จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,103



บนโลกมีผู้คนหลายประเภท ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความ ส่งผลให้การบริหารเมืองใหญ่สักแห่งเป็นเรื่องค่อนข้างยาก


วิธีรักษาระดับความพึงพอใจ บรรยากาศอบอุ่น และความปลอดภัยของเมือง สามารถทำได้โดยการติดเทคโนโลยีหรือสิ่งอำนวยความสะดวกจำนวนมากเข้าไป รวมถึงการ ขยายขนาดของเมือง เพิ่มสาธารณูปโภค


อย่างไรก็ตาม ค่าความพึงพอใจของประชากรก็สามารถลดฮวบฮาบได้ด้วยเหตุผลบ้าบอคอแตกเช่นกัน


เจ้าเมืองใหญ่จำเป็นต้องหมั่นปรับปรุงนโยบายอยู่เสมอ เพื่อให้ชาวเมืองส่วนมากเกินความพึงพอใจสูงสุดในขณะนั้น 


การปรับปรุงนโยบายส่วนใหญ่จะเป็นด้านภาษีอากร และหากมีการปรับภาษีขึ้นเพื่อนำเงินไปบริหารเมือง ประชาชนจะเกิดความไม่พอใจตามมา กระทบลามไปถึงระดับความปลอดภัยในเมือง ฉะนั้น การบริหารเมืองใหญ่จึงไม่ต่างกับเดินบนแผ่นน้ำแข็งบาง


“ปวดหัวฉิบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็หลีกหนีคำวิจารณ์ไม่พ้น”


“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีนโยบายใดสร้างความพึงพอใจแก่ประชาชนทุกคนพร้อมกันได้ หากมีคนกลุ่มใหญ่พึงพอใจ หมายความว่าจะมีคนกลุ่มน้อยกำลังเสียผลประโยชน์ ดังนั้น ไม่มีวิธีใดสามารถรักษาระดับความพึงพอใจ และระดับความปลอดภัยไว้ได้อย่างสมบูรณ์”


“แล้วทำไมตอนคริสอยู่ เมืองเรย์ดันถึงไม่เคยมีปัญหาเลยสักครั้งเดียว”


“คริสมีผู้ช่วยจำนวนมาก พวกเขาทำงานร่วมกันตั้งแต่สมัยยังเป็นกิลด์ไจแอนท์”


“ไม่ใช่แค่นั้น ลำพังฝีมือคริสก็บริหารเมืองได้เจ๋งกว่านายมาก”


“นั่นสินะ…”


“แต่ไม่ต้องน้อยใจ คริสเป็นสัตว์ประหลาด นำใครไปเทียบก็กลายเป็นผ้าขี้ริ้วหมด”


เมืองหลวงรองแห่งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ 

เรย์ดัน


เซ็ดนอส เจ้าเมืองเรย์ดันคนใหม่แทนคริส มันกำลังปวดหัวสถานหนัก


หากไกลจากคำว่าพัฒนาเมืองมาก ลำพังบริหารเมืองใหญ่เช่นนี้ให้มั่นคง เซ็ดนอสยังมองว่าเป็นเรื่องลำบาก

เรย์ดันกำลังประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างหนัก เนื่องจากชาวเมืองเกิดความไม่พอใจบ่อยครั้ง จนนำไปสู่การชุมนุมประท้วง 




ขณะนั่งในห้องประชุมรายล้อมด้วยขุนนางน้อยใหญ่จำนวนมาก มันเอาแต่ตัดพ้อว่า ตนกำลังเล่นเกมหรือทำงานอยู่กันแน่ แทบไม่มีเวลาออกไปล่ามอนสเตอร์ อันดับแรงกิ้งเริ่มถดถอยทุกขณะ


เหนื่อยบัดซบ

งานยากเกินไป แถมยังไม่สนุก


นั่นคือความรู้สึกจากส่วนลึกจิตใจเซ็ดนอส


ไม่ต้องใช้เวลานาน มันตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของคริสได้ทันที ชายคนนั้นสามารถรั้งอันดับหนึ่งของโลกได้นานหลายปีจนกระทั่งกริดมาทวนคืน โดยตลอดระยะเวลาดังกล่าว คริสต้องบริหารเรย์ดันควบคู่ไปด้วย

‘ฝีมือแท้จริงของคริส นำหน้าชื่อเสียงไปไกลมาก… การได้คนแบบนี้คอยรับใช้ กริดเป็นพระเจ้าหรือไง’


คริส—อัจฉริยะในสายตาเซ็ดนอส แต่มันกลับไม่เคยลดช่องว่างระหว่างกริดได้แม่แต่ครั้งเดียว


‘ฉันไม่ต้องการเป็นภาระของกริด จึงต้องทุ่มเทกับตัวเองให้มากกว่านี้’ 


เมื่อคริสพูดประโยคดังกล่าวจบ มันสละตำแหน่งเจ้าเมืองเรย์ดันพร้อมกับเดินทางออกจากอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ทันที


‘เราไม่เคยรู้มาก่อน ว่าพวกเขาต้องทำงานหนักขนาดนี้ขณะบริหารเมืองใหญ่’


การขาดหายไปของคริสและสิบวีรชนคนอื่น ได้สร้างช่องว่างขนาดใหญ่ให้กับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ในการจะอุดรอยรั่วแทนสิบวีรชนสักหนึ่งคน ต้องใช้สมาชิกภายในกิลด์ไม่ต่ำกว่าสิบมาชดเชย


แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง ปัจจุบันบ้านเมืองสงบสุขและปลอดสงคราม 


คงตกอยู่ในสถานการณ์บีบคั้นไม่น้อย หากมีอาณาจักรข้างเคียงยกทัพมารุกรานหรือข่มขู่ แต่โชคดีว่า อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ไม่อยู่ในจุดต้องพะวงเรื่องดังกล่าวอีกแล้ว


แน่นอน การมีพี่ใหญ่อย่างจักรวรรดิคอยหนุนหลัง ช่างเป็นเรื่องแสนสะดวกสบาย 


หากไม่เห็นภาพ ให้นึกถึงการปกครองผืนป่าทั่วทวีปในปัจจุบันของเผ่าเอลฟ์ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพียงเพราะจักรวรรดิ ‘อนุญาต’ ให้ต่างเผ่าพันธุ์มีอิสระ หากไม่แล้ว ไม่ว่าเอลฟ์จะแข็งแกร่งสักเพียงใด พวกมันก็ทำได้เพียงหดหัวอยู่ในป่าต้นไม้โลกอย่างขลาดกลัว 


จักรวรรดิซาฮารันทรงพลังถึงเพียงนั้น


หรือก็คือ อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ไม่ต้องกังวลกับสงครามไปอีกพักใหญ่


“เฮ่อ… ขอออกไปสูดอากาศสักพัก”




เซ็ดนอสเดินออกจากห้องประชุม ทิ้งให้เหล่าขุนนางช่วยจัดการเอกสารแทน ส่วนตัวมันมุ่งหน้าไปตามท้องถนน ความสุขเดียวในชีวิตประจำวันช่วงนี้คือการกิน


เป้าหมายคือการลิ้มรสอาหารเรย์ดันจนครบทุกร้าน เนื่องจากได้ยินว่า เมืองนี้เต็มไปด้วยอาหารอร่อยมากมาย


‘อีกหนึ่งความเจ๋งของซาทิสฟาย กินมากเท่าไรก็ไม่อ้วน!’


สำหรับผู้ชื่นชอบอาหารและวิวทิวทัศน์ โลกซาทิสฟายถือเป็นแดนสวรรค์ หากยังจำกันได้ ภายในมิติเกมแห่งนี้จะมอบรสชาติอาหารสมจริงเหมือนกับโลกภายนอกทุกประการ ถ้าไม่เชื่อให้ลองไปกินอาหารไอดาน


“งั่ม~ งั่ม~”


เซ็ดนอสเดินเข้าไปในร้านข้างถนน ตามด้วยการสั่งขนมปังโนเอะกินเป็นอย่างแรก

สมชื่อของมัน สิ่งนี้คือขนมปังรูปร่างเหมือนกับโนเอะ 


ตลอดหลายปีให้หลัง โนเอะ สัตว์เลี้ยงประจำตัวกริด ได้รับความนิยมอย่างมาก จนกลายเป็นสัตว์นำโชคของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์โดยปริยาย

ผิวสัมผัสกรุบกรอบ เนื้อขนมปังด้านในชุ่มฉ่ำและเต็มไปด้วยรสหวาน แถมยังมีซอฟต์ครีมช่วยเพิ่มรสสัมผัส ส่งผลให้เกิดความละมุนลงตัว


‘ยังจำได้ดี ตอนอยู่ไรนฮาร์ท เราต้องกินอาหารของไอดานทุกวัน นึกว่าจะเบื่ออาหารไปตลอดชีวิตซะแล้ว’


เมื่อได้ทานของอร่อยอีกครั้ง เซ็ดนอสรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันใด ภาวะตึงเครียดจากการทำงาน ถูกสลัดหายเป็นปลิดทิ้ง


“…?”


ขณะกัดขาหน้าของโนเอะไปหนึ่งข้าง เซ็ดนอสพลันยืนตัวแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้น


สตรีผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ ความงดงามของเธอสามารถสะกดมันจนอยู่หมัด


เรื่องน่าขันก็คือ สตรีปริศนาปกปิดใบหน้ามิดชิดด้วยผ้าคลุมหัวและผ้าปิดปาก


ใช่แล้ว สองจุดปรากฏบนใบหน้าเหลือเพียงดวงตาและจมูกเล็กน้อย แต่จอมเวทวายุอันดับหนึ่งของโลกกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าเธองดงามยิ่งกว่าใครทั้งหมดในซาทิสฟาย


เฉกเช่นสมาชิกโอเวอร์เกียร์คนอื่น รสนิยมด้านสตรีของเซ็ดนอสไม่ธรรมดา มันได้พบสาวงามของโลกทุกวันจนเบื่อหน่าย ไม่ว่าจะเป็นยูร่า จิสึกะ ไอรีน เมอร์เซเดส หรือซูเอ


ทันใดนั้น สตรีปริศนาส่งเสียง


“เจ้าแข็งแกร่งกว่าใครในเมือง”


“อะ…”


ใบหน้าเซ็ดนอสพลันแดงก่ำอมชมพู หัวใจเต้นโครมครามประหนึ่งเพิ่งเสร็จการวิ่งร้อยเมตรเต็มฝีเท้า


ลำพังเสียงอันเย้ายวนก็มากพอจะทำให้มันตกอยู่ในภวังค์ลุ่มหลง มันไม่เคยเสียอาการขนาดนี้ด้วยเสียงสตรีมาก่อน


ใบหน้าอ่อนระทวยของเซ็ดนอส กำลังถูกฉายบนดวงตาสีแดงเพลิงของหญิงปริศนาสุดเลอโฉม ดวงตาหล่อนส่องแสงเจิดจรัสประหนึ่งเก็บพระอาทิตย์ทั้งดวงไว้ด้านใน


“เจ้าได้เป็นเจ้าเมืองเพราะแข็งแกร่งกว่าใครทั้งหมดสินะ”


หญิงสาวลึกลับ บรรยากาศรอบตัวเธอคล้ายกำลังสนุกกับบางสิ่ง


“ในเมื่อเจ้ามีอำนาจ ช่วยเตรียมรถม้าพร้อมคนขับให้ข้าสักคันได้ไหม ขอเป็นประเภทป้องกันแสงอาทิตย์ได้ดี ข้อต้องการเดินทางไปยังผืนป่าใกล้เคียง”


“อา…”


เซ็ดนอสไม่ได้ตระหนักเลยว่า ตนกำลังถูกภวังค์ ‘เสน่ห์’ เล่นงาน จึงไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายเป็นอันตราย


บนโลกซาทิสฟาย ‘หลงเสน่ห์’ คือหนึ่งในอาการผิดปรกติสุดทรงพลัง นอกจากจะทำให้ศัตรูเสียจังหวะชั่วขณะ การตัดสินสินใจก็ยังไม่เป็นไปตามหลักเหตุและผล คล้ายคลึงกับการถูกสะกดจิต


เซ็ดนอสผงกศีรษะ


“ได้ครับ”


มันคล้อยตามโดยไม่ปฏิเสธ


หล่อนชื่ออะไร… 


ใบหน้าแท้จริงเป็นเช่นไร…


อยากรับใช้เธอจังเลย… 


แล้วไม่ใช่ว่า ตนเกิดมาทั้งชีวิตเพื่อพบเจอเธอในวินาทีนี้หรอกหรือ…

เซ็ดนอสคิดเช่นนั้นจริงจัง มันเดินนำทางหญิงสาวลึกลับมายังปราสาท ตามด้วยการสั่งให้ทหารนำรถม้าออกและเตรียมพลขับ


ทันใดนั้น เสียงใครบางคนตะโกนกึกก้อง พร้อมกับการได้สติกลับคืนมาของเซ็ดนอส


“แสงพิสุทธิ์!”


สิ่งนี้คือทักษะลบล้างอาการผิดปรกติ สามารถใช้ได้เฉพาะนักบวชระดับสูงของโบสถ์รีเบคก้าเท่านั้น แสงขาวเจิดจ้ากำลังอาบท่วมร่างเซ็ดนอสทุกอนูรูขุมขน


“เซ็ดนอส! ได้สติสักที!”


ย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้า สมาชิกกิลด์โอเวอร์เกียร์ประจำเรย์ดันต่างได้รับภารกิจใหม่พร้อมกัน เนื้อหาเกี่ยวกับการคืนความสงบแก่เมืองเรย์ดัน 


พวกมันต้องจับกุมหญิงสาวปริศนา ต้นตอของเหตุการณ์ชาวเมืองถูกล่อลวงอย่างผิดปรกติให้ได้ เงื่อนไขภารกิจคือ ร่วมมือกับนักบวชของโบสถ์รีเบคก้า


เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเซ็ดนอสถึงนำตัวผู้ต้องสงสัยชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนี้กลับมายังปราสาทเรย์ดัน มันควรจะได้อ่านเนื้อหาของภารกิจแล้วไม่ใช่หรือ


“ตื่นสักที!!”


เหล่าสมาชิกโอเวอร์เกียร์แหกปากตะเบ็งเสียงสุดปอด ในเวลาเดียวกัน ร่างเซ็ดนอสกำลังถูกอาบด้วยแสงสว่างขาวโพลนท่วมท้น สีหน้าแววตาบ่งบอกชัดเจนว่าเพิ่งหลุดพ้นจากภวังค์ปริศนา


“บิน!”


ความคิดแรกในหัวคือการบินขึ้นไปข้างบน


ในเมื่อไม่ทราบตัวตนอีกฝ่าย เซ็ดนอสไม่มีทางเลือกนอกจากรักษาระยะห่างกับหล่อนให้มากเข้าไว้


มันกำลังสับสน


‘เธอเป็นใครกันแน่’


สร้างอาการผิดปรกติได้โดยไม่ต้องตะโกนชื่อทักษะหรือทำท่าทางเลยหรือ


ตลอดการเล่นซาทิสฟายหลายปี มันไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน หมายความว่า หล่อนต้องไม่ใช่บุคคลปรกติแน่นอน

เซ็ดนอสและสมาชิกโอเวอร์เกียร์ทุกคนรีบลงมือฉับไว ทหารและอัศวินจากทั่วปราสาท ถูกระดมพลเป็นการเร่งด่วน หญิงสาวต้องสงสัยถูกรายล้อมไว้รอบทิศ


ทันใดนั้น

บึ้มมมมมมม—!!


เกิดระเบิดกัมปนาทดังสนั่น


ราวกับถูกอุกกาบาตตกใส่ เรย์ดันทั้งเมืองสั่นสะเทือนรุนแรงประหนึ่งแผ่นดินไหว ภาพการมองเห็นของเซ็ดนอสและสมาชิกโอเวอร์เกียร์พร่ามัวฉันพลัน


“เกิดอะไรขึ้น…”


ทุกสายตารีบหันไปทางต้นกำเนิดระเบิด ฝุ่นควันกำลังคละคลุ้งฟุ้งกระจายท่วมท้น แต่ปลายทางการมองเห็นกลับไม่มีอุกกาบาต ปรากฏเพียงบุรุษหนึ่งคนยืนเด่นตระหง่านไร้รอยขีดข่วน


ข้อความเหนือศีรษะเขียนว่า ‘เฟนเรียร์’


แน่นอน ไม่มีใครในโอเวอร์เกียร์ไม่เคยได้ยินชื่อนี้


“แวมไพร์ทายาท…?”


ทายาทแห่งชิโซ·เบริอาเช่ จากบรรดาแวมไพร์ทุกตน เฟนเรียร์มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงมาร์ควิส หรือก็คือ อันดับสองจากจุดสูงสุด


แวมไพร์ทายาทปลายแถวจะสืบทอดลักษณะพิเศษของเบริอาเช่มาเพียงหนึ่งหรือสองชนิด แต่เฟนเรียร์สืบทอดมากถึงสาม


“อยู่นี่เอง”


เฟนเรียร์ บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งจากแวมไพร์ชายทั้งหมด มิได้เห็นสมาชิกโอเวอร์เกียร์ในสายตาแม้แต่น้อย ผมทองสั้นประบ่า สายตาจดจ้องไปยังเป้าหมายเดียว นั่นคือสตรีปริศนาสวมผ้าคลุมหัวและผ้าปิดปากมิดชิด


“ข้ารอให้เจ้าตื่นมานานแล้ว เอาล่ะ รีบกลับไปยังเมืองของข้าก่อน พวกเรามีหลายสิ่งต้องพูดคุย”


“…”


โดยไม่ได้นัดหมาย ทุกคนหันไปมองหญิงสาวลึกลับเป็นตาเดียว


จากคำพูดของเฟนเรียร์ สมาชิกโอเวอร์เกียร์คาดเดาตัวจริงของเธอได้ทันที 


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แต่หล่อนคือ… 


“…แมรีโรส?”


จากคำบอกเล่าของบราฮัม ชิโซ·เบริอาเช่เคยเป็นจอมอสูรมาก่อน และทรงพลังถึงขนาดได้เป็นจอมอสูร ‘หลักเดียว’ ผลงานสุดท้ายของเบริอาเช่คือการให้กำเนิดแมรีโรส แวมไพร์เคาต์เทสสุดทรงพลัง


“เฟนเรียร์ เจ้าไม่เกรงกลัวแสงอาทิตย์เหมือนเคย”


“แสงอาทิตย์ทำร้ายได้แค่แวมไพร์อ่อนแอเท่านั้น ข้าเพียงรู้สึกคันเล็กน้อย และมันก็ทำอันตรายกับเจ้าไม่ได้เช่นกัน แมรีโรส”


“แต่ข้าไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้”


ผิวพรรณขาวเนียนดุจดังหยกหิมะ สิบนิ้วเรียวยาวเรียงตัวงดงาม ปลายเล็บแดงสดประหนึ่งเลือดมนุษย์


พรึบ!


สตรีปริศนาถอดผ้าคลุมหัวและผ้าปิดปากด้วยท่วงท่าสง่างามเกินจำเป็น เผยให้เห็นใบหน้าและนามเต็มเหนือศีรษะ


ทันใดนั้น


[ เผชิญหน้าแวมไพร์เคาต์เทส แมรีโรส! ]

[ พลังอสูรปริมาณเหนือพรรณาของแมรีโรสส่งผลให้วงจรเวทมนตร์ของท่านปั่นป่วน ท่านไม่สามารถใช้งานเวทมนตร์และทักษะ ]


[ เนตรแวมไพร์สะกดสิ่งมีชีวิตระดับต่ำกว่า ท่านสูญเสียพลังใจและมิอาจควบคุมตัวเอง! ]


[ ไม่มีใครต้านทานเสน่ห์ของแมรีโรสได้ เพศตรงข้ามจะถูกสะกดโดยสมบูรณ์ และเพศเดียวกันมีโอกาสถูกสะกดในอัตราสูง! ]


ไม่เพียงเซ็ตนอสและสมาชิกโอเวอร์เกียร์ แต่แม้กระทั่งนักบวชรีเบคก้า ผู้เชี่ยวชาญการต่อกรกับอสูร ยังยืนแข็งทื่ออย่างจนปัญญา


เส้นผมดำขลับกระเพื่อมแผ่วเบาราวกับเส้นไหม แมรีโรสหันมองเซ็ดนอสอีกครั้ง ตามด้วยการก้มเงยสำรวจหัวจรดเท้า


กิริยาท่าทางใสสื่อแต่เปี่ยมด้วยเสน่หา


ทันใดนั้น แมรีโรส ผู้มีใบหน้าเย้ายวนเหนือพรรณา ได้พ่นถ้อยคำแทงใจเซ็ดนอสอย่างจัง


“ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเมืองนี้”


“…?”


“นอกจากรถม้า ข้ายังมีอีกหนึ่งเหตุผลในการเดินเข้าไปทักทาย ร่างกายเจ้ามีกลิ่นเขาโชยออกมาเจือจาง ข้าโหยหามันมาก”


“…?”


กลิ่น?

เซ็ดนอสรีบดมกลิ่นตัวเองทันที แต่จมูกของมันกลับรับรสได้เพียงกลิ่นขนมปังโนเอะ เนื่องจากกัดเข้าไปหนึ่งคำ


แมรีโรสหันไปทางเฟนเรียร์


“ข้าเกริ่นไปแล้วว่าไม่ชอบแสงอาทิตย์ ดังนั้นเจ้าต้องเป็นผู้ขับรถม้าและนำทางไปยังผืนป่าใกล้เคียง ข้าต้องพบเอลฟ์ให้ได้”


“ฮึ่ม!”


เฟนเรียร์พ่นลมหายใจหงุดหงิด ตามด้วยการเดินไปคว้าคอนักบวชรีเบคก้าผู้กำลังยืนแข้งขาสั่น จากนั้นก็วางลงตรงตำแหน่งคนขับ


การกระทำของมันบ่งบอกเป็นนัยว่า ตนขับรถม้าไม่เป็น ให้มนุษย์ขับแทนดีกว่า กิริยาท่าทางเป็นไปอย่างไม่สบอารมณ์


ฉึกฉึกฉึกฉึก—!


“…!?”


สิ่งนี้คือ ‘บลัดทอร์น’ (หนามโลหิต) 


ในอดีต มันเคยเป็นหนึ่งในท่าไม้ตายแสนภูมิใจของแวมไพร์เอิร์ล เวทมนตร์สำหรับสร้างหนามเลือดจำนวนมากกลางอากาศ ลักษณะคล้ายใยแมงมุมสีแดงฉาน 


ร่างเฟนเรียร์ถูกแทงจนพรุนไม่ต่างจากเม่น มันอาเจียนเป็นเลือด ดวงตากำลังสั่นเทา


แมรีโรสหาได้แยแส เพียงออกปากตักเตือน


“อย่าขัดคำสั่ง”


“…”


เฟนเรียร์รีบก้มศีรษะนอบน้อม ไม่กล้าแม้แต่จะขานตอบ ภายในใจกำลังตระหนักเป็นอย่างดี แมรีโรสไม่เพียงสืบทอดพลังจากมารดาเท่านั้น แต่เธอยังมีพลังให้กำเนิดแวมไพร์ทายาทรุ่นใหม่


‘เธอสามารถสร้างตัวแทนเราได้ทุกเมื่อ’


แต่ไม่เหมือนกับมารดา เบริอาเช่เป็นจอมอสูรโดยกำเนิด สามารถให้กำเนิดทายาทได้โดยไม่ต้องการเพศชาย แต่แมรีโรสไม่ใช่ เธอเป็นแวมไพร์ และยังเป็นเพศหญิง


“ไปกันเถอะ”


“…”


แมรีโรสก้าวขึ้นห้องโดยสารรถม้า ส่วนเฟนเรียร์ขึ้นไปนั่งตำแหน่งคนขับ ส่งผลให้นักบวชรีเบคค้าผู้ถูกพาตัวมาวางไว้ตอนแรก พลันกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูก แต่เฟนเรียร์มิได้แยแส มันใช้แส้ฟาดก้นม้าขับออกไป ราวกับเธอเป็นเพียงมดปลวกตัวหนึ่ง


แต่หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ


“หยุด!!”


มนุษย์กลุ่มหนึ่งปรากฏตัวพร้อมกับขวางทางรถม้าไว้


“แมรีโรส! หลังจากได้ยินคำชี้นำจากเทพว่าเธอจะฟื้นจากการหลับไหล ฉันก็รีบมุ่งหน้ามาหาทันที!”


ชายคนหนึ่ง กำลังยืนหน้าสุดของกลุ่ม ทำการแหกปากตะโกนเสียงดังสนั่น การแต่งกายค่อนข้างพิเศษ ชนิดใครในทวีปเห็นเป็นต้องจดจำได้ทันที 


ชุดคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ แทรกด้วยแถบทองคำลวดลายซับซ้อนคล้ายอักขระโบราณ


อาภรณ์แห่งสันตะปาปา


“พวกเราจะปล่อยให้ให้เธอเพ่นพ่านไม่ได้”


หลังจากสันตะปาปาคำราม สตรีสามคนกระโจนเข้าใส่รถม้าด้วยความเร็วสูง


หอกไลฟาเอล

ดาบมิคาเอล

โล่เอเวอเรล


สมัยอดีตกาลนานโพ้น สตรีสามคนพร้อมศาสตราเทพแห่งโบสถ์รีเบคก้า เคยร่วมแรงร่วมใจกันผนึกแมรีโรสได้สำเร็จ





ศาสตราทั้งสามทำการปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ปริมาณมหาศาล เกิดเป็นแสงสีขาวสว่างแผ่ออกไปทั่วบริเวณ ช่วยเยียวยาสมาชิกโอเวอร์เกียร์และเหล่านักบวชให้หายจากอาการผิดปรกติ 


เฟนเรียร์เริ่มขมวดคิ้ว


ปัจจุบัน ดาเมี่ยนอยู่ในสภาพบัฟเต็มพิกัด


“ช่วยกลับไปนอนในโลงตามเดิมด้วย! เพื่อความสงบสุขของมวลมนุษย์!”


ดาเมียนตะเบ็งอีกครั้ง


มันเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า ภารกิจลับ ‘ผนึกแมรีโรส’ คราวนี้กำลังจะจบลงด้วยชัยชนะอย่างไม่ยากเย็น เป็นความมั่นใจโดยมีบ่อเกิดจากความศรัทธาในอาวุธแห่งเทพทั้งสาม


ประวัติศาสตร์บ่งบอกทุกอย่าง ในเมื่อแมรีโรสเคยถูกผนึกด้วยศาสตราจากเทพธิดาแห่งแสง ย่อมหมายความว่า มันคือของแสลงสำหรับเธอ ดาเมียนคาดเดาจากสามัญสำนึก


ไม่ว่าแมรีโรสจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่คนเก่งมักมีจุดอ่อนเป็นความประมาท เมื่อทระนงตนว่าเป็นฝ่ายเหนือกว่า การระวังตัวย่อมลดลงกว่าปรกติ ส่งผลให้สามศาสตราแผลงอิทธิฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพ


แต่


ซวก!


“แค่ก!!” 


ดาเมียนเฉียดใกล้ความตายในพริบตา โดยแมรีโรสไม่ได้ขยับปลายนิ้วด้วยซ้ำ


เฟนเรียร์ หลังจากรับมือกับบุตรีแห่งรีเบคก้าแบบหนึ่งต่อสาม มันอาศัยช่องว่างเสี้ยวพริบตา ซัดหอกโลหิตแหวกอากาศเสียบร่างดาเมียนจนเจียนตาย


“เจ้าโง่ แกมันก็แค่สันตะปาปาเด็กน้อย ไม่รู้หรือไงว่าเครย์เชอร์เป็นกรณีพิเศษ”


ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่เฟนเรียร์ก็หวาดระแวงสามศาสตราเทพพอสมควร อาวุธศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เคยผนึกแมรีโรสได้จริง มันจึงไม่ลดการป้องกันลง และเลือกโจมตีใส่สันตะปาปาเป็นลำดับแรก


หลังจากซัดใส่จุดตายอิสซาเบลพร้อมกับปัดป้องดาบจากริน มันฉวยโอกาสสามสาวเกิดอาการสั่นคลอน พุ่งผ่านโล่ลูน่าไปคว้าคอดาเมียนไว้แน่นถนัด


“ห้ามฆ่า”


แมรีโรสเปล่งเสียงเย็นชาออกจากรถม้า


แต่น้ำเสียงเจือความตื่นเต้นหลายส่วน


“กลิ่นของเจ้านั่นทำให้ข้าคิดถึงเขา— ไม่สิ ข้าแค่ไม่ต้องการถูกมนุษย์เกลียดชังมากกว่านี้ ดังนั้นปล่อยมันไป”


“…?”


ไม่มีใครเข้าใจว่าแมรีโรสกำลังสื่อถึงอะไร


ไม่แม้แต่คนเดียว


แม้กระทั่งเฟนเรียร์ก็ทำได้เพียงขมวดคิ้ว แต่มันไม่กล้าซักถามมากความ จำใจปล่อยให้ดาเมียนรอดชีวิต

ไม่เพียงเท่านั้น การเคลื่อนไหวของสามบุตรีพลันชะงักงัน ไม่มีใครกล้าขัดขวางขณะเฟนเรียร์เดินกลับมายังตำแหน่งคนขับ


สาเหตุเพราะ น้ำเสียงเย็นชาของแมรีโรสเมื่อครู่ แฝงไว้ด้วยมนตร์สะกดรุนแรงชนิดนอกเหนือจินตนาการบุตรีแห่งรีเบคก้าไปไกล


กร่อก.


กร่อก.


รถม้าของแมรีโรสแล่นลับสายตาทุกคนไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีใครขัดขวาง


ดาเมียน บุตรีรีเบคก้า เซ็ดนอส และสมาชิกโอเวอร์เกียร์ พวกมันทำได้ยืนเพียงเฝ้ามองการจากไปของรถม้า


*** 


<(ข่าวด่วน) แวมไพร์เคาต์เทสปรากฏตัว!>

<สันตะปาปาและบุตรีแห่งรีเบคก้าพ่ายแพ้อย่างราบคาบ!>


โชคไม่ดีนัก ดันมีผู้เห็นเหตุการณ์


ภาพวิดีโอการต่อสู้ระหว่างเฟนเรียร์และปาร์ตี้ดาเมียนในเขตเรย์ดัน ถูกเผยแพร่ไปทั่วอินเทอร์เน็ตภายในเวลาชั่วข้ามคืน


ความแข็งแกร่งของแวมไพร์มาร์ควิส ‘เฟนเรียร์’ อยู่ในระดับสุดน่าทึ่ง แต่ไม่เหมือนกับวิกฤติจอมอสูรหรือออร์คลอร์ด ผู้คนไม่ได้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์นี้สักเท่าไร


สาเหตุเพราะ ในเมื่อความวุ่นวายเกิดขึ้นในเมืองเรย์ดัน ดินแดนของกริด อีกประเดี๋ยวราชาโอเวอร์เกียร์ก็คงออกมาคืนความสงบสุขให้ชาวเมืองเหมือนกับทุกครั้งเอง


อย่างไรก็ตาม แฟนไซต์ของเฟนเรียร์และแมรีโรสเพิ่มจำนวนพุ่งพรวดหลายสิบเท่า


เป็นปรกติของสังคม ‘บูชาหน้าตา’ หลายฝ่ายพยายามเรียกร้องให้มนุษย์อาศัยร่วมเผ่าพันธุ์แวมไพร์อย่างเป็นมิตรโดยเร็ว


ขณะเดียวกัน บางกลุ่มมุ่งเป้าไปยังประเด็นคำพูดกำกวมของแมรีโรส


‘กลิ่น’ ดังกล่าว หมายถึงของใคร?


“ฟุดฟิด! ฟุดฟิด!”


กริดติดนิสัยชอบดมรักแร้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,492
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. กริดดดดดดด น่าเกลียดจริง ๆ

    ReplyDelete
  2. "เจ้าจะเป็นราชาโลหิตได้หรือไม่"

    ReplyDelete
  3. แค่ประโยคเกริ่นของแมรี่โรสก็เดาได้แล้วว่ากริด

    ReplyDelete
  4. เมียคนที่3 มั้ย 555+

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00