จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,014



องค์ชายเบนัวต์


หนึ่งในสามบุตรชายของจักรพรรดินีอาเรีย นิสัยของมันค่อนข้างผิดแผกจากองค์ชายคนอื่น


ปราศจากความทะเยอทะยาน เอาแต่ขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว ไม่หลงระเริงไปกับอำนาจบารมี ให้ความสนใจในฝีมือและพรสวรรค์ของบุคคลมากกว่านามสกุล


ในวัยเด็ก มันเคยกล่าวในสิ่งที่ทุกคนในจักรวรรดิซาฮารันมิอาจลืมเลือน


“การบริหารบ้านเมืองไม่ใช่สิ่งที่ตัวเราหวังกระทำ ตัวเราเพียงต้องการเฝ้ามอง รับฟัง เชยชม หรือตำหนิติเตียนเท่านั้น”


เป็นคำแถลงที่ขัดต่อจารีตองค์ชายและหักหน้าจักรพรรดิในเวลาเดียวกัน แต่ก็เป็นการประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าไม่คิดสืบทอดบัลลังก์โดยเด็ดขาด


ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เดิมทีเบนัวต์เป็นเพียงองค์ชายลำดับสาม โอกาสสืบทอดบัลลังก์นั้นแสนริบหรี่ จึงผันตัวเองไปเป็นนักวิชาการและนักพัฒนาบ้านเมือง


นับแต่นั้นเป็นต้นมา จักรพรรดิฮวนเดอร์ไม่เห็นเบนัวต์อยู่ในสายตาอีก แต่สำหรับจักรพรรดินีอาเรียนั้นตรงข้าม เธอทวีความชื่นชอบในตัวเบนัวต์ยิ่งกว่าเดิม


ด้านเบนัวต์เองก็รักและเคารพในตัวผู้เป็นมารดามากเช่นกัน หล่อนเป็นแม่และสตรีที่มีจิตใจงดงาม สติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นคนที่ทำงานหนักกว่าใครเสมอ


จนกระทั่ง… อาเรียด่วนจากไปก่อนวัยอันควร เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เบนัวต์เจ็บปวดหัวใจเจียนตาย มันเคว้งคว้างดำดิ่งอยู่กับความว่างเปล่าเป็นเวลานาน


เมื่อได้สติกลับมา เบนัวต์แอบสืบสวนหาสาเหตุการตายของมารดาอย่างลับๆ โดยมุ่งเป้าไปที่จักรพรรดินีแมรี่


และเพียงไม่นานความจริงก็ปรากฏ แมรี่คือผู้อยู่เบื้องหลังการล้มป่วยอย่างผิดธรรมชาติของมารดาตน


แต่หลักฐานอ่อนเกินไป แถมพยานรู้เห็นก็ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวตน ส่งผลให้เบนัวต์ทำอะไรแมรี่มากกว่านี้ไม่ได้


นี่คือหนแรกนับตั้งแต่เกิดมา ที่องค์ชายลำดับสามอย่างเบนัวต์อาฆาตแค้นใครสักคนจากก้นบึ้งหัวใจ เป็นหนแรกนับตั้งแต่เกิดมา ที่ร่างกายท่วมท้นด้วยโทสะปริมาณมหาศาล


มันรังเกียจบิดาตัวเองผู้ไม่สนใจจะจัดการลงโทษหญิงชั่วที่วางแผนลอบสังหารอดีตจักรพรรดินีองค์ก่อน


หลังจากอาเรียเสียชีวิต พลังอำนาจขององค์ชายลำดับสี่อย่างอีธานก็เพิ่มขึ้นทันตาเห็น แต่พี่ชายของมันทั้งสองกลับทำตัวเฉื่อยชาดุจดังทองไม่รู้ร้อน


เบนัวต์เริ่มวางแผนแก้แค้นนับแต่นั้นมา


มันลับคมฝึกวิชาดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย


ลดเวลานอนของตัวเองให้น้อยลง เริ่มร่ำเรียนเวทมนตร์อย่างจริงจังในช่วงกลางคืน


ฝึกฝนควบคุมพลัง ‘ปราณสีชาด’ แห่งสายเลือดซาฮารันจนชำนาญยิ่งกว่าพี่น้องคนใด


แต่แล้ววันหนึ่ง เบนัวต์เริ่มตาสว่าง


การบดขยี้ด้วยพลังอำนาจไม่ใช่การแก้แค้นที่แท้จริง เบนัวต์ต้องการให้องค์จักรพรรดิจมอยู่กับความโศกเศร้าและตำหนิตัวเองไปจนตาย มันต้องการให้เหล่าพี่ชายสำนึกผิดและตระหนักถึงความโง่เขลา


ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ต่อยอดศาสตร์มนตร์ดำที่มันเคยสนใจมาตั้งแต่เด็ก


แต่ยิ่งศึกษาลึกซึ้งก็ยิ่งได้พบว่า มีนัยสำคัญบางประการที่ทำให้ ‘เจ็ดมาร’ ตัดสินใจทรยศต่อเทพธิดาแห่งแสง เบนัวต์จึงเสื่อมศรัทธาโบสถ์รีเบคก้าและหันไปสนใจจอมอสูรกับเทพยาธานนับแต่นั้น


หลังจากตั้งใจศึกษาประวัติศาสตร์ของขุมนรกอย่างละเอียด เบนัวต์มีโอกาสได้รับรู้พลังจอมอสูรบางตน


ใช่แล้ว วิธีแก้แค้นของมันคืออัญเชิญจอมอสูร


จอมอสูรลำดับสี่ ‘คามิคิน’ อสูรผู้มีพลังปลุกดวงวิญญาณของบุคคลที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืน


เบนัวต์หวังใช้พลังคามิคินปลุกอาเรียขึ้นจากหลุมศพเและให้เธอบอกเล่าความจริงทั้งหมดแก่ทุกคน องค์จักรพรรดิและเหล่าพี่ชายของมันจะต้องจมอยู่กับความโศกเศร้าไปชั่วชีวิต


นั่นคือประวัติพอสังเขปของเบนัวต์ที่โรสทราบ


วิหารยาธานอาศัยความคับแค้นของเบนัวต์เพื่อสร้างความปั่นป่วนแก่จักรวรรดิซาฮารัน อีกทั้งยังวางแผนอัญเชิญจอมอสูรตนแล้วตนเล่าขึ้นมาบนโลก


ไม่มีข้ารับใช้ยาธานคนใดที่ไม่ทราบเรื่องราวของเบนัวต์


“…”


โรสจ้องมองเบนัวต์ที่กำลังยืนหน้าแท่นบูชา


อุปกรณ์มากมายสำหรับเซ่นสังเวยดวงวิญญาณมนุษย์ถูกตระเตรียมพร้อมสรรพ องค์ชายลำดับสามแห่งจักรวรรดิสวดภาวนาบางสิ่งด้วยภาษาที่เธอไม่เข้าใจ


แม้จะเป็นเพียง NPC แต่จิตใจชายคนนี้กลับเปี่ยมด้วยแรงอาฆาตมหาศาลจนโรสรู้สึกราวกับมีชีวิต…


“…เริ่มเข้าใจความรู้สึกกริดบ้างแล้วสิ”


แสยะ


มุมปากโรสกระตุกขณะหล่อนฉีกยิ้มกว้าง


การเข้าใจความรู้สึกไม่ได้แปลว่าต้องคิดแบบเดียวกัน


“เจ้างั่งเอ้ย”


กริดช่างน่าสมเพช


หากหล่อนเป็นกริด โรสจะเสพความสุขในโลกซาทิสฟายอย่างสุดเหวี่ยง ไม่มีจำเป็นต้องยึดหลักคุณธรรมโดยการแต่งงานกับ NPC แค่คนเดียวแบบนั้น


“เรียกว่าอะไรกันน้า~ ไอ้ทึ่มละมั้ง”


เธอทำสีหน้าครุ่นคิด ปลายนิ้วชี้แตะริมฝีปากพลางเอียงคอสงสัย นับเป็นสตรีที่งดงามและน่าหลงใหลในเวลาเดียวกัน


แต่หากใครสักคนมองเข้าไปในแววตาอันว่างเปล่านั่น เสน่หาจะแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวในทันที


ตึก!


ณ ผาสูงชันซึ่งมองเห็นทั่วสนามรบเพียงกวาดสายตาครั้งเดียว สถานที่แห่งนี้คือจุดที่ถูกใช้ประกอบพิธีเซ่นสังเวยดวงวิญญาณมนุษย์


“เจอตัวสักที”


ผู้บุกรุก


ขุนพลใหญ่แห่งกองทัพอาเรส—ลัค


หนึ่งในผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพอาเรสอย่างไรข้อกังขา กระทั่งครอเกลในยุคสมัยฟ้าเหนือฟ้ายังยอมรับให้ลัคเป็นศัตรูที่ตึงมือ


“ถึงจะไม่ทราบว่ากำลังเล่นกลอะไรอยู่ แต่คงต้องขอให้หยุดการกระทำเดี๋ยวนี้!”


กำปั้นลัคแหวกอากาศพุ่งใส่โรสซึ่งคอยคุ้มกันองค์ชายเบนัวต์ที่กำลังท่องคาถาพิสดาร


ทันใดนั้น โรสแหกปากตะโกน


“อย่าเข้ามาสอด! ชีวิตน้องฉันกำลังอยู่ระหว่างความเป็นความตาย!”


“…เอ๋?”


“รู้รึเปล่าทำไมฉันถึงต้องเปลืองตัวรับบทบาทข้ารับใช้ยาธานชั่วร้ายในสายตาคนทั้งโลก? เพราะเงินยังไงล่ะ! ภารกิจของวิหารยาธานให้ทำเงินได้มาก! ฉันต้องการเงินไปรักษาน้องที่นอนใกล้ตายในโรงพยาบาล! ถ้าไม่มีเงิน… น้องฉันคงไม่รอดแน่…”


“…หือ? แล้วยังไง?”


ถึงจะถามเช่นนั้น แต่ลัคก็ชะงักไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาของมันเริ่มสั่นกระตุก


ทุกคนบนโลกล้วนมีเหตุผลรองรับการกระทำ ถึงโรสจะเป็นศัตรู แต่หล่อนกำลังพูดถึงความเป็นความตายของมนุษย์คนหนึ่ง


และนั่นทำให้ลัคเผยช่องว่าง


บึ้มมมม—


มนตร์ดำระเบิดฟุ้ง


หลังจากถูกการโจมตีอันหนักหน่วงซัดกระเด็น ลัคขบกรามแน่นพลางฝืนพยุงตัวลุกยืน


“นายเริ่มเข้าใจฉันบ้างแล้วใช่ไหม?”


โรสยืนถือไม้เท้าพลางตะโกนถามด้วยสายตาเว้าวอน แต่ในความเป็นจริง เธอไม่มีน้องชายหรือน้องสาวแม้แต่คนเดียว


และแน่นอน ลัคย่อมไม่ทราบ


“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?”


ลัคเปิดฉากประเคนกำปั้นใส่โรสโดยไม่ลังเล


บึ้มบึ้ม! บึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!


ท่ามกลางการดวลอันดุเดือด องค์ชายเบนัวต์ยังคงจดจ่อสมาธิอยู่กับพิธีกรรมเบื้องหน้า


***


『…พิธีก่อตั้งกิลด์โอเวอร์เกียร์ที่สี่ ในที่สุดก็จบลงแล้วครับ』


『นับเป็นงานเลี้ยงฉลองที่หรูหราทีเดียวครับ ฮะฮะ! มีแม้กระทั่งพลุไฟสุดอลังการ』


ช่องรายการเกมยอดนิยมจำนวนมาก รวมถึงบันนี่บันนี่ และแม้กระทั่งสำนักข่าวใหญ่จากทั่วทุกมุมโลก พวกมันส่งคนเข้าร่วมพิธีฉลองที่เมืองเรย์ดันเพื่อแพร่ภาพการถ่ายทอดสด


เมื่อไม่กี่วันก่อน หลายช่องข่าวได้รับคำเชิญสุดแปลกประหลาดที่มีเนื้อความเกี่ยวกับงานฉลองก่อตั้งกิลด์โอเวอร์เกียร์ที่สี่


…ทั้งที่เป็นยามศึกสงคราม


แถมยังเป็นสงครามที่กำลังเสียเปรียบสุดขีด กองทัพโอเวอร์เกียร์ถูกกดดันให้ต้องถอยร่นหลบซ่อนหลังกำแพงเมือง


แต่พวกมันเลือกที่จะจัดงานฉลองก่อตั้งกิลด์ใหม่? และยังเป็นภายในเมืองชายแดนอย่างเรย์ดันที่เป็นสมรภูมิสงคราม?


การตั้งกิลด์ใหม่จำเป็นขนาดนั้นเชียว? แถมยังเป็นกิลด์ที่รวบรวมไว้เฉพาะผู้เล่นพลปืนใหญ่


ในมุมมองผู้เล่นทั่วไปของซาทิสฟาย คลาสพลปืนใหญ่คือขยะเปียกอย่างแท้จริง แต่อาณาจักรโอเวอร์เกียร์กลับรวบรวมเป็นจำนวนมากในคราวเดียว… เพื่อสิ่งใดกัน?


ไม่มีใครเข้าใจการกระทำสุดประหลาดของกริด หลายฝ่ายต่างพากันนินทาว่า หรือกริดจะเครียดกับสงครามจนเสียสติไปแล้ว?


แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับน่าประหลาด งานถูกจัดผ่านไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีการรุกรานหรือขัดขวางกลางคันจากกองทัพจักรวรรดิ


ขณะเดียวกัน งานเลี้ยงรื่นเริงพร้อมกับเทศกาลพลุแสงก็ถือเป็นการป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับทราบว่า อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ทำการขยายอำนาจและพลังของตัวเองขึ้นไปอีกขั้น


ผลกระทบที่เกิดขึ้นภายในเกมค่อนข้างน่าทึ่ง เมื่อเห็นฝ่ายโอเวอร์เกียร์จัดงานฉลองอย่างสนุกสนาน กองทัพจักรวรรดิต่างสูญเสียขวัญกำลังใจไปมาก เหล่าพลทหารทำได้เพียงเฝ้ามองพลุไฟและเสียงเพลงรื่นเริงจากค่ายทหารอย่างอิจฉา


สาเหตุที่ไม่มีการบุกจู่โจมสายฟ้าแลบเกิดขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นเวลากลางคืนแล้ว พวกมันยังกลัวว่างานฉลองอาจเป็นกับดักที่โอเวอร์เกียร์เตรียมไว้


『แผนการของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์แยบยลมากครับ การจัดงานเลี้ยงได้ทำให้ศัตรูทราบถึงขุมกำลังอาณาจักรที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแสดงให้เห็นว่าฝ่ายตนมิได้เกรงกลัวหรือหวาดหวั่นผลลัพธ์ของสงครามแม้แต่น้อย… ถึงหลายฝ่ายจะกระแนะกระแหนว่าเป็นแผ่น ‘ข่มขวัญ’ ที่ตื้นเขิน แต่ถ้ามันได้ผล ผมขอยกย่องว่าเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ถึงแม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างก็ตาม』


หลังจากงานเลี้ยงจบลงและได้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายจักรวรรดิ ผู้คนเริ่มเข้าใจเจตนาของกริดและอาณาจักรมากขึ้น


เหตุใดกริดถึงต้องจัดงานเลี้ยงในเรย์ดันท่ามกลางยามศึกสงคราม?


คำตอบคือกลยุทธ์ข่มขวัญ และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่แผนของกริด แต่เป็นลอเอล


เนื่องจากโนลล์ปรากฏตัวทุกค่ำคืนจนฝ่ายกองทัพจักรวรรดิเริ่มฝังใจหวาดกลัว การจัดงานเลี้ยงจึงผ่านไปอย่างราบรื่นไร้การรบกวน


ขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบต่อสภาพจิตใจฝ่ายจักรวรรดิอย่างมาก


ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ถือเป็นการเดินหมากที่สำคัญก้าวใหญ่ของสงคราม


= ฉันเองก็เป็นพลปืนใหญ่เหมือนกัน ขอเข้ากิลด์โอเวอร์เกียร์บ้างดีไหม?


ความสนใจจากสาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างกว้างขวาง ผู้เล่นพลปืนใหญ่ทั่วโลกเริ่มมีหวังเข้าร่วมอาณาจักรโอเวอร์เกียร์แม้เลเวลของตนจะต่ำ


แน่นอน คลาสอื่นต่างรุมถากถางและเหยียดหยันเหล่าผู้เล่นคลาสขยะเปียกทันที


= คิดว่าพวกมันต้องการพลปืนใหญ่จริงรึไง? งานเลี้ยงเป็นแค่ฉากหน้าทางกลยุทธ์เท่านั้น!


= ถูกต้อง ทั่วทั้งทวีปตะวันตก มีเพียงจักรวรรดิซาฮารันที่สนใจก่อตั้งหน่วยปืนใหญ่อย่างจริงจัง เพราะพวกมันมีเงินทองและเทคโนโลยีมากพอ


= จะมีประโยชน์อันใดหากอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ไม่มีปืนใหญ่ให้พวกนายใช้งาน? อย่าฝันลมๆ แล้งๆ ไปหน่อยเลยพวกคลายขยะเปียก


เทคโนโลยีในโลกซาทิสฟายยังล้าหลัง ปืนใหญ่แบบมาตรฐานจะยิงได้ช้าและมีความแม่นยำต่ำมาก


อาจสร้างความเสียหายได้รุนแรงต่อสิ่งก่อสร้างและรถศึก แต่หากเป็นเป้าหมายที่เคลื่อนไหว ปืนใหญ่ไม่มีทางทรงพลังไปกว่าเวทมนตร์แน่


= แล้วซาทิสฟายจะสร้างคลาสพลปืนใหญ่มาเพื่ออะไร…


= ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน


= เลิกงอแงสักที


= ขอแสดงความเสียใจกับคลาสพลปืนใหญ่ทุกคนไว้ณที่นี้ด้วย


อาวุธประเภทปืนใหญ่แทบไม่มีจุดเด่น เพียงครั้งเดียวที่คนทั่วโลกฮือฮาคือการแข่งตะลุมบอนราชาอสูรซึ่งกริดใช้ปืนใหญ่แบบไร้พลปืน


และสาเหตุที่มันประสบความสำเร็จเพราะกริดวางแผนเตรียมการล่วงหน้า ส่วนฝ่ายผู้เล่นที่บุกรุกปราสาทราชาอสูรนั้นไม่เคยทราบมาก่อน


หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ กิลด์โอเวอร์เกียร์ไม่ได้คิดใช้งานหน่วยพลปืนใหญ่อย่างจริงจัง เพียงแต่เป็นฉากบังหน้าสำหรับจัดงานฉลอง


นี่คือสิ่งที่หลายฝ่ายคาดเดา


และแน่นอน ในฐานะนักทำลายสามัญสำนึก กริดกำลังจะสร้างความฮือไปทั่วโลกเฉกเช่นทุกครั้ง



สงครามเริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้าวันต่อมา


“พลปืนใหญ่! ประจำกำแพงเมือง!”


เพื่อจะหักหน้าเสียงเย้ยหยันจากทุกสารทิศ กริดตัดสินใจนำปืนใหญ่โอเวอร์เกียร์เกรดยูนีคสองกระบอกเข้าร่วมการเปิดตัว และยังมีเกรดแรร์ถึงอีปิกอีกแปดกระบอก


รวมทั้งหมดเป็นสิบกระบอกสำหรับทดสอบในสงครามจริงครั้งแรก


ชองอุยซังซิล พลปืนแรงค์หนึ่งของโลกเดินนำแถวทหารปืนใหญ่ขึ้นไปบนกำแพงอย่างกระฉับกระเฉง


ทันใดนั้น ขณะพวกมันเหลือบมองลงไปด้านล่างโดยไม่ได้ตั้งใจ


กองทัพฝ่ายจักรวรรดิกำลังตั้งแนวรบใกล้กำแพงเมืองเรย์ดันจนน่าตกใจ พลทหารมากมายยืนเรียงแถวสุดลูกหูลูกตาจนยากจะนับจำนวนด้วยตาเปล่า


กองทัพหลักแสน เพียงการยืนข่มขวัญก็มากพอจะทำให้อีกฝ่ายเข่าอ่อนหมดแรง


ธงจักรวรรดิอันเกรียงไกรถูกโบกสะบัดในทุกไม่กี่เมตร ปืนใหญ่กว่าร้อยกระบอก รวมถึงรถยิงหินขนาดยักษ์ 20 คันถ้วน นำทัพหน้าสุดโดยพลโล่ใหญ่หลายพันนาย


“อึ๋ย…”


สีหน้าของพลปืนโอเวอร์เกียร์เริ่มขาวซีด


หลังจากเก็บตัวอยู่นาน ในที่สุดพวกมันก็มีโอกาสแสดงฝีมือได้อย่างที่หวัง แต่ศัตรูในสงครามเปิดตัวกลับเป็นกองทัพนับแสน


ขณะพลปืนเริ่มขวัญอ่อน โทบันตะโกนออกคำสั่งอย่างห้าวหาญ


“รีบบรรจุกระสุนและเล็งไปที่รถยิงหินของศัตรูเร็วเข้า!”


ขณะเดียวกัน กองทัพจักรวรรดิหลายพันนายกำลังลำเลียงหินยักษ์ใส่ในรถยิงหิน หากอาวุธชนิดนี้ได้สำแดงแสนยานุภาพ มั่นใจได้เลยว่ากำแพงเรย์ดันต้องถล่มลงมาแน่


และถ้าเป็นเช่นนั้น ศัตรูจะกรูเข้ามาในเมืองจนฝ่ายโอเวอร์เกียร์ต้องรับศึกหลายทาง


“เร่งมืออีก!!”


คนแรกที่ได้สติกลับมาคือชองอุยฯ เธอรีบลงมือบรรจุกระสุนปืนใหญ่ก่อนใคร


ทันใดนั้น นัยน์ตาชองอุยฯ พลันสั่นระริก สาเหตุเพราะปืนกระบอกนี้มีระบบบรรจุกระสุนด้านหลัง หมายความว่าไม่ต้องคอยวิ่งไปหน้าปากกระบอกทุกครั้งที่ยิงเสร็จ


‘ต้องยิงได้เร็วมากแน่!’


ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน พลปืนใหญ่ไม่มีเวลาแม้แต่จะตรวจสอบรายละเอียดอาวุธสงครามที่พวกตนกำลังใช้งาน


คำสั่งถูกปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด


“เล็งเป้า!!”


โทบันตะโกนพร้อมกับสะบัดธงแดงขึ้นฟ้า


กริ๊ก—


กริ๊ก กริ๊ก!


ปืนใหญ่สิบกระบอกต้องใช้พลปืนใหญ่ทั้งหมดสามสิบนาย


แรงเกอร์พลปืนท็อปสามสิบของโลกกำลังปรับองศาการยิงอย่างตะกุกตะกักไม่คุ้นชิน


เพื่อรีดเร้นประสิทธิภาพสูงสุดของอาวุธสงครามชนิดนี้ ปืนใหญ่ต้องถูกยิงในมุมย้อยโดยแหงนปากกระบอกไว้สูงกว่าปรกติ


แรงส่งอาจไม่มาก แต่เมื่อผ่านไปครึ่งทางจนกระสุนย้อยตกลงด้านล่าง แรงโน้มถ่วงจะทำหน้าที่ของมันอย่างไร้ที่ติ


ยิ่งตกจากความสูงมาก พลังทำลายของกระสุนปืนใหญ่ก็ยิ่งรุนแรง และเป้าหมายก็ยิ่งเกิดความฉิบหาย


‘พวกเราทำได้แน่’


‘ต้องโดนสิฟะ!’


พวกมันคือสามสิบผู้เล่นที่ใช้ปืนใหญ่ได้เก่งกาจที่สุดของโลก ณ ขณะนี้


ถึงหลายปีที่ผ่านมาจะไม่เคยมีบทบาทและไม่เคยออกสงคราม แต่การฝึกฝนอย่างหนักไม่เคยทรยศใคร พวกมันไม่เคยปล่อยตัวเองให้เสียเวลาเปล่า


ลองนึกภาพตาม… หากไม่มีโอกาสได้เก็บเลเวลกับมอนสเตอร์ ผู้เล่นหนึ่งคนต้องทำภารกิจและฝึกฝนหนักหน่วงขนาดไหนจนกว่าจะมีเลเวลก้าวไปถึง 180 ได้?


แต่ละอาณาจักรจะมีวิธีฝึกพลปืนที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้พลปืนใหญ่ของจักรวรรดิพัฒนาตัวเองได้เร็วกว่าผู้เล่นจากอาณาจักรอื่นมาก และชองอุยฯ คือหนึ่งในนั้น


ถึงเลเวลตัวละครและระดับทักษะจะต่ำติดดิน แต่ความรู้และทฤษฎีที่อัดแน่นในสมองนั้นไม่ใช่ของปลอม


“ยิง!!”


โทบันสะบัดธงแดงลงพร้อมกับตะโกน


พรึบ—


ปังปังปังปังปังปังปังปังปังปัง!


พลปืนใหญ่ทั้งสามจะแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน หนึ่งคนทำการยิง หนึ่งคนบรรจุกระสุน และหนึ่งคนทำการปรับองศาเล็ง


พลยิงทั้งสิบนายปลดปล่อยกระสุนสิบนัดให้ลอยแหวกอากาศขึ้นไปบนฟากฟ้า


= โว้ว… เสียงน่ากลัวชะมัด


= แล้วไง ไม่มีประโยชน์ถ้าพลังโจมตีห่วยแตก


ผู้เล่นคลาสอื่นเอาแต่ถากถางอาวุธที่เรียกว่าปืนใหญ่จนถึงที่สุด ไม่สิ เรียกว่าถากถางก็ไม่ถูกนัก สิ่งที่พวกมันพูดมีมูลความจริงอยู่บ้าง เพราะปืนใหญ่รุ่นมาตรฐานในซาทิสฟายล้วนเป็นดังที่กล่าว


ทว่า


บึ้มมมม—


บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!


ณวินาทีนี้ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้น


= เฮ้ย…


กระสุนปืนใหญ่สิบนัดพุ่งย้อยขึ้นไปในอากาศก่อนจะตกใส่รถยิงหินจำนวนห้าคันจนพินาศสิ้น ม่านบาเรียจอมเวทล้วนไร้ผลเมื่ออยู่ต่อหน้าปืนใหญ่โอเวอร์เกียร์


พลังทำลายเกินกว่าจินตนาการผู้คนไปมาก


รถยิงหินขนาดมหึมากลับถูกบดขยี้โดยกระสุนปืนใหญ่เพียงสองนัด… ไม่มีหลักการใดในซาทิสฟายที่สามารถอธิบายความน่าเหลือนี้ได้


“อ๊ากกกกก!!”


พลทหารประจำรถยิงหินและข้างเคียงหลายร้อยนายต่างส่งเสียงร้องระงมด้วยสีหน้าเจ็บปวด


เศษไม้และหินยักษ์พังถล่มตกใส่ทหารและพลปืนผู้โชคร้ายด้านล่าง เกิดบรรยากาศโกลาหลขึ้นฉับพลัน ความฉิบหายถูกส่งกระจายต่อกันเป็นลูกโซ่ แนวรบจักรวรรดิเสียขวัญและถูกทำลายรูปขบวนไปชั่วขณะ


กระสุนเพียงสิบนัดสามารถสร้างความพินาศได้ระดับนี้เชียวหรือ?


ไม่ใช่แค่ผู้ชมและบรรดานักข่าวที่ตกตะลึง แม้แต่พลปืนใหญ่โอเวอร์เกียร์ทั้งสามสิบต่างก็อ้าปากค้างไม่หุบ


ข้อความระบบจำนวนมากปรากฏบริเวณมุมสายตาอย่างต่อเนื่อง


[‘รถยิงหิน : ลาร์ค 2’ ของจักรวรรดิซาฮารันถูกทำลาย!]


[ท่านสังหารพลทหารจักรวรรดิ]


[ท่านสังหารพลทหารจักรวรรดิ…]




[เลเวลของท่านเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ]


[เลเวลของท่านเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ]


[เลเวล…]




[ทักษะ ‘ความชำนาญปืนใหญ่’ พัฒนาจากขั้นต้นระดับสูงสุด กลายเป็นขั้นกลาง Lv 2]


“อะไรกัน…”


ข้อความระบบเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้เล่นคลาสพลปืนใหญ่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน


พลปืนใหญ่โอเวอร์เกียร์ถูกความตกตะลึงเข้าครอบงำอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งหูของมันได้ยินเสียงตะโกนที่เข้มแข็งดุดันจากโทบัน


“บรรจุกระสุน!!”


“บ…บรรจุกระสุน!”


พลปืนที่จิตใจกระเจิงกระเจิงวิ่งกลับบ้านไปแล้ว พวกมันถูกดึงกลับสู่โลกแห่งสงครามฆ่าฟันอีกครั้ง พลบรรจุร่วมมือกับพลยิงอย่างแข็งขัน


นัดถัดมาเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่ทุกคนคิดไว้


ไม่มีปืนใหญ่ใดในทวีปที่ระยะห่างการยิงในแต่ละนัดสั้นขนาดนี้อีกแล้ว


“เล็งเป้า!!”


โทบันสะบัดธงแดงขึ้นฟ้า


พลเล็งทำหน้าที่ปรับเป้าไปยังรถยิงหินอีกห้าคันจากที่เหลือ 15 คัน พวกมันเลือกเล็งรถคันที่มีความคืบหน้าบรรจุก้อนหินมากที่สุด


หินก้อนใหญ่ถูกติดตั้งใกล้เสร็จแล้ว อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงขั้นตอนตัดเชือกเพื่อปล่อยก้อนหินให้ลอยกระแทกใส่กำแพง แต่ด้วยความที่ก้อนหินมีขนาดใหญ่มาก ถึงจะร่วมแรงกันกว่าร้อยคนก็ยังนับว่าเชื่องช้า


ทันใดนั้น กระสุนปืนใหญ่สิบนัดใหม่พุ่งออกจากท้องฟ้าฝั่งกำแพงเมืองเรย์ดัน


“ยิง!!”


ปังปังปังปังปังปังปังปังปังปัง!!


กระสุนชุดที่สองนั้นทรงพลังกว่าสิบนัดแรกหลายระดับ สาเหตุเพราะเลเวลของพลปืนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงทักษะความชำนาญอาวุธปืนที่เลื่อนจากขั้นต้นเป็นขั้นกลาง


= ห…เหลวไหลสิ้นดี


เมื่อเห็นรถยิงหินขนาดมหึมาพังถล่มไปอีกห้าคัน ผู้ชมทางบ้านเริ่มสับสนและแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความฝัน


ปืนใหญ่โอเวอร์เกียร์คืออาวุธสงครามที่ทรงพลังและมีเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างแท้จริง


“ว้าว… แรงเหมือนกันนะเนี่ย”


แม้แต่เหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์ก็ยังประหลาดใจกับผลลัพธ์


กริดอธิบายด้วยสีหน้าเรียบเฉย


“เป้าหมายเป็นรถศึกที่มีขนาดใหญ่ ความเสียหายจึงรุนแรงกว่าปรกติ ถ้าเป้าหมายเป็นมนุษย์จะได้รับความเสียหายน้อยกว่านี้”


ท่าทีของชายหนุ่มสุขุมจนน่าตกใจ แม้แต่เหล่าช่างเหล็กที่มีส่วนร่วมกับโครงการปืนใหญ่ล้วนไม่มีใครออกท่าทางเกินงาม


เหล่าขุนพลเริ่มสัมผัสได้… ปืนใหญ่สิบกระบอกที่วางเรียงรายบนกำแพงเมืองอาจไม่ใช่รุ่นที่ดีที่สุด


‘ยังมีกระบอกที่เจ๋งกว่านี้อยู่อีกหรือ?’


‘อย่าบอกนะว่าปืนใหญ่เกรดเลเจนดารี…?’


“…!”


บนกำแพงเมืองเรย์ดัน กริดและสมาชิกระดับขุนพลกำลังยืนรวมตัวกันเพื่อรอชมผลลัพธ์ของปืนใหญ่ แต่ทันใดนั้น สีหน้าทุกคนพลันเบิกโพลง


กลิ่นสุราโชยฟุ้งเตะจมูก ชายที่มีสภาพไม่ต่างจากขอทานวิ่งปรี่ออกจากกลุ่มทหารจักรวรรดิด้วยความเร็วสูง


กริดทราบทันทีว่ามันคือใคร


“ดยุคแห่งสุรา…!”


ฉึบ—


มันกระโจนลอยขึ้นไปในอากาศ


เพียงพริบตา ร่างของดยุคแห่งสุราก็พุ่งถึงด้านบนกำแพงเมืองเรย์ดัน เป้าหมายแรกของมันคือปืนใหญ่ทั้งสิบกระบอกที่วางเรียงราย


ดีวอสลงมือโจมตีไม่รีรอ


เปรี้ยง—


โทบันยกโล่ขึ้นปัดป้องได้ทันการ


“แค่ก!”


โทบันที่ใช้บัฟเสริมแกร่งหลายชนิดรวมถึงทักษะป้องกันระดับสูงสุด สภาพของมันปางตายทันทีหลังจากรับการโจมตีเข้าไปเพียงหนึ่งครั้ง


โทบันทรุดคุกเข่าด้วยใบหน้าขาวซีด


ดีวอสไม่หันไปมอง มันลงมือเล็งโจมตีใส่ปืนใหญ่ทั้งสิบกระบอกอีกครั้ง


ฟุ่บ ฟุ่บ!


ทันใดนั้น แสงการโจมตีปริศนาพุ่งเข้าหาดยุคแห่งสุราจากสองทิศทาง


เมื่อสัมผัสถึงภัยคุกคาม มันรีบโยกตัวหลบตามสัญชาตญาณ ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงถูกปลายดาบและจอบแทงเฉียดถากออกไปเพียงเล็กน้อย


“…อะไรกัน?”


ขอทานรีบหันไปสบตากับชาวนาปริศนาที่โจมตีเข้าใส่ สีหน้าของดีวอสกำลังตื่นตระหนกราวกับได้เห็นผี


ดยุคแห่งสุราตกใจจนภาวะมึนเมาสลายไป


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน

ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,403

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/


Comments

  1. ชาวนาในตำนาน​👍

    ReplyDelete
  2. ท่าความตายที่ถูกลิขิตของปิอาโร่นี่จะยังอยู่ไหมนะ

    ReplyDelete
  3. นี่แหละนักทำลายสามัญสำนึกของจริง😤😤

    ReplyDelete
  4. น้องชายโรสกำลังจะตาย . . . ก็ตายไปสื

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00