จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1019
< ศีรษะหมึกยักษ์เด้งดึ๋ง >
เกรด : ยูนีค
ความคงทน : 120/120
พลังป้องกัน : 250
* สามารถส่องแสงในที่สว่าง บดบังการมองเห็นของศัตรูได้ชั่วขณะ
* เนื่องด้วยผิวหนังที่มันลื่น การโจมตีทางกายภาพจึงสูญเสียพลังทำลายไป 19% และจะลดลงอีก 20% หากเป็นการโจมตีประเภทแทงและฟัน
* หากสัมผัสน้ำ ขนาดของมันจะขยายขึ้น รวมถึงพลังป้องกันที่เพิ่มขึ้น ยิ่งท่านดื่มน้ำมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดี ขนาดสามารถขยายได้สูงสุด 35%
เป็นส่วนหัวของหมึกยักษ์ส่องแสงที่อาศัยในทะเลแดง เมื่อสวมใส่ บุคคลศีรษะล้านจะเกิดความรู้สึกนุ่มสบายเป็นพิเศษ
เงื่อนไขสวมใส่ : ไม่มีเส้นผม
น้ำหนัก : 80
“เป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากแวนเนอร์”
“หุบปาก!”
“ไม่เอาน่า”
“ฉ…ฉันไม่ใส่เด็ดขาด! ให้ตายก็ไม่ใส่! น่าขยะแขยงจะตายไป”
ย้อนกลับไปก่อนหน้า หลังจากกริดและแค็ทซ์ได้ยินเสียงเอะอะบนดาดฟ้าเรือ สองหนุ่มจึงรีบขึ้นมาสำรวจสถานการณ์
ฉากที่พบเห็นคือหมึกยักษ์กำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ ผิวหนังถูกปอกลอกอย่างทรมาน พลังทำลายออร่าของฮูเร็นนั้นน่าทึ่งมาก
แค็ทซ์เอ่ยปากขอร้องพวกพ้องทันที มันหวังโซโล่หมึกตัวนี้และเป็นคนลงมือปิดฉาก นั่นก็เพื่อสั่งสมค่าประสบการณ์ให้ดาบเล่มใหม่
แต่ด้วยความที่ ‘ดาบเสือขาวกระหายเลือด’ ยังเป็นเกรดทั่วไปและไม่ถูกเสริมแกร่ง พลังโจมตีจึงน้อยจนสร้างความเสียหายให้หมึกยักษ์แทบไม่ได้เลย แต่ท้ายที่สุด แค็ทซ์ก็บรรลุความตั้งใจของตัวเองสำเร็จ
อาศัยความถึกทนและธรรมชาติการยื้อชีวิตของนักรบโลหิต แค็ทซ์ยืดเวลาต่อสู้หมึกยักษ์ออกไปให้ยาวนานที่สุด จนกระทั่งดาบเสือขาวเล่มใหม่สั่งสมค่าประสบการณ์เพิ่มหลายระดับ
ไอเท็มดรอปจากหมึกมีสองชิ้น ประกอบด้วย ‘ศีรษะหมึกยักษ์เด้งดึ๋ง’ และ ‘หนวดหมึกยักษ์ที่ดูน่าอร่อย’
<หนวดหมึกยักษ์ที่ดูน่าอร่อย>
หนวดอันเหนียวนุ่มของหมึกยักษ์ส่องแสง
* เมื่อกินแบบดิบ มีโอกาสเล็กน้อยที่จะเกิดภาวะอาหารเป็นพิษ หากรอดพ้น จะมีโอกาสปานกลางที่จะเพิ่มค่าสถานะ 0.5 แต้ม และโอกาสเล็กน้อยที่จะเพิ่มค่าสถานะ 1 แต้ม
(ไม่เพิ่มค่าสถานะพิเศษเด็ดขาด)
แค็ทซ์และฮูเร็นได้รับหนวดหมึกยักษ์ส่องแสงมาคนละข้าง สามารถแบ่งให้บุคคลทั้งสิบสองทานอย่างลงตัว ประกอบด้วยสิบวีรชนฯ กริด และฮูเร็น
แต่เป็นโชคดีอย่างเหลือเชื่อ เกือบทุกคนได้รับค่าสถานะ 1 แต้มแบบสุ่ม
[ท่านเกิดภาวะอาหารเป็นพิษ]
[ท่านต้านทาน]
มีเพียงกริดเท่านั้น… ที่อด
“เกมหัวค*ย…”
ค่าความโชคดีมัวทำอะไรอยู่?
คิดจะอู้งานรึไง?
“…”
บนเรือซึ่งกำลังแล่นผ่านท้องทะเลแดง กริดกำลังนั่งซึมที่มุมห้อง พวกพ้องที่เหลือต่างจ้องมองด้วยสายตาสมเพช
ซ่าาา!!
ขณะฝ่าคลื่นทะเลเกรี้ยวกราด ปลาปักเป้าได้โดดขึ้นมาโจมตีใส่เรือ
แค็ทซ์ซึ่งกำลังต้องการสั่งสมค่าประสบการณ์ดาบเสือขาว นัยน์ตามันพลันเปล่งประกาย มุมปากอมยิ้มอย่างมีความสุข
“มายาร่ายรำสะพรั่ง! สะพรั่งทำลายล้างร่ายรำสังหาร! ดาบพินาศทัพหนึ่งแสน!! @#$#!”
ก่อนแค็ทซ์จะได้ชักดาบ ปลาปักเป้าผู้โชคร้ายอันตรธานหายกลายเป็นเพียงเศษฝุ่น
มันถูกใช้เป็นเป้าระบายโทสะของกริด
ทันใดนั้น ดวงตาฮูเร็นพลันเบิกโพลง
‘เราใช้เวลาตั้งนานกว่าจะกำราบหมึกยักษ์ส่องแสงได้…’
เป็นอย่างที่คิด ตัวเรานั้นแสนกระจอก…
ถึงคราวฮูเร็นนั่งซึมที่มุมห้องบ้าง
อีกไม่นาน เรือลำนี้ก็จะแล่นถึงโบราณสถานเทพสงคราม
***
ฮือออออ—
อ๊ากกกกกกก—
การเซ่นสังเวยดวงวิญญาณมนุษย์มากมายเช่นนี้จะก่อให้เกิดบาปหนักหนาขนาดไหนกัน?
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรม ‘ประตู’ บานหนึ่งถูกเปิดออกจากความว่างเปล่าพร้อมกับใบหน้ามนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนอัดแน่นภายใน
หลายร้อย หลายพันใบหน้า เพศและวัยอาจแตกต่างกัน แต่มีหนึ่งสิ่งที่ทุกใบหน้ามีร่วมกัน
ฮืออออ—!
อ๊ากกกกก—!
เสียงกรีดร้องอันโหยหวนและทรมาน
“อุแหวะ…!”
ภาพเหตุการณ์ประหลาดส่งผลให้ใครหลายคนพลันเปลี่ยนสีหน้า บางคนก้มตัวลงกับพื้นพลางอ้วกอาเจียนด้วยท่าทีขยะแขยง
กองทัพอาเรสที่เคยมองจอมอสูรเป็นเพียง ‘อีเวนต์’ แสนสนุก ทุกคนกลับหน้าถอดสีตั้งแต่ยังไม่เริ่มสู้
“จอมอสูรที่โอเวอร์เกียร์ล่ามีลำดับเพียง 32 แต่ตนนี้มีลำดับถึง 22 อาจทรงพลังกว่ากันถึงครึ่งต่อครึ่ง แล้วพวกเราจะสู้ไหวหรือ?”
โอเอซิสกล่าวขณะเหงื่อเย็นเฉียบผุดข้างแก้ม นัยน์ตาของมันยังคงจดจ้องประตูบานที่มีใบหน้ามนุษย์นับพันแหกปากกรีดร้อง
ทันใดนั้น สิ่งมีชีวิตประหลาดปรากฏตัวจากประตูมิติ เหนือศีรษะสวมมงกุฎทองอร่ามเก่าแก่ซึ่งบ่งบอกอายุขัยอันยาวนานของสิ่งมีชีวิตตนนี้
มันกำลังขี่ม้าปีศาจ เบ้าตากลวงโบ๋ปราศจากดวงตากายภาพ ผิวหนังสีแดงฉานดุจดังเนื้อที่แขวนตามเขียงหมู ศีรษะม่วงคล้ำคล้ายกับสีของปอดเน่า
รูปร่างผอมบางและไม่สูงมาก แต่ส่วนลำตัวกลับยาวผิดแผก กระดูกซี่โครงมีราวห้าสิบท่อนเห็นจะได้
ต่อให้ไม่ใช้นามจอมอสูรเพื่อข่มขู่ ลำพังรูปลักษณ์ก็มากพอจะทำให้มนุษย์ทุกคนที่พบเห็นมีอันอกสั่นขวัญแขวน
“นายกลับไปก่อน”
“เอ๋…?”
มันไม่ต้องการคนขลาดเขลา
ฝ่ามือที่ใหญ่และหยาบกร้านของอาเรสทำการผลักโอเอซิสซึ่งกำลังสั่นระริกเซถอยหลัง ทันใดนั้น สุมาเต็กโชคว้าร่างโอเอซิสไว้พร้อมกับร่ายมนตร์หายตัวไปจากสนามรบ
อาเรสอมยิ้มขื่นขม มันยังจดจำบทสนทนากับสุมาเต็กโซได้แม่นยำ
“ขวัญกำลังใจและความโอหังถือเป็นสองสิ่งที่แตกต่างและมีเส้นกั้นแบ่งเพียงบางเบา กองทัพฝ่าบาทอาจแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่แกร่งไปกว่าโอเวอร์เกียร์ อย่าว่าแต่จักรวรรดิเลย
“สาเหตุเพราะ ทหารที่ไม่เคยพานพบความพ่ายแพ้ จะสร้างภาวะทระนงตนและโอหังจอมปลอมขึ้นในใจ กองทัพฝ่าบาทจำเป็นต้องเผชิญความล่มจมอย่างแสนสาหัสสักหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย”
“จำเป็นขนาดนั้นเชียว?”
“นี่คือหลักพิชัยสงคราม ความพ่ายแพ้และเรียนรู้คือส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง ในเมื่อพวกเรามิอาจขัดขวางพิธีกรรมอัญเชิญจอมอสูรไปได้ตลอดรอดฝั่ง ก็จงใช้มันเป็นเครื่องมือในการสอนสั่งทหารให้เผชิญความพ่ายแพ้และเกิดภาวะหลาบจำ นั่นคือการพัฒนากองทัพรูปแบบหนึ่ง”
“…นายจะบอกให้ฉันเอาชีวิตพวกพ้องไปทิ้งอย่างสูญเปล่า? ถึงท่านเสนาธิการจะหลักแหลมเพียงใด แต่ครั้งนี้คงมิอาจกระทำตามได้… วัลฮัลล่าจะไม่เข้าร่วมศึกกับจอมอสูรเด็ดขาด”
“ฝ่าบาทลองไตร่ตรองให้ดี ศึกในหนนี้จำเป็นต่อกองทัพวัลฮัลล่าอย่างมาก มันจะมอบบทเรียนแสนล้ำค่าให้พวกพ้องของท่าน
“ไม่เพียงกองทัพวัลฮัลล่าจะเติบใหญ่อย่างเกรียงไกร แต่ยังจะสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังไปทั่วทวีป…
“หากหาญกล้าต่อกรกับจอมอสูร โบสถ์รีเบคก้าจะชื่นชอบและสนับสนุนกองทัพของท่านไปตลอดกาล หากเสียสละตนเองเพื่อทวีป ชาวเมืองทุกคนจะมอบหัวใจให้แก่กองทัพของท่าน”
“…แต่นั่นเป็นการทรยศพวกพ้อง”
“ผิดแล้ว มันคือการมอบบทเรียน หาใช่ทรยศ คุณธรรมส่วนมากมักมาในรูปแบบยาขมที่ยากแก่การดื่ม”
“…ฉันทราบดี แต่จากที่สำรวจ ทหารของฉันก็มิได้โอหังหรือติดประมาทขนาดนั้น ทุกคนล้วนตระหนักดีว่ากองทัพเรายังอ่อนแอกว่าโอเวอร์เกียร์…
“ในทางกลับกัน ฉันก็ไม่เชื่อว่าพวกเราจะเสร็จจอมอสูรได้ง่ายนัก… เข้าใจแล้ว วัลฮัลล่าจะยกทัพปราบจอมอสูรที่ถูกอัญเชิญและคว้าชัยชนะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่”
อาเรสถูกโน้มน้าวสำเร็จ
มันไม่เห็นด้วยกับแผน ‘สยบความโอหังโดยใช้ความสูญเสียเข้าแลก’ แต่อาเรสก็ปรารถนาที่จะสร้างความดีความชอบให้โบสถ์รีเบคก้าและทวีปตะวันตก หรือหากมีโชคช่วยสักเล็กน้อย พวกมันอาจเอาชนะจอมอสูรและได้ครองสมบัติล้ำค่า
กึก!
อาเรสก้าวเท้าออกไปด้านหน้าพร้อมกับเปล่งเสียงปลุกใจกองทัพ
“ทุกคนมาสนุกไปด้วยกันเถอะ!”
จอมอสูรงั้นหรือ… ช่างแม่มสิ!
“ลุย!”
อาเรสเชื่อมั่นในพวกพ้องและบริวาร
“จงแสดงให้โลกได้เห็น… ว่าพวกเราก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้โอเวอร์เกียร์!!”
จอมอสูรกำลังถูกท้าทาย
ซู่ววว—
บัฟเสียงคำรามของเทพสงคราม·อาเรส ได้ห่อหุ้มโอบกอดทหารทุกนายบนสนามรบ ก่อเกิดเสียงเอฟเฟคคล้ายสายฝนโหมกระหน่ำ
มิตรที่ได้ยินจะฮึกเหิมและแข็งแกร่ง ศัตรูที่ได้ยินจะอ่อนแรงและเหนื่อยล้า แต่ศัตรูในครานี้เป็นถึงจอมอสูร·เฟย์ริส ลำดับยี่สิบสอง
ยังไม่จบแค่นั้น
“มาร่วมมือกันสักตั้ง… ถึงไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไรก็ตาม”
หลังจากสันตะปาปาดาเมี่ยนแจกบัฟซ้ำให้พวกพ้องทุกคนในบริเวณ กองทัพรีเบคก้าและกองทัพอาเรสต่างเข้าสู่ภาวะพร้อมรบสุดขีด
กล้องถ่ายทอดสดหลายร้อยตัวกำลังจับภาพจากจุดไม่ห่างออกไป สีหน้าของมวลหมู่ทหารอาเรสและพาลาดินรีเบคก้ากำลังคมเข้มฮึกเหิม
ถัดมาเป็นการบุกตะลุยเต็มกำลัง
ในฐานะผู้รับบทเด่นของศึกล้มจอมอสูร การโจมตีทั้งหมดต้องกระทำในตอนที่บัฟทุกชนิดกำลังซ้อนทับสูงสุด
ซู่วววว—
ทักษะท่าไม้ตายของแต่ละคนถูกปลดปล่อยอย่างไม่หวงแหน ระยะหน่วงท่าใหญ่ของตัวเองเริ่มแสดงขึ้นที่มุมสายตาผู้เล่นทุกคนบนสนามรบ
ในทางสามัญสำนึก แม้แต่จอมอสูรก็คงไม่ปลอดภัยหากถูกผู้เล่นหลายร้อยรุมโจมตีด้วยท่าไม้ตายในสภาพบัฟครบเช่นนี้
ผู้ชมทางบ้านต่างกำลังอิจฉาที่กองทัพอาเรสและโบสถ์รีเบคก้ากำลังจะได้ครอบครองไอเท็มดรอปจอมอสูรเหมือนกับกิลด์โอเวอร์เกียร์ในอดีต หลายคนหยิบป๊อปคอร์นขึ้นมากินด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจ
ทว่า
“เหล่าสุภาพบุรุษทั้งหลาย… ผมมิใช่ศัตรูของมวลมนุษย์ หากแต่เป็นมิตรสหาย”
เฟย์ริสกวาดสายตามองกองทัพอาเรสและโบสถ์รีเบคก้าเบ้าตาสีดำที่ส่องแสงจันทร์โค้ง
เหตุการณ์น่าเหลือเชื่อพลันอุบัติ
[จอมอสูร·เฟย์ริสกลายเป็นมิตร]
ชื่อเหนือศีรษะของเฟย์ริสที่เคยมีสีทองเข้ม ยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวใบหญ้า ซึ่งหมายถึงความเป็นฝ่ายเดียวกัน
คล้ายคลึงระบบป้องกันการทำร้ายพวกพ้องในภารกิจบางประเภท
“เอ๋…?”
คลื่นพลังจากทักษะไม้ตายของผู้เล่นและทหารทุกคนพลันสลายไปราวกับไม่เคยมีตัวตน ไม่ว่าจะเป็นกองทัพอาเรสหรือโบสถ์รีเบคก้า เวทมนตร์และทักษะใหญ่ทุกชนิดถูกยกเลิกกลางคันในจังหวะสำคัญ
เหลือเพียงผลเจือจางจากทักษะบางชนิดที่ไม่สนใจมิตรหรือศัตรู
“ฝ่ายเดียวกับมนุษย์?”
ดาเมี่ยนเอ่ยปากถามแทนคนที่ยังตกตะลึง
“ถูกต้อง”
เฟย์ริสเกาศีรษะพลางมอบคำตอบ ขัดแย้งกับท่าทีก่อนหน้า น้ำเสียงของมันลุ่มลึกนุ่มนวล
“ผมมิได้รังเกียจมนุษย์ ‘พวกเรา’ ต่างเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาเหมือนๆ กัน ตัวผมมิได้แตกต่างจากมนุษย์สักเท่าไร”
“…!?”
มีความไม่สมเหตุสมผลแฝงไว้ในถ้อยคำของมันมากมาย
เมื่อสิ้นเสียงประกาศของเฟย์ริส เหล่าสาวกยาธานต่างพากันสับสนโกลาหล
แต่ไหนแต่ไรมา ประวัติศาสตร์ของทวีปได้ถูกจารึกไว้บ่อยครั้ง ว่าวิหารยาธานมีเป้าหมายเพื่ออัญเชิญจอมอสูรให้ขึ้นมาทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์และปกครองดินแดนเสียเอง นั่นก็เพื่อสร้างฐานที่มั่นคงสำหรับทำสงครามกับเทพ
คำประกาศของเฟย์ริสจึงทำให้สาวกยาธานฉงนไม่น้อย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“บางที จอมอสูรอาจไม่ใช่ศัตรูก็ได้”
เป็นการยากที่จะให้ทหารกองทัพอาเรสและกองทัพรีเบคก้าเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน
ในเมื่อ ‘ระบบ’ ระบุชัดเจนว่าเฟย์ริสเป็นมิตร จึงค่อนข้างยากที่จะให้มองเป็นคำลวง
ทันใดนั้น เฟย์ริสทำการก้มศีรษะม่วงคล้ำที่สีเหมือนกับปอดเน่าของตนลง
“ผมเข้าใจว่าเป็นการยากที่จะเชื่อ ท่าทีของผมคงแปลกประหลาดในสายตามนุษย์ นี่คือเวรกรรมที่ตัวผมสวมควรได้รับแล้ว จอมอสูรเคยก่อบาปต่อมนุษย์ไว้มาก ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวนอกจาก ผมขอแสดงความเสียใจต่อการกระทำของพวกพ้องในอดีต”
“…!”
ทุกคนต่างพากันทึ่ง
เฟย์ริสที่เป็นจอมอสูรกำลังก้มศีรษะคำนับอย่างนอบน้อม แม้กระทั่งผู้ชมทางบ้านทั่วโลกก็รู้สึกแบบเดียวกัน
จอมอสูรประกาศตัวว่าอยู่ฝ่ายมนุษย์และสำนึกในบาปที่พวกพ้องของตนเคยก่อ?
เป็นภาพที่เหลือเชื่อเกินกว่าจะจินตนาการ
เป็นความประหลาดพิสดารที่ไม่มีใครเคยพบเจอมาก่อน
ขณะเดียวกัน… ท่ามกลางวังวนความสับสนของผู้เล่นและผู้ชมทั่วโลก
“... $# ^% #”
เฟย์ริสซึ่งกำลังก้มหน้าได้เปล่งถ้อยคำที่ไม่มีใครเข้าใจ สุ้มเสียงปริศนาเริ่มกระตุ้นความหวาดกลัวของมนุษย์เข้าไปจนถึงแก่นแท้วิญญาณ
ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า นี่คงเป็นคาถาหรือมนตร์ดำอันตรายบางชนิด
เฟย์ริสเงยหน้าขึ้นพลางแสยะยิ้มชั่วร้าย
“มนุษย์ช่างโง่เขลาเหมือนกับข่าวลือไม่มีผิด”
สีชื่อตัวละครของเฟย์ริสที่เคยเขียวเหมือนใบหญ้า ปัจจุบันกลับกลายเป็นสีทองเข้มดังเดิม
[เฟย์ริสไม่ใช่ฝ่ายเดียวกันอีกต่อไป!]
ข้อความระบบจำแนกให้จอมอสูร·เฟย์ริส กลายเป็นศัตรูของกองทัพอีกคำรบ
“อะไรกัน…!”
อาเรส ดาเมี่ยน และพวกพ้องทุกคนต่างพากันทึ่ง ทักษะด้านป้องกันนานับชนิดถูกใช้เพื่อขจัดภัยอันตรายที่อาจพุ่งเข้าหา
ม้าปีศาจของเฟย์ริสพลันยกสองขาหน้าขึ้นสูง
และสิ่งที่ตามมาคือ…
ครืนนนนน—
ผืนปฐพีสั่นสะเทือนรุนแรง เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นวงกว้าง แผ่กระจายออกไปทุกทิศทางทั่วสนามรบ
พื้นดินเริ่มแยกออกจากกัน เศษหินน้อยใหญ่ถูกป่นเป็นผงในพริบตา
ท่ามกลางบรรยากาศสุดปั่นป่วน
เปรี้ยง—!
ซู่วววว—
พลังเวทของเฟย์ริสก่อให้เกิดพายุหมุนวนอันเกรี้ยวกราดขนาดมหึมา เป็นพายุสลาตันสีทองสลับเงิน
ฟ้าวววว—
กองทัพอาเรสและรีเบคก้าต่างได้รับความฉิบหายกันถ้วนหน้า จากบัฟที่เหลืออยู่เพียงไม่มาก ลำพังทหารจึงมิอาจทนทานต่อพายุเวทมนตร์ที่ทรงพลังขนาดนี้ได้
[ท่านได้รับบาดเจ็บรุนแรง]
[ท่านได้รับความเสียหายในคราวเดียวรุนแรงเกินไป ท่านตกอยู่ในอาการมึนงงชั่วขณะ]
[บาดแผลของท่านเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นโลหะ]
[ผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก และเลือดของท่านเริ่มแข็งตัว]
“อ๊ากกกกกกก!!”
บ้างเป็นแขน บ้างเป็นขา บ้างเป็นใบหน้า และบ้างเป็นร่างกาย อวัยวะบางส่วนของทหารแต่ละคนถูกเปลี่ยนให้เป็นโลหะแข็ง
น้ำหนักร่างกายเพิ่มขึ้นราวกับถูกตะกั่วถ่วงแข้งขาไว้ การขยับตัวเป็นไปอย่างยากลำบาก
ใครที่ดวงตากลายเป็นโลหะ มันจะตาบอด ใครที่ปากและจมูกกลายเป็นโลหะ มันจะขาดอากาศหายใจ ใครที่หัวใจกลายเป็นโลหะ มันจะเสียชีวิตในพริบตา
นอกเหนือความเจ็บปวด ความหวาดกลัวนั้นรุนแรงกว่ามาก
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างทรมานของเหล่าทหาร
“เหมือนกับมดปลวกไม่มีผิด… ช่างเหมาะกับมนุษย์ซะจริง”
จอมอสูร·เฟย์ริสแสยะยิ้มชั่วร้าย
คำโป้ปดของมันลวงหลอกได้แม้กระทั่ง ‘ระบบ’
ตัวตนเฟย์ริสแตกต่างจากบีเลียลในอดีตมาก ลำพังมันสามารถปั่นป่วนมวลมนุษย์ให้เผชิญความฉิบหายฉับพลัน
…แต่มีอยู่หนึ่งคน
“เฟย์ริส!”
องค์ชายเบนัวต์
“จากพันธสัญญาผู้อัญเชิญ เจ้าต้องทำความปรารถนาของเราให้เป็นจริงหนึ่งข้อ!”
มันไม่สนว่าผู้คนกำลังหวาดกลัวและเจ็บปวด มันไม่สนว่าอนาคตของมนุษยชาติกำลังดำดิ่งสู่ความสิ้นหวัง เบนัวต์มิได้แยแสสักนิด
มันต้องการทราบเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
“บุคคลที่สังหารมารดาเราใช่จักรพรรดินีแมรี่หรือไม่?”
“ถูกต้อง… ด้วยยาพิษ”
เฟย์ริสก้มลงเก็บก้อนกรวดใต้ฝ่าเท้าด้วยมาดสุขุม ก่อนจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง
นี่คือความสุดยอดของศาสตร์แปรธาตุ ซึ่งเฟย์ริสได้แสดงสิ่งที่เหนือจินตนาการไปก่อนหน้าแล้ว
“พิษที่ใช้ รวมถึงรายชื่อของบุคคลที่ให้ความร่วมมือกับหล่อน ทั้งหมดถูกเขียนไว้ในกระดาษแผ่นนี้แล้ว”
ฟ้าววว
กระดาษลอยไปเข้ามือเบนัวต์อย่างนุ่มนวล
หลังจากอ่านจบ แววตาขององค์ชายเบนัวต์พลันอัดแน่นด้วยจิตสังหารและความเคียดแค้น
นี่คือจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นองเลือด ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างสยดสยองกับราชวงศ์ซาฮารันในอนาคต… เหตุการณ์หนี้เลือดมรณะ
แต่การกระทำของเบนัวต์มิใช่สิ่งที่ผู้เล่นทั่วไปควรให้ความสนใจ
『 จอมอสูรลำดับ 22 · เฟย์ริสเริ่มล้างบางกองทัพอาเรสแล้วครับ…! 』
ผู้คนกำลังรับชมถ่ายทอดสดสงครามนองเลือดที่หดหู่สิ้นหวัง ศพแล้วศพเล่าผ่านไปอย่างอำมหิตสยดสยอง
คำโป้ปดเพียงครั้งเดียวได้พลิกกระแสสงครามและยื้อเวลาบัฟของฝ่ายสองกองทัพจนหมดลง แถมท่าไม้ตายยังถูกเผาผลาญทิ้งอย่างสูญเปล่า อำนาจเวทแปรธาตุที่อยู่เหนือหลักวิทยาศาสตร์
โลหะถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่า
โลหะที่เคยมีถูกสลายกลับสู่ความว่างเปล่า
ไม่ใช่ ‘อีเวนต์’ สำหรับเฉลิมฉลองเลยสักนิด
ราวกับพวกมันได้รับชมฉากจบของทวีปตะวันตก ผู้ชมทางบ้านต่างพากันหวาดผวาและกังวลถึงอนาคตวันข้างหน้าอันเลือนราง
เล่นลิ้นจัดจอมอสูรตนนี้
ReplyDelete