จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1018



คิรินัสและเรเชล


การเผชิญหน้าระหว่างสองยอดมือหอกเพื่อชิงอันดับหนึ่งของทวีป ความตึงเครียดและเข้มข้นได้บีบเค้นหัวใจผู้ที่พบเห็น ทว่า สภาพของคนทั้งสองมิได้องอาจสง่างามเหมือนในจินตนาการ


ศึกดวลระหว่างสองขุนเขา เมื่อเริ่มย่างเข้าวันที่สี่ ระดับความน่าเกรงขามการต่อสู้ได้ลดเหลือเพียงสุนัขข้างถนนกัดกัน แถมในบางครั้ง ต่างคนต่างกระชากคอเสื้อกอดรัดฟัดเหวี่ยงเกลือกกลิ้งกับพื้นไม่สมศักดิ์ศรีเจ้าเพลงหอก


‘ผ่านมาแล้วเดือนนึงสินะ’


สองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร ผลแพ้ชนะยังไม่ปรากฏ และคงไม่ปรากฏในอนาคตอันใกล้ หลังจากเสร็จสิ้นการพักรบ หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเข้าประจัญบานหักหาญกันอีกครา


เมื่อค่าเรี่ยวแรงหมดลง ต่างฝ่ายต่างมิอาจจับอาวุธต่อสู้ไหว ช่วงพักสงบศึกเก็บแรงจึงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ต่างเห็นพ้อง


คิรินัสและเรเชลกระทำวัฏจักรวนซ้ำเป็นหนที่เจ็ดแล้ว ศึกดวลตัดสินหาหอกเอกแห่งทวีปจึงยืดเยื้อนานกว่าหนึ่งเดือนเต็ม


‘ไม่มีทางเดาบทสรุปได้เลย…’


ทั้งสองคือผู้รู้แจ้งแห่งหอก ส่วนตัวมันเป็นเพียงอริยดาบ


ยังมีหลายส่วนที่มันไม่เข้าใจการกระทำของสองปรมาจารย์หอก… เหตุใดต้องเคลื่อนไหวร่างกายเช่นนั้น โจมตีแบบนี้แล้วได้ผลเป็นอย่างไร ทำไมต้องปัดป้องด้วยท่าทางดังกล่าว


แถมท่าโจมตีของหอกยังแฝงไว้ด้วยศาสตร์ปัดป้องเสมอ มิได้โจมตีใส่สุดตัวหมายแลกชีวิตเหมือนเพลงดาบ ส่งผลมิอาจสร้างบาดแผลฉกรรจ์แก่ศัตรู


การดวลของคนทั้งสองได้เปิดโลกทัศน์ใบใหม่ให้ครอเกล แต่หากตัวมันครุ่นคิดถึงประโยชน์และสาเหตุไม่ได้ ภาพเหตุการณ์สุดยอดและน่าทึ่งเบื้องหน้าก็ไม่มีประโยชน์อันใด


คิรินัสและเรเชลล้วนเป็นสุดยอดตัวตนในซาทิสฟาย ย่อมต้องมาพร้อมกับค่าพลังป้องกันและระดับพลังชีวิตที่สูงส่ง เรียกได้ว่า ‘เป็นตัวตนที่จะไม่ตายโดยง่าย’


เมื่อฝ่ายหนึ่งโจมตี อีกฝ่ายหนึ่งก็จะโจมตีตอบโต้ แต่การโจมตีของเพลงหอกล้วนแฝงไว้ด้วยศาสตร์ปัดป้องตั้งรับ ไม่มีใครเผยช่องว่างให้แก่กัน สิ่งเดียวที่ถูกสำแดงคือภาวะสงบนิ่งสุขุม นับเป็นศึกที่ยากจะมองหาผู้แพ้ชนะด้วยตาเปล่า


หากนี่เป็นฉากหนึ่งในนิยายเกี่ยวกับนักดาบและกำลังภายในก็คงดี เหตุผลและการกระทำของคนทั้งสองคงถูกเขียนอธิบายแจกแจงไว้โดยละเอียด


แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่


ซาทิสฟายเป็นโลกแห่งเกม มิอาจหลุดพ้นจากระบบเกมซึ่งเป็นกฎเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้


ไม่ว่าครอเกลพยายามเพ่งมองเช่นไร แต่มันก็มิอาจหาข้อสรุปของการกระทำอย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร


กระนั้น


“อย่างน้อย เราก็พัฒนาขึ้นมาก”


สำหรับผู้เล่นแถวหน้าของโลก ระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นยากจะเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ครอเกลคือข้อยกเว้นพิเศษ


ตลอดเดือนที่ผ่านมา มันได้เปิดโลกใบใหม่ซึ่งไม่มีโอกาสได้สัมผัสมาก่อน มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ต่อสู้อันเข้มข้นที่หาจากไหนไม่ได้


…ด้านหลังอริยดาบที่กำลังยืนกอดอกรับชมการต่อสู้อยู่นั้น


“…”


อัศวินสนธยาของเรเชลกำลังอยู่ในท่าคุกเข่าด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมตัว


พวกมันกว่าสามสิบคน ทั้งหมดมีฝีมือระดับเดียวกับอัศวินสีชาดหลักยี่สิบ ล้วนถูกครอเกลกำราบสิ้นท่าประหนึ่งลูกไก่ในกำมือ


แน่นอน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ตั้งใจไว้แต่ต้น


ในวันแรกของศึกดวล อัศวินทั้งสามสิบได้กดดันครอเกลจนตกที่นั่งลำบาก ถึงขั้นที่อริยดาบเกือบเอาชีวิตตัวเองไม่รอด


แต่ในจังหวะความเป็นความตาย ครอเกลได้ปลดปล่อยหมอกควันสีครามเพื่อบดบังการมองเห็นของอัศวินและหายตัวไป ส่งผลให้พวกมันพลาดโอกาสดับลมหายใจอริยดาบอย่างเฉียดฉิว


ขณะอัศวินสนธยากำลังออกตามหาเหยื่อที่หลบหนี ครอเกลปรากฏตัวอีกครั้งในสภาพที่ร่างกายถูกฟื้นฟูหลายส่วน สงครามอันดุเดือดหนึ่งต่อสามสิบจึงดำเนินต่อ


เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาราวครึ่งเดือน จนกระทั่งอริยดาบพัฒนาฝีมือจนสามารถรับมืออัศวินกว่าสามสิบนายด้วยตัวคนเดียวไหว


เมื่อย่างเข้าสัปดาห์ที่แล้ว อัศวินสนธยาทั้งหมดจึงยอมยกธงขาวด้วยท่าทีจำนน


ครอเกลไม่เอาชีวิตพวกมันด้วยเหตุผลสองข้อ


ประการแรก อัศวินหอกเหล่านี้ล้วนเน้นใช้ทักษะเพื่อปกป้องพวกพ้อง ทุกการโจมตีล้วนแฝงป้องกัน นับเป็นหัวจิตหัวใจอัศวินที่น่าชื่นชม


และประการที่สอง ข่าวการถอนตัวของกองทัพจักรวรรดิที่ชายแดนเรย์ดันเมื่อไม่กี่วันก่อน


เมื่อได้ยินข่าวดีจากสงคราม ครอเกลทั้งทึ่งและโล่งใจในเวลาเดียวกัน


กริดยังคงยอดเยี่ยมเหมือนเคย…


แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ปกครองสูงสุดของทวีป แต่อาณาจักรโอเวอร์เกียร์กลับถือครองความได้เปรียบในสงครามอย่างน่าเหลือเชื่อ


‘ฝ่ายจักรวรรดิโชคดีมากที่บังเอิญพบโบราณสถาน’


เพราะแทนที่กองทัพกว่าสามแสนจะถูกบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดีที่ชายแดน พวกมันสามารถถอนทัพกลับอย่างปลอดภัยโดยไม่เสียหน้า


‘ค่อนข้างน่าเสียดาย ไม่อย่างนั้น อาณาจักรโอเวอร์เกียร์คงทำลายกองทัพที่ชายแดนได้หมด’


ครอเกลมีโอกาสรับชมฉากสงครามตามทีวีและโลกอินเทอร์เน็ต


สิบวีรชนฯ ที่เด่นด้านต่อสู้อย่างแค็ทซ์ คริส เฟคเกอร์ และอีกมาก การมีอยู่ของ NPC สุดพิเศษอย่างปิอาโร่และเมอร์เซเดส สิ่งมีชีวิตหลากเผ่าพันธุ์อย่างเนตรมารและเผ่าวารี แถมยังมีปัจจัยที่คาดไม่ถึงอย่างปืนใหญ่โอเวอร์เกียร์


ทุกคนทำหน้าที่ตัวเองได้น่าทึ่ง


แม้กองทัพฝ่ายจักรพรรดิจะมีจำนวนมากกว่าอย่างชัดเจน แต่จากการเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวของจักรวรรดิมานาน ครอเกลจึงได้ทราบว่า กองทัพจักรวรรดินั้นมีสภาพอ่อนล้าและเรี่ยวแรงไม่มากเมื่อเทียบกับฝ่ายโอเวอร์เกียร์


ยิ่งไปเวลาผ่านไป ฝ่ายที่ได้เปรียบคือโอเวอร์เกียร์อย่างไร้ข้อกังขา และเมื่อใดที่กริดนำทัพออกรบด้วยตนเอง กองทัพจักรวรรดิที่ชายแดนเรย์ดันก็จะถึงคราวพินาศสิ้น


แต่ทั้งหมดพลันเป็นหมันเพราะโบราณสถานเทพสงครามถูกค้นพบ


‘กริด… ไม่ต้องเสียใจไป… ฝ่ายที่ได้ครอบครองสมบัติโบราณต้องเป็นนายแน่’


ระหว่างนั้น ฉันจะช่วยถ่วงเวลาเรเชลและอัศวินสนธยาของหล่อนไว้ให้นานที่สุด


หวังว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะช่วยให้นายครอบครองสมบัติล้ำค่าในโบราณสถานและเข้าใกล้เป้าหมายการเป็นจักรพรรดิได้เร็วขึ้น


…ครอเกลกำลังเอาใจช่วยกริดอย่างเต็มที่


เหตุผลนั้นไม่ซับซ้อน กริดคือบุคคลเดียวในโลกที่เอาชนะมันครั้งแล้วครั้งเล่า คนแบบกริดจะแพ้ใครนอกจากตัวมันไม่ได้เด็ดขาด



ขณะเดียวกัน ณ เกาะคอร์ก


“…ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม?”


ที่นี่คือเกาะซึ่งกริดล้มเฮลกาโอและได้พบกับโนเอะเป็นครั้งแรก บนเกาะที่อัดแน่นด้วยความทรงจำมากมาย ราชาโอเวอร์เกียร์กำลังยืนอ้าปากค้างบริเวณท่าเรือพร้อมด้วยพรรคพวกบริวาร


แค็ทซ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย


“เรือพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ”


“อา…”


พลังแห่งเงินตรา… กริดเพิ่งได้ตระหนักอย่างแท้จริงก็หนนี้


เรือรบใหญ่พิเศษพร้อมด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคซึ่งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ไม่มีปัญญาต่อเอง


มูลค่าของมันมหาศาลเหนือจินตนาการ สำหรับคนทั่วไป แค่โอกาสได้พบเห็นก็นับว่าน้อยมาก ไม่ต้องพูดเรื่องจับต้องหรือครอบครอง


ขณะกริดยังคงอ้าปากค้าง แค็ทซ์อธิบายต่อท่าทีผ่อนคลาย


“มูลค่าของมันไม่ได้มากมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับไอเท็มของนาย ที่มิอาจครอบครองได้ด้วยพลังเงิน”


“อ…อื้อ! แล้วกัปตันเรือว่ายังไงบ้าง?”


“ใช้เวลาราวสิบวันกว่าจะถึงโบราณสถาน”


“ด้วยเรือลำนี้เนี่ยนะ? นานขนาดนั้นเลย?”


“นั่นคือเวลาที่ประเมินจากอุปสรรคทางทะเล กัปตันกล่าวว่า หากต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ทะเลแสนอันตราย เวลาการเดินทางย่อมเพิ่มขึ้น หรือหากร้ายแรงกว่านั้น การเดินเรืออาจต้องยุติ”


ถ้าเริ่มออกเดินทางจากกัลเลส ระยะเวลาคงสั้นลงมาก แต่น่าเสียดายที่กัลเลสคือเมืองท่าสำคัญของจักรวรรดิ กริดและพวกพ้องไม่มีทางแฝงตัวเข้ากัลเลสได้โดยไม่ถูกจับกุม


“หมายความว่า… ยังพอมีเวลาเหลือใช่ไหม”


ขณะกริดเดินนำสิบวีรชนฯ ขึ้นเรือ ชายหนุ่มอัญเชิญแรนดี้ โนเอะ ทีราเม็ท และโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ออกมาคอยเฝ้าดาดฟ้าเรือไว้ เผื่อมีสิ่งผิดปรกติลอบจู่โจมเรือฉับพลัน


ก่อนจะเดินไปหาแค็ทซ์และยื่นแร่ก้อนหนึ่งให้


“นี่คือ?”


<แร่เหล็กที่อัดแน่นด้วยพลังเหนือมนุษย์>

แร่เหล็กที่อัดแน่นด้วยพลังของสิ่งมีชีวิตเหนือมนุษย์ บุคคลที่สามารถทนต่อพลังอสูรของมัน จะได้ครองพลังอันยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ

* มอบออปชัน ‘เพิ่มแต้มสถานะ’ แก่ไอเท็มที่ใช้แร่ชนิดนี้เป็นวัสดุสร้าง

(มีโอกาสสูงที่พลังอสูรจะส่งผลข้างเคียงด้านลบต่อผู้ใช้งาน)

น้ำหนัก : 5


กริดอธิบายกับแค็ทซ์ที่กำลังมึนงง


“ก็อย่างที่เห็น นี่คือแร่สุดล้ำค่า เพียงแต่มันมาพร้อมคำสาป จึงไม่มีใครสามารถใช้งานได้มาก่อน”


“…”


แค็ทซ์เข้าใจทันทีว่ากริดหมายถึงสิ่งใด


นักรบโลหิต… นักรบกระหายเลือดผู้ปรารถนาการหลั่งโลหิต


จากพื้นเพของซาทิสฟาย ผู้เล่นสามารถตีความได้ว่า นักรบโลหิตคือคลาสที่ ‘ถูกสาป’ มาตั้งแต่ต้น


คลาสนักรบโลหิตจะต้านทานคำสาปทุกชนิดแถมยังแปรเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นประโยชน์


สรุปโดยสิ้นคือ เป็นคลาสแปรเปลี่ยนคำสาปให้กลายเป็นผลด้านบวกได้ แม้แต่ตัวละครสุดโกงของกริดก็ไม่มีเอฟเฟคที่สะดวกสบายเช่นนี้


ใกล้เคียงที่สุดคงเป็นพลังของสมญานาม ‘กษัตริย์คนแรก’ ซึ่งสะท้อนดีบัฟบางชนิดกลับคืนสู้ผู้ร่าย แต่ไม่ใช่เปลี่ยนให้เป็นผลดีกับตัวเองเหมือนแค็ทซ์


หลังจากไตร่ตรองนานกว่าเดือนเต็ม กริดนึกไม่ออกเลยว่า จะมีใครใช้ประโยชน์จากเหล็กเหนือมนุษย์ก้อนนี้ได้เกิดประสิทธิภาพเท่าแค็ทซ์อีก


“ฉันจะใช้มันสร้างดาบให้นาย”


“…”


“นายได้รับเหรียญทองจากการแข่งนานาชาติด้วยใช่ไหม? ถ้าจำไม่ผิดคือ… ลมหายใจเสือขาวสินะ?”


“…ไม่เอาหรอก”


“หือ?”


“ฉันไม่คู่ควรกับของล้ำค่าแบบนี้”


“กังวลเรื่องนี้เองหรือ? ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ได้สร้างให้นายฟรี และไม่มีใครเหมาะสมกับแร่ชนิดนี้ไปกว่านายอีกแล้ว… ไม่ช้าก็เร็ว ฉันต้องสร้างอาวุธใหม่ให้นายอยู่ดี”


“…”


แต่ไหนแต่ไร แค็ทซ์คือบุคคลที่มีนิสัยสุดโอหัง


นับตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลก มันเกิดมาเพียบพร้อมทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเงินทอง พลังอำนาจ ชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งรูปลักษณ์ แค็ทซ์เคยเชื่อมาตลอดว่า ตนมีชะตากรรมต้องกลายเป็นผู้ปกครองโลกในอนาคต


แต่เมื่อได้ผจญโลกกว้างในซาทิสฟาย มันเริ่มตระหนักว่าพลังของหนึ่งบุคคลนั้นมีขีดจำกัด และหลังจากเข้ากิลด์โอเวอร์เกียร์ มันก็ยิ่งตระหนักว่า ยังมีผู้คนอีกมากที่ยอดเยี่ยมกว่าตน


ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกริด


คนอื่นอาจไม่ทราบ แต่แค็ทซ์แอบจับตามองและเรียนรู้จากกริดอยู่ตลอดเวลา กริดเปรียบดั่งอาจารย์สำหรับการพัฒนาตัวเองของแค็ทซ์


เมื่ออีกฝ่ายมอบของขวัญล้ำค่าให้โดยมิได้ร้องขอ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะรู้สึกยินดี


แค็ทซ์พลันทำตัวไม่ถูก มันเพียงก้มศีรษะลงด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างซาบซึ้ง กริดอมยิ้มเมื่อเห็นภาพดังกล่าว


“พอได้แล้ว”


ชายหนุ่มกำลังอิ่มเอมใจ


“ส่งลมหายใจเสือขาวมาให้ฉัน”


กริดมีทั้งเตาหลอมพกพา ทั่งเหล็ก ค้อน และฟืนฟอสฟอรัสขาว ถึงจะเหลือไม่มากแล้วก็ตาม


หรืออีกนัยหนึ่ง ชายหนุ่มสามารถตีเหล็กบนเรือได้อย่างอิสระ


‘ไม่ช้าก็เร็ว เราต้องกลับไปที่ทวีปตะวันออกอีกครั้งเพื่อรวบรวมฟืนเพิ่ม’


ปิอาโร่ยังคงหาวิธีปลูกไม้ฟอสฟอรัสขาวและวอลนัทสีทองไม่สำเร็จ เป็นดังเช่นที่ทุกคนคาด โปรเจกต์ทางการเกษตรสองชนิดนี้ยิ่งใหญ่มาก คงมิอาจสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น


หมายความว่า หากต้องการฟืนฟอสฟอรัสขาว ก็มีแต่ต้องไปหาจากทวีปตะวันออกเท่านั้น


‘…น่ากลัวชะมัด’


กริดที่กำลังเตรียมตัวสร้างไอเท็ม ร่างกายพลันสั่นระริกเมื่อหวนนึกถึงยังบัน·การัม


หลังจากเคยมีประสบการณ์เสริมแกร่งลมหายใจเสือขาวมาแล้ว เขาจึงผ่านขั้นตอนดังกล่าวได้ไม่ยากเย็น ถัดมาเป็นการเสริมแกร่งเหล็กเหนือมนุษย์ เมื่อลองคิดหาวิธีเสริมแกร่งอยู่สักพัก ท้ายที่สุดก็ประสบความสำเร็จ แต่ยากลำบากเกินกว่าที่จินตนาการไว้มาก


‘พิเศษระดับเดียวกับลมหายใจสัตว์เทพเลยสินะ…’


เคร้ง! เคร้ง!


กริดเคยสร้างไอเท็มมาแล้วหลายร้อยชนิด แต่หนึ่งในครั้งที่ประทับใจและชื่นชอบที่สุดคือขณะสร้าง ‘มุคซาบัล (ดาบเสือขาว) ’ ร่วมกับอริยดาบครอเกล


“ถ้าเราลองเปลี่ยนวัสดุหลักของดาบเสือขาวให้เป็นเหล็กเหนือมนุษย์…”


จะเป็นยังไงกันนะ


เคร้ง! เคร้ง!


ขณะใช้ค้อนทุบเหล็ก ภายในใจเริ่มเกิดความตื่นเต้นใคร่รู้ ชายหนุ่มอยากเห็นผลลัพธ์ของอาวุธมากยิ่งกว่าแค็ทซ์ซึ่งเป็นผู้ใช้งานเสียอีก นักรบโลหิตทำได้เพียงยืนมองอย่างฉงน


ความคาดหวังของกริด เกิดจากการที่เขาตระหนักถึงคุณภาพของเหล็กเหนือมนุษย์ได้ดีกว่าใคร


‘ว่าแต่… แค็ทซ์เองก็ฉลาดเอาเรื่อง’


แค็ทซ์ไม่ลังเลที่จะเลือกรางวัลเหรียญทองเป็นลมหายใจเสือขาว หมายความว่า ชายคนนี้เล็งเห็นถึงความสำคัญของ ‘ค่าถึกทน’ และ ‘พลังป้องกัน’ ซึ่งจำเป็นต่อคลาสนักรบโลหิตค่อนข้างมาก


ไม่ว่าจะมองมุมไหน ลมหายใจเสือขาวคือตัวเลือกที่ดีที่สุดของแค็ทซ์


เคร้ง! เคร้ง!



ผ่านไปแล้วสามวันหลังจากลงมือสร้างไอเท็ม


[ท่านสร้างไอเท็มสำเร็จ]


<ดาบเสือขาวแห่งความกระหาย>

เกรด : ทั่วไป (เติบโต)

ความคงทน : 390/390

พลังโจมตี : 307

พลังป้องกัน : 65

* ความเร็วโจมตีลดลง 10%

* พลังโจมตีกายภาพ +3%

* พลังป้องกันกายภาพ +3%

* ค่าต้านทานเวทมนตร์ +3%

* พลังชีวิตสูงสุด +6%

* ความรุนแรงธาตุดิน +8%

* มีโอกาสเล็กน้อยที่น้ำหนักของดาบจะเพิ่มขึ้นขณะโจมตี

(พลังโจมตีกายภาพและประสิทธิภาพในการมองข้ามพลังป้องกันเป้าหมายเพิ่มขึ้น33% เมื่อแสดงผล แต่ความเร็วในการดึงดาบกลับจะช้าลง 1 วินาที)

* ค่าสถานะสูงสุดสามชนิดของผู้สวมจะเพิ่มขึ้นชนิดละ 30 แต้ม

* เกิดผล ‘กัดกร่อน’ จากพลังอสูรที่เป็นวัสดุ

(หากเป้าหมายเป็น ‘ไอเท็ม’ ‘สิ่งก่อสร้าง’ หรือ ‘อาวุธ’ ค่าความคงทนจะลดลงอย่างมาก และสูญเสียประสิทธิภาพบางส่วนไปชั่วขณะ)

* เกิดผล ‘คำสาป’ จากพลังอสูรที่เป็นวัสดุ

(ลดค่าความแม่นยำของผู้สวมลง)

* ได้รับทักษะติดตัว ‘กรีดร้อง’

ดาบที่จะก้าวข้ามตำนานและกลายเป็นเทวตำนานในอนาคต…


“…”


หลังจากเห็นรายละเอียดไอเท็ม กริดและแค็ทซ์หันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย


แค็ทซ์ประหลาดใจมากที่ไอเท็มเกรดทั่วไปกลับมีออปชันมากมาย ส่วนกริดกำลังแสดงสีหน้าพึงพอใจสุดขีด เพราะเมื่อเทียบกันแล้ว ดาบของแค็ทซ์มีประสิทธิภาพสูงกว่า ‘ดาบเสือขาววัยเยาว์’ เกรดทั่วไปของครอเกลพอสมควร


‘หากเทียบกับดาบครอเกล ดาบแค็ทซ์จะมีพลังโจมตีต่ำกว่า แต่พลังป้องกันกลับสูงกว่ามาก มีออปชันมากกว่าถึงสามชนิด และยังมีทักษะติดตัวเป็นของแถม’


เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เหล็กเหนือมนุษย์นั้นแสดงบทบาทโดดเด่นในการเพิ่มคุณภาพไอเท็ม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เทคนิคสร้างไอเท็มของกริดสูงขึ้นจากการสร้างดาบเสือขาวครั้งก่อนมาก


ขณะสร้างดาบเสือขาวให้ครอเกล เขายังไม่ได้พบกับเทพเฮ็กเซเทียด้วยซ้ำ


กริดพึงพอใจที่เทคนิคตีเหล็กใหม่ของตนได้เพิ่มประสิทธิภาพของไอเท็มขึ้นจากเดิมมาก


‘คิดไม่ผิดที่เหลือแต้มทักษะไว้อย่างน้อยสองแต้มเสมอ’


เมื่อครั้งวิชาดาบแพ็กม่าพัฒนาไปเป็นเทคนิคมหาจอมดาบแพ็กม่า กริดเคยคิดจะนำแต้มทักษะคงเหลือมาอัปเลเวลให้วิชาดาบชนิดใหม่ แต่เกิดเปลี่ยนใจกลางคันเสียก่อน


สาเหตุเพราะ ชายหนุ่มประเมินว่า ในอนาคตทักษะการตีเหล็กคงพัฒนาระดับได้เช่นกัน และมีโอกาสสูงที่เลเวลทักษะตีเหล็กจะลดเหลือเพียง 1 เหมือนกับเทคนิคดาบ


เมื่อพิจารณาความยากลำบากในการเพิ่มเลเวลทักษะ เทคนิคการตีเหล็กนั้นเพิ่มได้ยากกว่าเทคนิคดาบมาก สาเหตุเพราะ เทคนิคดาบจะเพิ่มเมื่อไรก็ได้ในยามต่อสู้ แต่เทคนิคตีเหล็กจะเพิ่มจากการผลิตไอเท็ม ซึ่งต้องใช้ทั้งวัสดุและเวลามหาศาล


สรุปโดยสั้นคือ ชายหนุ่มเหลือแต้มทักษะคงเหลือไว้สองแต้ม สำหรับเตรียมอัปเลเวลเทคนิคตีเหล็กในตอนที่ทักษะถูกรีเซต ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผล


ขณะครุ่นคิดถึงเรื่องแต้มทักษะ กริดยื่นดาบเสือขาวเล่มใหม่ให้แค็ทซ์พร้อมกับเอ่ยปากถาม


“…นายจะจ่ายด้วยอะไร?”


แค็ทซ์รับดาบเสือขาวไปทดสอบกวัดแกว่งเล็กน้อย ก่อนจะถามหยั่งเชิง


“จ่ายด้วยอะไรงั้นหรือ… เครื่องบินส่วนตัวสักลำเป็นไง?”


“ตกลง”


“…?”


กริดพยักหน้ารับโดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เขานึกไม่ถึงว่าแค็ทซ์จะเป็นฝ่ายเสนอเครื่องบินส่วนตัวมาให้


ขณะเดียวกัน บนดาดฟ้าเรือ…


“แง่งงงง!!”


แกร่ก! แกร่กแกร่ก!


โนเอะและโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์กำลังจ้องมองไปยังจุดเดียวกันด้วยดวงตากลมโต ขนของเจ้าแมวอ้วนกำลังฟูฟ่องพลางโก่งตัวขู่ฟ่อ ส่วนโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์เอาแต่เต้นรำไปมาอย่างมีความสุข


“นี่น่ะหรือ… สัตว์ทะเล!”


หลังจากได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากดาดฟ้าเรือ สิบวีรชนรีบขึ้นมารวมตัวกันเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ ทันใดนั้น สีหน้าทุกคนพลันขาวซีด


เบื้องหน้าพวกมันคือหมึกยักษ์ที่ขนาดใหญ่กว่าตึก 30 ชั้น ด้วยลำตัวที่มโหฬารของมัน เหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์จึงมองไม่เห็นชื่อตัวละครที่อยู่เหนือศีรษะ แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือแรงกดดันอันมหาศาลของสัตว์ทะเลแสนดุร้าย


ครืนนนน!


เปรี้ยงงง!!


ทันใดนั้น พายุสายฟ้าพลันอุบัติขึ้นกลางทะเลอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย รุนแรงชนิดที่ว่า สามารถหักเรือรบยักษ์ให้แตกกลางลำได้ไม่ยากเย็น


“…อึก!”


แวนเนอร์เข้าสู่ภาวะตึงเครียด มันเตรียมรับมือการโจมตีทุกชนิดที่อีกฝ่ายจะโถมเข้าใส่ ทักษะสายป้องกันมากมายถูกเรียงลำดับภายในสมอง สายตาจดจ้องหมึกยักษ์อย่างไม่กะพริบเพื่อไม่ให้การเคลื่อนไหวเล็กน้อยเล็ดลอด


ปัง—


ฉึบ!


ยูร่าลั่นไกปืน


จิสึกะปลดปล่อยสายธนูฟินิกซ์แดง


ท่ามกลางลมพายุพัดโหม กระสุนปืนและธนูแหวกทะลวงผ่านบรรยากาศจนสัมผัสปะทะผิวหนังของหมึกยักษ์ตนดังกล่าวสำเร็จ


ทว่า…


ดึ๋ง!


“เอ๋?”


…การโจมตีล้วนกระดอนเด้งออก


ผิวหนังหมึกยักษ์ทั้งหนาและเหนียวมาก บางที การโจมตีทางกายภาพอาจไม่เกิดผล


“ต้องลอกหนังมันออกมาก่อน”


เฟคเกอร์และคริสกระโจนขึ้นไปในอากาศ ส่วนพีคซอร์ดทำการชักดาบฟัน


ศาสตราสุดคมทั้งสามชนิดเชือดเฉือนใส่ร่างหมึกยักษ์อย่างแม่นยำ ทว่า ความเสียหายกลับแทบไม่เกิดขึ้น แถมยังซัดคอมโบซ้ำตามซ้ำต่อไม่ได้ เนื่องจากหนวดทั้งแปดของมันกำลังกระหน่ำฟาดใส่ไม่หยุดหย่อน


พายุสายฟ้าที่คอยขัดขวางปั่นป่วนนับเป็นอุปสรรคแสนน่ารำคาญ


“หืม…”


สิบวีรชนฯ ที่ไม่อาจทำอันตรายหมึกยักษ์ได้ พวกมันจำต้องถอยกลับมาดูเชิงบนดาดฟ้าเรืออีกครั้ง


“ถึงรูปแบบการโจมตีจะเรียบง่าย แต่ทรงพลังชะมัด”


“พลังป้องกันก็อยู่ในระดับสุดยอด”


สิบวีรชนฯ ต่างจ้องมองหมึกยักษ์พลางปรึกษากันด้วยน้ำเสียงท้อแท้ การต่อสู้เป็นไปอย่างไม่คืบหน้า หมึกตัวนี้ทำอันตรายกับเรือไม่ได้ก็จริง แต่การจะกำราบให้อยู่หมัด พวกมันยังมองไม่เห็นโอกาส


ทันใดนั้น


“ตรงนี้ก็มีอีกตัวหรือ?”


“…?”


ฮูเร็นเดินเข้ามาใกล้คนทั้งสิบ บนบ่ามีหนวดหมึกยักษ์ข้างหนึ่งพาดไว้ มันชำเลืองมองหมึกยักษ์ที่สิบวีรชนฯ รับมืออย่างยากลำบากพลางพึมพำ


“มอนสเตอร์กระจอกแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องถึงมือพวกนายหรอก ให้เป็นหน้าที่ของผู้อ่อนแอที่สุดอย่างฉันเอง”


“…?”


“มหกรรมออร่า”


ทักษะที่กริดมอบให้ฮูเร็นเป็นของขวัญในวันเข้าร่วมกิลด์โอเวอร์เกียร์ บัดนี้กำลังประจักษ์สู่สายตาสิบวีรชนฯ อย่างแจ่มแจ้ง


ซู่ววว—


ออร่าปริมาณมหาศาลกำลังถูกรวบรวมกลางอากาศเหนือดาดฟ้าหรือ


ปัง!


ปังปังปังปังปังปังปังปัง!!!!


จากนั้นก็พุ่งกระหน่ำใส่หมึกยักษ์และระเบิดออกคล้ายกับประทัดขนาดใหญ่


โฮกกกกกก!


หมึกยักษ์กำลังโซเซจากความเจ็บปวด ผิวหนังที่ได้ชื่อว่าเหนียวและหนาถูกลอกออกหลายจุดในพริบตา


เมื่ออยู่ต่อหน้าออร่าที่มองข้ามพลังป้องกันและค่าต้านทานทุกชนิด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะถึกทนเพียงใด แต่ความเสียหายที่ได้รับจะเป็นค่าคงที่เสมอ


***


พิธีกรรมอันชั่วร้ายและบ้าคลั่งยืดเยื้อมานานกว่าสิบวันเต็ม


“ไม่ไหวแล้ว…”


เหล่าบุตรีแห่งรีเบคก้าต่างรีดเร้นพลันจากศาสตราศักดิ์สิทธิ์จนถึงห้วงคำนึงสุดท้าย ก่อนจะล้มลงไปทีละคนอย่างหมดสภาพ


กระทั่งอิสซาเบลที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายก็ดำเนินมาถึงถึงขีดจำกัด เธอทรุดคุกเข่าลงต่อหน้าดาเมี่ยน


นัยน์ตาสันตะปาปาแห่งโบสถ์รีเบคก้ากำลังสั่นระริกอย่างหยุดไม่ได้


[พิธีกรรมอัญเชิญจอมอสูรดำเนินมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว]


“ม…ไม่นะ!”


ในอดีต เหตุการณ์จอมอสูรบีเลียลถูกคนทั่วโลกมองเป็นเพียง ‘อีเวนต์’ เล็กๆ


มีแรงเกอร์ที่เกี่ยวข้องเพียงหยิบมือ ผู้คนหลายฝ่ายต่างพากันรังเกียจเหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์ ดาเมี่ยน และครอเกล ในฐานะที่ผูกขาดไอเท็มดรอปจากบอสแสนอ่อนแอไว้เพียงผู้เดียว


ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครทราบถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของจอมอสูรบีเลียล


ถึงพลังโจมตีของหล่อนจะต่ำจนดาเมี่ยนสามารถแทงค์ไหว แต่นั่นเป็นเพราะปิอาโร่ได้ตัดแขนไปหนึ่งข้างตั้งแต่ต้นศึกด้วยท่าไม้ตาย


ดาเมี่ยนทราบดี สิ่งมีชีวิตที่ชื่อจอมอสูรไม่เคยเป็นตัวตนธรรมดา แต่พวกมันคือ… หายนะ


แม้แต่กริดและครอเกล หากในวันนั้นไม่มีปิอาโร่และอิสซาเบล ทุกคนมั่นใจว่ากิลด์โอเวอร์เกียร์ไม่สามารถปราบจอมอสูรบีเลียลตามลำพังไหว


ขณะดาเมี่ยนกำลังครุ่นคิด เสียงหัวเราะดังแว่วมาจากด้านหลัง


เทพสงคราม·อาเรส


“ถึงเวลาของงานเลี้ยงที่แท้จริงแล้วสินะ”


“อา…”


ความมั่นใจของอาเรสมิได้ทำให้ดาเมี่ยนผ่อนคลายลง กลับกัน มันยิ่งทวีความตึงเครียด


ปัจจุบัน กองทัพอาเรสแข็งแกร่งกว่ากิลด์โอเวอร์เกียร์ในอดีตมาก และแน่นอน เฉกเช่นคนทั่วโลก พวกมันมิได้หวาดกลัวหรือยำเกรงตัวตนที่มีนามว่าจอมอสูร


[ประตูขุมนรกถูกเปิดออก]


ข้อความโลกประจักษ์


[จอมอสูรลำดับ 22 เฟย์ริส ปรากฏกาย!]


ผืนปฐพีพลันแปรเปลี่ยนเป็นขุมนรก


[สิ่งมีชีวิตผู้ครอบครองมหาปัญญาจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ได้เหยียดหยันท่านเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตต่ำต้อย]


[แต้มสถานะทุกชนิดลดลง 32%]


[ความรุนแรงทักษะและเวทมนตร์ทุกชนิดลดลงครึ่งหนึ่ง]


[เวทมนตร์ทุกชนิดร่ายช้าลง 50%]


ขณะขุมกำลังหลักของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์และจักรวรรดิมิได้อยู่บนทวีปตะวันตก…


[จอมโป้ปดที่ซุกซ่อนความจริงไว้ท่ามกลางคำลวงนับหมื่น มันกำลังเล่นสนุกกับท่าน]


[ค่าต้านทานอาการ ‘สับสน’ กลายเป็น 0%]


[ทักษะหรือเวทมนตร์ทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวง ประกอบด้วย ‘ทักษะจำพวกลวงตา’ ‘ทักษะจำพวกซ่อนตัว’ ‘ทักษะจำพวกปลอมตัว’ รวมถึงที่เกี่ยวข้อง ล้วนถูกปิดกั้นชั่วคราว]


ผู้คนมหาศาลมีอันต้องพานพบฝันร้าย


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,407
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00