จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1020



ในวินาทีที่เรือแล่นเข้าสู่ทะเลแดง การสื่อสารทางไกลเกือบทุกชนิดล้วนถูกตัดขาด ไม่ว่าจะเป็นข้อความเสียงส่วนตัว หรือกระทั่งเวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติระยะไกล


แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์ก็ยังทราบข่าวการรุกรานโลกของจอมอสูรเฟย์ริส


[จอมอสูรลำดับ 22 · เฟย์ริส ปรากฏตัว ณ ที่ใดสักแห่งบนทวีปตะวันตก!]


ต้องขอบคุณข้อความโลก


กริดทราบดีว่าจอมอสูรนั้นเก่งกาจเพียงใด ด้านสิบวีรชนฯ ก็ไม่ต่าง พวกมันล้วนยืนตกตะลึงด้วยสีหน้าดำมืด


หากจุดที่จอมอสูรปรากฏเป็นอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ทุกสิ่งที่สั่งสมอย่างยากลำบากคงถึงคราวพินาศสิ้น


ไม่ใช่เรื่องผิดหากคิดหันหัวเรือกลับเสียตั้งแต่ตอนนี้ …แต่ทันใดนั้น ใครบางคนเห็นต่าง


ลอเอลพยายามสงบสติทุกคน


“ฉันเคยคุยเรื่องนี้กับดาเมี่ยนมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่พวกวิหารยาธานจะเริ่มทำพิธี”


ดาเมี่ยนกล่าวไว้อย่างหนักแน่นว่า :


หากโบสถ์รีเบคก้ามิอาจหยุดยั้งการอัญเชิญจอมอสูรได้ ก็ต้องให้เกิดขึ้นในจุดที่ห่างไกลอาณาจักรโอเวอร์เกียร์มากที่สุด


ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะดาเมี่ยนได้หลอกล่อกองทัพยาธานไปยังสมรภูมิที่ไกลจากอาณาจักรโอเวอร์เกียร์มาก


ทุกการกระทำของสันตะปาปาล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์โอเวอร์เกียร์เป็นที่ตั้ง …ชายคนนี้คือมิตรสหายที่น่าทึ่งของกริด


‘แต่ไม่คิดเลยว่า… โบสถ์รีเบคก้าจะขัดขวางพิธีกรรมไม่สำเร็จ’


การอัญเชิญจอมอสูรในครานี้แตกต่างจากเมื่อครั้งบีเลียลค่อนข้างมาก


การอัญเชิญบีเลียลถูกลอบทำอย่างลับๆ โดยไม่มีใครทราบข้อมูล กว่าทัพโอเวอร์เกียร์จะมาถึง เหล่าสตรีพรหมจรรย์ล้วนถูกสังหารหมดสิ้น


แต่กับเฟย์ริสนั้นไม่ใช่ พวกมันลงมือประกอบพิธีกรรมอย่างโฉ่งฉ่างใจกลางสงคราม แถมกองทัพพาลาดินและนักบวชรีเบคก้า พร้อมด้วยสามศาสตราเทพก็อยู่ไม่ห่าง


ในตอนแรกที่ได้ยินดาเมี่ยนแจ้งข่าว ลอเอลประเมินว่าโบสถ์รีเบคก้าคงหาทางหยุดยั้งพิธีกรรมไว้ได้ไม่ยากเย็น


เป้าหมายของวิหารยาธานคือการอัญเชิญจอมอสูรฉันใด เป้าหมายของโบสถ์รีเบคก้าคือการยับยั้งฉันนั้น


ในสายตาลอเอล การหยุดยั้งพิธีกรรมสามารถกระทำได้มากมายร้อยแปดวิธี


‘แต่กลับล้มเหลว… ทั้งที่รู้เห็นมาตั้งแต่เริ่มเนี่ยนะ?’


ลอเอลเกิดคำถามขึ้นมากมาย


หากโบสถ์รีเบคก้าอ่อนแอเช่นนี้จริง แล้วตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา พวกมันยับยั้งวิหารยาธานด้วยวิธีใดกัน?


หากประเมินจากขุมกำลังในปัจจุบัน รวมถึงสถานการณ์สงครามระหว่างโบสถ์รีเบคก้าและวิหารยาธานในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา จอมอสูรควรปรากฏตัวบนโลกมนุษย์อย่างต่อเนื่องตลอดหนึ่งร้อยปีให้หลัง


หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ โบสถ์รีเบคก้าถือครองความได้เปรียบวิหารมาโดยตลอด และไม่มีทางเลยที่วิหารยาธานจะสร้างความเสียหายตอบโต้สำเร็จ ไม่ต้องพูดเรื่องอัญเชิญจอมอสูร


แต่ไหนแต่ไหนมา วิหารยาธานเอาแต่หลบหนีซุกซ่อน ไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรงกับโบสถ์เสมอ


‘ถึงสาเหตุสำคัญจะเป็นเพราะ ทุกอาณาจักรในทวีปตะวันตกล้วนถือข้างโบสถ์รีเบคก้า และต่อต้านวิหารยาธานก็เถอะ…’


แต่นั่นต้องไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้โบสถ์แห่งแสงได้เปรียบแน่


‘หรือว่าจะมีพลังลับบางชนิดที่คอยค้ำจุนโบสถ์รีเบคก้ามาตลอด?’


เหตุผลค่อนข้างฟังขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว สมดุลคงไม่ถูกรักษามานานนับร้อยปี


‘ไว้ค่อยถามรายละเอียดจากดาเมี่ยนวันหลัง’


ลอเอลผนึกความคิดอันซับซ้อนไว้ สายตาหันมองผืนสมุทรอันกว้างใหญ่เบื้องหน้า


มอนสเตอร์สัตว์ทะเลทุกตัวล้วนถูกกริดและสิบวีรชนฯ กำจัดอย่างราบคาบตลอดหลายวันที่ผ่านมา


‘แค่ระหว่างเดินทางก็กำไรมากแล้ว’


ไอเท็มดรอปรวมถึงค่าประสบการณ์ของสัตว์ทะเลค่อนข้างน่าทึ่ง สิบวีรชนฯ ที่ล้มตายในยามสงครามสามารถฟื้นฟูเลเวลกลับมาเป็นระดับที่น่าพึงพอใจ


ไม่ว่าผลลัพธ์ของโครงการสำรวจโบราณสถานจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ในแง่ความหายาก มันก็คุ้มค่าแล้วที่จะลองเสี่ยง ไม่มีเหตุให้ต้องเสียใจภายหลัง


‘เลเวลกริดอัปเป็น 39 แล้ว … สถานที่เก็บเลเวลก็คงต้องเปลี่ยน’


หมายความว่าในอนาคต ทะเลแดงจะกลายเป็นจุดเก็บเลเวลของแรงเกอร์ชาวโอเวอร์เกียร์


ต้องขอบคุณแค็ทซ์ที่ควักเงินส่วนตัวซื้อเรือรบ ไม่อย่างนั้น พวกมันไม่มีทางแล่นผ่านทะเลแดงซึ่งมีมอนสเตอร์ดุร้ายและสภาพอากาศป่าเถื่อนได้ด้วยเรือธรรมดา


“ถ้าจ้องหมึกยักษ์ส่องแสงนานเกินไป ฉันจะเกิดความรู้สึกไม่อยากฆ่ามัน หมึกพวกนี้เหมือนกับพี่แวนเนอร์เกินไปหน่อย”


“…”


ปัจจุบัน แวนเนอร์กำลังสวมหมวกหมึกยักษ์เด้งดึ๋งเหนือศีรษะ


หากเป็นสถานการณ์ปรกติ มันคงตอบโต้ด้วยถ้อยคำหยาบคาย แต่คนพูดในคราวนี้คือจิสึกะ มันจึงไม่กล่าวสิ่งใดต่อ …ทว่า


“จริงด้วย”


ยูร่าเสริม


หากประเมินจากบุคลิกและอุปนิสัย ยูร่าคงไม่ได้คิดซ้ำเติมแวนเนอร์ เพียงแต่ตอบด้วยอารมณ์ห่วงใยเสียมากกว่า …และด้วยเหตุนี้


“…”


แวนเนอร์มิอาจต่อว่าเธอได้


‘เริ่มสนิทกันแล้วสินะ’


กริดเฝ้ามองเหตุการณ์พลางอมยิ้ม


ในมุมมองชายหนุ่ม ผลด้านบวกที่น่าพึงพอใจที่สุดของการเดินทางครั้งนี้ ไม่ใช่ไอเท็มหรือค่าประสบการณ์ แต่เป็นสายสัมพันธ์พวกพ้อง


ยูร่าที่ไม่เคยสนิทกับใครอย่างจริงจังมาก่อน เมื่อลงเรือลำเดียวกัน ความสัมพันธ์กลับพัฒนาอย่างรวดเร็ว


โดยเฉพาะกับจิสึกะ ความขัดแย้งลดลงจากเดิมมากทีเดียว


“เธอคิดว่ากริดจะถือสาฉันรึเปล่า?”


มอนสเตอร์ปลาวาฬขนาดมหึมาซึ่งใหญ่กว่าหมึกยักษ์และปลาปักเป้าหลายเท่า หลังจากปาร์ตี้สิบวีรชนฯ ปราบลงได้อย่างยากลำบาก ยูร่าและจิสึกะกำลังยืนสนทนาข้างกันด้วยบรรยากาศเป็นมิตร


อาจเป็นเพราะหลงรักผู้ชายคนเดียวกัน เรื่องให้พูดคุยจึงมีมากมาย


“ยองวูชอบที่จะให้พวกพ้องหยอกล้อกันเองอย่างสนุกสนาน แต่ตัวเขาไม่ชอบที่จะกลั่นแกล้งคนอื่นสักเท่าไร”


“นั่นสินะ ทุกครั้งที่ฉันแกล้งแวนเนอร์เล่น กริดจะจ้องมองด้วยรอยยิ้มเสมอ คล้ายกับรอยยิ้มของผู้ปกครองที่เห็นพี่น้องทะเลาะกันเอง… เฮ้อ~ แบบนี้ก็เสียคะแนนกันพอดี”


แต่แน่ไหนไรมา เธอต้องการให้กริดมองตนเป็นเพศตรงข้ามมากกว่าเพื่อนสนิท ทว่า ยิ่งเวลาผ่านไป กริดก็ยิ่งมองจิสึกะเป็นเหมือนคนในครอบครัว เฉกเช่นน้องสาวหรือลูกสาว


...ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ตลอด?


“ไอ้แวนเนอร์หัวค*ย… นายมันอัปลักษณ์!”


“ฉันอะไรนะ?”


“ไอ้หัวปลาหมึก! ทุกครั้งที่หมึกยักษ์โผล่ออกมาคู่กัน ฉันจะขำท้องแข็งจนเลือกยิงไม่ถูกเสมอ!”


“…”


จิสึกะยกระดับการกลั่นแกล้งให้รุนแรงกว่าเดิมเพื่อระบายความหงุดหงิด ซึ่งแน่นอน แวนเนอร์แทบหลั่งน้ำตา มันมิอาจตอบโต้เธอได้ด้วยประการทั้งปวง


หลังจากเงียบงันครุ่นคิดอยู่สักพัก ยูร่ากำลังมีสีหน้ากังวล ใจหนึ่งก็ต้องการให้กำลังใจอีกฝ่าย แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากทำ เพราะการทำให้จิสึกะฮึกเหิมย่อมไม่เป็นผลดีกับตัวเธอ


แต่เพื่อความยุติธรรม ยูร่าตัดสินใจกล่าวออกไปตามความรู้สึก


“คนที่ยองวูรู้สึกเหมือนเพื่อนคือฉันต่างหาก ไม่ใช่เธอ เขาจ้องมองพวกเราด้วยสายตาที่แตกต่างกัน ทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว ดังนั้น เธอไม่ต้องหงุดหงิดแล้วไปลงกับพี่แวนเนอร์”


“ช่ายแล้น~ แค่หน้าอกจิสึกะก็กินขาด”


ขณะสองสาวให้กำลังใจกันและกัน แวนเนอร์กล่าวแทรกจนฝ่ายผู้ชายต่างส่งเสียงขบขัน


ยูร่าที่สุขุมและอ่อนโยนตลอดเวลา หล่อนพลันกำหมัดแน่นพร้อมกับขบกราม


ถ้อยคำถูกเค้นจากปากด้วยเสียงค่อย เจือปนจิตสังหารไว้หลายส่วน


“มิสเตอร์แวนเนอร์ มาดวลกันหน่อยไหม?”


“…ฉันขอโทษ”


คงมีเพียงความพ่ายรออยู่


คู่ต่อสู้เป็นถึงเจ้าของเหรียญเงินรายการ PVP ซาทิสฟายนานาชาติปีล่าสุด


แม้จะผ่านมาหลายเดือน แต่ความทรงจำแวนเนอร์ยังคงแจ่มแจ้งชัดเจน


หุ่นยักษ์สีขาวที่มีชื่อเรียบง่าย


ยูร่าต่อสู้อย่างดุดันกับซีบาลที่บังคับจักรกลเวทมนตร์สุดโกงซึ่งมีพลังโจมตีและความถึกทนสูงกว่าผู้เล่นมาก


การแข่งดำเนินไปอย่างเหนือความคาดหมายทุกฝ่าย คนส่วนมากต่างคิดว่ายูร่าจะแพ้ราบคาบตั้งแต่ไก่โห่ …แต่ในความเป็นจริง ซีบาลต้องงัดเปกาซัสออกมาลดทอนปริมาณมานาของเธอก่อน มันไม่ใช่ใจว่าจะใช้จักรกลเวทมนตร์เอาชนะยูร่าที่มีสภาพสมบูรณ์พร้อม


หรือก็คือ ยูร่าทรงพลังมาก


แม้แต่ในโอเวอร์เกียร์ ความแข็งแกร่งของเธอติดอันดับท็อปห้าได้สบาย ห่างไกลจากแวนเนอร์หลายขุม


แวนเนอร์รีบกระแอมพลางเบือนหน้าหนี


“ว่าแต่ จะเกิดอะไรขึ้นหากฝ่ายอื่นจัดการจอมอสูรและคว้าไอเท็มดรอปไปครอง?”


นอกจากโอเวอร์เกียร์แล้ว บนโลกยังมีอีกหลายร้อยกิลด์ที่แข็งแกร่ง ทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผยตัวตน


แต่หากนับรวมพลัง NPC เข้าไปด้วย คงยากที่จะหากิลด์ใดมาทัดเทียมโอเวอร์เกียร์


ไม่ว่าจะเป็นกองทัพอาเรส อดีตเจ็ดกิลด์ใหญ่ รวมถึงกิลด์ที่พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดขึ้นมาแทนที่เจ็ดกิลด์ใหญ่ซึ่งล่มสลาย


ถ้าแยกกันล่า แน่นอนว่าคงไม่มีฝ่ายใดปราบจอมอสูรสำเร็จ แต่หากร่วมมือกันก็ไม่แน่


“จอมอสูรตนนี้ ขอเดาว่า แค่กริด เมอร์เซเดส และปิอาโร่ก็เอาชนะได้สบาย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากท็อปแรงเกอร์หลายร้อยร่วมมือกัน? โอกาสชนะก็ยังพอมีไม่ใช่หรือ? มันดีแล้วรึไงที่ยอมปล่อยเหยื่อแสนโอชะให้เด็กพวกนั้น?”


แวนเนอร์ถามด้วยสีหน้ากังวล ด้านสิบวีรชนฯ ที่เหลือต่างก็พยักหน้าเห็นพ้อง


แต่กริดยังคงยืนกราน


“ไม่มีใครล่าได้แน่”


ประการแรก การนำค่าพลังทางกายภาพของแรงเกอร์ร้อยคนมาบวกกัน และนำไปเปรียบกับจอมอสูรนั้นเป็นวิธีคำนวณที่ผิด


ถึงพวกมันจะค่อนข้างแข็งแกร่งและมีค่าสถานะรวมกันทัดเทียมกับจอมอสูร แต่ระดับสติปัญญาและพลังพิเศษของจอมอสูรนั้นอยู่เหนือจินตนาการผู้เล่นไปมาก


ไม่เพียงเท่านั้น


“อย่าได้เอาแรงเกอร์ร้อยคนมาเทียบปิอาโร่และเมอร์เซเดส”


“…นั่นสินะ”


แวนเนอร์เกาศีรษะอย่างเคอะเขิน


ณ ปัจจุบัน ลำพังกริดอาจสังหารแรงเกอร์กว่าร้อยคนตามลำพังไม่ได้ก็จริง แต่หากเป็นปิอาโร่และเมอร์เซเดส ทั้งสองกระทำได้อย่างไร้ข้อกังขา …หลักฐานมีให้เห็นมาแล้ว


แวนเนอร์รู้สึกละอายใจที่บังอาจคิดว่าเมื่อ ‘สามเทพ’ ปราบจอมอสูรได้ ท็อปแรงเกอร์ร้อยคนก็ต้องทำได้เช่นกัน


ลอเอลอมยิ้ม


“นี่คือโอกาสอันดี ที่จะให้ทุกคนได้ลิ้มรส…”


ย้อนกลับสมัยอดีต ในวันที่กิลด์โอเวอร์เกียร์ปราบจอมอสูรบีเลียลลงได้ ทั้งโลกต่างไม่พอใจที่โอเวอร์เกียร์โชคดีได้ปราบบอสอ่อนแอตามลำพัง


แล้วพวกมันจะต้องสำนึก…


“ว่าโอเวอร์เกียร์เคยช่วยโลกไว้ครั้งหนึ่ง”


เหตุการณ์จอมอสูรอุบัติมิใช่พรจากสวรรค์ แต่เป็นมหันตภัยที่มนุษย์ต้องแลกมาด้วยความสูญเสีย


กริดไม่มีวันลืมลง ในวินาทีที่ปิอาโร่หวังปกป้องทุกคนและยอมสละชีวิตของตัวเองโดยปราศจากความลังเล


แผ่นหลังลูกผู้ชายผืนนั้น… ไม่มีใครในกิลด์ที่ไม่จดจำ



สองสามวันถัดมา


“ใกล้ถึงแล้ว!”


เป็นเสียงของกัปตันเรือ


ห่างไกลออกไป พวกมันได้เห็นเกาะขนาดใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการไว้ และที่น่าประหลาดคือ มีเพียงท้องฟ้าบนเกาะเท่านั้นที่แจ่มใสไร้พายุ


เป็นครั้งแรกของการล่องเรือในรอบสิบวัน ที่ขุนพลโอเวอร์เกียร์ได้เห็นท้องฟ้าสีครามงดงาม


ท่ามกลางทะเลแดงซึ่งมีเพียงลมพายุกระโชก มวลสายหมอกหนาแน่น รวมถึงคลื่นสมุทรสุดเกรี้ยวกราดที่พร้อมถล่มเรือให้พินาศ


[ท่านค้นพบโบราณสถานเทพสงคราม]


“มาถึงจนได้…”


“นอกจากชายฝั่งแล้ว ที่เหลือเป็นป่าหมดเลยงั้นหรือ? แถมต้นไม้ยังเรียงชิดติดกัน ดาบใหญ่คงใช้งานได้ยากแน่”


“จากประสบการณ์ส่วนตัว สาวกเทพสงครามนั้นว่องไวและปราดเปรียวมาก การต่อสู้ในป่าคงกระทำได้ยากกว่าปรกติ พวกเราควรอาศัยเขตชายฝั่งสร้างความได้เปรียบไปก่อน”


ด้านในจะมีคัมภีร์ล้ำค่ารึเปล่านะ?


สิบวีรชนฯ ผู้แสวงหาความแข็งแกร่งต่างพากันคาดหวัง


‘ถ้าเราฉวยโอกาสได้ดี ความสัมพันธ์กับจักรวรรดิอาจเพิ่มขึ้นบนเกาะแห่งนี้…’


ลอเอลกำลังครุ่นคิดถึงสถานภาพทางการเมืองเป็นหลัก …ส่วนด้านกริด


‘จะใช่ความโอหังรึเปล่านะ?’


กริดกำลังนึกสงสัยว่า ‘บาป’ ของเทพสงครามจะเป็นชนิดใดกัน


ถึงภารกิจตำนานเจ็ดนักบุญภัยพิบัติของกริดจะเริ่มต้นโดยไม่มีเทพสงครามมาเกี่ยวข้อง แต่ชายหนุ่มก็อดใคร่รู้ไม่ได้


ว่ากันว่า เทพสงครามคือเทพที่ทรงพลังที่สุด


จึงมีความเป็นไปได้มากที่บาปของเทพสงครามจะเป็น ‘บาปแห่งโอหัง’


‘คงได้ฉิบหายแน่หากต้องสู้กับเทพสงครามโดยตรง… แต่คงไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น’


อีกฝ่ายเป็นถึงเทพ มิใช่สุนัขจรจัดที่พบได้ทั่วไปตามท้องถนนสักหน่อย


***


“ไม่ได้สนุกแบบนี้มานานแล้ว”


“ฉันเองก็กำลังตื่นเต้น”


“เห็นด้วย”


เกล็นฮาล มอริส บาซาร่า


พวกมันงานยุ่งจนแทบไม่ได้หยุดพักตลอดสิบห้าวันที่ผ่านมา


ต้องคอยปกป้องสกังค์และคณะสำรวจจากสาวกเทพสงครามที่ลอบจู่โจม ต้องช่วยสกังค์ตีความและถอดรหัสภาพวาดบนผนังถ้ำ ต้องปลุกขวัญกำลังใจทหารที่เริ่มหดหู่ และต้องหาอาหารประทังชีวิตด้วยการล่าสัตว์ทะเลดุร้าย


เป็นเพราะระดับความโหดร้ายบนเกาะสูงมาก เรื่องสำคัญจึงต้องสะสางด้วยเจ็ดดยุคโดยตรง มิอาจปล่อยให้ทหารหรืออัศวินทำหน้าที่แทนได้


แต่ตรงกันข้ามกับความอ่อนล้า ทั้งสามกลับตื่นเต้นและมีดวงตาเปล่งประกาย


ประสบการณ์แสนสนุกเช่นนี้หาไม่ได้ในชีวิตประจำวันแสนจืดชืด ทุกอุปสรรคที่เผชิญบนเกาะได้กระตุ้นต่อมความกระหายจนลุกโชน


“ขอโทษครับที่เป็นตัวถ่วง…”


จำไม่ได้แล้วว่ากี่ครั้ง ที่สามดยุคเหล่านี้ช่วยชีวิตพวกมันไว้ได้อย่างฉิวเฉียด


ตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา ทีมสำรวจของสกังค์สำนึกในบุญคุณสามดยุคมาก แถมยังเสียใจที่พวกตนเป็นได้เพียงตัวถ่วง


สาเหตุเพราะ ทักษะทางโบราณคดีและทางด้านตีความของสกังค์ยังมีระดับไม่สูงพอ ส่งผลให้มิอาจไขปริศนาซับซ้อนได้ด้วยมันสมองตัวเอง


ตัวอย่างเช่นวันแรก สกังค์ทราบเพียงว่า คณะเดินทางต้องการ ‘กุญแจ’ เพื่อฝ่าวงกตป่าที่เต็มไปด้วยกับดัก ส่วนกุญแจหามาอย่างไร ตัวมันมิอาจทราบได้เลย จนถึงตอนนี้ก็ยังฝ่าด่านผืนป่าเข้าไปไม่ได้


สกังค์เอาแต่ตัดพ้อในความไร้ประโยชน์ของตัวเองเสมอ


“ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนจนกว่าจะได้เบาะแสเพิ่ม… ผมตอบไม่ได้จริงๆ”


เพื่อจะสำรวจเกาะอย่างเต็มรูปแบบแล้ว สิ่งสำคัญคือการทะลวงผ่านผืนป่าเข้าไปยังส่วนลึกด้านใน


ความยากของวงกตป่ามิได้อยู่ที่สาวกเทพสงครามเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยสำคัญคือกับดักปริมาณมหาศาล


กุญแจที่ใช้ปลดกับดักคือสิ่งจำเป็นเหนืออื่นใดทั้งหมด แต่ผ่านมาแล้วสิบห้าวัน เบาะแสเพิ่มเติมของกุญแจก็ยังไม่ปรากฏ


“อย่าได้โทษตัวเองไป จักรวรรดิกำลังส่งนักวิชาการและนักโบราณคดีตามมา พวกเขาต้องช่วยสนับสนุนคุณได้แน่”


“ขอบคุณที่ช่วยปลอบใจครับ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”


หลังจากเกล็นฮาลกล่าวให้กำลังใจ สกังค์ผ่อนคลายตัวเองด้วยการถอนหายใจยาว


แต่นั่นย่อมหมายความว่า สถานการณ์ปัจจุบันย่ำแย่ถึงขนาดที่สกังค์ผู้หลงใหลการไขปริศนา ยังต้องพึ่งพาขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น


ผ่านไปอีกหนึ่งวันอย่างสูญเปล่า



วันถัดมา


“หือ…?”


สกังค์กำลังศึกษารายละเอียดของภาพวาดผนังถ้ำที่ตนค้นพบเมื่อสองวันก่อน ขณะพยายามตีความ นัยน์ตาของมันพลันเบิกโพลงราวกับถูกฟ้าผ่า


สมาธิสกังค์พลันเพ่งมองไปยัง ‘สมุด’ ในภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังโดยไม่กะพริบ


แต่ไหนแต่ไรมา ทุกจิตรกรรมฝาผนังที่มันพบจะต้องมีรูป ‘สมุด’ อยู่ด้วยเสมอ ซึ่งสกังค์ตีความว่านั่นอาจเป็น ‘คัมภีร์’ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวพันกับเทพสงคราม


เป็นการคาดเดาที่สมเหตุสมผล เพราะที่นี่คือโบราณสถานเทพสงคราม ไม่แปลกที่ทุกคนย่อมคาดหวังคัมภีร์ลับ …แต่ดูเหมือนสมุดในภาพจะมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น


‘เราเข้าใจมาตลอดว่า สาเหตุที่สมุดมีภาพปกแตกต่างกันไป เพราะจะสื่อถึงคัมภีร์เทพสงครามที่อยู่หลายเล่ม…’


ทันใดนั้น รูปลักษณ์ของ ‘รูกุญแจ’ บนต้นไม้พลันลอยเข้ามาในห้วงความคิด


สกังค์ลองนำภาพสมุดทั้ง 7 เล่มที่มันเคยพบมาวางประกบซ้อนทับกัน …จนเกิดเป็นภาพที่สมบูรณ์ของรูกุญแจบนต้นไม้ภายในป่า


‘กุญแจแบ่งออกเป็นหลายชิ้นส่วน!’


และจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ก็หมายถึงจุดซ่อนชิ้นส่วนกุญแจ


‘เจ๋งเป้ง!’


สกังค์กำหมัดแน่นอย่างสะใจเมื่อทราบจุดประสงค์บางส่วนของจิตรกรรมฝาผนัง การหาเบาะแสในอนาคตต้องง่ายขึ้นมากแน่


ส่วนการตีความองค์ประกอบที่เหลือของภาพวาด มันเริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวังทีละนิด



▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,409
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. ค้าง~~~~
    ขอบคุณ​มาก​ครับ​👍

    ReplyDelete
  2. กริดเดินมาใช้มาสเตอร์คีย์

    ReplyDelete
    Replies
    1. ถูก ..ถูกต้วมแล้วค๊าบบบบ~

      Delete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00