จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1026
อัศวินทั้งสามร้อยนายต่างพากันทึ่งในฝีมือกริดที่กำราบสาวกเทพสงครามได้ภายในไม่กี่วินาที
‘สมแล้วที่ท่านเกล็นฮาลยอมรับ’
ในตอนแรก อัศวินต่างมองว่าดยุคเกล็นฮาลแสดงท่าทีนอบน้อมต่อราชาโอเวอร์เกียร์เกินไป
ไม่ว่าจะต้องการกุญแจมากเพียงใด แต่กริดเป็นถึงกษัตริย์อาณาจักรศัตรู แถมยังเป็นบุรุษที่สังหารดยุครีกัล ราชาท้องฟ้า คงเป็นการยากที่เหล่าอัศวินจะให้อภัยหรือยอมรับราชาโอเวอร์เกียร์
แต่ท่าทีเกล็นฮาลกลับแสดงออกชัดเจนว่าชื่นชอบและต้องการสานไมตรี ถ้าจะมีเหตุผลสักข้อให้เกล็นฮาลยอมโอนอ่อนต่อกริด พวกมันก็อยากจะทราบเช่นกัน
และในที่สุด เหล่าอัศวินก็มีโอกาสประจักษ์เต็มสองตา ว่าราชาโอเวอร์เกียร์ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าในข่าวลือมากเพียงใด
แม้แต่เกล็นฮาลยังต้องใช้สองถึงสามนาทีเพื่อเอาชนะสาวกเทพสงครามสักตน แต่กริดกลับทำได้ภายในสิบวินาที
…แข็งแกร่งกว่าเจ็ดดยุคอีกหรือ?
กลุ่มอัศวินเริ่มยำเกรงในพลังกริด พวกมันไม่อยากเชื่อว่า ภายนอกจักรวรรดิจะมีตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ด้วย ความหวาดกลัวเริ่มบังเกิดขึ้นในใจ
บางที ราชาไร้พ่ายคนที่สองอาจถือกำเนิด
ขณะเดียวกัน เหล่าสิบวีรชนฯ กำลังแสดงสีหน้าตื่นตระหนกไม่ต่าง เพราะถึงแม้มอนสเตอร์เผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์จะมีจุดอ่อนด้าน ‘พลังชีวิตต่ำ’ แต่เลเวลของสาวกเทพสงครามก็สูงเกินกว่าสี่ร้อย
พลังโจมตีของทักษะคอมโบที่กริดประเคนใส่ศัตรู ความรุนแรงและประสิทธิภาพเปลี่ยนไปจากหลายเดือนก่อนค่อนข้างมาก เป็นการพัฒนาชนิดก้าวกระโดด
ในช่วงเวลาแสนสั้น กริดเติบโตขึ้นอีกแล้วงั้นหรือ? พวกมันทั้งสิบยากจะหาเหตุผลใดมาอธิบาย
โดยเฉพาะฮูเร็น จิตใจของมันถูกกระทบกระเทือนหนักหน่วง
‘เราต้องใช้ทุกท่าไม้ตายเพื่อฆ่ามอนสเตอร์…’
ฮูเร็นไม่ได้เข้าร่วมประชุม ไม่เหมือนกับสิบวีรชนฯ ที่ล้วนครองตำแหน่งขุนนางใหญ่ ตัวฮูเร็นเข้ากิลด์มาทีหลังโดยปราศจากบรรดาศักดิ์ การให้ชาวนาร่วมประชุมต่อหน้าสามดยุคคงเป็นเรื่องเสียมารยาทพอสมควร
เมื่อไม่ได้ประชุม มันจึงเดินทอดน่องบนผืนทรายขาวพร้อมกับหวนนึกถึงอดีต
ปิอาโร่ที่เคยทำฟาร์มท่ามกลางบรรยากาศใต้ทะเลของเมืองไซเรนเคยกล่าวไว้ว่า เขาสามารถคิดค้นเมล็ดพันธุ์พิเศษซึ่งสามารถเติบโตบนผืนทรายได้
แต่นั่นยังไม่ใช่รุ่นสมบูรณ์ ปิอาโร่เคยสัญญากับฮูเร็นว่าจะมอบเมล็ดพันธุ์ให้ทันที หากยืนยันแล้วว่าสามารถปลูกบนทรายได้โดยปราศจากปัญหา
คงมีความสุขไม่น้อยถ้ามีโอกาสได้ทำฟาร์มบนผืนทรายขาวงดงามทุกคืนวัน ฮูเร็นเกิดความคิดเช่นนี้ขณะรอทุกคนประชุมเสร็จ
แต่เมื่อได้เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ สติฮูเร็นถูกดึงกลับสู่ความจริง มันมิอาจนิ่งดูดายทำฟาร์มไปวันๆ และให้กริดสร้างช่องว่างห่างออกจากตนไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน
“…”
สามดยุคยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย พวกมันไม่ตื่นตะลึงแม้จะเห็นกริดปราบสาวกเทพสงครามได้ในสิบวินาที
เมื่อชายหนุ่มสัมผัสถึงบรรยากาศไม่ชอบมาพากล เขาเริ่มขมวดคิ้วด้วยสีหน้าครุ่นคิด
‘ค่าประสบการณ์น้อยแปลกๆ …’
ได้รับเท่ากับการฆ่ามอนสเตอร์กระจอกในช่วงเลเวลสามร้อย เป็นอัตราที่ต่ำกว่าธรรมชาติของมอนสเตอร์เลเวลสี่ร้อยตามปรกติ
น่าแปลกมาก
“…!”
ขณะกำลังเอียงคอสงสัย กริดรีบยกดาบปัดป้องตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้น คมดาบทองอร่ามของ ‘ดาบท้าทายเทพ’ ปะทะเข้ากับกำปั้นปริศนาจนเกิดเสียงก้อง
เคร้ง!
แรงกระเพื่อมมหาศาลแผ่พุ่งรอบทิศ
สองเท้ากริดลอยสูงจากพื้น ร่างกายถูกส่งกระเด็นถอยหลังหลายเมตร เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้าของกำปั้นมีพละกำลังสูงกว่ากริดเพียงใด
ผู้โจมตีปริศนากระโจนตามติดพร้อมประเคนกำปั้นใส่ กริดที่เท้าสัมผัสพื้นอีกครั้งกัดฟันใช้เท้าขวาเตะสวนกลับ
สาวกเทพสงครามพลันงอศอกแขนข้างที่ใช้ชกและกระแทกใส่หัวเข่ากริดที่กำลังเตะเข้าหา
ปึก!
ศอกศัตรูหยุดลูกเตะราชาโอเวอร์เกียร์ชะงักงัน การสวนกลับมีอันต้องเป็นหมัน
“นี่แก…?”
ชายหนุ่มตกตะลึงเมื่อได้เห็นใบหน้าสาวกเทพสงครามเต็มสองตา ไม่ผิดแน่ มันคือตัวเดียวกับที่ตนเพิ่งจัดการไปเมื่อครู่
ขณะกำลังเค้นสมองหาคำตอบให้ตัวเอง
ซู่ววว
สาวกเทพสงครามเริ่มแยกร่างออกเป็นสอง สาม สี่ และห้าร่าง
…ร่างโคลน
ตัวแรกที่กริดจัดการเป็นเพียงหนึ่งในร่างโคลนมากมายของมัน
“สาวกเทพสงครามที่ครอบครองเทคนิคร่างโคลน พวกมันจะส่งร่างโคลนของตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อหลอกให้ศัตรูตายใจ”
เกล็นฮาลพึมพำ
สาวกเทพสงครามตัวจริงคือสิ่งมีชีวิตสุดแข็งแกร่ง ชนิดที่เจ็ดนักบุญภัยพิบัติในตำนานยังมิอาจนิ่งดูดาย
แน่นอนว่า สาวกเทพสงครามในตำนานคงครอบครองเทคนิคหลายสิบชนิด ไม่ใช่เพียงห้า แต่ไม่ได้หมายความว่าสาวกห้าเทคนิคจะอ่อนแอ
แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะล้มสาวกเทพสงครามได้ในหลักวินาที
ต่อให้เป็นเจ็ดดยุคที่เอาจริงก็ทำไม่ได้ นอกเสียจากจะงัดท่าไม้ตายที่มีชีวิตเป็นเดิมพันออกมาใช้
เกล็นฮาลยังคงเงียบงัน มันเฝ้ามองราชาโอเวอร์เกียร์ด้วยสีหน้าใคร่รู้ บุคคลเบื้องหน้าที่เผชิญเหตุไม่คาดฝันคิดจะรับมือสาวกเทพสงครามด้วยวิธีใด?
กริดไม่ใช่ราชาวีรบุรุษเพราะโชคช่วย
เกล็นฮาลต้องการทราบให้ได้ว่า ปัจจัยใดคอยผลักดันให้ราชาโอเวอร์เกียร์กลายเป็นราชาวีรบุรุษ เหนือวีรบุรุษทั้งปวงบนทวีป
‘การต่อสู้ในครั้งแรกจะยากลำบากสักหน่อย’
โดยเฉพาะเทคนิคร่างโคลนซึ่งแตกต่างจากเทคนิคการต่อสู้ตามปรกติค่อนข้างมาก แถมร่างโคลนแต่ละร่างยังมีทักษะที่แตกต่าง
จากที่เกล็นฮาลประเมิน ร่างโคลนจะคัดลอกแต้มสถานะจากร่างหลักราว 30% หมายความว่าร่างโคลนจะอ่อนแอกว่าร่างหลักพอสมควร แต่การโจมตีในบางครั้งกลับหนักหน่วงรุนแรงเทียบเท่าตัวจริง
คงเป็นผลจากพลัง ‘สลับร่าง’ ซึ่งช่วยให้ร่างหลักสลับกับร่างโคลนได้ชั่วขณะโจมตี
แต่นั่นถือเป็นดาบสองคม เมื่อสลับร่างหลักเข้ามาสู่ร่างโคลน ร่างดังกล่าวจะแข็งแกร่งขึ้นผิดหูผิดตา ทำให้อีกฝ่ายทราบตัวจริงทันที
ทว่านั่นก็ไม่ใช่จุดบอดร้ายแรง มันสามารถย้ายร่างหลักได้ตลอดเวลา แถมรูปลักษณ์และปราณรอบตัวยังเหมือนกันหมดจด มิอาจแยกแยะได้ว่าร่างไหนร่างหลัก ไม่ว่าจะมีประสาทสัมผัสหรือทักษะตรวจจับเฉียบคมมากเพียงใด
เกล็นฮาลอยากเห็นว่า กริดที่ถูกล้อมโจมตีโดยร่างโคลนปนร่างหลักจำนวนห้าร่าง จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างไร
สำหรับสามดยุค การต่อสู้กับสาวกเทพสงครามร่างโคลนครั้งแรกนั้น เกล็นฮาลใช้เวลานานกว่าสี่นาที และมอริสใช้เวลานานกว่าห้านาที
“หือ?”
หางตาเกล็นฮาลพลันกระตุก มันสัมผัสได้ว่า นัยน์ตาซ้ายกริดที่ถูกบดบังไว้ด้วยผ้าปิดตา มีการกะพริบส่องแสงสีฟ้าชั่วขณะ
คนอื่นอาจไม่ทราบ แต่ไม่ใช่กับเกล็นฮาล มันสามารถสัมผัสความเปลี่ยนแปลงทะลุผ้าปิดตาได้
ทันใดนั้น
ซู่ววว—
บึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!
“…!?”
ร่างโคลนรอบตัวกริดพลันระเบิดและสลายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน
“อะไรกัน? นั่นมันพลังอะไร?”
มอริสที่เฝ้ามองการต่อสู้ด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายจนถึงเมื่อครู่ โพล่งขึ้นเสียงหลง
มันทราบอยู่แล้วว่ากริดแข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้นคงมิอาจล้มรีกัลสำเร็จ มอริสจึงไม่ได้สนใจการต่อสู้ตั้งแต่ต้น การเผชิญหน้าสาวกร่างโคลนครั้งแรกมักเกิดความติดขัดเป็นเรื่องปรกติ แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ปรกติอีกต่อไป
ขณะเดียวกัน สาวกเทพสงครามร่างหลักที่สูญเสียร่างโคลนจนต้องโดดเดี่ยวพลันชะงัก
สาวกเทพสงคราม… ตัวจริงพวกมันคือผู้แสวงหาสัจธรรม พวกมันตัดขาดอารมณ์ทั้งปวงตั้งแต่ยามก่อนตาย ภาพอากัปกิริยาตกตะลึงของสาวกเทพสงครามจึงเป็นสิ่งแปลกตาสำหรับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่สามดยุค
บาซาร่าเป็นคนแรกที่ตระหนักได้
“เนตรมาร…!”
“อะไรนะ? เนตรมาร?”
พลังเนตรอันน่าสะพรึง
พลังสิทธิพิเศษสำหรับเผ่าพันธุ์เนตรมารแต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นเรื่องผิดแผกอย่างมากที่มนุษย์เยี่ยงกริดจะครองพลังเนตรมารไว้กับตัว
แต่เกล็นฮาลและมอริสล้วนทราบดีว่าบาซาร่าเป็นใคร เธอไม่มีทางพูดพล่อย ท่ามกลางมหาสมุทรความรู้อันกว้างใหญ่ในหัว บาซาร่าไม่เคยผิดพลาดแม้แต่หนเดียว
เคร้ง—
ดาบกริดพุ่งเข้าหาร่างสาวกเทพสงครามที่หลงเหลือเพียงหนึ่ง อีกฝ่ายย่อมไม่ปล่อยให้ถูกโจมตีโดยง่าย มันไขว้สองแขนไว้เบื้องหน้าเพื่อหยุดยั้งคมดาบทองอร่าม
ถึงจะเป็นสาวกผู้ครองเทคนิคร่างโคลน แต่ฝีมือต่อสู้ร่างหลักย่อมไม่ธรรมดา การโจมตีพื้นฐานมิอาจสร้างความเจ็บปวดง่ายนัก
ทว่า
ฉูดดดด—
“…!?”
แขนสองข้างที่สาวกใช้รับดาบเกิดถูกสะบั้นขาดสองท่อนพร้อมด้วยละอองฝอยโลหิตสาดกระเซ็น สีหน้าสาวกบิดเบี้ยวเจ็บปวด
<ดูแคลนสามัญชน>
สร้างความเสียหายรุนแรงใส่สิ่งมีชีวิตประเภท ‘ทั่วไป’
* โจมตีรุนแรงเทียบเท่า 80% ของพลังชีวิตที่เหลืออยู่ของเป้าหมาย
มานาที่ใช้ : 5,000
ระยะหน่วง : 1 ชั่วโมง
ทักษะที่ติดมากับดาบท้าทายเทพ
อาจไม่ได้ผลกับศัตรูชนิดพิเศษ แต่หากเป็นมอนสเตอร์ ‘ทั่วไป’ ประสิทธิภาพจะไม่ต่างจากหัวรบนิวเคลียร์
ฉัวะฉัวะฉัวะ—
กริดรัวโจมตีซ้ำใส่สาวกเทพสงครามที่กำลังสับสนปั่นป่วนอีกแปดดาบถ้วน
ซู่ววว…
สาวกเทพสงครามห้าเทคนิคถึงคราวถูกกำจัดอย่างแท้จริง
ไม่เหมือนศพปลอมแรกที่ตายไป หนนี้กริดได้รับค่าประสบการณ์เต็มเม็ดเต็มหน่วยเป็นที่น่าพึงพอใจ แม้จะเลเวลสูงถึง 398 แล้ว แต่กลับยังเพิ่มมากถึง 0.01%
“…”
“…”
ในคราวนี้ สามดยุคตกตะลึงของจริง พวกมันกล่าวสิ่งใดไม่ออก
ทั้งที่เพิ่งเคยสู้กับสาวกเทคนิคร่างโคลนเป็นครั้งแรก แต่กลับปราบง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ?
ไม่มีคำกล่าวอื่นนอกจากชื่นชม ดยุคทั้งสามยกย่องกริดจากใจจริง
‘รีกัลไม่ได้เพราะโชคร้าย…’
ตัวตนกริดเริ่มพองโตในสายตาสามดยุคผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ ชายหนุ่มประสบความสำเร็จในการข่มขวัญให้อีกฝ่ายยำเกรง
นับเป็นการใช้งาน ‘ดูแคลนสามัญชน’ ที่คุ้มค่าและถูกจังหวะอย่างยิ่ง
[เนตรทำหมันกำลังแสดงผล มานาของท่านจะลดลงอย่างต่อเนื่อง]
[ท่านหลับตา เนตรทำหมันถูกยกเลิก]
กริดหลับตาซ้ายอีกครั้ง แต่มีน้อยคนนักที่จะสังเกตเห็น เพราะถูกผ้าปิดตาเพชฌฆาตบดบังจากด้านนอก
ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับพวกพ้อง
“สาวกเทพสงครามแข็งแกร่งกว่าที่ฉันคิดไว้ ทุกคนระวังตัวด้วยนะ”
“อ…อื้อ”
สภาพจิตใจและศักดิ์ศรีพวกมันทั้งสิบพลันแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
นี่พวกตนต้องคอยระวังมอนสเตอร์ที่กริดเชือดทิ้งภายในไม่กี่สิบวินาทีอย่างนั้นหรือ?
ความแตกต่างมีมากมายขนาดไหนกัน?
ช่องว่างกว้างใหญ่ยิ่งกว่าที่พวกมันเคยรู้สึกกับครอเกลในอดีตเสียอีก
‘ท่าไม่ดีแล้ว’
‘ถ้าช่องว่างยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ สักวันพวกเราจะกลายเป็นภาระ’
ไฟแห่งความมุ่งมั่นในตัวสิบวีรชนฯ พลันลุกโชติช่วง พวกมันตัดสินใจยอมเสี่ยงเลือกเส้นทางพัฒนาตัวเองที่อันตราย แต่แลกมาด้วยความแข็งแกร่งมหาศาล
ทุกคนเริ่มหันมองรอบตัวด้วยสายตาหิวกระหายของนักล่า
***
ผืนป่ามีขนาดเล็กกว่าที่จินตนาการไว้
ต้องขอบคุณกริดและกุญแจจังไร กับดักทั้งหมดจึงกลายเป็นหมันโดยสมบูรณ์ สิบวีรชนฯ แสดงฝีมือไล่ล่าสาวกเทพสงครามเต็มที่ รวมถึงความช่วยเหลืออันทรงพลังจากสามดยุค
เพียงไม่นาน คณะเดินทางก็เข้าถึงส่วนลึกสุดของป่า
ซ่าาา—
เบื้องหน้าทุกคนเป็นหุบเขา
เสียงน้ำตกดังอื้ออึงจนหูแทบดับ
“ตั้งค่ายที่นี่ไหม?”
เมื่อได้ยินเกล็นฮาลแนะนำ ลอเอลพยักหน้าหลังจากกวาดสายตาสำรวจรอบทิศ
“เป็นความคิดที่ดี”
เริ่มออกเดินทางจากชายหาดตอนรุ่นอรุณ จนถึงปัจจุบัน ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด ระยะเวลารวมในการบุกตะลุยผืนป่าคือสิบสี่ชั่วโมง
หลังจากช่วยพวกพ้องตั้งค่ายเสร็จ ลอเอลเดินไปหาสกังค์และไต่ถาม
“ไม่มีเบาะแสระหว่างทางเลยหรือ?”
“อา… น่าเสียดายที่ไม่ปรากฏเบาะแสของสมบัติลับแม้แต่อย่างเดียว มีเพียงจิตรกรรมฝาผนังที่ช่วยบอกใบ้วิธีปลดกับดัก…”
หมายความว่า ผืนป่ายัง ‘ไม่ใช่’ โบราณสถานเทพสงครามที่แท้จริง เป็นเพียงดินแดนทดสอบสำหรับคัดกรองคุณภาพผู้มาเยือน
ในผืนป่าไม่มีสิ่งสลักสำคัญถูกเก็บซ่อน
ลอเอลพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเข้าจุดประสงค์ที่แท้จริง
“บริหารกิลด์เองไม่เหนื่อยบ้างหรือ? พบเจอปัญหาบ้างไหม?”
“ด้วยจำนวนคนที่เกินร้อย แต่นอนว่าย่อมเผชิญปัญหาบ่อยครั้ง แต่ยังไม่เคยเกิดปัญหาใหญ่มาก่อน กิลด์ของผมมีจุดประสงค์ชัดเจนคือการผจญภัย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่มีอาณาจักรเป็นหลักแหล่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สมาชิกกิลด์หลายคนไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าที่ควร…”
“คิดเรื่องลงหลักปักฐานไว้หรือยัง? การที่คุณตัดสินใจสำรวจทะเลแดง แปลว่าทวีปตะวันตกไม่มีสิ่งใดให้ค้นหาแล้วใช่ไหม?”
“อา… ใช่”
“มาอยู่โอเวอร์เกียร์สิ พวกเรายินดีอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ หากต้องการสำรวจทะเลแดง พวกเรามีเรือรบลำใหญ่และคนคุ้มกัน หากต้องการสำรวจทวีปตะวันออก พวกเราช่วยพาคุณไปกลับได้ทุกเวลา”
“ฮะฮะ… ไปกลับทวีปตะวันออกได้ทุกเวลา… ใครจะปฏิเสธข้อเสนอแบบนั้นลง”
สกังค์หัวเราะแห้ง มันเข้าใจว่าคำกล่าวของลอเอลเป็นเพียงมุกตลก จะมีใครในโลกสามารถเดินทางไปกลับทวีปตะวันออกได้ดั่งใจบ้าง?
เหลวไหลสิ้นดี
แต่ลอเอลยังคงแสดงสีหน้าเคร่งขรึม
“ผมไม่รู้ว่าคุณทราบหรือไม่ แต่มหาจอมปราชญ์สติกส์กำลังรับใช้กริด”
“…?”
“สติกส์คือผู้สร้างม้วนคาถาทวีปตะวันออก นั่นจะทำให้คุณเดินทางได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ”
“อะไรนะ? นี่เรื่องจริงหรือ?”
ดวงตาสกังค์เริ่มลุกวาว
“คุณพูดจริง—”
สกังค์ที่พยายามถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่มุกตลก มันมีอันชะงักคำพูดกลางคัน
สาเหตุเพราะ เงารางบางสิ่งผิดปรกติได้ปรากฏตัวท่ามกลางผืนน้ำตกด้านหลังลอเอล
รูปร่างคล้ายมนุษย์ เดินผ่านไปผ่านมาด้านหลังแผ่นน้ำตกใสที่อยู่ห่างออกไป
เนื่องด้วยจิตใจอันเข้มแข็งและเพื่อไม่ให้เกิดความแตกตื่น สกังค์ไม่แหกปากโวยวายหรือสร้างความโกลาหล มันเพียงหลับตาลงโดยไม่กล่าวสิ่งใดออกไป
แต่ภายในใจกำลังเต้นระรัวโครมคราม
จากการชำเลืองมองไม่กี่วินาที ชื่อเหนือศีรษะของมอนสเตอร์ชนิดดังกล่าวเขียนไว้ว่า
…สาวกเทพสงครามสิบเทคนิค
เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากผู้พิทักษ์ตัวจริงเสียงจริงของโบราณสถานเทพสงคราม
มอนสเตอร์ระดับสัตว์ประหลาดที่คอยปกปักรักษาสมบัติล้ำค่าด้านใน
สกังค์มิอาจจินตนาการมูลค่าที่แท้จริงของสมบัติลับที่หลับไหลบนเกาะได้เลย
👍
ReplyDeleteสนุกมากครับ
ขอบคุณ
ขอบคุณครับ
ReplyDeleteกุญเเจจังไร
ReplyDelete