จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 896
>> ก่อนแพ็กม่าถือกำเนิด โลกมนุษย์เคยมีช่างตีเหล็กนามว่า ‘บุลทาร์’
“…”
>> เขาถูกยกย่องให้เป็นตำนานเหมือนกับเจ้าและแพ็กม่าไหม? ไม่ใช่เลย บุลทาร์เป็นเพียงช่างตีเหล็กแสนธรรมดา
>> แต่เขามีจิตใจที่มุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ ใครก็ตามที่ต้องการความช่วยเหลือจากตน บุลทาร์จะอุทิศตัวให้โดยไม่เกี่ยง เขาทำงานหนักจนผิวหนังกลายเป็นสีแดงฉาน
น้ำเสียงที่เย็นชาและเย้ยหยันนี้เป็นของใครกัน? กริดไม่ค่อยแน่ใจนัก
‘บัญชาแห่งเทพคือพลังของมารลำดับสี่ ถ้าอย่างนั้น นี่เป็นเสียงทาเร็นงั้นหรือ?’
ช่างเถอะ เรื่องนั้นไม่สำคัญ
ปัจจุบัน ความมืดมิดเริ่มกลืนกินภาพการมองเห็นของกริด จิตของเขาถูกโอนถ่ายจากวาติกันไปยังโรงเหล็กเก่าโทรมแห่งหนึ่ง
…
เคร้ง! เคร้ง!
“…”
ช่างตีเหล็กคนหนึ่งกำลังสร้างเครื่องไม้เครื่องมือหลายชนิดด้วยเทคนิคสุดหยาบ
ผิวหนังของชายคนนี้มีสีแดงฉานจากความร้อนเตาหลอม ร่างกายเปี่ยมชุ่มด้วยเหงื่อไคลจำนวนมาก
เขาคือบุลทาร์
บุลทาร์กำลังเพ่งสมาธิทุบค้อนด้วยสีหน้ามุ่งมั่น แม้ร่างกายและความอ่อนล้าจะถึงขีดจำกัดนานแล้ว
‘ทำไมต้องฝืนตัวเองขนาดนี้?’
คำตอบปรากฏในเวลาไม่นาน
‘เฮ้! บุลทาร์! ยังไม่เสร็จอีกรึไง?’
“ใกล้แล้ว!”
ตนไม่ได้นอนติดต่อกันกี่วันแล้ว?
สติของบุลทาร์ดับวูบไปชั่วครู่ ก่อนจะตื่นขึ้นอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงเรียก
บุคคลที่ส่งเสียงจากภายนอกโรงเหล็กคือชาวบ้านธรรมดา
หมู่บ้านแห่งนี้กำลังเผชิญวิกฤติฝนที่รุนแรง กริดมองเห็นได้จากช่องว่างประตูที่เปิดแง้มอยู่
เขื่อนของหมู่บ้านพังทลาย
หมู่บ้านกำลังจะจมใต้น้ำ
ชาวบ้านพยายามร่วมมือกันเพื่อบรรเทาให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
ด้วยฐานะช่างเหล็กคนเดียวในหมู่บ้าน บุลทาร์จึงต้องทำงานอย่างหนักตลอดคืนวันโดยไม่ได้นอน
“บุลทาร์! พวกเราต้องการพลั่วอีก 20 เล่ม!”
“เร็วเข้า!”
“…”
ทุกคนย่อมมีขีดจำกัด ไม่เว้นแม้กระทั่งช่างตีเหล็กในตำนานอย่างกริด
การทำงานโดยไม่ได้นอนติดต่อกันหลายวันเป็นสิ่งที่สร้างภาระทางจิตใจมหาศาล
แต่บุลทาร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันอดทน
เขานั่งในจุดเดิมตลอดสี่วันเต็ม
กระหน่ำทุบค้อนไม่หยุดพัก
สิ่งที่น่าทึ่งก็คือ บุลทาร์ไม่เคยปริปากบ่นให้ใครฟัง ไม่เคยแสดงให้ชาวบ้านเห็นถึงช่วงเวลายากลำบาก
เขาทราบดีว่าพลังของตนคือสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องหมู่บ้าน
หากกล่าวออกไปว่าเขาถึงขีดจำกัด ชาวบ้านจะเป็นกังวลและไม่มีกะจิตกะใจต่อสู้กับภัยน้ำท่วม
ดังนั้นบุลทาร์ต้องอดทน เขาปิดปากเงียบโดยไม่กล่าวสิ่งใดจนถึงที่สุด
จิตใจของบุลทาร์ได้ก้าวข้ามร่างกายที่ร่อแร่จวนเจียนตาย
หลังจากหมู่บ้านรอดพ้นจากภัยน้ำท่วม เสียงหนึ่งดังแว่วในหัวบุลทาร์
>> เขาได้ยินเสียงของเทพธิดารีเบคก้า
การกระทำของบุลทาร์น่าชมเชยจนได้รับความสนใจจากเทพธิดาแห่งแสง
รีเบคก้าระบุว่า การอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือคนในหมู่บ้านของบุลทาร์ถือเป็นคุณงามความดีที่น่ายกย่อง
เธอสัญญาว่าจะมอบพลังซึ่งช่วยชดเชยเทคนิคตีเหล็กที่ขาดแคลนของบุลทาร์
หลังจากนั้นไม่นาน บุลทาร์ได้รับพรจากเทพตีเหล็กเฮ็กเซเทีย
พรครั้งนี้ทำให้บุลทาร์ก้าวข้ามช่างตีเหล็กมนุษย์ทุกคนบนโลก จนถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งใน ‘เจ็ดผู้ถูกเลือก’
>> หลังจากนั้น บุลทาร์ยังคงทำงานอย่างหนัก
เขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณเทพธิดาแห่งแสง บุลทาร์ต้องการทำงานหนักเพื่อตอบแทนเธอ
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ความจริงใจและซื่อตรงของเขาจะกลายเป็นพิษร้ายในภายหลัง
หลังจากความเพียรอันไม่ย่อท้อ ในที่สุดบุลทาร์ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์
เขาได้ครอบครองทักษะ ‘ออกแบบ’ ของช่างตีเหล็ก
แม้เทพจะเคยประทานเครื่องไม้เครื่องมือให้มนุษย์นับล้านชนิด แต่บุลทาร์กลับสร้างสิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์แก่มนุษย์ยิ่งกว่าเดิม
เพียงไม่นาน
เก่งกาจจนสร้างโลหะชนิดใหม่ได้
ผลก็คือ…
>> เฮ็กเซเทียเริ่มริษยา
เฮ็กเซเทียโกรธแค้นมนุษย์ที่เคารพบูชาช่างตีเหล็กแสนธรรมดาซึ่งมีคุณงามความดีด้อยกว่าตนมาก
เทพตีเหล็กเริ่มทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์
เฮ็กเซเทียเสกโลหะเดือดพล่านหลายล้านก้อนให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนปฐพี
โลกมนุษย์ลุกเป็นไฟ บ่อลาวาเดือดขยายบริเวณเป็นวงกว้าง
เผ่าพันธุ์มนุษย์ถึงคราวสูญสิ้น
>> บุลทาร์ทำได้เพียงมองเพื่อนมนุษย์ล้มตายไปต่อหน้า บุลทาร์ตัดสินใจสร้างผลงานสุดท้ายด้วยความโกรธแค้น สิ่งนั้นคือ…
ศิลาแห่งบาปต้นกำเนิด—แร่ที่ถูกกระตุ้นโดยความริษยาจากเฮ็กเซเทีย
ปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์คือสุดยอดดาบที่เฮ็กเซเทียประทานให้โลกมนุษย์ เป็นสัญลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่ของเทพตีเหล็ก
แต่บุลทาร์โกรธแค้นเทพตีเหล็ก เขาหวังปฏิเสธการมีตัวตนของเฮ็กเซเทีย
บุลทาร์ใช้บาปแห่งริษยาที่เฮ็กเซเทียก่อ เป็นเครื่องผนึกปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงถึงการมีตัวตนของเฮ็กเซเทีย
เขาผนึกดาบของเทพสำเร็จ
เขาลบความยิ่งใหญ่ของเทพสำเร็จ
ด้วยความริษยาของเทพเอง
นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘เจ็ดผู้ถูกเลือก’ ที่ต่อต้านเทพเพื่อปกป้องมวลมนุษย์
เฉกเช่นบุลทาร์ ผู้ถูกเลือกอีกหกคนล้วนได้รับพรจากเทพ
บุคคลเหล่านี้คือเจ็ดนักบุญภัยพิบัติที่ถูก ‘เทพ’ ตราหน้าว่าเป็น ‘มาร’
>> แต่ท้ายที่สุด พวกเราขัดขวางเทพไม่สำเร็จ
เทพเป็นฝ่ายชนะศึก
ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์
เจ็ดนักบุญภัยพิบัติถูกเทพป้ายสีให้เป็นต้นกำเนิดบาปทั้งเจ็ดที่เป็นภัยคุกคามโลกมนุษย์
ทั้งที่พวกเราต่อสู้เพื่อมนุษย์ แต่กลับกลายเป็นวายร้ายในสายตามนุษย์
“…”
น้ำเสียงปริศนามิได้เปี่ยมด้วยอารมณ์ด้านลบเช่นโกรธเคืองหรือโมโห เสียงบรรยายยังคงเย็นชาและเหยียดหยันจนถึงที่สุด
บุคคลผู้นี้รู้จักควบคุมโทสะหลังจากอยู่กับมันมานานหลายพันปี
>> หลังจากแพ้สงคราม พวกเราทั้งเจ็ดถูกผนึกไว้ระหว่างโลกกึ่งกลางและขุมนรก
พวกเราเฝ้ามองเทพมาตลอด
และหวังว่า ‘แสงสว่าง’ อันเจิดจ้าของเทพที่เคยทำให้พวกเราตาบอด จะอ่อนโยนลงเมื่อมนุษย์ยุคใหม่ถือกำเนิด
เจ็ดนักบุญภัยพิบัติลดบทบาทตัวเองเหลือเพียง ‘ผู้เฝ้ามอง’ พวกเราทั้งเจ็ดเลือกจะเชื่อในความดีของเทพ
>> แต่สิ่งเดิมกลับเกิดขึ้นซ้ำสอง…
เฮ็กเซเทียเกิดความริษยาต่อแพ็กม่า
เขาเริ่มคุกคามมนุษย์อีกครั้ง โดยที่เทพตนอื่นมิได้ห้ามปรามหรือยื่นมือช่วยมนุษย์
พวกเราทั้งเจ็ดจึงมั่นใจทันที…
ชะตาชีวิตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับอารมณ์เพียงชั่ววูบของเทพเท่านั้น โลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนองอารมณ์ต่ำช้าของพวกมัน
พวกเราเจ็ดคนเริ่มเกิดความสิ้นหวัง
มนุษย์ที่ปราศจากพลังของพวกเราคงมิอาจต่อต้านเทพได้แน่ ชะตากรรมของมนุษย์คงถึงจุดจบในไม่ช้า
แต่เหตุการณ์กลับตรงข้าม
เทพสูญเสียพลังไปมากในการทำสงครามกับเจ็ดนักบุญภัยพิบัติในอดีต และยังไม่ฟื้นฟูกลับมา ณ ขณะนั้น
เฮ็กเซเทียจึงเลือกยืมพลังจากขุมนรก
จอมอสูรลำดับหนึ่ง ‘บาเอล’ ตอบรับข้อเสนอจากเทพ…
แต่อีกทางหนึ่งกลับแอบช่วยแพ็กม่า
สงครามระหว่างมนุษย์และอสูร (?) กลายเป็นเครื่องสันทนาการให้บาเอล
ต้องขอบคุณแพ็กม่าและบาเอล
โลกมนุษย์จึงรอดพ้นจากการถูกทำลาย
นับตั้งแต่ศึกนั้น
ผ่านมาสองร้อยปีแล้ว
>> จนกระทั่งยุคสมัยปัจจุบัน
ยิ่งเวลาผ่านไปนาน พลังของเจ็ดนักบุญภัยพิบัติก็ยิ่งอ่อนแอลง
ที่แย่ไปกว่านั้น ผู้สืบทอดพลังตำนานกลับอ่อนแอลงจากยุคสมัยเก่าอย่างเห็นได้ชัด
หลักฐานบ่งชี้คือการที่ผู้สืบทอดแพ็กม่าได้ครอบครองสมญานาม ‘ราชาวีรบุรุษ’ แทนที่ผู้สืบทอดอริยดาบ
แถมยังมีการขาดหายไปของผู้สืบทอดราชาไร้พ่าย สิ่งนี้สร้างช่องโหว่อย่างใหญ่หลวงที่ยากจะชดเชย
จะเกิดอะไรขึ้นหากโทสะของเฮ็กเซเทียอุบัติขึ้นในยุคสมัยนี้?
มนุษย์จะก้าวเข้าสู่เส้นทางล่มการสลายอีกครั้ง เจ็ดนักบุญภัยพิบัติต่างมั่นใจ
พวกเรามิอาจนิ่งดูดายในฐานะ ‘ผู้เฝ้ามอง’ ได้อีกต่อไป
แม้พลังอาจเหลือเพียงน้อยนิด แต่ทุกคนยินดีจะส่งต่อให้กับวีรบุรุษเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ยังอ่อนแอและไม่พร้อมทำสงคราม
ต่อให้ดวงวิญญาณครึ่งเทพต้องสูญสิ้น
แต่โลกจะถูกทำลายไม่ได้เป็นอันขาด
ทว่า…
>> …เจ้าเปลี่ยนแปลงชะตากรรม
ยากจะให้เจ็ดนักบุญภัยพิบัติเชื่อลงว่า กริดสามารถลบล้างหนึ่งในเจ็ดบาปต้นกำเนิดได้ตามลำพัง
พวกเขาต่างทึ่งในวิธีการที่กริดเลือกใช้บรรเทาความริษยาในใจเฮ็กเซเทีย
ราชาวีรบุรุษรุ่นปัจจุบันที่อ่อนแอกว่าทุกรุ่นที่เคยมีมา
แต่ขณะนี้ กริดยิ่งใหญ่ที่สุดในสายตาของเจ็ดนักบุญภัยพิบัติ
>> บาปถัดไปของเทพคงไม่เกิดขึ้นอีกพักใหญ่ จนกว่าจะถึงตอนนั้น มนุษย์จะมีช่วงเวลาที่สงบสุข
‘สงบสุข’ ที่ว่าหมายถึงการไม่ถูกลงทัณฑ์จากเทพ
>> แต่สงครามระหว่างมนุษย์จะไม่มีวันจบสิ้น มนุษย์ที่สร้างบาปไว้มากมายยิ่งกว่าเทพ ศึกนี้จะคงอยู่ตราบชั่วนิรันดร์ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะยื่นมือเข้าแทรกแซง
บทสนทนาจบลงเท่านี้
ขณะเสียงปริศนาเริ่มเลือนราง
กริดรีบถาม
“คุณเป็นใคร?”
>> เรา…
ว่ากันว่า บุคคลผู้นี้คือเจ้าของบาปที่ร้ายแรงที่สุด
>> เราคือมารลำดับเจ็ด…บาปแห่งความชั่วร้าย
หลังจากเสียงสุดท้ายจบลง ความมืดมิดเบื้องหน้ากริดระเบิดออก
จิตของกริดลอยเคว้งผ่านห้วงมิติเวลาด้วยความเร็วสูง
“…กริด!”
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างของเขากำลังถูกดาเมี่ยนและสภาอาวุโสช่วยพยุงไว้
จิตของกริดกลับสู่โลกความจริงหลังจากผจญภัยในเนื้อหาภารกิจอย่างยาวนาน
“อา…”
เขาเพิ่งตระหนักว่า ตนกำลังถือปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือ
“คำสาปคลายแล้ว!”
“ยอดเยี่ยมมาก! กษัตริย์กริดทำสำเร็จอีกแล้ว! พวกเราขอชื่นชมคุณที่ยังคงศรัทธาเทพรีเบคก้าไม่เสื่อมคลาย ฮะฮ่าฮ่า!”
เหล่าอาวุโสต่างหัวเราะอย่างมีความสุข
แม้พวกเขาจะไม่ได้เห็นกับตา แต่ทุกคนมั่นใจว่าผู้ชำระล้างปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์คือกริด สิ่งนี้เกิดจากความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เหล่าสภาอาวุโสเข้าใกล้การเทิดทูนบูชากริดดุจดั่งเทพเต็มที
“…ก็ไม่ขนาดนั้น”
กริดเริ่มอึดอัดเมื่อเหล่าอาวุโสรีเบคก้าเริ่มจ้องมองตนด้วยแววตาเปล่งประกาย
ชายรีบหนุ่มยื่นดาบกลับคืนให้ดาเมี่ยนที่กำลังมีสีหน้าดำมืด
“ดาบศักดิ์สิทธิ์จะไม่ถูกกัดกร่อนด้วยคำสาปอีกแล้ว สัญลักษณ์แห่งรีเบคก้าจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์”
“เอ่อ…”
ดาเมี่ยนรับดาบจากกริดพร้อมกับพยายามกล่าวบางสิ่ง
เขาพะงาบปากขึ้นลงหลายหน
แต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา
จนกระทั่ง
“เป็นการผจญภัยที่ดีรึเปล่า?”
ดาเมี่ยนได้อ่านข้อความโลกเหมือนกับทุกคน อันที่จริง เขามีหลายสิ่งต้องการบอกกับกริด
ดาเมี่ยนทั้งอยากขอบคุณ และขอโทษที่ตนนำพาเรื่องราววุ่นวายให้กริดเสมอ ทั้งที่เป็นปัญหาซึ่งโบสถ์รีเบคก้าควรจัดการด้วยตัวเอง
ทว่า ดาเมี่ยนมิได้กล่าวออกไป
ใบหน้าของกริดกำลังกระจ่างใสไร้หม่นหมอง
กริดเผยรอยยิ้มเปี่ยมสุข สายตาและความคิดเหม่อลอยไปยังสถานที่ห่างไกล
สีหน้ากริดมิได้อิดโรยหรือเหน็ดเหนื่อย
คงเป็นการสร้างภาระให้กริดหากตนกล่าวในที่สิ่งน่าอึดอัดออกไป
กริดตอบกลับ
“อา…เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก”
ได้พบเทพตัวจริง
ดวลชนะ
และเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลก
กริดรู้สึกราวกับตนเป็นตัวเอกในเทพนิยาย เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่เขาภาคภูมิใจจนมิอาจอธิบายเป็นคำพูด
[ภารกิจเสร็จสิ้น]
[ท่านได้รับทักษะดาบใหม่ไปแล้วระหว่างทำภารกิจ ‘ชำระล้างปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์’ รวมถึงรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับแพ็กม่าและความขัดแย้งของเทพ]
[ท่านได้รับ ‘พรจากเทพธิดา’ เป็นรางวัลตอบแทนภารกิจ]
[เสียงอันอบอุ่นของเทพธิดาแห่งแสงดังแว่วข้างหูท่าน]
>> เราขออวยพรเจ้า
“…”
ปัจจุบัน กริดมีพรจากเทพธิดาสองข้อ
เขาไม่ต้องเลือกอีกแล้ว สามารถยกระดับทั้งทักษะตีเหล็กและวิชาดาบพร้อมกัน
ขณะกริดกำลังขนลุกอย่างตื่นเต้น
‘ว่าแต่…บาปของรีเบคก้าคืออะไร?’
รีเบคก้าเป็นเทพที่ยิ่งใหญ่สายตามนุษย์
เป็นตัวตนที่ถูกกราบไหว้บูชาอย่างหาที่สุดมิได้
…เธอย่อมทราบถึงความเคลื่อนไหวทั้งหมดบนโลกมนุษย์
กระนั้น รีเบคก้ากลับชื่นชอบกริดแทนที่จะเป็นกังวล
ทั้งที่กริดถูกครอบงำโดยเจ็ดนักบุญภัยพิบัติ แถมยังเป็นผู้ขจัดบาปแห่งริษยาของเฮ็กเซเทีย
เป็นท่าทีราวกับว่า ตัวเธอมิได้เกี่ยวพันกับบาปทั้งเจ็ดแม้แต่น้อย
แต่เจ็ดภัยพิบัติเคยกล่าวไว้ พวกเขาหวาดระแวงในตัวรีเบคก้า แถมบราฮัมยังเคยเรียกขานรีเบคก้าว่าเป็นบุคคลชั่วร้ายที่ร่วมมือกับเทพยาธาน
‘หืม…’
ศัตรูที่อ่านไม่ออกศัตรูที่น่ากลัวที่สุด
กริดทวีความหวาดระแวงในตัวรีเบคก้า
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิเสธพรของเธอ
สิ่งนี้คือพรที่ได้รับหลังจากฝ่าฟันอุปสรรคยากลำบากมากมาย และเขาก็เฝ้ารอมามันตลอด
“อ๊ะ…จริงสิ”
กริดหันไปถามดาเมี่ยนระหว่างทั้งคู่กำลังเดินออกจากคลังสมบัติวาติกัน
“นายรู้สึกยังไงตอนที่เคยสู้กับฉัน?”
“หือ?”
ดาเมี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม
“การโจมตีของฉันสร้างความเสียหายให้นายได้ไม่มาก ขณะเดียวกัน หากถูกนายโจมตีเข้าอย่างจัง ฉันอาจตายในดาบเดียว”
“…”
“ดังนั้น การโจมตีแต่ละครั้งของฉันต้องคอยพะวงไม่ให้ถูกสวนกลับ แต่นายมีหัตถ์เทวะ นั่นทำให้ฉันบุกได้ลำบากขึ้น…”
“…งั้นหรือ”
กริดกำลังประเมินประสิทธิภาพของดาบเล่มใหม่ที่สร้างขึ้นบนแอสการ์ด
ในอดีต หัตถ์เทวะคือสิ่งที่สร้างเพื่อชดเชยจุดบอดของตน ดังนั้น กริดจึงเป็นห่วงว่าการขาดหายไปของหัตถ์เทวะคือสิ่งที่ดีแล้วหรือไม่
‘ดาบเล่มใหม่มีโอกาสอัญเชิญหัตถ์เทวะก็จริง แต่ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่ามันจะเกิดขึ้นทุกการต่อสู้’
ใบดาบท้าทายเทพอาจมีพลังโจมตีทางกายภาพสูง แต่พลังด้านเวทมนตร์ต่ำมาก แถมยังไม่มีทักษะโจมตีเป็นวงกว้างเหมือนกับดาบอัสนีฯ
‘ทักษะดูแคลนสามัญชนก็ไม่ส่งผลกับสิ่งมีชีวิตที่ก้าวข้ามขีดจำกัด’
สำหรับผู้เล่นทั่วไป กริดสามารถใช้ ‘ดูแคลนสามัญชน’ ลดพลังชีวิต 80% ในพริบตาก็จริง แต่สำหรับกริด เขายังมีวิธีอีกมากมายที่สังหารผู้เล่นในดาบเดียว
ในมุมมองกริด ‘ดูแคลนสามัญชน’ ไม่ใช่ทักษะที่ดีขนาดนั้น
‘เราอยากเห็นสายฟ้าใหญ่กับเมฆทอง’
กริดต้องการพิสูจน์พลังของพวกมันด้วยตาตนเอง เมื่อตัดสินใจได้ เขาใช้มือบีบไหล่ดาเมี่ยนพร้อมกับแสยะยิ้มชั่วร้าย
“พวกเราไม่ได้ดวลกันนานแล้วใช่ไหม?”
“...หือ?”
เมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์สมัยกริดเพิ่งสร้างดาบอัสนีฯ เสร็จ สันตะปาปาแห่งโบสถ์รีเบคก้าพลันหน้าถอดสี
“ย…ยาเมเตคูดาไซ!” (อย่าทำฉัน)
“กล้าปฏิเสธงั้นหรือ? ฉันไปดวลกับอิสซาเบลก็ได้”
"…ก็ได้! ก็ได้!! ฉันรับคำท้า! "
คงไม่มีชายใดในโลกอยากให้หญิงสาวที่ตนรักกลายเป็นกระสอบทรายให้สัตว์ประหลาดกริด
ดาเมี่ยนยอมรับคำท้าทั้งน้ำตา
สถานที่ดวลคือลานหญ้าอันงดงามซึ่งวาติกันแสนภาคภูมิใจ
หลังจากได้ยินข่าวลือ ผู้เล่นที่สังกัดโบสถ์รีเบคก้าต่างรีบมามุงดู
ผู้เล่นส่วนใหญ่ทราบถึงความแข็งแกร่งของสันตะปาปาดาเมี่ยนดี
ชายคนนี้พัฒนาขึ้นจากสมัยงานแข่งนานาชาติปีล่าสุดมาก
ไม่มีใครเดาได้ว่าผลการดวลจะออกมาเป็นเช่นไร
ดาเมี่ยนอาจเติบโตช้ากว่ากริด
แต่เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกอย่างไร้ข้อกังขา
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,288
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
น่าจะต้องดวลกันมากกว่าพันครั้งถึงจะเรียกเมฆสีทองได้
ReplyDeleteรอถึงตอนแข่งกีฬาปีที่ 4 ครับ บอกเลยรายการสุดท้ายโคตรสนุก
ReplyDeleteไม่ใช่ pvp ด้วยนะ
Deleteค้นพบคนสปอย2ea
Delete55555
Deleteค้างงง
ReplyDeleteขอบคุณมากครับ😊🙏
สงสารดาเมี่ยนขึ้นมาเลย🤣🤣
ReplyDelete