จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 933
“ฉันมีแผนจะเพิ่มจำนวนกิลด์ย่อยที่ขึ้นตรงกับกิลด์โอเวอร์เกียร์ และหัวหน้ากิลด์ใหม่ต้องเป็นคนสนิทของกริดเท่านั้น”
กิลด์โอเวอร์เกียร์ขาดแคลนอัจฉริยะ - นี่คือคำกล่าวที่ลอเอลเคยบ่นเปรยบ่อยครั้ง แต่นั่นเป็นเพียงมุมมองของผู้เล่นระดับท็อป อันที่จริง กิลด์โอเวอร์เกียร์เต็มไปด้วยบุคคลพรสวรรค์มากมายในแต่ละสาขา ลำพังแค่สองกิลด์ไม่สามารถรองรับจำนวนผู้เล่นได้หมด
เฉกเช่นบริษัทใหญ่ที่ต้องแตกตัวออกเป็นกลุ่มบริษัท ถึงเวลาที่โอเวอร์เกียร์ต้องให้กำเนิดกิลด์ย่อยใหม่แล้ว
“อันที่จริง ฉันเคยคิดเรื่องนี้มานานแล้ว และมีแผนจะสร้างให้สำเร็จทีละนิดอย่างมั่นคง แต่สถานการณ์ปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก พวกเราจำเป็นต้องเร่งสร้างกิลด์นักลอบสังหารโดยเร็ว ก็อย่างที่นายทราบ มีผู้เล่นให้ความสนใจกิลด์พวกเรามากขึ้นในระยะหลัง ฉันต้องการตัวคนเหล่านั้นเข้ากิลด์ทันที…”
“นายอยากให้ฉันดูแลกิลด์ใหม่ใช่ไหม”
“ถูกต้อง… อยากทำรึเปล่า”
ลอเอลถามด้วยท่าทีหยั่งเชิง
ปัจจุบัน สมาชิกทุกคนในกิลด์โอเวอร์เกียร์หลักจะถือเป็น ‘อัศวิน’ ภายใต้แม่ทัพใหญ่อย่างปิอาโร่ พวกเขาได้รับบัฟด้านต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากมาย แต่หากออกจากกิลด์หลักเมื่อใด บัฟเหล่านั้นก็จะหายไปจนทำให้ตัวละครอ่อนแอลงเล็กน้อย
ลอเอลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเสียสละเฟคเกอร์ พวกพ้องคนสำคัญที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตั้งแต่สมัยเซดากาห์ ลอเอลเสียใจกับเรื่องนี้มาก
หัวใจของเขากำลังหนักอึ้ง
ทว่า เฟคเกอร์ผงกศีรษะโดยไม่ลังเล สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเคย
“เข้าใจแล้ว”
“…”
ชายคนนี้มิได้เรียกร้องการชดเชยหรือแสดงท่าทีหัวเสีย เขายอมทำทุกสิ่งเพื่อผลประโยชน์และความก้าวหน้าของกิลด์เสมอ เฟคเกอร์เป็นเช่นนี้มาตลอด
คำตอบแสนราบเรียบจากนักลอบสังหารแรงค์หนึ่งของโลกทำให้ลอเอลรู้สึกว่าตนเป็นคนบาป
“ฉันอยากให้นายโกรธมากกว่านะ…”
กิลด์ก็มีระบบเลเวล กิลด์โอเวอร์เกียร์หลักที่มีกริดเป็นหัวหน้า เลเวลกิลด์ได้กลายเป็นระดับสูงสุดมาพักใหญ่แล้ว
นอกเหนือจากบัฟอัศวิน กิลด์ยังมีระบบอำนวยความสะดวกมากมายคอยตอบสนองผู้เล่น แต่กลับกัน กิลด์ ‘โอเวอร์เกียร์แชโดว’ ของเฟคเกอร์จะต้องเริ่มใหม่ที่เลเวลหนึ่ง และปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกรวมถึงบัฟอัศวินทุกชนิด ปัญหาที่เฟคเกอร์ต้องเผชิญไม่ได้มีเพียงการลดลงของค่าสถานะ
แต่ท่าทีตอบสนองกลับเรียบเฉยเย็นชาเพียงเท่านี้เองหรือ… ลอเอลคุ้นชินกับนิสัยของเฟคเกอร์ก็จริง แต่ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อต้องพบเจอในสถานการณ์เช่นนี้
เฟคเกอร์กล่าวต่อไปอย่างราบเรียบ
“ฉันเตรียมตัวสำหรับวันนี้มานานแล้ว ไม่เพียงแค่นั้น…”
ลอเอลไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม เขาเห็นเฟคเกอร์กำลังอมยิ้มที่มุมปาก…
“ประเทศของปู่ฉันมีสำนวนที่ว่า แม้แต่สุนัขจรจัดในโรงเรียนจีนยังสามารถเขียนอักษรจีนได้ภายในสามปี ฉันมั่นใจว่าตัวเองสามารถพัฒนาและบริหารกิลด์ได้ เชื่อมือฉันได้เลย”
ในฐานะเงามืดแห่งโอเวอร์เกียร์ เฟคเกอร์ทำงานร่วมกับลอเอลมานานหลายปี เขาเฝ้ามองพฤติกรรมของลอเอลอย่างใกล้ชิดยิ่งกว่าใครทั้งหมด สิ่งนี้ช่วยให้เฟคเกอร์ซึมซับทักษะด้านบริหารไม่น้อย
“ขอบคุณมาก”
ณ วันนี้ เฟคเกอร์ได้ลาออกจากกิลด์โอเวอร์เกียร์หลักและก่อตั้งกิลด์โอเวอร์เกียร์แชโดวขึ้น ผู้เล่นคลาสนักลอบสังหารทั้งหมดถูกโยกย้ายมายังกิลด์ใหม่ และนักลอบสังหารภายนอกที่กำลังต่อคิวรอเข้ากิลด์ หลายคนถูกดึงตัวเข้ากิลด์โอเวอร์เกียร์แชโดวทันที
กิลด์นักลอบสังหารอันดับหนึ่งโลกถูกก่อตั้งขึ้นแล้ว บุคคลเหล่านี้จะกลายเป็นคมมีดที่คอยทิ่มแทงศัตรูของกริดและอาณาจักร
***
“พวกแกเลิกแหย่มันสักที!”
กริดขอร้องอ้อนวอน แต่การเยาะเย้ยของโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์กลับไม่หยุดลง
เขารู้สึกราวกับตนเป็นผู้ร้ายสุดโฉด
‘ถ้ามองในมุมกัลกุนอส…’
กัลกุนอสคือเจ้าของบ้านที่ต้องการเตือนและขับไล่ผู้บุกรุก แต่หัวขโมยบัดซบกลับไม่แยแสและเอาแต่เยาะเย้ย ไม่ต้องสืบเลยว่าฝ่ายใดเป็นคนดีและฝ่ายใดเป็นคนชั่วในเหตุการณ์คราวนี้
“…ช่างแม่งสิ เราไม่จำเป็นต้องเห็นใจมอนสเตอร์สักหน่อย ใช่แล้ว! พวกแกหัวเราะให้ดังขึ้นอีก! เชิญหัวเราะให้ท้องแข็งไปเลย! ไอ้บัดซบนั่นชื่อกัลกุนอสใช้ไหม ถ้าอย่างนั้น… ฉันจะตั้งชื่อเล่นมันว่ากัลกุ!”
เสียงพังครืนของกำแพงเริ่มดังใกล้ทุกขณะ สิ่งนี้หมายความว่า ‘สาวกเทพสงคราม·ผู้ครอบครองเทคนิคลับสองชนิด’ กำลังอยู่ไม่จากกริดมาก
ชายหนุ่มรู้ตัวว่าคงเลี่ยงการปะทะไม่ได้ แต่เขากำลังตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด ในมือกำดาบอัสนีฯ แน่นถนัด ข้างกายมีเพียงใบดาบท้าทายเทพและดาบแห่งแสงคอยบินลอยคุ้มกัน
‘บอสรองที่แท้จริงจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันนะ…’
จากรายงานของลอเอล เขาได้ส่งหน่วยเงาโอเวอร์เกียร์จำนวนหนึ่งออกสำรวจ ‘วิหารกัลกุนอส’ เพื่อค้นหาจุดเก็บเลเวลแห่งใหม่ ทีมสำรวจได้พบกับ ‘บอสรอง’ เข้าโดยบังเอิญในจุดใกล้กลับบันไดวน ชื่อของบอสรองตัวดังกล่าวคือ ‘สาวกเทพสงคราม·ผู้หลบหนีจากหลุมศพ’
รายงานจากลอเอลยังระบุอีกว่า บอสรองตัวนี้แข็งแกร่งมาก พลังโจมตีและความว่องไวใกล้เคียงกริด พลังป้องกันระดับแวนเนอร์ และมีพลังชีวิตอย่างน้อยเก้าล้านหน่วย แถมมันยังครอบครองทักษะ ‘สวนกลับไร้เงื่อนไข’ สุดโกง นับเป็นมอนสเตอร์ที่มีค่าพลังพื้นฐานสูงมาก ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการดวลหนึ่งต่อหนึ่งทุกรูปแบบ
ใช่แล้ว เนื่องด้วยความเก่งกาจของมัน ลอเอลจึงเข้าใจผิดถนัดว่า ‘สาวกเทพสงคราม·ผู้หลบหนีจากหลุมศพ’ เป็นบอสรองของวิหารกัลกุนอส
แต่พวกมันก็เป็นภัยคุกคามต่อกริดตามที่ลอเอลกล่าวอ้างจริง…
สิ่งที่กริดกำลังกังวลก็คือ มอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งระดับนั้นกลับไม่ใช่บอสรองของวิหารกัลกุนอส หากคำนึงถึงจำนวน สาวกเทพสงครามมีปริมาณมากเกินกว่าจะเป็นบอสรองของดันเจี้ยน และมีความเป็นไปได้สูงที่มันจะอ่อนแอกว่าสาวกเทพสงครามชุดใหม่ที่กัลกุนอสอัญเชิญออกมาโดยตรง
ข้อมูลของบอสรองที่แท้จริงจึงยังไม่ปรากฏแน่ชัด
‘คำบอกใบ้อยู่ในชื่อของมัน’
สมองกริดกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว
‘พวกมันมีสองทักษะ แตกต่างจากตัวแรกที่มีเพียงทักษะสวนกลับชนิดเดียว’
ไอบัดซบที่กำลังเข้ามาใกล้ต้องแข็งแกร่งจนน่ากลัวแน่
‘หากเป็นดันเจี้ยนทั่วไป มอนสเตอร์พิเศษกับบอสรองจะมีเลเวลต่างกันราวสามสิบถึงหกสิบระดับ สิ่งมีชีวิตประเภทมอนสเตอร์จะมีค่าสถานะแปรผันตามเลเวล’
หมายความว่า บอสรองอาจมีแต้มสถานะไม่ต่างจากแรงเกอร์หัวแถวมากนัก
‘ส่วนสำคัญที่สุดคือพลังชีวิต ถ้าพลังชีวิตสูงกว่าสาวกเทพสงครามรุ่นแรกสองเท่า ถ้าคอมโบร่างมืด โทสะช่างตีเหล็ก แสงจ้า และคลื่นทำลายล้างร่ายรำสังหารยังเอาชีวิตมันไม่ได้ เราก็เตรียมตัวนอนในโลงได้เลย…’
กริดที่ฉลาดขึ้นนิดหน่อยยังคงไม่ได้ข้อสรุปถึงวิธีเอาชนะบอสรอง… ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะหากปัญหาแก้ได้ด้วยการขบคิดเพียงอย่างเดียว โลกนี้คงไม่มีสงครามและความอดอยากเกิดขึ้น
“ช่างแม่ง เดี๋ยวก็รู้เอง”
เขาไม่มีข้อมูลอะไรเลย ไม่รู้ว่าสาวกรุ่นใหม่เป็นอันเดดหรือสิ่งมีชีวิต ไม่รู้ว่าเทคนิคลับอีกหนึ่งชนิดเป็นทักษะประเภทไหน กริดไม่รู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
ขบคิดให้ปวดหัวไปก็เท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์คับขัน ประสบการณ์ที่ผ่านมาได้สอนกริดว่า การทำหัวให้โล่งเข้าไว้คือสิ่งสำคัญ นี่มิใช่ความโอหังหรืออวดเก่ง แต่กริดคือเกมเมอร์รุ่นเก๋าที่เคยฝ่าฟันอุปสรรคทุกรูปแบบนับตั้งแต่ซาทิสฟายเริ่มเปิดตัว
“ร่างมืด พลิ้วไหว โทสะช่างตีเหล็ก”
กำแพงด้านหน้ากริดพังครืนลง ซอมบี้ในชุดคลุมเก่าโทรมปรากฏกายจากกองซากหินถล่ม ‘สาวกเทพสงคราม·ผู้ครอบครองเทคนิคลับสองชนิด’ คือมอนสเตอร์ประเภทอันเดดเหมือนกับรุ่นแรก
กริดรับมือกับมันอย่างใจเย็น เมื่ออีกฝ่ายฟันใส่ด้วยดาบขึ้นสนิม กริดก็ฟันสวนแลกเพื่อหยั่งเชิงพลังโจมตี
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ค่าความเสียหายอาวุธไม่ลดลง ไม่สูญเสียพลังชีวิต และไม่เกิดอาการแขนชา หมายความว่าพลังโจมตีของกริดและมันมีระดับใกล้เคียงกัน ชายหนุ่มแสดงสีหน้าโล่งใจเล็กน้อย แต่ท่าทีผ่อนคลายกลับคงอยู่ได้ไม่นาน…
[ท่านได้รับความเสียหาย 7,930 หน่วย]
[เป้าหมายได้รับความเสียหาย 9,950หน่วย]
[ท่านถูกสวนกลับโดยเทคนิคประหลาด ท่านได้รับความเสียหาย 9,950 หน่วย]
ภายในสองวินาที กริดโจมตีได้หนึ่งครั้งและถูกโจมตีกลับหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มเริ่มสัมผัสถึงเค้าลางของพลังโจมตีและความเร็วของอีกฝ่าย แต่ปัญหาคือทักษะสวนกลับบัดซบนั่น การโจมตีสวนกลับจะพุ่งใส่กริดด้วยสปีดเหนือจินตนาการเสมอ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเท่ากับความเสียหายที่กริดสร้างใส่
‘จนถึงตอนนี้ เรายังไม่พบจุดที่แตกต่างจากสาวกเทพสงครามรุ่นแรก’
ระดับพลังชีวิตก็ยังไม่แน่ชัด ความเสียหายเพียงหมื่นหน่วยคงไม่อาจวัดอะไรได้
สมองกริดเริ่มประมวลผลอย่างหนัก
‘ทักษะอีกชนิดจะเป็นแบบไหน…’
การสู้แบบยื้อเวลาคงเสียเปรียบแน่ เหมือนกับการสู้สาวกเทพสงคราม·ผู้หลบหนีจากหลุมศพตลอดหลายวันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเทพสงครามชนิดใด แต่ประสิทธิภาพร่างกายล้วนแข็งแกร่งทัดเทียมกริดในร่างบัฟเต็มสูบ หากเขาอยากชนะ กริดต้องล้มมันให้ได้ก่อนผลของบัฟร่างมืดจะหมดลง
‘ไม่สิ เราต้องยื้อเวลาอีกนิด’
กริดฟันใส่สาวกเทพสงครามเต็มแรงพลางชำเลืองมองเหล่าพวกพ้องที่ยืนกุมหัวอย่างไม่ได้สติ สามวีรชนฯ จะฟื้นตัวในอีก 45 วินาทีข้างหน้า พวกเขาต้องเป็นพลังให้กริดได้มากแน่
‘เราไม่ได้สู้คนเดียวสักหน่อย’
กริดหรี่ตาลงพลางครุ่นคิด เขาเกิดคำถามมากมายในหัว
ลิชกัลกุนอสเป็นข้ารับใช้ของจอมอสูรตนใดกัน… มันไปเอาศพของสาวกเทพสงครามมาจากที่ใด และทำไมถึงใช้ศพของสาวกเทพสงครามเป็นตัวอย่างทดลอง… ไม่เพียงเท่านั้น สาวกเทพสงครามยังเอาแต่พึมพำมองหาสุสานดาบ ภายในสุสานดาบมีสิ่งใดซ่อนอยู่กันแน่…
หากเขาต้องการคำตอบ คงไม่มีทางอื่นนอกจากจัดการไอ้ตัวบัดซบตรงหน้า
“อ๊ะ…!”
กริดที่หมกมุ่นอยู่กับการเอาชนะศัตรูเริ่มฉุกคิดถึงบางสิ่งที่เขาอยากทดลองมานานแล้ว สิ่งนั้นคือ ‘พลังลวงตา’ ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังสามชนิดของบีเลียล กริดไม่เคยใช้มันเลยสักครั้งเพราะเป็นทักษะที่ยากแก่การนำมาปฏิบัติจริง
ด้วยพรสวรรค์ที่กริดมี แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะใช้งานมันอย่างช่ำชองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
แต่ไม่ใช่กับปัจจุบันแล้ว ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองดูบ้าง
สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลก หากต้องการพัฒนาไปข้างหน้า บททดสอบทางจิตใจคือสิ่งที่ต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ กริดจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อรีดเร้นประสิทธิภาพของราชาอสูรให้มากที่สุด
ปัจจุบัน ชายหนุ่มกำลังตกที่นั่งลำบากจากผลสะท้อนกลับของสาวกเทพสงคราม พลังชีวิตกริดเหลือเพียงครึ่งหลอด ส่วนพลังชีวิตของสาวกเทพสงครามแทบไม่ลดลงจากในตอนแรก
กริดเริ่มรู้สึกขอบคุณค่าพลังป้องกัน +8 หน่วยจากกางเกงในที่เขาสวม ชายหนุ่มกำลังสิ้นหวังถึงเพียงนั้น
“พลังบีเลียล”
ราชาโอเวอร์เกียร์เลือกใช้พลังที่เขาหลีกเลี่ยงมาตลอด
ไม่สิ ระบุให้ชัดคือ ชายหนุ่มขอลอง ‘ท้าทาย’ มันเป็นครั้งแรกในคราวนี้
[พลังจอมอสูรบีเลียลภายในอักขระความมืดถูกปลดปล่อย]
[มนุษย์มิอาจใช้งานพลังทั้งสามชนิดของบีเลียลได้]
[ท่านอยู่ในร่างครึ่งอสูร ร่างกายสามารถทนรับพลังอสูรได้บางส่วน แต่ขีดจำกัดของมนุษย์มิอาจใช้งานพลังสามชนิดของบีเลียลได้พร้อมกัน]
[ท่านต้องเลือกหนึ่งในสามพลังของบีเลียล : ความมืด เปลวเพลิง หรือลวงตา]
[ท่านเลือกพลังลวงตา]
[ท่านได้รับทักษะติดตัว ‘ราชินีแห่งการตบตาและบิดเบือน’ ผลของบัฟจะคงอยู่นาน 2 นาทีพร้อมกับได้รับทักษะ ‘การบิดเบือนแห่งราชินี’]
[ท่านจะได้รับทักษะเพิ่มเติมเมื่อค่าสติปัญญาสูงกว่า 4,000 แต้ม]
[สติปัญญาของท่านต่ำเกินไป คงเป็นการยากที่จะใช้งาน ‘การบิดเบือนแห่งราชินี’ อย่างเต็มประสิทธิภาพ]
…
“กริด…”
ผ่านไปแล้วหนึ่งนาทีนับตั้งแต่กริดเริ่มดวลกับสาวกเทพสงคราม·ผู้ครอบครองเทคนิคลับสองชนิด เป็นเวลาเดียวกับที่คริส เรกัส และป็อนหลุดพ้นจากผลครอบงำอันรุนแรงของจิตตก แต่ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้พวกเขาเริ่มสับสน บางทีสติของตนอาจยังฟื้นฟูกลับมาไม่สมบูรณ์
ทุกคนกำลังเห็นกริดมากถึงห้าคน ไม่ใช่หนึ่งอย่างที่ควรจะเป็น
ราวกับเป็นอาการภาพหลอนจากยาเสพติดก็มิปาน
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,326
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
เมาค้างเลยงานนี้
ReplyDeleteหลอนไปอีกหลายวัน กว่าจะอัพอีกตอน 😅😅
ReplyDelete