จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 931
สุสานดาบคือทุ่งโล่งที่มีดาบจำนวน 4,179 เล่มปักอยู่ในดิน จากบรรดาหมู่ดาบมากมายเหล่านี้ ดาบจำนวน 3,580 เล่มเป็นเพียงเครื่องประดับตกแต่งฉากที่มิอาจขยับเขยื้อนได้ ส่วนที่เหลืออีก 599 เล่มคือของจริงที่มีกลไกลลับซ่อนอยู่
ดาบ 599 เล่มสามารถบิดได้ทั้งทางซ้ายและขวา ภูมิประเทศทุ่งกว้างของสุสานดาบจะแปรเปลี่ยนตามการรูปแบบและทิศทางการหมุนดาบ จะมองว่าเป็น ‘ปริศนา’ ชิ้นใหญ่ที่ต้องไขให้ลงล็อกก็ไม่ผิดนัก หากการแก้ปริศนาดำเนินไปอย่างถูกต้อง ทุ่งกว้างของสุสานดาบก็จะเปลี่ยนสภาพกลายเป็น ‘เนินเขา’ มากขึ้น ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการถูกเรียกว่า ‘สุสาน’ มากกว่า
“บ้าจริง ล้มเหลวอีกแล้ว”
หลังจากหมุนดาบเล่มที่ 423 ไปทางซ้าย ดาบเล่มที่ 1 ถึง 422 พลันหมุนกลับสู่สภาพเริ่มต้นอีกครั้ง เนินเขาที่เริ่มก่อตัวได้ยุบลงกลายเป็นทุ่งกว้างเฉกเช่นตอนแรก
สกังค์รีบปรบมือและกล่าวให้กำลังใจพวกพ้อง
“ทุกคนไปพักก่อน ไม่ต้องเสียใจไป พวกเราเหลืออีกแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น”
“ตกลง ล็อกเอาต์ออกไปหาอะไรกินกันก่อน”
คณะสำรวจของสกังค์เริ่มสนใจและตรวจสอบสุสานดาบมาตั้งแต่หนึ่งปีกับอีกสี่เดือนก่อน พวกเขาใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเต็มในการค้นหาที่ตั้ง และใช้เวลาอีกสี่เดือนในการไขปริศนารูปแบบเพื่อเปิดประตูสุสาน แม้ต้องทำเรื่องซ้ำเดิมนับพันครั้ง ผิดพลาดหนแล้วหนเล่า แต่คณะสำรวจของสกังค์ก็ยังคงเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น
การได้ขุดคุ้ยประวัติศาสตร์และปริศนาคือสิ่งที่กระตุ้นต่อมความตื่นเต้นคนเหล่านี้เสมอ พวกเขาไม่สนใจระบบหลักของเกมที่มีชื่อว่า ‘เลเวล’ แม้แต่น้อย
“นี่… มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ”
ใครบางคนตั้งคำถามขณะสกังค์กำลังนั่งจ้องหมู่ดาบจากเขตค่ายที่พัก เธอคือบุคคลอันดับสองในคณะเดินทางครั้งนี้ ผู้เล่นคลาสนักสำรวจแรงค์เก้าของโลก ด็อก·วูเม่น
“สุสานดาบคือสถานที่ซึ่งเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับแพ็กม่า ผู้สืบทอดแพ็กม่าต้องเดินทางมาเยือนที่นี่สักครั้งในชีวิต”
และไม่มีใครในโลก ที่ไม่ทราบว่าผู้สืบทอดแพ็กม่าคือกริด
“ลำพังกริดจะไขปริศนาที่ยากขนาดนี้ได้เองหรือ ปริศนาที่พวกเราใช้ผู้เชี่ยวชาญกว่าแปดสิบคนในการขบคิดนานกว่าสี่เดือน ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก หากสุสานดาบคือปริศนาสำหรับบุคคลเพียงผู้เดียว แล้วทำไมระดับความยากถึงมากมายขนาดนี้”
กริดไม่มีทักษะด้านสำรวจ เขาจะแก้ปมปริศนาซึ่งมี ‘รูปแบบความเป็นไปได้กว่าหมื่นชนิด’ ของสุสานดาบได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้เลยในทางทฤษฎี
“กริดอาจเป็นกษัตริย์ที่มีกำลังคนให้ใช้งานมากมาย… แต่ถ้าผู้สืบทอดแพ็กม่าไม่ใช่กริดล่ะ เป็นเพียงช่างตีเหล็กธรรมดาที่ไม่มีพลังของราชา เขาจะไขปริศนาสุสานดาบตามลำพังด้วยวิธีใด”
“เธอต้องการจะบอกอะไรกับฉัน”
สกังค์หันไปมองด็อก·วูเม่น
เธอกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
“คงต้องมีวิธีเปิดสุสานดาบที่ง่ายกว่านี้แน่ แต่พวกเรากำลังใช้วิธียากสุด”
“หืม…”
เป็นการคาดเดาที่สมเหตุสมผล และอันที่จริง สกังค์ก็คิดเช่นเดียวกับด็อก·วูเม่นมาสักพักแล้ว เพียงแต่เขานึกได้ในตอนที่สายเกินไป
สกังค์ส่ายศีรษะ
“ต่อให้ทฤษฎีของเธอเป็นจริง แต่พวกเราก็ไม่มีเวลาและกำลังคนมากพอจะค้นหาทางเข้าด้วยวิธีอื่น คณะสำรวจนี้มาไกลถึงดาบเล่มที่ 422 แล้ว”
ปลายทางเหลืออีกไม่ไกล คณะสำรวจของสกังค์คาดการว่าจะเปิดสุสานดาบได้ในอีกสองเดือนข้างหน้า การสละเวลาเพื่อมองหาวิธีอื่นไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก และอาจบั่นทอนขวัญกำลังใจพวกพ้องทุกคนด้วย
ด็อก·วูเม่นพยักหน้าเล็กน้อย
“ฉันทราบ แล้วก็ไม่ได้คิดจะให้นายหาวิธีอื่น เพียงแต่ในอนาคต การสำรวจครั้งถัดไปของพวกเราควรกระทำหลายวิธีไปพร้อมกัน”
“เข้าใจแล้ว สุสานดาบจะเป็นบทเรียนที่ดีให้กับคณะสำรวจของพวกเรา”
“อื้อ ฉันเองก็อยากเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในสุสานดาบ หากเป็นไอเท็มที่เกี่ยวข้องกับภารกิจผู้สืบทอดแพ็กม่าล่ะก็ เราอาจขายกริดได้ในราคาสูง…”
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน พวกเราถือไพ่เหนือกว่ามาก ฝ่ายกริดคงไม่มีทางเลือกในการต่อรองนัก”
ในอีกหลายเดือนหรือหลายปีให้หลัง หากถึงคราวที่กริดต้องค้นหาไอเท็มภารกิจจากสุสานดาบ ถ้ากริดเดินทางมาถึงและพบว่าสุสานดาบกลายเป็นสถานที่ว่างเปล่า ความปรารถนาในไอเท็มภารกิจต้องเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายเท่า และนั่นคือโอกาสต่อรองที่สกังค์เล็งไว้
สกังค์แสนมั่นใจ สมบัติภายในสุสานดาบได้กลายเป็นของตนเรียบร้อยแล้ว
***
อาชาสีขาวกำลังควบผ่านทางเดินยาวในวงกต ชายบนหลังม้าบิดตัวเหลียวกลับมองไปด้านหลัง ซอมบี้สวมเสื้อผ้าเก่าโทรมตนหนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามด้วยความเร็วอันน่าตกตะลึง
“บ้าจริง! ทำไมไอ้ระยำนี่ถึงปรากฏตัวได้!”
ชายบนหลังม้า ป็อน เขากำลังสั่นระริกด้วยสีหน้าหงุดหงิด สิ่งมีชีวิตบัดซบที่กำลังไล่ตามเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก ‘สาวกเทพสงคราม·ผู้หลบหนีจากหลุมศพ’ —มอนสเตอร์สุดโหดที่ไม่มีวันล้มได้หากปาร์ตี้ปราศจากตัวแทงค์หรือจอมเวท
ป็อนไม่เคยดวลเดี่ยวกับมันมาก่อน เขามักเก็บเลเวลในจุดที่ห่างจากบันไดวนเสมอ แต่ในช่วงระยะหลัง ขอบเขตการปรากฏตัวของสาวกเทพสงครามกลับไกลจากบันไดวนจนน่าตกใจ
ป็อนกำลังควบม้าหนีตายราวกับหนูที่ถูกแมวไล่กวด
‘ต้องเป็นฝีมือเจ้าบ้าเรกัสแน่…’
ใบหน้าของพวกพ้องคนสำคัญลอยเข้ามาในหัว หากเดาจากนิสัยเรกัส หมอนั่นอาจไม่ได้เก็บเลเวลในวิหารกัลกุนอสอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เรกัสชอบความท้าทาย และอาจเริ่มเก็บเลเวลกับสาวกเทพสงครามเป็นกลุ่มใหญ่ จนส่งผลให้สาวกเทพสงครามต้องขยายอาณาเขตเพื่อกำราบผู้บุกรุก
‘เจ้าบ้านั่นเป็นศัตรูชัดๆ!’
ป็อนควบม้าใกล้ถึงสุดเขตทางตรงยาว เขาเริ่มครุ่นคิดสถานการณ์อย่างละเอียด และตระหนักว่าตนคงจนมุมแน่แล้ว เพราะเมื่อม้าหันหัวเปลี่ยนทิศ สาวกเทพสงครามจะฉวยโอกาสนั้นโจมตีใส่
‘คงต้องซัดมันให้กระเด็นด้วยทักษะพุ่งชน’
การโจมตีใส่สาวกเทพสงครามซึ่งหน้านับว่าโง่เขลา มอนสเตอร์บัดซบตัวนี้มีอัตราสวนกลับการโจมตีระยะประชิด 100%
ป็อนคิดขุดหลุมฝังศพตัวเองด้วยการโจมตีใส่งั้นหรือ… ขณะอาชาสีขาววิ่งใกล้ถึงกำแพงสุดทางตรง ใบหน้าของม้าที่หันเข้ากำแพงเริ่มเบนไปทางซ้ายพร้อมกับบิดลำตัว
สาวกเทพสงครามไม่ปล่อยโอกาสหลุดลอย มันวิ่งไปดักหน้าเพื่อย่นระยะ จากนั้นก็ใช้ดาบขึ้นสนิมเล็งแทงใส่ป็อนที่อยู่บนหลังม้า แน่นอนว่าป็อนเดาได้ล่วงหน้า เขาตอบโต้อย่างใจเย็นด้วยการบิดเอวหลบคมดาบ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับการส่งแรงแทงหอกสวนกลับไป ปลายหอกกระแทกใส่แผ่นอกสาวกเทพสงครามอย่างจังจนมันกระเด็นลอยไปในอากาศ
อาชาควบเบี่ยงไปทางซ้าย ป็อนบิดตัวแทงหอก และร่างสาวกเทพสงครามที่ลอยกระเด็น เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงในจังหวะเดียวกัน
ราวกับกาลเวลาหยุดไหลไปชั่วครู่…
เมื่อกลับสู่ความจริงอีกครั้ง สาวกเทพสงครามกระแทกพื้นพร้อมกับกลิ้งถอยหลังอีกหลายตลบ ส่วนป็อนก็ฉวยโอกาสควบม้าหนีด้วยความเร็วสูงสุด
“ฟู่ว”
ป็อนหนีตายอย่างฉิวเฉียด ณ จุดนี้ เหลือระยะทางอีกไม่มากที่เขาจะสลัดจนหลุดการตามล่า
…ขณะอัศวินหอกพิสุทธิ์กำลังหลงดีใจ
“ว๊ากกก!”
ป็อนได้ยินเสียงแหกปากดังมาจากอีกฟากของทางเดินมืดมิดในทิศที่เขากำลังควบม้าตรงไป
ป็อนได้แต่ขมวดคิ้ว
“มีบางสิ่งกำลังเข้ามาใกล้เรา…”
เป็นสาวกเทพสงครามตัวใหม่ซึ่งกำลังไล่ล่าเรกัสที่วิ่งหนีมาทางตน
“เฮ้! ไอ้บัดซบ! อย่าหนีมาทางนี้โว้ย!”
ป็อนแหกปากพลางสบถหยาบคาย แต่นั่นไม่ทำให้การวิ่งของเรกัสหยุดลง เพราะหากเขาหยุดตอนนี้ ศีรษะคงได้กระเด็นหลุดออกจากบ่าแน่นอน
“ช…ช่วยฉันด้วย…! ว๊ากกก!”
เรกัสเคยคิดว่าเขาได้พบบ่อน้ำกลางทะเลทราย แต่เขาคิดผิด ป็อนไม่ได้มาช่วยตน แต่กำลังลากสาวกเทพสงครามอีกหนึ่งตามมาไม่ห่าง ภาพการมองเห็นของเรกัสพลันพร่ามัว
เมื่อความหวังรอดชีวิตต้องพังครืนไม่เป็นท่า น้ำตาไหลอาบสองแก้มเรกัส
“สงบสติหน่อยโว้ย!”
ป็อนส่งเสียงตะคอกเพื่อปลุกเรกัสให้ได้สติกลับมา ขณะเดียวกันก็ใช้หอกแทงใส่สาวกเทพสงครามตัวที่กำลังไล่ตามเรกัส
“แค่ก!”
ป็อนกระอักเลือดจากการถูกสวนกลับ ขณะเดียวกัน เรกัสได้กระโดดถีบหน้าอกสาวกเทพสงครามตัวที่ไล่ตามป็อน ร่างสาวกลอยเคว้งกลางอากาศจากผล ‘กระเด็น’ ของท่าถีบ แน่นอนว่าเรกัสไม่ตามซ้ำ เขารีบกระโดดขึ้นหลังม้าและกล่าวตำหนิป็อน
“นายไม่รู้รึไงว่าพวกมันจะสวนกลับ! ทำไมไม่ใช้ทักษะกระเด็นแบบฉัน!”
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ช่วยหุบปากก่อนโว้ย!”
เขาขี้เกียจอธิบายเรกัสว่าทักษะกระเด็นทั้งหมดล้วนอยู่ในระยะหน่วง ป็อนข่มโทสะที่มีต่อสาวกเทพสงครามและพยายามหาทางหนีออกจากวงกตบัดซบแห่งนี้
ทว่า…
โฮกกกกก—
“…!”
สาวกเทพสงครามตนใหม่ปรากฏตัวดักหน้าอาชาสีขาว ม้าของป็อนหยุดวิ่งฉับพลันจนทำให้เรกัสหล่นกระแทกพื้น
“โอ้ย…”
[กระดูกแขนซ้ายหัก]
เป็นการหักที่รุนแรง อาจต้องใช้เวลานานถึงยี่สิบวินาทีในการฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพปรกติ เรกัสกุมแขนซ้ายพลางกวาดสายตามองรอบทิศ ปัจจุบัน เขากำลังถูกล้อมไว้โดยสาวกเทพสงครามจำนวนสามตน
“นี่มันเรื่องบ้าอะไร…”
ป็อนตอบกลับด้วยสีหน้าตกตะลึง
“ไม่ใช่ฝีมือของนายรึไง… ฉันนึกว่านายเป็นคนทำซะอีก”
“ไม่มีทาง ฉันสู้เจ้าพวกนี้ไม่ได้ ก็เลยอยู่ห่างจากบันไดให้มากที่สุด…”
“แล้วใครเป็นคนก่อเรื่อง… คริสงั้นหรือ”
ไอ้บดซบหน้าไหนบังอาจแหย่ฝูงสาวกเทพสงคราม… ป็อนอยากทราบความจริงข้อนี้ก่อนตายไปเยี่ยงสุนัขข้างถนน เขาหงุดหงิดจนต้องการสบถเสียงดัง
สาวกเทพสงครามเริ่มหยุดวิ่ง พวกมันไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เหยื่อถูกล้อมไว้ทุกทิศโดยไม่มีทางให้หนี ขั้นตอนเดียวที่เหลือคือการเชือดผู้บุกรุกทิ้ง
“ภูเขา… ยุทธภัณฑ์… อยู่ที่ไหน…”
“ภูเขา… ยุทธภัณฑ์… อยู่ที่ไหน…”
สาวกเทพสงครามที่ล้อมป็อนและเรกัสไว้ต่างยกอาวุธขึ้นพร้อมกัน
“หยุดก่อน! ถ้าพวกแกอยากได้คำตอบก็อย่าเพิ่งฆ่ากันสิโว้ย!”
“ใช่แล้ว! คุณสาวกเทพสงคราม วางอาวุธลงแล้วค่อยพูดค่อยจากันเถอะนะ”
แน่นอนว่าไม่ได้ผล สาวกเทพสงครามกวัดแกว่งอาวุธในมือโดยหมายจบชีวิตคนทั้งสองในคราเดียว แต่ทันใดนั้น…
“วิถีทรราช”
วงกตสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงพร้อมกับเกิดภาพลวงตาของฝูงกระบือขนาดใหญ่วิ่งผ่านไป
ป็อน เรกัส และสาวกเทพสงครามต่างหันไปมองยังต้นตอความวุ่นวาย บุรุษคนหนึ่งปรากฏกายพร้อมกับดาบใหญ่ในมือ เป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้เล่นแรงค์หนึ่งของโลก คริส
“ดาบพันชั่ง!”
นับเป็นพลังทำลายทางกายภาพอันมหาศาล ดาบใหญ่กระแทกใส่กะโหลกศีรษะของสาวกเทพสงครามตนหนึ่งอย่างจังจนหน้าของมันคะมำทิ่มดิน ถือเป็นการโจมตีที่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงจนอีกฝ่ายมิอาจสวนกลับ
คริสอาศัยบัฟทรราชเพื่อแก้ทางการสวนกลับอัตโนมัติอย่างชาญฉลาด
“สุดยอด…”
“คริสช่าง…”
ป็อนและเรกัสต่างทึ่งที่พลังชีวิตของสาวกเทพสงครามหายไปกว่าครึ่งด้วยการโจมตีเดียว คงมีเพียงไม่กี่คนบนโลกที่ทนรับการโจมตีจากคริสไหว
ทันใดนั้น คริสรีบตะโกน
“มัวยื่นเหม่ออะไรอยู่! รีบหนีสิโว้ย!”
“หนี… พวกเราไม่ได้จะสู้หรอกหรือ”
“สู้กับผีน่ะสิ! ไอ้มอนสเตอร์บัดซบชนิดนี้สามารถสวนกลับดาบสิบชั่งได้เชียวนะ! ฉันจะไม่เผชิญหน้าพวกมันเด็ดขาดถ้าดาบร้อยชั่งกับดาบพันชั่งอยู่ในระยะหน่วง!”
แม้จะมีสมาชิกเพิ่มอีกหนึ่ง แต่สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด
…ขณะป็อนและเรกัสกำลังวิ่งหนีเข้าไปในช่องว่างกำแพงที่คริสสร้าง
“ส่งแผนที่มาให้ฉัน”
เสียงใหม่ดังขึ้นจากฝั่งด้านหลัง เป็นเสียงที่ชวนขนหัวลุกยิ่งกว่าเสียงอันแหบพร่าของสาวกเทพสงคราม ทันใดนั้น กลุ่มก้อนเวทมนตร์จำนวนมหาศาลถูกกระหน่ำยิงใส่สาวกเทพสงครามประหนึ่งกองทัพจอมเวทปรากฏตัว เวทมนตร์สร้างความเสียหายรุนแรงจนกลุ่มสาวกเทพสงครามต้องถอยหลังเพื่อตั้งหลัก ทั่งที่พวกมันมีค่าต้านทานเวทสูงเป็นทุนเดิม
เป็นกองทัพจอมเวทจากหน่วยไหนกัน… คริส ป็อน และเรกัสต่างหันไปมองด้วยสีหน้าใครรู้
และสิ่งที่พวกเขาได้เห็น…
“คายแผนที่ออกมาซะ!”
มีเพียงบุรุษหนึ่งคน เขาคือราชาโอเวอร์เกียร์ที่ร่างกายกำลังห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงร้อนระอุ ในมือถือกำลังไม้เท้าแทนดาบยาว
“เพลิงโลกันตร์แห่งราชินี!”
สุดยอดพลังของจอมอสูรบีเลียลถูกปลดปล่อย มันคือเวทมนตร์ที่สิ้นเปลืองมานามากถึง 90% แต่สามารถสร้างความเสียหายได้มหาศาล ความรุนแรงคำนวณจากพลังโจมตีเวทมนตร์ของผู้ร่ายและพลังชีวิตสูงสุดของเป้าหมาย กริดทราบดีว่ากลุ่มเวทมนตร์ธรรมดาไม่มีทางดับลมหายใจสาวกเทพสงครามได้แน่
เปลวเพลิงของบีเลียลส่งให้สาวกเทพสงครามตนหนึ่งลงไปนอนกองกับพื้น แขนขาของมันเริ่มละลาย
“…”
เขาเก่งขึ้นกว่าเดิมรึเปล่านะ… คริสและป็อนถึงกับยืนเหม่อ ส่วนเรกัสรีบตะโกนขึ้น
“พวกนายทำอะไรอยู่! รีบช่วยกริดเร็วเข้า!”
“เอ๋… อา… อื้ม!”
ช่วย…
ช่วยใครล่ะ…
คริส ป็อน และเรกัสที่กำลังก้าวขาพลันต้องชะงัก
โนเอะ แรนดี้ โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ ใบดาบท้าทายเทพ ภูตแสง รวมถึงแวมไพร์ที่ถูกอัญเชิญ เหล่าสิงสาราสัตว์ของกริดกำลังเป็นฝ่ายรุกหนักจนสาวกเทพสงครามตกเป็นฝ่ายตั้งรับ สาวกเทพสงครามมิอาจสวนกลับแวมไพร์เนื่องจากมีดาบแห่งแสงและใบดาบท้าทายเทพคอยสกัดขัดขวาง ส่วนกริดคอยยืนถล่มพวกมันด้วยเวทมนตร์จากระยะไกล
“…นั่นคือช่างตีเหล็กแน่ใช่ไหม”
กริดบดขยี้สาวกเทพสงครามได้โดยไม่ต้องกวัดแกว่งดาบ… ณ จุดนี้ กริดสมควรถูกเรียกว่า ‘มหาหมอผีจอมเวท’ มากกว่า
เหล่าสิบวีรชนฯ ทั้งสามได้แต่นึกสงสัยในใจว่า คลาสหมอผีที่มั่นอกมั่นใจในพลัง ‘กองทัพ’ ของตัวเอง พวกมันจะแสดงสีหน้าเช่นไรเมื่อได้เห็นกริดในสภาพนี้
ราชาโอเวอร์เกียร์รีบหันมาตะโกนกับสามวีรชนฯ ที่กำลังยืนมองอย่างเหม่อลอย
“เฮ้! พวกนายทำบ้าอะไรอยู่! ช่วยกันหน่อยสิโว้ย! ว๊ากกก!”
พลังบีเลียลถือเป็นร่างสุดโกงก็จริง แต่ผลของบัฟอยู่ได้เพียงสองนาทีเท่านั้น กริดที่สูญเสียเปลวเพลิงรอบกายกำลังวิ่งหนีตายพร้อมโนเอะ วิชาดาบนานับชนิดของเขากำลังอยู่ในระยะหน่วงเพราะเพิ่งปะทะกับกลุ่มสาวกเทพสงครามเมื่อไม่นาน
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,324
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
เหว่อกันหมดคนอ่านก็เช่นกัน จากที่ดูคงรู้ชะตากรรมของการเรดจอมปีศาจตั้งแต่เนินๆแล้วสิ
ReplyDeleteโอเวอร์เกียร์เจอโอเวอร์ดันเจี้ยนเข้าไป เกือบง่อย555
ReplyDeleteนี้แหละบุคคลที่ใช้สามัญสำนึกปกติมาตัดสินไม่ได้ และไม่ควรคิดถึงความโกงของกริด เพราะกริดโกงและยังไม่ได้เปิดเผยพลังทั้งหมดให้โลกรู้อีกมาก พลังบีเลียนของกริดมี3อย่างแต่ยังใช้ไม่หมด
ReplyDelete