จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1022



การเดินทางอันยาวนานกว่าสิบวัน


“…”


หลังจากประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ องค์ชายเบนัวต์พลันรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก


ความจริงที่จอมอสูรบอกเล่าจากปาก มันทราบเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่หวังลมๆ แล้งๆ ให้เป็นการเข้าใจผิดหรือเรื่องเท็จ


แต่เมื่อหลักฐานและรายละเอียดเชิงลึกถูกเปิดเผยโดยจอมอสูรเฟย์ริส เบนัวต์มิอาจยับยั้งความเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ


“องค์ชาย! องค์ชาย!!”


ณ ถนนกลับวังหลวงจักรวรรดิซาฮารัน


วังที่มันลาจากมาแสนนาน เมื่อได้ยินเสียงเรียกอันลนลาน เบนัวต์เกือบเผลอหันไปมองตามจิตใต้สำนึก มันรีบดึงผ้าคลุมหัวปกปิดใบหน้า ก่อนจะก้มศีรษะลงและเร่งความเร็วในการเดิน


ชุดคลุมยาวเก่าโทรม หนวดเคราเฟิ้มรุงรัง


ด้วยรูปกายภายนอกที่คล้ายคลึงนักแสวงบุญ จึงมีบ่อยครั้งที่ถูกทักทายจากชาวบ้านด้วยไมตรี


คนเหล่านั้นไม่ได้ทราบเลยว่า …ตัวมันคือวายร้ายที่ต่ำทรามที่สุดของมนุษย์


แต่การปกปิดตัวตนอย่างแยบยลก็จบลง


“องค์ชาย!”


บุรุษผู้หนึ่งวิ่งแซงมาหยุดด้านหน้าเบนัวต์และขวางทางไว้


มันคือผู้ครอบครองของวิเศษสุดหายากนามว่า ‘เกราะอสูร’ ชุดเกราะที่ส่งผลให้ผู้สวมใส่ ‘ไม่มีวันตาย’


ชานสเลอร์


“เซอร์ชานสเลอร์?”


ตัวเราในสภาพซอมซ่อเยี่ยงนี้ เขาสามารถจดจำและเรียกขานนามถูกต้องได้อย่างไร?


แต่เมื่อตระหนักว่าชานสเลอร์เป็นถึงหนึ่งในห้าเสาหลักแห่งจักรวรรดิ ความประหลาดใจของเบนัวต์ก็เริ่มลดลง


ตัวมันที่มีสายเลือดซาฮารันซึ่งเกิดมาพร้อม ‘คำสาป’ ปราณสีชาด พลังอันเป็นเอกลักษณ์คงไม่ใช่สิ่งที่สามารถรอดพ้นสายตาห้าเสาหลัก


“องค์ชาย คนของโบสถ์รีเบคก้ากำลังออกตามล่าตัวนักบวชมืดที่ประกอบพิธีกรรมอัญเชิญจอมอสูรอยู่”


“นักบวชมืด… คนของฝ่ายรีเบคก้าเรียกฉันว่าอย่างนั้นหรือ?”


“ขอรับ พวกมันยังไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงขององค์ชาย”


“เข้าใจแล้ว แต่อย่าได้ดีใจเก้อ คนของวิหารยาธานล้วนรู้จักตัวตนฉันเป็นอย่างดี อีกไม่ช้าก็เร็ว ฉันจะประกาศให้โลกรับรู้ว่าผู้อัญเชิญจอมอสูรคือองค์ชายแห่งจักรวรรดิ”


“องค์ชายทำแบบนั้นไปทำไม…”


“กลัวหรือ? ท่านจะกลัวไปทำไม ต่อให้โบสถ์รีเบคก้าและทุกฝ่ายในทวีปหันคมดาบเข้าใส่ แต่พวกมันไม่มีวันเอาชนะจักรวรรดิได้”


“กระหม่อมไม่แยแสปัญหาด้านการเมืองก็จริง แต่ฝ่าบาทคงต้องหนักพระทัยมากแน่”


“ท่านแตกต่างจากคนอื่นนะ”


“…?”


“ไม่เหมือนกับห้าเสาหลักที่เหลือ ท่านมอบความจงรักภักดีให้พระบิดาไม่น้อย”


“หามิได้ขอรับ ห้าเสาหลักผู้อื่นก็ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะหัวหน้าองครักษ์เบอิน บุรุษผู้นั้นถวายการรับใช้ฝ่าบาทด้วยชีวิตเสมอ”


“ช่างเถอะ พระบิดาจะได้ทราบสักทีว่าเราเป็นคนเช่นไร”


“ฝ่าบาทสืบทราบเรื่องราวทั้งหมดมาสักพักแล้วขอรับ”


“…อะไรนะ?”


สีหน้าเบนัวต์พลันตะลึงราวกับถูกค้อนทุบท้ายทอย


ทั้งที่ทราบสาเหตุการป่วยตายของภรรยาที่รักอยู่เต็มอก แต่กลับแสร้งตาบอด ปล่อยผ่านโดยไม่ลงโทษผู้กระทำผิดอย่างนั้นหรือ?


“ฮะฮะ…! คึฮ่าฮ่า!! ยอดเยี่ยมมาก!”


ตัดสินใจได้แล้ว …ตัวมันจะไม่นิ่งเฉยต่อความชั่วร้ายสารพัดชนิดที่เกิดขึ้นในวังหลวง


จิตสังหารอาฆาตลุกโชนภายในใจองค์ชายเบนัวต์อีกครั้ง ความรู้สึกเช่นนี้จะไม่ดับมอดลงไปอีกเป็นหนที่สอง ตรงกันข้าม อารมณ์จะยิ่งรุนแรงขึ้นทุกขณะอย่างไม่จบสิ้น


“จะเชื่อคำพูดของท่านได้จริงหรือ? แม้แต่เรื่องของฉัน ฝ่าบาทยังใช้เวลานานเป็นสิบปีกว่าจะระแคะระคาย”


“ฝ่าบาทลอบสืบอย่างลับๆ โดยไม่ให้ใครรู้ตัว จึงใช้เวลานานกว่าปรกติ”


“ฮะฮะ! บุตรชายเป็นถึงมนุษย์เสียสติที่คิดวางแผนอัญเชิญจอมอสูร หากฉันเป็นฝ่าบาทก็คงรู้สึกขายขี้หน้าไม่น้อย… ฉลาดแล้วที่เลือกแอบสืบข้อมูลในทางลับ”


“ได้โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น”


“ก็ได้ จงลืมที่ฉันพูดไปเสีย กลับถึงวังหลวงเมื่อไรค่อยว่ากัน หนทางยังอีกยาวไกลนัก”


***


“อึก…”


ฮูเร็นสังหารสาวกเทพสงครามหนึ่งตนด้วยความยากลำบาก ท่าใหญ่ถูกใช้งานจนหมดสิ้น ไม่หลงเหลือพลังสำหรับต่อสู้กับใครอีก


ต้องทุ่มหมดหน้าตักเพื่อกำจัดมอนสเตอร์ทั่วไปเพียงหนึ่งตัว …เหลวไหลสิ้นดี


‘เคยคิดมาตลอดว่าเกาะแห่งนี้น่ากลัว แต่คาดไม่ถึงว่ามอนสเตอร์จะแข็งแกร่งขนาดนี้’


ไม่สิ …เราต่างหากที่อ่อนแอเกินไป


ไม่ว่าจะพยายามพัฒนาฝีมือสักเพียงใด แต่รอบตัวมักมีสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่าปรากฏกายเสมอ


ในฐานะอดีตแรงเกอร์ จิตใต้สำนึกของมันย่อมปรารถนาจะกลับไปยืนบนจุดสูงสุดอีกครั้ง ความคิดเช่นนี้ทำให้มันเกิดอารมณ์หดหู่


บางที โลกซาทิสฟายอาจไม่ใช่สถานที่ของตน …มีบ่อยครั้งที่มันคิดเลิกเล่นถาวร


ฉึก—


ฮูเร็นยิ้มขื่นขมพลางแทงดาบปิดบัญชีสาวกเทพสงครามห้าเทคนิค


“…?”


ขณะร่างมอนสเตอร์ตรงหน้าส่องแสงสีเทา ดวงตาออร่ามาสเตอร์พลันเบิกโพลง เพราะค่าประสบการณ์ของสาวกเทพสงครามห้าเทคนิคนั้นสูงกว่ามอนสเตอร์ทะเลแดงราวสองเท่าเห็นจะได้


‘ถึงเราจะอ่อนแอ …แต่เจ้านี่อาจไม่ใช่มอนสเตอร์กระจอกอย่างที่คิด’


เรามาทำอะไรในสถานที่น่ากลัวแบบนี้?


ฮูเร็นส่ายศีรษะพลางก้มเก็บชิ้นส่วน ‘คัมภีร์’ ที่สาวกเทพสงครามห้าเทคนิคดรอป


ขณะเดียวกัน ปาร์ตี้ด็อกวูเม่นกำลังอ้าปากค้างอย่างหุบไม่ลง


นักสำรวจคือคลาสที่พึ่งพาอาศัย ‘ข้อมูล’ เป็นหลัก ยิ่งเป็นคลาสที่อ่อนแอด้านการต่อสู้ ข้อมูลก็ยิ่งต้องแน่นและครอบคลุม


หลังจากเฝ้ามองการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกมันทราบตัวตนที่แท้จริงของฮูเร็นทันที


“ออร่ามาสเตอร์…”


อดีตหนึ่งในตำนานของโลกซาทิสฟาย จุดด่างพร้อยเดียวในชีวิตคือการถูกกริดสังหารภายในห้าวินาที ส่งผลให้ฮูเร็นหายตัวไปนับแต่นั้นเป็นต้นมา


แล้วเขามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?


แถมยังแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อหากเทียบกับสมัยอดีต


‘ซุ่มลับคมเขี้ยวตัวเองมาตลอดงั้นหรือ?’


ไม่มีใครที่ไม่ทราบว่า ความพ่ายแพ้คือยาชูกำลังชั้นดีของนักรบ


อึก…! ปาร์ตี้ด็อกวูเม่นต่างกลืนน้ำลาย พวกมันมิอาจละสายตาจากออร่ามาสเตอร์ผู้ยิ่งใหญ่ได้เลย


ค่อนข้างแน่ชัดว่า ความแข็งแกร่งฮูเร็นยังเป็นรองสามดยุคอยู่เล็กน้อย ทั้งพลังป้องกัน โจมตี ความอึด หรือความว่องไว สามดยุคล้วนเหนือกว่าสาวกเทพสงครามห้าเทคนิคอย่างชัดเจน


ถ้าเป็นการดวลหนึ่งต่อหนึ่ง สามดยุคจะเอาชนะได้ไม่ยากเย็น ส่วนฮูเร็นเอาชนะสาวกเทพสงครามอย่างฉิวเฉียดและเหนื่อยหอบ


แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ ออร่ามาสเตอร์ปราบสาวกเทพสงครามภายในเวลาไม่ถึงสองนาที ส่วนดยุคทั้งสามจะใช้เวลาราวเกือบสี่นาที


หมายความว่าฮูเร็นเร็วกว่าครึ่งต่อครึ่ง


‘นี่คือพลังที่แท้จริงของออร่ามาสเตอร์…’


ในช่วงหลายปีให้หลัง ฮูเร็นปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ จึงไม่น่าจะเข้าสังกัดฝ่ายไหนหรือกิลด์ใด


หมายความว่า บุรุษผู้นี้เดินทางมายังโบราณสถานเทพสงครามตามลำพัง!


และถ้ามาคนเดียว เจตนาของฮูเร็นจึงไม่ใช่ทั้งมิตรหรือศัตรู …ปาร์ตี้ด็อกวูเม่นล้วนเห็นพ้อง


‘ต้องชักชวนมาเป็นพวกให้ได้!’


พลังของฮูเร็นจะเป็นประโยชน์ต่อสกังค์และสามดยุคแน่นอน


“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราค่ะ ุถ้าไม่มีคุณ ป่านนี้คงถูกส่งออกนอกทะเลแดงไปแล้ว”


ด็อกวูเม่นเดินเข้าไปหาฮูเร็นและก้มศีรษะคำนับ


“มิสเตอร์ฮูเร็น เป็นเกียรติมากที่ได้พบบุคคลยิ่งใหญ่อย่างคุณ”


“อา…”


ถึงจะถูกด็อกวูเม่นล่วงรู้ตัวจริง แต่ฮูเร็นมิได้แสดงท่าทีตื่นตระหนก


มันทุ่มพลังทั้งหมดเพื่อปราบสาวกเทพสงคราม ทักษะออร่าหลายชนิดถูกใช้งานโดยไม่ปกปิด เป็นเรื่องปรกติที่อีกฝ่ายสามารถเดาคลาสได้ถูกต้อง


ในฐานะที่เคยโด่งดังมาก่อน ไม่แปลกที่ทั่วไปจะเคยได้ยินชื่อคลาส ‘ออร่ามาสเตอร์’


ฮูเร็นถอนหายใจโล่งอก มันรีบตั้งค่าปกปิดข้อมูลกิลด์ก่อนจะถอดหมวกฟางออก


รูปลักษณ์ชายวัยกลางคนทรงเสน่ห์ถูกเผยต่อหน้าทุกคน ผมสีเงินค่อนข้างสั้น บรรยากาศรอบตัวคล้ายคลึงขุนนางยุโรป


ด็อกวูเม่นยืนพิจารณาใบหน้าของฮูเร็นอย่างถี่ถ้วนเพื่อยืนยันให้แน่ใจ สายตาของเธอแฝงความตื่นเต้นไม่น้อย


“พวกเราคือทีมสำรวจสกังค์ กำลังร่วมมือกับเจ็ดดยุคแห่งจักรวรรดิจำนวนสามคนเพื่อสำรวจโบราณสถานเทพสงคราม”


“กับเจ็ดดยุค?”


“คุณมาคนเดียวใช่ไหม? ทำไมไม่รวมเดินทางไปกับพวกเราล่ะ? ด้วยฝีมือต่อสู้ของคุณและทักษะสำรวจของเรา จะต้องเป็นการผจญภัยที่สนุกมากแน่ แถมยังมีโอกาสได้ใกล้ชิดเจ็ดดยุค ฉันคิดว่าเป็นข้อเสนอที่ดีต่อเราทั้งสองฝ่าย”


“หืม…”


มันควรทำอย่างไรดี?


ฮูเร็นเกาแก้มด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยปากถามในสิ่งที่สงสัย


“แล้วมีค่ายพักแรมกันหรือยัง?”


“อยู่ไม่ห่างจากที่นี่มาก เดินไปทางตะวันออกราวหกกิโลเมตร พวกเราเพิ่งออกจากค่ายเพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม”


“โดยไม่มีคนคุ้มกัน?”


“ที่จริงมีทหารของจักรวรรดิ แต่ก่อนที่คุณจะมาถึง พวกเขาได้กลายเป็นแสงสีเทาเรียบร้อยแล้ว”


“อา… แล้วออกมาหาเบาะแสอะไรงั้นหรือ?”


“…”


เป็นคำถามค่อนข้างละลาบละล้วง


แน่นอนว่าด็อกวูเม่นไม่ชอบใจนัก แต่เธอยินดีอธิบายกับฮูเร็นที่ช่วยชีวิต


แถมฝ่ายตนยังหวังชักชวนฮูเร็นมาเป็นพวก ไม่แปลกที่จะถูกถามถึงข้อมูลพื้นฐาน อีกฝ่ายคงกำลังสำรวจว่าตนมีประโยชน์มากพอหรือไม่


“เบาะแสถึงวิธีการฝ่าด่านกับดักภายในป่า”


“กับดักภายในป่า?”


“ดูเหมือนคุณจะยังไม่ได้เข้าไปสินะ นับว่าตัดสินใจได้ฉลาดมาก สมกับผู้มีประสบการณ์”


ถัดมาเป็นคำอธิบายจากด็อกวูเม่น


ภายในป่าลึกมีกับดักอันตรายซ่อนอยู่มากมาย ชิ้นส่วนกุญแจคือสิ่งจำเป็นในการทำลายกับดักเหล่านั้น


‘ลอเอลต้องดีใจมากแน่ถ้าได้ยิน’


นั่นสินะ การทำดีย่อมบังเกิดผลลัพธ์ที่ดีตามมาเสมอ


หมายความว่า ยอดนักสำรวจในข้อความโลกคือสกังค์ และทีมสำรวจสกังค์กำลังทำงานร่วมกับจักรวรรดิ ตอนนี้กำลังติดปัญหาในการฝ่าดงกับดักหนาทึบเข้าไป


ฮูเร็นมีความสุขหลังจากได้รับข้อมูลสำคัญมากมาย ในตอนแรก มันกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถเป็นประโยชน์ให้กริดได้ แต่หลังจากออกเดินทางไม่ทันไรก็ได้รับข้อมูลน่าสนใจ


“ขอบคุณสำหรับข้อมูล แต่เสียใจที่ต้องปฏิเสธ ผมร่วมทางไปกับคุณไม่ได้”


“เอ๋…? แต่เกาะแห่งนี้อันตรายมากเลยนะคะ… อ๊ะ! หรือว่าคุณมีปาร์ตี้อยู่ก่อนแล้ว?”


“ใช่ครับ”


“อย่างนี้นี่เอง…”


สีหน้าด็อกวูเม่นพลันดำมืด เธอเสียใจที่บอกความลับแก่ฮูเร็นมากเกินไป แต่เพียงไม่นานก็เปลี่ยนความคิด


‘ข้อมูลไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ทุกคนจะได้ทราบหลังจากใช้ชีวิตบนเกาะไปสักระยะ’


แถมฮูเร็นยังเป็นผู้ช่วยชีวิต การที่เธอยังมีชีวิตรอดนั้นสำคัญกว่าเงินนับพันเหรียญทองหลายเท่า แลกกับข้อมูลเพียงเท่านี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย


เมื่อจัดระเบียบความคิดตัวเองได้ ด็อกวูเม่นยื่นแขนออกไปขอจับมือฮูเร็น


“ผจญภัยกับพวกพ้องให้สนุกนะคะ”


“พวกพ้อง…”


มุมปากฮูเร็นกระตุกเล็กน้อย


นับตั้งแต่ดวลกับเฮสเตอร์และได้เข้าร่วมกิลด์โอเวอร์เกียร์ ฮูเร็นยังไม่ได้สนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ มันกระดากปากที่จะเรียกว่าพวกพ้อง


ต้องขอบคุณกริดที่มอบอิสระและความสะดวกสบายให้ แต่ตัวมันยังไม่เคยทำประโยชน์ใดแก่โอเวอร์เกียร์เป็นชิ้นเป็นอันมาก่อน


ตลอดสิบวันที่ผ่านมา ฮูเร็นไม่ได้มองว่ากริดและสิบวีรชนฯ เป็นพวกพ้องแต่อย่างใด อีกฝ่ายก็คงเหมือนกันกระมัง


แต่ว่า


‘ก็ไม่ได้ไม่ชอบหรอกนะ…’


อายุของมันก็ไม่น้อยแล้ว มันย่อมทราบดีว่า การสร้างความสัมพันธ์นั้นยากเย็นเพียงใดบนโลกความจริง แต่ช่วงเวลาสิบวันบนเรือ ฮูเร็นได้เห็นทุกคนสนิทสนมมากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ทั้งที่คนเหล่านี้ก็ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว


การมีอยู่ของกันและกันได้กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน นี่คือกลิ่นอายของครอบครัวโอเวอร์เกียร์ที่ฮูเร็นสัมผัสได้


และด้วยเหตุนี้


“…ก็ไม่เลวเหมือนกัน”


การมีพวกพ้องเป็นกลุ่มขุนพลโอเวอร์เกียร์ไม่ใช่เรื่องเสียหาย


“อะไรนะคะ?”


“ป…เปล่าครับ ผมคุยกับตัวเอง”


ฮูเร็นจับมือด็อกวูเม่นตอบ สายตาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสุดฉงนของเธอ


“ขอให้โชคดีนะครับ”


“อ…อะ ค่ะ! เช่นกันค่ะ! เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”


ด็อกวูเม่นพลันใจเต้นโครมครามเมื่อถูกฮูเร็นจ้องมอง เธอตอบกลับด้วยท่าทีลนลาน


ฮูเร็นยิ่งใหญ่กว่าที่ตัวเองคิด มันคือต้นแบบที่ใครหลายคนเคยยึดถือและเอาเยี่ยงอย่าง


***


ชายฝั่งตะวันตก


“ไม่เหมือนกับที่คิดเลยแฮะ”


โนเอะนั่งกำลังนั่งบนไหล่กริดพลางเลียขนด้วยท่าทางน่าเอ็นดู


ส่วนกริดลอยตัวกลางอากาศเหนือหาดทรายด้วยรองเท้าบราฮัม สายตาแหงนมองฟ้าพร้อมกับกล่าวตัดพ้อ สีหน้าปราศจากความพึงพอใจ


โบราณสถานเทพสงคราม


กริดนั่งจินตนาการถึงความโหดร้ายของเกาะแห่งนี้ตลอดสิบวันที่ผ่านมา แต่ความเป็นจริงกลับผิดคาด บรรยากาศเงียบสงบและน่าผิดหวัง


“….เจ้าพวกนี้เริ่มเก่งขึ้นมาบ้างแล้วสินะ”


ผืนทรายด้านล่างใต้ฝ่าเท้ากริด โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์กำลังรุมอัด ‘ปูหิน’ อยู่ฝ่ายเดียว


ปูหินมีเลเวล 250 มันไม่ใช่มอนสเตอร์ประเภทดุร้ายที่ลงมือโจมตีก่อน ด้วยความที่มอบค่าประสบการณ์และไอเท็มดรอปต่ำมาก กริดจึงไม่แม้แต่จะเหลียวแล


แต่กับโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์นั้นต่างออกไป ในสายตาพวกมัน มอนสเตอร์อ่อนแอเลเวล 250 ถือเป็นอาหารจานโอชะ


การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างดุเดือดราวกับคู่ปรับแต่ชาติปางก่อน


โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์กระหน่ำโจมตีใส่ปูที่กระดองเป็นหินอย่างยากลำบาก ความเสียหายเกิดขึ้นไม่มาก แต่อีกฝ่ายก็ทำอันตรายกลับมาไม่ได้เช่นกัน หมายเลขหนึ่งและสองจึงกวัดแกว่งอาวุธโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว


จากสิ่งที่เห็น ไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า พวกมันคือสัตว์เลี้ยงที่ปรารถนาการเติบโต


‘เด็กพวกนี้ก็ต้องพึ่งพาพลังไอเท็มเหมือนกัน ในฐานะคลาสสายผลิต เราต้องใช้ความได้เปรียบให้เป็นประโยชน์’


หลังจากครุ่นคิดมานานนับเดือน กริดตัดสินใจแล้วว่า ตนจะยอมเสียจำนวนครั้งของทักษะออกแบบไอเท็มให้กับโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์


แถมไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เป็นสองครั้ง


การพัฒนาของโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์จะส่งผลดีต่อตัวกริดในอนาคต การลงทุนครั้งนี้ไม่มีคำว่าสูญเปล่า


“เอ๋…?”


ชายหนุ่มผู้ลอยตัวกลางอากาศด้วยท่าทีโอหังพลันเปลี่ยนสีหน้า …ขณะยืนกอดอก สายตากริดเหลือบมองเข้าไปในผืนป่า


มีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้น …เป็นเสียงเหล็กดังกระทบกัน


‘กองทัพจักรวรรดิสู้กับสาวกเทพสงคราม?’


รู้เขารู้เรา รบร้อยชนะร้อย


คงฉลาดกว่าหากสำรวจพลังศัตรูไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ กริดเกิดความคิดที่จะลอบเข้าป่าอย่างเงียบเชียบพร้อมกับลบตัวตน


แต่ไอเดียดังกล่าวมีอันต้องถูกปัดตกภายในเวลาเพียงอึดใจ


‘อันตราย ถ้ามีเจ็ดดยุคอยู่ เราถูกพบตัวแน่’


หากถึงคราวซวยสุดขีด มันจะถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยเจ็ดดยุคและสาวกเทพสงคราม


กริดยังจำการต่อสู้กับราชาท้องฟ้า·รีกัลได้ดี


‘ตัวเราที่ต้องหลับตาหนึ่งข้างเสมอ คงเอาชนะเจ็ดดยุคไม่ได้แน่’


ปัจจุบัน กริดอาจสวมผ้าปิดตาเพชฌฆาตไว้ก็จริง แต่มันไม่มีคุณสมบัติยับยั้งพลังของเนตรทำหมัน ส่งผลให้ต้องหลับตาหนึ่งข้างตลอดเวลา


ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ที่ผ่านมาจึงยากลำบากกว่าปรกติเสมอ


กับสัตว์ทะเลอาจไม่ยากเย็น แต่ไม่ใช่กับเหล่าเจ็ดดยุคแน่ หากต้องดวลกับพวกมันในสภาพหลับตาหนึ่งข้าง สิ่งเดียวที่รออยู่คือความตาย


แต่ถ้าต้องลืมตาตลอดเวลา มานาก็จะหมดลงอย่างรวดเร็วจนมิอาจใช้เวทมนตร์ได้ดั่งใจ


เฉกเช่นเมื่อครั้งสู้กับรีกัล กริดไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เลย การโจมตีของมันเกิดจากเทคนิคมหาจอมดาบแพ็กม่า และเทคนิคดาบทัพหนึ่งแสนเท่านั้น ซึ่งทั้งสองเทคนิคใช้ปราณดาบเป็นทรัพยากรหลัก


‘แถมลอเอลยังย้ำเตือนหลายครั้ง’


อย่าเพิ่งไปในป่าเด็ดขาด


กริดพยายามข่มความใคร่รู้ภายในใจ มันรีบร่อนลงพื้นเพื่อให้จิตไม่ฟุ้งซ่าน


โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์กำลังแปะมือกันด้วยท่าทางดีใจหลังจากรุมโค่นปูหินลงได้ในที่สุด


“สำรวจอีกสักนิดแล้วค่อยกลับจุดนัดพบดีกว่า …เอ๋?”


เนื่องจากมีค่าวิสัยทัศน์สูง สายตากริดจึงดีกว่ามนุษย์ปรกติพอสมควร อาจไม่ยอดเยี่ยมเท่าทักษะ ‘นัยน์ตาเหยี่ยว’ ของคลาสโจมตีระยะไกล แต่ก็มากพอจะทำให้มองเห็นรายละเอียดแจ่มชัด


สายตาชายหนุ่มจดจ้องอยู่กับหนึ่งสิ่ง


ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ภายในป่า บางต้นมีสัญลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับรูกุญแจแปะติดอยู่


ไม่สิ นั่นไม่ใช่สัญลักษณ์


แต่เป็นรูกุญแจของจริง!


“ทำไมถึงได้มีรูกุญแจบนต้นไม้?”


“ในสายตาสัตว์อสูรลำดับหนึ่งแห่งขุมนรกอย่างโนเอะ มันก็แน่นอนอยู่แล้วเหมียว…”


“มีไว้เพื่อ?”


“ไว้เพื่อเสียบกุญแจไงเหมียว! เรื่องง่ายๆ แค่นี้ เจ้านายคิดไม่ออกหรอกหรือ?”


“ก็จริงของแก…”


และดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นเสียด้วย


‘จะมีสมบัติซ่อนอยู่รึเปล่า?’


ชายหนุ่มควัก ‘มาสเตอร์คีย์’ ออกจากช่องสัมภาระ ไอเท็มชิ้นนี้ถูกใช้งานครั้งสุดท้ายก็ตอนไขกล่องสมบัติบนหมู่เกาะเบเฮ็น



ขณะเดียวกัน


ณ ที่ใดสักแห่งบนผืนป่ารอบนอก


“ต้องล้อกันเล่นแน่!”


สามดยุคกำลังเผ่นหนีหน้าตาตื่นโดยไม่เหลียวหลังมอง ชุดเกราะสุดหรูหราของพวกมันเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน เหงื่อไคลชุ่มชโลมกายจนเปียกทุกซอกมุม สีหน้าอ่อนล้าสุดขีดประหนึ่งสุนัขหอบแดด


กระทั่งบาซาร่าผู้เงียบขรึมและเย็นชาก็ยังจ้ำหนีตายโดยไม่สนใจมงกุฎทองเหนือศีรษะที่บิดงอจนผิดรูปร่าง


ด้านหลังพวกมัน สาวกเทพสงครามราวยี่สิบตนกำลังวิ่งไล่ด้วยความเร็วสูง


“บ้าจริง!”


เป็นอีกครั้งที่มอริสถูกกับดักหลุมบนพื้นเล่นงาน ข้อเท้าของมันบาดเจ็บซ้ำหลายหนจนอักเสบ คำสบถหลุดจากปากอย่างต่อเนื่อง


เมื่อมอริสหันมองกลับไป เหล่าสาวกเทพสงครามบัดซบกลับไม่ถูกผลกับดักแม้แต่ชนิดเดียว


“เอาเปรียบกันเกินไปแล้วโว้ย!”


กับดักคุณภาพสูงที่มิอาจหยั่งถึงได้ด้วยดวงตาหรือจิตสัมผัส บางกับดักแนบเนียนไปกับใบไม้ เถาวัลย์ รวมถึงพื้นดิน ไม่มีทางเดาได้เลยว่ากับดักบัดซบจะโผล่ออกมาเมื่อไร


ต่อให้โชคดีหลบพ้นในหลายครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ตลอดรอดฝั่ง เมื่อโดนเข้าไปสักครั้ง โอกาสโดนครั้งต่อไปก็เพิ่มมากขึ้น


แต่กับดักที่ว่ามาทั้งหมดจะไม่ส่งผลกับสาวกเทพสงครามจังไรที่กำลังวิ่งไล่ ประหนึ่งมีสติจำแนกว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู


การสู้กับสาวกเทพสงครามภายในป่าแห่งนี้ ไม่ต่างจากฆ่าตัวตายเลยสักนิด


ฟุ่บ—


เสียงลูกธนูแหวกอากาศดังแว่วในหู


มอริสที่บาดเจ็บ มันขบกรามแน่นเพื่อสงบสติอารมณ์ ใจจริงอยากหันกลับไปตะบันหน้าพลธนูให้รู้แล้วรู้รอด แต่ท้ายที่สุดก็เลือกข่มสติไว้ เพราะไม่ว่าอย่างไร มันต้องลำเลียงน้ำสะอาดกลับไปให้ถึงค่าย


กระเป๋าเวทมนตร์ที่สามดยุคพกติดตัวมีน้ำสะอาดถูกบรรจุไว้จนเต็ม เป็นน้ำที่ตักมาจากทะเลสาบใสภายในป่า ซึ่งหาไม่ได้จากแถบชายฝั่ง


น้ำสะอาดเหล่านี้ต้องถูกส่งถึงมือทหาร


“แย่ล่ะสิ…”


เกล็นฮาลที่วิ่งนำหน้าสุดได้ชะงักฝีเท้า


บาซาร่าและมอริสเองก็ต้องหยุดตาม พวกมันกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่กีดขวางทาง


ดงเถาวัลย์เบื้องหน้าล้วนมีใบเลื่อยฟันฉลามจำนวนมากหมุนวนกวัดแกว่งเพื่อมิให้ผู้ใดเคลื่อนตัวผ่าน


“ต้องอ้อม…”


แต่ถ้าทำแบบนั้น สาวกเทพสงครามด้านหลังจะตามทัน …บาซาร่าและมอริสออกอาการลังเลชัดเจน


“ฉันจะถ่วงเวลาให้เอง”


เกล็นฮาลโยนกระเป๋าบรรจุน้ำดื่มให้บาซาร่า มันหันกลับไปเผชิญหน้าสาวกเทพสงครามทั้งยี่สิบตามลำพัง


“เกล็นฮาล! ยังเร็วไปที่จะถอดใจ!”


“ไม่เหมือนกับพวกเธอที่ยังหนุ่มยังสาว ลูกชายของฉันเติบโตพร้อมเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปแล้ว ต่อให้ชีวิตจบลงที่นี่ แต่ตระกูลดยุคจะไม่ถูกสั่นคลอน …ฝากดูแลฝ่าบาทแทนด้วย”


เกล็นฮาล ชายหัวรั้นผู้ไม่มีวันเปลี่ยนใจ


บาซาร่าและมอริสรู้จักอุปนิสัยเกล็นฮาลเป็นอย่างดี การมัวยื้อห้ามรังแต่จะเสียเวลาหนีโดยเปล่าประโยชน์


แต่ทันใดนั้น


ครืนนนนนนน…


ใบเลื่อนฟันฉลามหลายร้อยหลายพันเบื้องหน้าพลันหยุดทำงานอย่างชะงักงัน ถัดมาเป็นการเหี่ยวเฉาของดอกไม้ที่พ่นกับดักตาข่าย และใบไม้ที่คอยกับดักพ่นพิษรุนแรง


“…?”


กับดักทั้งหมดในการมองเห็นของพวกมันหยุดทำงานอย่างไม่ทราบสาเหตุ สามดยุคต่างมองไปยังจุดหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


ณ ปลายทางดงเถาวัลย์ที่เคยมีใบเลื่อยกวัดแกว่งหมุนวน พวกมันมองเห็นร่างของบุคคลผู้หนึ่งอย่างเลือนราง


“ก็ใส่กุญแจเข้าไปแล้วนี่? ไหนล่ะสมบัติ!”


ระยะทางค่อนข้างไกล ไม่มีทางที่มนุษย์ปรกติจะได้ยินเสียงบุรุษคนดังกล่าวบ่นสบถ แต่ดยุคทั้งสามล้วนไม่ใช่บุคคลธรรมดา


พวกมันทราบทันทีว่าใครคือเจ้าของเสียง


“ร…ราชาโอเวอร์เกียร์?”


ศัตรูตัวฉกาจของจักรวรรดิผู้สังหารหนึ่งในเจ็ดดยุค


แต่ความสัมพันธ์มนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกวินาที


ศัตรูเมื่อวานอาจกลายเป็นมิตรในปัจจุบันได้ถ้ามีผลประโยชน์ร่วมกัน โลกเราย้อนแย้งถึงเพียงนั้น


ชัยชนะที่ดีที่สุด …คือชัยชนะที่ไม่ต้องเปลืองแรงสู้


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน

ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,411

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/


Comments

  1. 😊🤗
    ค้างอ่าาาา​ อยากอ่านอีก🤭
    ขอบคุณ​มาก​ครับ​👍

    ReplyDelete
  2. เอาแล้ว จะได้สามดยุคมาเป็นพวกพ้องแล้ว​ เพราะกริดมันโอเวอร์​เกียร์​จริงๆ​

    ReplyDelete
    Replies
    1. เอาจริงๆนะ ถ้าพวกสายเลือดจักรพรรดิเป็นคนดีบ้างก็คงดีนะ

      Delete
  3. เป็นไอเท็มที่ใช้ได้โครตคุ้ม

    ReplyDelete
  4. แล้วฮูเร็นละ​ อุตส่าห์​ได้ข้อมูล​มา...
    มีหวังได้จิตตกอีกแน่เลย

    ReplyDelete
  5. ก็ถูกของโนเอะแหละนะ รูกุญแจมีไว้เสียบกุญแจ🤣🤣

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00