาพวาดผนังถ้ำแน่นอน
แต่มันกลับใช้ได้?
เรื่องบ้าบออะไรกัน?
“ด…เดี๋ยวก่อนครับ… นั่นกุญแจอะไร?”
“นี่หรือ? มาสเตอร์คีย์ไง มันไขได้ทุกกลอน”
“…?!”
สกังค์เพิ่งตระหนักได้เมื่อสาย
…ฉายาของกริดคือราชาโอเวอร์เกียร์
ใช่แล้ว บุคคลที่พึ่งพาไอเท็มมากที่สุดในโลก
สาเหตุหลักที่กริดก้าวขึ้นเป็น ‘ท้องฟ้า’ คนปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะเขามีฝีมือต่อสู้เก่งฉกาจเพียงอย่างเดียว
“อ…โอเวอร์เกียร์”
ใช่แล้ว ความโอเวอร์เกียร์
กริดครอบครองของวิเศษไว้มากที่สุดในโลก
“หือ?”
ชายหนุ่มที่กำลังยืนฉงนเพราะสกังค์เอาแต่อ้าปากค้าง เขาพลันเปลี่ยนท่าทีพร้อมกับชักดาบ
กึก
ท่วงท่ารำดาบอันงดงามชำนาญราวกับฝึกฝนมาทั้งชีวิต
“ทำลายล้างสังหาร”
เปรี้ยง!
สาวกเทพสงครามลอบเข้าใกล้กริดอย่างเงียบเชียบจากพุ่มเถาวัลย์หนาทึบ ชายหนุ่มมองสัมผัสได้เพราะมีค่าวิสัยทัศน์และกำลังสวมผ้าปิดตาเพชฌฆาต
ทักษะดาบผสานสองชนิดสิ้นเปลือง ‘ปราณดาบ’ ไม่มาก และเมื่อโจมตีโดนเป้าหมาย ปราณดาบก็ยิ่งฟื้นฟูกลับคืน ทรัพยากรชนิดนี้ไม่เหมือนมานาที่ต้องรอฟื้นฟูตามธรรมชาติหรือดื่มจากโพชั่นเท่านั้น
กริดสามารถปลดปล่อยวิชาดาบแพ็กม่าอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปเพียงสิบวินาที สาวกเทพสงครามตัวแรกของคณะเดินทางได้สลายกลายเป็นแสงเทา
“พวกคุณบอกว่า สาวกเทพสงครามจะลาดตระเวนตามลำพังใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น รีบฆ่าให้ตายทีละตัวสิ้นเรื่องแล้ว”
สาวกเทพสงครามในวิหารกัลกุนอสถูกจัดเป็นมอนสเตอร์ประเภทอีลีทและรองบอส แต่สำหรับโบราณสถานเทพสงคราม พวกมันคือมอนสเตอร์ทั่วไปที่มีชื่อสีขาว
ถึงแม้ท่วงท่าโจมตีจะแข็งแกร่งกว่า แต่ด้วยขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์ หลอดพลังชีวิตสูงสุดจึงอยู่ในระดับต่ำ
อาจมีพลังป้องกันสูงก็จริง ทว่าสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยทักษะที่มองข้ามพลังป้องกัน
สำหรับกริด สาวกเทพสงครามคือมอนสเตอร์ที่อ่อนแอและจัดการได้ภายในสิบวินาที
…ใช่แล้ว สำหรับกริดเท่านั้น
“…”
บรรยากาศเงียบงันพลันครอบงำทุกฝ่าย
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,414
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
ฮูเร็นจะฉิดฉายหรือไม่ ฮ่าๆ
ReplyDeleteฮูเร็นจะจิตตกอีกใหม น่าสงสาร😆
ReplyDeleteขอบคุณมากครับแอด😊
ฮูเร็นมันใช้เวลาฆ่ามอน เกือบ 3 นาที กริดแม่งใช้ 10วิ ฮูเร็นร้องไห้แน่ๆ
ReplyDeleteด้วยความจังไรของราชาโอเวอร์เกียร์🤣🤣🤣 ฮาลั่น
ReplyDeleteขอโทษนะสกังค์
ReplyDelete