จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,102



เผ่าเอลฟ์กำลังประสบปัญหาด้านความสมดุลของประชากร ราวกับเป็นคำสาปเพื่อแลกกับอายุขัยยืนยาว เผ่าเอลฟ์เกิดมาพร้อมแรงขับเคลื่อนทางเพศต่ำ เมื่อเทียบปริมาณประชากรกับสายพันธุ์อื่น เอลฟ์จะถูกจัดให้มีจำนวนต่ำสุด


แต่


“นังดำ?”


“สหายเก่าของพวกแกไง ฉันต้องการซากศพของนังสุนัขตัวเมียผู้ร่วงหล่นนั่น!”


“ข้าไม่ทราบ! ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงใคร”


ในปัจจุบัน เอลฟ์กลับกำลังครอบครองผืนป่าน้อยใหญ่ทั่วทั้งทวีปตะวันตก


เหตุใดจึงทำเรื่องยากเช่นนี้สำเร็จ?


คำตอบไม่ซับซ้อน เพราะพวกมันคือเผ่าพันธุ์ผู้ล่าระดับบนสุดของห่วงโซ่ สิ่งนี้คือความรู้พื้นฐานสำหรับผู้เล่นทุกคน เอลฟ์เป็นสายพันธุ์สูงส่งยิ่งกว่าแวมไพร์และเนตรมาร พวกมันไม่ต้องการพวกพ้องจำนวนมาก ลำพังความแข็งแกร่งส่วนตัวก็เพียงพอ ขอเพียงมีบริวารสัตว์ป่าคอยรับใช้


แต่น่าเสียดาย พวกมันมักถูกล่อลวงจนตกหลุมพรางชั่วช้าของมนุษย์บ่อยครั้ง


“เจ้ามนุษย์ จงออกไปจากผืนป่าเสีย ข้าขอเตือนเป็นหนสุดท้าย”


“พวกแกช่วยหุบปากและบอกตำแหน่งของนังดำมาได้แล้ว”


“ไปตายซะ”


หากไม่จงเกลียดจงชังมนุษย์ เอลฟ์คงยอมแบ่งผืนป่ากว่าครึ่งของทวีปให้ จากนั้นก็ปกครองร่วมกันอย่างสงบสุข


ฉึบ!


เอลฟ์ห้าตนกำลังซ่อนตัวบนต้นไม้ใหญ่ สายตาจดจ้องผู้บุกรุกอย่างไม่สั่นคลอน ตามด้วยการสาดฝนธนูใส่อีกฝ่ายเมื่อคำเตือนไม่เกิดประโยชน์


พวกมันปราศจากความลังเล


หลังจากเกิดเหตุการณ์มนุษย์ชื่อ ‘เคียร์’ หลอกลวงพวกมัน จนทำให้หนึ่งใน 12 ผู้พิทักษ์ต้องร่วงหล่น บรรดาเอลฟ์ต่างได้ข้อสรุปตรงกันว่า พวกตนไม่มีทางอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสงบสุข


ถึงเวลาแล้ว กับการปกป้องตัวเองและธรรมชาติอย่างสุดความสามารถ พวกมันไม่คิดอ่อนข้อให้มนุษย์อีกเป็นหนสอง


“มนุษย์ต้องถูกสั่งสอนเสียบ้าง!”


“พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ปั่นหัวเรา!”


เสียงตะโกนของเอลฟ์ดังกังวานทั่วผืนป่า


ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก! ฉึก! —


ศรหลายสิบดอกพุ่งแหวกอากาศปักร่างผู้บุกรุกประหนึ่งตัวเม่น เนื่องจากแต่ละดอกถูกอาบด้วยพลังภูตลม ความเร็วและพลังทะลุทะลวงจึงสูงส่ง ประหนึ่งสายฟ้าฟาดผ่า


“แค่ก…!”


ผู้บุกรุกอาเจียนเป็นเลือด ชื่อตัวละครเหนือศีรษะเขียนว่า ‘แอ็กนัส’


ร่างกายมันเริ่มสั่นคลอนและล้มลง แอ็กนัสถูกรุมขย้ำอย่างโหดเหี้ยมด้วยฝีมือสัตว์ร้ายจำนวนมาก ทั้งหมดโผล่จากพุ่มไม้หนาทึบรอบตัว ส่งผลให้ร่างบุรุษเผ่ามนุษย์ล้มทรุดลงพื้นในเวลาอันสั้น


แผลกัด แผลฉีกกระชาก แผลข่วน แผลกระดูกแตก ลำไส้ถูกทำลายแหว่งโหว่ ทั้งหมดคือสภาพปัจจุบันของแอ็กนัส


เละยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้ว


โลหิตแดงฉานชุ่มฉ่ำพื้นดินโดยรอบ


“กลับไปได้”


หลังจากเอลฟ์สังหารผู้บุกรุกอย่างง่ายดาย พวกมันลงจากต้นไม้เพื่อตรวจสอบสภาพศพของเหยื่อ ตามด้วยการส่งเสียงไล่สัตว์ป่ากลับไปซ่อนตัว เมื่อยืนยันว่าอีกฝ่ายตายแล้ว พวกมันหันหลังกลับต้นไม้เตรียมประจำจุดเดิม


ทันใดนั้น เอลฟ์ตนหนึ่งหันหลังกลับมามองด้วยสีหน้าตกตะลึง


“มันเจ็บนะ…”


ผู้บุรุก—มนุษย์ผู้ไม่สมควรมีชีวิตอยู่อีกแล้ว กำลังพยุงร่างกายลุกยืนอย่างยากลำบาก ปากของมันบิดเบี้ยว ลำคอหมุนกลับมาจ้องกลุ่มเอลฟ์ในลักษณ์ผิดธรรมชาติ


“…ฉันแค่ขี้เกียจไล่จับพวกแกบนต้นไม้”


“นี่เจ้า… ไม่ใช่มนุษย์!”


ทุกชีวิตล้วนมีจุดสิ้นสุด หรือก็คือ การใช้ความตายของตัวเองเป็นเหยื่อล่อศัตรู ไม่ใช่เรื่องปรกติตามสามัญสำนึกแน่นอน


เหล่าเอลฟ์เริ่มพากันเย็นสันหลัง พวกมันต่างก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับผู้อยู่นอกเหนือกฎของชีวิต


ปึก!


ท่อนแขนดำสนิท ผิดกับผิวพรรณขาวนวลของชาวเอลฟ์ ทำการชกใส่พื้นจนเกิดเสียง


ทันใดนั้น เอลฟ์ทุกตนในการมองเห็นของแอ็กนัส รวมถึงบรรดาสัตว์ป่าเมื่อครู่ พวกมันล้วนถูก ‘หัตถ์สูบชีวิต’ จำนวนมาก งอกเงยจากดินขึ้นมาคว้าข้อเท้าไว้แน่นถนัด ชนิดไม่มีทางสลัดหลุด พร้อมกันกับ บางสิ่งบางอย่างกำลังหลั่งไหลออกจากร่างกายทุกขณะ


“ค…คึ่ก!”


เอลฟ์—สิ่งมีชีวิตทระนงตนว่าอายุยืนยาว ผิวหนังพวกมันเริ่มซีดเซียว รูปโฉมแก่ชราก่อนวัยอันควรภายในเวลาแสนสั้น


ทางด้านสัตว์ป่ามีชะตากรรมน่าสงสารกว่ามาก เส้นขนทั้งตัวหลุดร่วงไม่หลงเหลือ พร้อมกับการหมดลมหายใจเพียงพริบตา


ในทางกลับกัน บาดแผลทั้งหมดของมนุษย์นามแอ็กนัส ถูกเยียวยาจนหายสนิท


หัตถ์สูบชีวิตทำงานของมันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อายุขัยของเหล่าเอลฟ์และสัตว์ป่าถูกโอนถ่ายมายังตัวมัน พร้อมกับทำการฟื้นฟูบาดแผลทั่วลำตัว


“อายุยืนยาวจนดูดไม่หมดสินะ”


ตรงข้ามกับสัตว์ป่า เหล่าเอลฟ์เพียงแก่ชราลง แต่ยังไม่ถึงกับเสียชีวิต เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ แอ็กนัสยกมุมปากอย่างพึงพอใจ


มันเดินเข้าใกล้เอลฟ์แก่ชรา ตามด้วยการบีบคอเอลฟ์ผมขาวและยกขึ้นจนเท้าลอย


“ดูจากสีผมขอแกแล้ว คล้ายคลึงกับคำอธิบายของนังดำมากทีเดียว แปลว่าฉันมาหาถูกป่าแล้วสินะ”


“ค…แค่ก!”


“ตอบฉันมา นังดำอยู่ไหน แล้วจะช่วยฆ่าทิ้งโดยปราศจากความเจ็บปวด”


“…หุบปาก! ข้าไม่ทราบ!”


“งั้นหรือ… ก็ได้ ฉันคงไม่มีทางเลือกนอกจากเผ่าป่าแห่งนี้ให้ราบเพื่อค้นหาหล่อน”


กร็อบ!


ขณะใช้ฝ่ามือหักคอเอลฟ์อย่างเลือดเย็น ดวงตาสีทองของแอ็กนัสมิได้ปรากฏความบ้าคลั่งแม่แต่เศษเสี้ยว


สาเหตุเพราะ เหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงจุดหมายในฝัน พฤติกรรมของแอ็กนัสจึงสุขุมเยือกเย็นผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็หมายความว่า มันกำลังป่าเถื่อนสุดขีด และทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์โดยไม่สนใจผลกระทบตามมา


หลังจากสังหารเอลฟ์จนเกลี้ยง แอ็กนัสเดินต่อเข้าไปในใจกลางผืนป่า


“เบเนียลู เมื่อไรเธอจะออกมา”


ดาร์คเอลฟ์—เอลฟ์ผู้ยอมให้พลังอสูรเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย


ด้วยเหตุนี้เบเนียลูจึงกลายเป็นดาร์คเอลฟ์ตนแรกของโลกซาทิสฟาย และด้วยร่างกายชนิดพิเศษ เธอคือภาชนะอันยอดเยี่ยมของศิลาแห่งชีวิต


แอ็กนัสเชื่อเช่นนั้น มันศึกษาข้อมูลของศิลาแห่งชีวิตอย่างละเอียดยิ่งกว่าใคร ฝ่ามือซูบผอมและแห้งกร้านของมัน กำลังลูบไล้ภาพเหมือนของคนรักเก่าอย่างทะนุถนอม


***


[ท่านพ่ายแพ้การประลอง]


[ท่านพ่ายแพ้การประลอง]


[ท่านพ่ายแพ้การประลอง]


เทรูชานโฉมใหม่ทรงพลังขึ้นจนร่างเดิมเทียบไม่ติด สิ่งนี้ต้องขอบคุณสุดยอดอาวุธจากฝีมือกริด


ในระบบซาทิสฟาย พลังโจมตี พลังป้องกัน และพลังชีวิต สามารถเพิ่มขึ้นได้จากค่าพละกำลังและความอดทน ไม่เพียงเท่านั้น ดาบเล่มใหม่ยังเสริมออปชัน ‘เฉือน’ ‘ป่น’ และ ‘โจมตีห้าเท่า’ เข้ามา สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องใช้มานาแม้แต่หน่วยเดียว นับว่าช่วยกลบจุดอ่อนเผ่าพันธุ์ออร์คสนธยาได้มิดชิด


“ให้ตายสิ ทำไมถึงชนะยากแบบนี้”


ระหว่างรอให้ละโมบงอกเงย กริดตัดสินใจท้าดวลกับเทรูชานก่อนอีกฝ่ายเดินทางกลับ และผลลัพธ์คือการพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง


รู้สึกเสียหน้าไหม


คำตอบคือไม่เลย ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ กริดดีใจจนอยากตะโกนแหกปากอย่างมีความสุข


ทำไมน่ะหรือ


เพราะคำสาปบัดซบอย่าง ‘บอสใหญ่สุดแกร่งจะอ่อนแอลงหลังจากกลายเป็นพวก’ ถูกทำลายลงเป็นครั้งแรกในกรณีของเทรูชาน


ยิ่งได้เห็นพลังใหม่ของเทรูชานเต็มสองตา ชายหนุ่มยิ่งมีความสุขสุดเหวี่ยง เพราะยักษ์บ้ากล้ามตนนี้ ได้กลายเป็นพวกพ้องจงรักภักดีของตนอย่างสมบูรณ์แบบ


‘หากมีผู้เล่นคนใด หรือ NPC คนไหน สามารถเอาชนะเทรูชานในการดวลได้ เราต้องรีบไปกล่อมมาเป็นพวกโดยด่วน!’


กษัตริย์วารี มาซง เคยพิสูจน์ให้ประจักษ์เมื่อนานมาแล้ว สิ่งมีชีวิตอันดับหนึ่งของแต่ละสายพันธุ์จะมีค่าโบนัสพิเศษ ทำให้แต้มสถานะสูงยิ่งกว่า NPC พิเศษเผ่ามนุษย์มาก


เครื่องพิสูจน์คือ เทรูชานมีเลเวล 500 ถ้วน


เมื่อผนวกเข้ากับออปชัน ‘สร้างอาการหวาดกลัวหากศัตรูมีเลเวลต่ำกว่าผู้ใช้งานเกิน 10 ระดับ’ สิ่งหมายความว่า หากคู่ต่อสู้มีเลเวลไม่เกิน 490 หรือไม่มีค่าต้านทานอาการหวาดกลัว คงยากจะให้ใครดวลให้ชนะเจ้ายักษ์บ้ากล้าม


‘แต่ปิอาโร่กับเมอร์เซเดสอาจล้มได้’


เนื่องจากทั้งสองเป็นตำนาน—ผู้มีค่าต้านทานอาการผิดปรกติเต็ม ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังเป็นสุดยอดนักสู้ สายตาเฉียบคม สามารถตระหนักถึงจุดอ่อนและอ่านวิถีดาบของเทรูชานได้ไม่ยาก แถมยังมีค่าสถานะสูงลิบลับ ค่าเฉลี่ยโดยรวมไม่ด้อยกว่าเทรูชานสักเท่าไร มาพร้อมชุดทักษะโจมตีระดับตำนาน ช่วยลดช่องว่างระหว่างเลเวลลง


แน่นอน เทรูชานเป็นออร์คสนธยา หากนับเฉพาะค่าพละกำลังและความอดทน ทั้งปิอาโร่และเมอร์เซเดสจะเทียบไม่ติดในด้านดังกล่าว


“พอก่อน ฉันเหนื่อยแล้ว แค่ขยับปลายนิ้วยังลำบาก”


กริดพยายามยืนเส้นยืดสายขณะประกาศยอมแพ้อย่างหมดรูป


ในทางกลับกัน เทรูชานยังคงสดชื่นกระปรี้กระเปร่า บางที อาจไม่เคยมีใครเห็นออร์คลอร์ดตนนี้เหน็ดเหนื่อย


“กริด คุรุก! ถ้าท่านเอาจริง ข้าคงไม่มีทางชนะได้แน่”


“ฮะฮะ! ไม่ต้องปลอบใจฉัน ยิ่งเห็นนายแข็งแกร่งเช่นนี้ ฉันก็ยิ่งมีความสุข การแพ้นายทำให้ฉันมีความสุข เข้าใจไหม”


‘เจ้านี่เพิ่งอายุสิบเก้า แต่กลับใส่ใจผู้อื่น’


เมื่อคิดเช่นนี้ ชายหนุ่มอมยิ้มพึงพอใจ


จากนั้นก็เปิดหน้าต่างหัตถ์เทวะตรวจสอบ


<หัตถ์เทวะ>

เกรด : มิธ

ความคงทน : อนันต์

ความชำนาญ : 2,583

พละกำลัง : 1,795

อุปกรณ์พิเศษสร้างโดย ‘กริด’ ช่างเหล็กผู้เข้าใกล้ความเป็นเทวตำนาน ผลิตจากโลหะพิเศษหนึ่งเดียวในโลก ‘ละโมบ’

เนื่องจากกริดสร้างโดยใช้ฝ่ามือตนเองเป็นต้นแบบ หัตถ์เทวะจึงสวมใส่ไอเท็มได้ทุกชนิดบนโลกโดยไม่ถูกจำกัด

แม้แต่เทพช่างเหล็ก เฮ็กเซเทีย ก็ยังทึ่งในความประณีตของงานฝีมือชิ้นนี้

* ค่าพละกำลังเท่ากับ 50% จากเจ้าของ

* ค่าความชำนาญเท่ากับ 50% จากเจ้าของ

* สามารถใช้ทักษะพิเศษจากเจ้าของได้

(รุนแรงเพียง 30% ของทักษะหลัก แถมยังสิ้นเปลืองมานาเจ้าของขณะใช้งาน แต่สามารถใช้ทักษะติดไอเท็มได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยไม่สูญเสียมานา ในกรณีบัฟ เจ้าของจะได้รับบัฟด้วย)

* ทักษะตีเหล็กขั้นสูง

* ความชำนาญอาวุธขั้นสูง

* ทุกการโจมตีมีโอกาสสร้างเอฟเฟค ‘ป่น’

* เมื่อถูกโจมตีมีโอกาสเกิดผล ‘คืนรูป’

* เพิ่มพลังป้องกัน 10% ในสนามรบหุบเขา

* เพิ่มพลังโจมตีทักษะวงกว้าง 20% ในสนามรบหุบเขา

* ลดเกราะและค่าต้านทานเวทมนตร์ลง 10% ขณะเผชิญหน้าจอมอสูรลำดับต่ำกว่า 22

* หากถูกโจมตีอย่างรุนแรง ร่างกายจะได้รับความเสียหายต่ำสุดเป็นเวลา 5 วินาที และค่าเรี่ยวแรงจะฟื้นฟู 10% (ระยะหน่วง 24 ชั่วโมง)

* ยังไม่มีเวทมนตร์ฝังอยู่

* ขึ้นอยู่กับวิธีใช้งาน หัตถ์เทวะสามารถสร้างความพึงพอใจกับเป้าหมายได้อย่างน่าฉงน

เงื่อนไขใช้งาน : กริด

น้ำหนัก : 21


เมื่อเทียบกับหัตถ์เทวะแบบเก่า หัตถ์เทวะรุ่นใหม่ถูกยกระดับขึ้นจากเดิมค่อนข้างมาก


ถูกต้อง มันคือการยกระดับ มิใช่ความเปลี่ยนแปลง ออปชันส่วนใหญ่ยังคงเดิมไว้ทุกประการ


เหตุผลไม่ซับซ้อน หัตถ์เทวะถูกสร้างโดยมีฝ่ามือกริดเป็นต้นแบบ ในเมื่อมือกริดไม่เปลี่ยนรูปทรง ออปชันของมันจึงคงเดิม


และหากมองมุมกลับ ถ้าออปชันไม่เหมือนเดิม หัตถ์เทวะก็จะไม่ใช่หัตถ์เทวะอีกต่อไป


‘ห้ามลืมแก่นแท้เด็ดขาด’


กริดทวนคำพูดเฮ็กเซเทียในใจ หลังจากสร้างหัตถ์เทวะเสร็จ เทพตีเหล็กได้ส่งเสียงมาหากริดพร้อมกับบอกว่า ตัวมันปรารถนาหัตถ์เทวะเหล่านี้


แน่นอน กริดดีใจมาก


มันไม่เคยคิดมาก่อนว่า บุคคลระดับเทพจะปรารถนาไอเท็มรูปแบบไม่ซับซ้อน สร้างโดยการลอกเลียนแบบฝ่ามือของตัวเอง


เทวตำนาน


ข้อความระบบในส่วนนี้หมายถึง ตนกำลังย่างกรายเข้าสู่ขอบเขตของเทพหรือ


‘ถ้าคลาสของเรากลายเป็นเกรดมิธ ตัวตนจะถูกยกระดับทัดเทียมเทพหรือไม่’


กริดไม่เคยตั้งคำถามเช่นนี้เลยสักครั้ง แต่ปัจจุบัน มันต้องการเข้าถึงความจริงเบื้องหลังโลกซาทิสฟาย และภายในมิติเกมแห่งนี้ เทพไม่ใช่บุคคลห้ามแตะต้อง พวกมันมีชีวิตและเลือดเนื้อ มีตัวตนจริงและสนทนาได้


ฉะนั้น ผู้เล่นย่อมมีสิทธิ์เป็นเทพเช่นกัน


นี่คือสมมติฐานใหม่ หลังจากกริดตกผลึกประสบการณ์อันยาวนานของตัวเอง


‘เราอยากมีหัตถ์เทวะมากกว่านี้’


สำหรับกริด มันออกคำสั่งควบคุมหัตถ์เทวะได้พร้อมกับสูงสุดสี่ข้าง นี่คือขีดจำกัดทางฝีมือและสมาธิ อย่างไรก็ตาม หัตถ์เทวะคือไอเท็มเคลื่อนไหวตามเจตจำนงตัวเอง ต่อให้ไม่ต้องควบคุมก็ยังทำประโยชน์ได้มาก


‘ถ้าเรามีหัตถ์เทวะสัก 100 ข้าง รับประกันได้เลยว่าไม่มีใครสู้ได้แน่— ไม่สิ’


สมดุลเกม


คงเกิดผลข้างเคียงบางอย่าง หากพยายามสร้างหัตถ์เทวะในปริมาณมากเกินไป


‘ช่วยไม่ได้ คงต้องทดสอบด้วยตัวเอง ว่าระบบเกมรองรับหัตถ์เทวะได้มากสุดกี่ข้าง’


แต่ก่อนอื่น มันต้องสร้างหมวกให้เรียบร้อย


‘จากนั้นก็ลุยสร้างหัตถ์เทวะยาวๆ’


ปัจจุบัน กริดยังสวมใส่ ‘หมวกทรงกรวย’ เป็นไอเท็มหลักบนศีรษะ แต่ซ่อนรูปลักษณ์และแสดงเฉพาะมงกุฎ


‘ลมหายใจสัตว์เทพยังเหลือ ดังนั้นควรสร้างหมวกเป็นอันดับถัดไป’


แน่นอน ต้องรอให้ละโมบงอกเงยจนถึงปริมาณพร้อมใช้เสียก่อน


‘แล้วเราควรใช้น้ำตาของกษัตริย์วารีตอนไหนดี… ไม่สิ เก็บไว้ก่อนดีกว่า’


น้ำตากษัตริย์วารี


ก่อนหน้านี้ กริดเคยนำมันใส่หัตถ์เทวะเพื่อบรรจุศรเวท อย่างไรก็ตาม สติปัญญาในปัจจุบันของกริดมีไม่ต่ำกว่า 3,000 หน่วยแล้ว หากคลาสรอง ‘มหาจอมเวท’ ไม่เปลี่ยนเป็น ‘ดยุคแห่งปัญญา’ เสียก่อน ป่านนี้คงได้เรียนเวทมนตร์ ‘ไฟบอล’ โดยอัตโนมัติ


‘แต่ถ้าบราฮัมตื่นขึ้นมาและเห็นว่าค่าสติปัญญาของเราเพียงพอ หมอนั่นอาจยอมสอนเวทมนตร์ชนิดใหม่เพิ่ม’


น้ำตาของกษัตริย์เผ่าวารีคือของหายากอย่างแท้จริง ในอดีต กริดต้องรอ 5 เดือนต่อหยดน้ำตาหนึ่งก้อน แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 12 เดือน สาเหตุมาจาก กษัตริย์วารี มาซง หลั่งน้ำตาน้อยลงในช่วงหลัง


เมื่อตาสว่างในฐานะผู้ปกครองสูงสุดของสายพันธุ์ มันประกาศกึกก้องว่าจะดูแลชาวเผ่าวารีเป็นอย่างดี และร่ำไห้คิดถึงบุตรสาวในเวลาเหมาะสมเท่านั้น


‘ตัดสินใจได้แล้ว… เราจะไม่ใช้น้ำตากษัตริย์วารี จนกว่าบราฮัมจะตื่นและสอนเวทมนตร์ใหม่’


ว่ากันตามตรง กริดสามารถใช้ไปก่อน แล้วค่อยแยกส่วนออกมาในภายหลังได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่า วัสดุจะไม่เสียหายขณะทำการแยกชิ้นส่วน


เรียนเวทมนตร์ใหม่


เงื่อนไขสำคัญคือ รอให้บราฮัมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แม้ไม่ทราบว่านานแค่ไหน แต่กริดก็เต็มใจรอ มันเชื่อว่า ยิ่งค่าสติปัญญาของตนเพิ่มขึ้น ดวงวิญญาณของบราฮัมก็ยิ่งฟื้นฟูได้เร็ว หากหมั่นพัฒนาตัวละครอย่างต่อเนื่อง สักวันบราฮัมจะฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม


‘ระหว่างรอ คงต้องเก็บเลเวลฆ่าเวลาไปก่อน เราเองก็ต้องทำงานหนักเพื่อบราฮัม’


ขณะกริดกำลังลุกจากเก้าอี้


“นี่!”


“…?!”


เด็กสาวผู้หนึ่งปรากฏตัวโดยไม่ให้สุ้มเสียง


หล่อนมีบรรยากาศรอบตัวเย็นเฉียบ แม้แต่ยอดนักรบอย่างเทรูชานยังถูกสะกดในพริบตา


ลูกมังกร — ไม่สิ ศัพท์เทคนิคสำหรับเรียกสิ่งมีชีวิตอย่างเนเฟลิน่าคือ ‘แฮชลิ่ง’


“ท่านมาหาคนต่ำต้อยเช่นข้าทำไมหรือ”


กริดพูดออกไปอย่างกระอักกระอ่วน มันไม่เคยต้องนอบน้อมต่อใครขนาดนี้


เนเฟลิน่าขมวดคิ้วก่อนเล่าเข้าเรื่องโดยไม่อ้อมค้อม รวมถึงไม่เกริ่นอะไรเลย


“การเคลื่อนไหวของหลากเผ่าพันธุ์ รวมถึงทัศนคติของสิ่งมีชีวิตชั้นสูงบางกลุ่ม ได้สร้างแรงกระเพื่อมไปถึงหล่อน”


“หล่อน?”


หล่อนไหนวะ!


ถ้อยคำสั้นห้วนของเนเฟลิน่าทำให้กริดประหลาดใจจนต้องขมวดคิ้ว


“หล่อน… สตรีผู้เอาแต่หลับใหล”


“…?”


“เธอคือราชินีแห่งแวมไพร์ในอนาคต”


“…!!”


“ไม่ว่าจะมองมุมใด ท่าทีของเธอบ่งบอกชัดเจนว่า เริ่มสนใจโลกใบนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว”


‘เดี๋ยวก่อนแม่คุณ! ไม่คิดจะเกริ่นอะไรสักหน่อยหรือ’


กริดทำได้เพียงตัดพ้อ มันยืนก้มศีรษะฟังเนเฟลิน่าเรื่องราวอย่างเงียบงัน


ทันใดนั้น แฮชลิ่งมังกรออกปากเตือน


“ข้าไม่ต้องการสูญเสียบ้านหลังนี้ เจ้าต้องรีบทำให้หล่อนสงบลง ข้าไม่สนวิธีการ”


ให้ทำอะไรนะ?


เชี่ยไรเนี่ย…


เมื่อกล่าวจบ เนเฟลิน่าเดินสะบัดก้นกลับไปโดยไม่อธิบายสิ่งใดเพิ่มเติม ทิ้งให้กริดยืนแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้นหิน


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,491
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. อ้าวงงเลย แมรี่โรสต์หรือเปล่า แต่ไม่ใช่ว่าแมรี่โรสต์เป็นเจ้าแวมไพร์แต่เดิมอยู่แล้วเหรอ

    ReplyDelete
    Replies
    1. แมรี่โรสคือภารยาผมเอง

      Delete
    2. แมรี่โรสแน่ๆ เพราะนางเป็นแค่เอิร์ลแวมไพร์(ถ้าจำไม่ผิด) ยังไม่ได้เป็นราชินีแวมไพร์

      Delete
    3. This comment has been removed by the author.

      Delete
    4. แมรี่โรสเป็นดยุคหรือดัช
      เชนไม่ใช่หรอครับเป็นรองแค่ราชาหรือราชินี(ตามยศพลังไม่เกี่ยว)

      Delete
    5. This comment has been removed by the author.

      Delete
    6. เเม่รี่ โรส เปนดัชเชส ไม่ใช่เคาท์เตส ไม่ใช่หรอ

      Delete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00