จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 656
"ผิดจากที่จินตนาการไว้เลยแฮะ...นายหล่อและนิสัยดีกว่าที่ฉันคิดไว้มากที่เดียว นึกว่าจะเป็นตาลุงนิสัยหยาบกระด้างซะอีก เคี๊ยกฮ่าฮ่าฮ่า!!"
เทพสงคราม อาเรส
ชายผู้เฉียดเข้าใกล้สมญานาม <กษัตริย์คนแรก>
กริดตระหนักดีกว่า หากไม่เพราะตนมีลอเอล เจ้าของสมญานามกษัตริย์คนแรกต้องตกเป็นของอาเรสแน่นอน
"เป็นครั้งแรกที่เคยได้ยินใครสักคนชมว่าฉันหล่อ...ไม่ยอกันเกินไปหน่อยหรือ"
อาเรสสามารถเข้ากับคนได้ง่าย
ด้วยนิสัยร่าเริงและใบหน้าเป็นมิตร เขาจึงเป็นที่รักและได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้คนเสมอ
"น่าแปลก...ทำไมถึงไม่เคยมีใครชมว่านายหล่อเลยล่ะ อ๊ะ--หรือว่า!"
อาเรสแสยะยิ้มพร้อมกับใช้ศอกกระแทกกริดเล็กน้อย
"ทำเป็นถ่อมตัวต่อหน้าแฟนใช่ไหม"
'แฟน...'
ใครคือแฟน...
กริดหันมองตามสายตาที่อาเรสชำเลือง
เขาได้เห็นจิสึกะ
หญิงสาวสุดเซ็กซี่ ผิวสีแทน แขนขาเรียวยาวเหมือนนางแบบ
แม้จะยืนท่ามกลางผู้คนนับร้อย แต่ออร่าก็ยังงดงามโดดเด่นเหนือใคร
"...หล่อนไม่ใช่แฟนสักหน่อย"
"อย่าทำไก๋น่า...! นายครอบครองทั้งยูร่าและจิสึกะเรียบร้อยแล้วใช่ไหม"
"ฉันยังไม่ได้ครอบครองสักหน่อย..."
"เด็ดทั้งดอกไม้อันดับหนึ่งของอเมริกาใต้และดอกไม้งามแห่งตะวันออก...ฉันล่ะอิจฉานายจริงๆ หากอายุน้อยกว่านี้สักสิบปี บางทีฉันอาจมีโอกาสแบบนี้บ้าง...เคี๊ยกเคี๊ยก!"
"พวกเธอไม่ใช่แฟนของฉัน ลองคิดดูให้ดีสิ ต่อให้ชาติก่อนฉันช่วยจักรวาลนี้ไว้ แต่ก็ไม่มีทางได้ครอบครองทั้งสองคนพร้อมกันแน่...ไม่สิ ฉันไม่ใช่ไอ้ขยะที่จะคบผู้หญิงทีเดียวสองคนพร้อมกันสักหน่อย!"
"อ้อ...งั้นแปลว่านายคบกับยูร่าคนเดียวสินะ ความสัมพันธ์กับจิสึกะเป็นแค่คู่ขาหรอกหรือ วูบวาบและร้อนแรง...ใช่ไหมล่ะ"
"เฮ่อ...เราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ"
กริดสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมนุษย์จอมตื้อจากอาเรส เป็นกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับโดรันมาก
ชายหนุ่มรู้ดีว่า การโต้เถียงกับคนเช่นนี้จะไม่เกิดประโยชน์อันใด
กริดบ่นอุบอิบพร้อมกันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
อาเรสจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสุขุม
'เขาเป็นคนประเภทจริงใจ...และซื่อตรง'
เป็นการยากที่จะให้เชื่อว่า คนเช่นนี้จะเป็นผู้ปกครองอาณาจักรใหญ่หนึ่งแห่ง
กริดปฏิเสธเรื่องความรักอย่างตรงไปตรงมาและไร้เดียงสา
อาเรสในวัย 49 ปีตระหนักดีกว่า คนประเภทกริดจะไม่เสียบมีดแทนตนในภายหลังแน่
'...แต่ด่วนสรุปเร็วไปคงไม่ดี ต้องดูอีกสักหน่อย'
ความประทับใจแรกของอาเรสที่มีต่อกริดนับว่ายอดเยี่ยม
แม้กิลด์โอเวอร์เกียร์อาจใช้แผนสกปรกในการบังคับจับมือพันธมิตร แต่เรื่องนั้นก็เป็นอดีตไปแล้ว
กิลด์โอเวอร์เกียร์สามารถปราบหน่วยเกราะหนักเจนศึกได้ราบคาบ ส่งผลให้กองทัพอาเรสรับมือกับทัพหลวงของราชวงศ์เบลโต้อย่างราบรื่น
อาเรสมองว่า เหตุการณ์ในปัจจุบันเป็นผลดีมากกว่าเสีย
ไม่ใช่เรื่องแย่ที่ตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับโอเวอร์เกียร์
"ฉันล้อเล่นน่า...นายนี่ ล้อเล่นแค่นี้ก็โกรธกันแล้วหรือ วีรบุรุษต้องใจกว้างกว่านี้หน่อยสิ! เหมือนกับฉันคนนี้นี่ไง! เคี้ยกเคี้ยกเคี้ยก!"
อาเรสเริ่มยุแหย่กริดผู้เงียบขรึม...
ตาลุงนี่...
คงเป็นการยากที่จะให้คนทั่วไปเชื่อว่า เขาคือผู้นำของกองทัพอาเรสอันแสนเกรียงไกร
'พวกเราต้องระวัดระวังตัวให้มาก'
'เป็นการแสดงรึเปล่านะ...'
จิสึกะและยูเฟอมิน่าต่างหันมามองอาเรสด้วยสายตาหวาดระแวง
"เฮ่อ..."
สก็อตต์ยืนถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายข้างกายอาเรส
เป็นภาพที่คล้ายคลึ่งกับลอเอลเมื่อยืนข้างกายกริดยังไงยังงั้น
จิสึกะและยูเฟอมิน่าพลันตะหนักได้ พวกเธอต่างเกาแก้มอย่างเคอะเขิน
ดูเหมือนทั้งสองคนพอจะทราบนิสัยเบื้องต้นของชายที่ชื่ออาเรสแล้ว
***
อาเรสชื่นชอบกริดมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาเรสมองว่า พลังของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์คือสิ่งที่จำเป็นต่อกองทัพตน
จะเกิดอะไรขึ้นหากทหารที่มีทักษะสุดโกงได้สวมชุดเกราะสุดโกงออกศึก...
แม้พันธมิตรจะเริมต้นไม่ค่อยสวย แต่อาเรสก็ต้องการให้มันยืนยาวที่สุด
ดังนั้น เขาต้องแสดงความจริงใจต่อกริด
"พวกนี้ยังใช้การไม่ได้..."
ณ ปราสาทอาเรส ใจกลางลานฝึก
อาเรสเผยให้กริดกับพรรคพวกเห็นภาพการฝึกฝนทหารใหม่จำนวนหนึ่งหมื่นนาย
"ทักษะเสริมแกร่งทหารกล้าของฉันเพิ่งจะเลเวลสอง ทำให้มอบทักษะติดตัวแก่ทหารใหม่ได้เพียง 20 ช่องทักษะ และเมื่อฝึกเสร็จ ทหารจะมีเลเวลเริ่มต้นแค่ 200...แต่ถึงอย่างนั้น ทหารพวกนี้ก็มีจุดเริ่มต้นสูงกว่าหน่วยเกราะหนักเจนศึกล่ะนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!"
"..."
กริดและพรรคพวกถูกอาเรสเชิญไปชมการฝึกทหาร
การที่อาเรสยอมเปิดเผยทักษะของตนให้กริดรับรู้ สิ่งนี้นับว่าบ้อบอสิ้นดี
"น--นายเสียสติไปแล้วรึไง"
สก็อตต์โพล่งขึ้นแม้จะรู้ว่าสายไป
เขาไม่เข้าใจเลย ว่าเหตุใดอาเรสถึงยอมเปิดเผยความลับตัวเองแก่คนที่อาจเป็นศัตรูในวันข้างหน้า
อาเรสยักไหล่
"พวกเขาคงรู้ถึงทักษะของฉันไม่มากก็น้อยแล้ว ในเมื่ออีกเดี๋ยวก็คงถูกเปิดเผยอยู่ดี แล้วจะกลัวคนรู้ความลับไปทำไมกัน ก็ให้รู้ทั้งหมดไปเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดาสุ่ม เคี๊ยกฮ่าฮ่าฮ่า!"
"เฮ่อ...ซู้ด..."
สก็อตต์ถอนหายใจยาวและสูดลมหายใจเข้าลึก
ท่าทีของสุขุมของสก็อตต์ไม่หลงเหลืออีกแล้ว ชายคนนี้กลายเป็นตัวตนที่แสนเหนื่อยหน่ายอ่อนแอ สีหน้าละเหี่ยใจตลอดเวลา
สก็อตต์ไร้เรี่ยวแรงราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
ท่ามกลางบรรยากาศผิดแผก กริดเอ่ยปากถามขึ้น
"ทักษะติดตัวที่นายมอบให้ทหารได้...เป็นทักษะประเภทไหนบ้าง"
"อ้อ...ก็พวกขี่ม้าขั้นสูง ชำนาญเกราะหนักขั้นสูง ชำนาญอาวุธทุกชนิดขั้นกลาง และบาเรียต้านทานเวทมนตร์ขั้นต้น อ๊ะ...ยังมีพุ่งตัวขั้นต้น ใส่ได้ค่อนข้างน้อยนะว่าไหม บางทักษะก็กินช่องเยอะกว่าทักษะอื่น เช่นทักษะขั้นสูงทั้งสองชนิดที่กล่าวไป"
"...นายไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม"
ในซาทิฟาย หากผู้เล่นต้องการฝึกฝนทหาร สามารถกระทำได้สองวิธี
วิธีแรก สร้างค่ายทหารในดินแดนที่ตนเป็นเจ้าของ
จากนั้นก็ทุ่มเม็ดเงินและกำลังคนเข้าไป เพื่อฝึกให้พลเมืองกลายเป็นทหารพร้อมรบ
ขึ้นอยู่กับเลเวลของค่ายทหาร ยิ่งเลเวลสูง ทหารที่ฝึกฝนก็ยิ่งมีทักษะหลากหลาย
ฟังดูคล้ายกับเกมวางแผนรบอันโด่งดังสมัยร้อยปีก่อน...xตาร์xราฟต์
วิธีนี้จะสะดวกสบายกว่ามาก แต่ข้อเสียคือ เลเวลของทหารที่ได้รับจะน้อย แถมเลเวลของทักษะก็ไม่สูงมากนัก
วิธีที่สอง ผู้เล่นสามารถฝึกทหารด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านค่าย หรือไม่ก็จ้าง NPC ที่ชำนาญมาฝึกฝนทหารอีกทอดหนึ่ง
วิธีนี้จะสิ้นเปลืองเงินและเวลาอย่างมาก ผู้เล่นต้องจัดแจงควบคุมทุกสิ่ง
แต่ข้อดีคือ วิธีนี้จะทำให้ทหารได้รับทักษะตรงความต้องการผู้เล่น และเลเวลของทักษะจะยิ่งสูงขึ้นเมื่อทหารยิ่งฝึกหนัก แถมเลเวลของทหารก็ยังเพิ่มขึ้นมาก
สรุปโดยสิ้นก็คือ กริดฝึกฝนทหารของตนด้วยทั้งสองวิธี
วิธีแรกใช้เพื่อสร้างทหารที่ประจำการในจุดไม่สำคัญ เช่นทหารเวรยามที่คอยตรวจตราตามเมือง
ส่วนวิธีที่สอง ชายหนุ่มใช้เพื่อสร้างทหารระดับหัวกะทิ เฉกเช่นทหารเรย์ดัน
การฝึกโดยอัสโมเฟลและปิอาโร่จะทำให้ทหารมีเลเวลสูง แถมทักษะที่ได้รับก็ยังหลากหลายและน่าพึงพอใจ
แต่ก็มีตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่
เช่นสภาพภาพแวดล้อมที่ทหารใช้ฝึก
ตัวอย่างที่ชัดเจนคงหนีไม่พ้น...ทหารทุกนายที่ถูกปิอาโร่ฝึก จะได้รับทักษะติดตัว <ชำนาญการรบในทุ่งข้าวเพิ่มขึ้น 120%>
หรือแม้กระทั่งทักษะ <ชำนาญการเคลื่อนที่บนผืนทราย> ที่ติดตัวทหารเรย์ดันทุกนาย
กริดจึงได้ข้อสรุป
'ต่อให้ยอดขุนพลอย่างปิอาโร่และอัสโมเฟลฝึกฝนด้วยตัวเอง แต่ทหารก็ไม่สามารถมีทักษะติดตัวที่หลากหลาย แถมยังได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อม...และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ทักษะขั้นสูงไม่เคยปรากฏในทหารที่ถูกฝึกมาก่อน'
ทักษะทุกชนิดของทหารจะเริ่มที่ <ขั้นต้น> และค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิด
นั่นคือทหารที่กริดสามารถสร้างได้
แต่ทหารของอาเรสกลับมีทักษะขั้นสูงทันทีที่ฝึกเสร็จ...
อาเรสจะยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว
"โกงมาก...นายสุดยอดยิ่งกว่าคำร่ำลือเสียอีก แต่ทักษะที่เจ๋งขนาดนี้คงต้องมีข้อเสียร้ายแรงใช่ไหม"
"ขออุบไว้เป็นความลับก็แล้วกัน เพราะถ้ามีใครรู้เข้า ฉันจะลำบากเอาได้ ฮ่าฮ่า!"
"...ไม่ได้สิ นายต้องบอกฉัน...ฉันนึกว่าวีรบุรุษจะเป็นคนใจกว้างมากกว่านี้ซะอีก"
"ฉันใจกว้าง...แต่ไม่ได้โง่นะเฟ่ย"
"..."
กริดและอาเรสสนิทสนมกันในเวลาเพียงไม่กี่วัน
ราวกับทั้งคู่เป็นมิตรสหายที่พัดพรากจากกันมานาน
ยิ่งอาเรสเปิดเผยข้อมูลฝั่งตน จิสึกะ ป็อน เรกัส และยูเฟอนิม่าต่างก็เริ่มชื่นชมชายคนนี้มากขึ้น
แต่กลับกัน ฝ่ายอาเรสกลับไม่เข้าใจหัวหน้าพวกตนเลยสักนิด
'เขากำลังคิดอะไรอยู่...'
พวกตนอาจต้องพึ่งพากิลด์โอเวอร์เกียร์ในตอนนี้ก็จริง
แต่พันธมิตรมิใช่สิ่งยั่งยืน ในอนาคตอาจต้องเป็นศัตรูกันสักวัน
ใช่แล้ว โอเวอร์เกียร์จะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจในอนาคต แล้วทำไมอาเรสถึงยอมเปิดเผยข้อมูลให้อีกฝ่ายรับรู้
ยิ่งไปกว่านั้น...
'กริดเป็นเพื่อนครอเกลนะ!'
หากกริดกลับไป มีโอกาสสูงมากที่กริดจะรายงานข้อมูลเหล่านี้ให้ครอเกลรับรู้ และฝ่ายที่เสียเปรียบจะต้องตกเป็นพวกตนแน่นอน
หลังจากเห็นสีหน้าของพวกพ้องเริ่มกังวล
อาเรสจึงเอ่ยปากถามกริด
"คิดว่ายังไงบ้าง...ถ้าหากยอดทหารของฉันได้สวมใส่ยอดยุทธภัณฑ์ของนาย
แค่คิดก็สุดยอดแล้ว...ว่าไหม"
"โฮ่..."
จะเกิดอะไรขึ้นหากทหารอันดับหนึ่งของอาเรส ได้สวมไอเท็มอันดับหนึ่งจากกริด
"พวกจักรวรรดิงั้นหรือ…ช่างน่าขัน พวกเราจะเขมือบมันให้สิ้นซาก! แต่นอนว่ายังไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะ ฮ่าฮ่า!"
เฉกเช่นผู้เล่นส่วนใหญ่ของโลก อาเรสเล็งเห็นถึงคุณค่าของช่างตีเหล็ก
โดยเฉพาะช่างตีเหล็กในตำนานเช่นกริด
อาเรสหวังจากก้นบึ้งของหัวใจว่า ตนและกริดจะเป็นสหายที่ดีต่อกันได้
และร่วมกันสร้างกองทัพไร้พ่ายขึ้นมาต่อกรกับศัตรู
"มาเป็นเพื่อนกันเถอะ"
อาเรสฉีกยิ้มกว้างก่อนจะยื่นแขนออกมาหากริด
ในวินาทีนี้ ความน่าเกรงขามของอาเรสไม่ด้อยไปกว่ากริดเลยสักนิด
มาดของลุงแก่ใจดีพลันหายไป
กลายเป็นมาดของพยาราชสีห์แสนดุดันปรากฏแทนที่
'ไม่แปลกที่แม่ทัพฝึกทหารมาแล้วนับหมื่นจะมีค่าความน่าเกรงขามสูง'
กริดได้แต่นึกสงสัย ว่าคลาสของอาเรสคืออะไรกันแน่ แล้วอยู่ในระดับใดกัน
จะใช่คลาสลับชื่อ <เทพสงคราม> อย่างที่ทุกคนเรียกขานหรือไม่
ชายหนุ่มสลัดความเคลือบแคลง
เขายื่นแขนออกไปจับมืออาเรสอย่างแนบแน่น
"ตกลง...พวกเราจะเป็นเพื่อนกัน"
***
ณ ราชวังเบลโต้
"เจ้าพวกบ้านั่นช้าฉิบ..."
ชายที่กำลังนั่นอยู่บนบัลลังก์ใหญ่มิใช่กษัตริย์ หากแต่เป็นแอ็กนัส ชายผมสีเขียวผู้มีผิวหนังขาวซีด
ขลุกขลุก ขลุกขลุก
วัตถุหรูหราชนิดหนึ่งซึ่งห่อหุ้มอัญมณีล้ำค่าไว้มากมาย บัดนี้กำลังหมุนวนอยู่บนฝ่ามือแอ็กนัส
มงกุฏแห่งกษัตริย์เบลโต้ สิ่งแทนพลังอำนาจของอาณาจักรเบลโต้ กำลังแปรเปลี่ยนเป็นของเล่นเมื่ออยู่ในมือแอ็กนัส
กษัตริย์เบลโต้จ้องมองโดยปราศจากความโกรธเคือง มันเอ่ยปากถามแอ็กนัสอย่างระมัดระวัง
"กระผมนำกำลังทหารจากทุกป้อมกลับมาหมดแล้ว ตอนนี้ฝ่ายศัตรูกำลังมุ่งหน้ามายังวังหลวงโดยไร้สิ่งกีดขวาง...ต--แต่ทำแบบนี้จะดีแน่แล้วหรือ"
ตามปรกติแล้ว หลักการทำสงครามเบื้องต้น ป้อมปราการคือสิ่งสำคัญที่สุดในเชิงยุทธศาสตร์ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อเสริมให้จุดที่ได้เปรียบอยู่แล้ว ยิ่งทวีความได้เปรียบขึ้นจากเดิมหลายเท่า
ในสงคราม ป้อมปราการคือปัจจัยสำคัญที่มิอาจถูกมองข้าม
การจะตีป้อมปราการสักแห่งให้แตก ต้องระดมกำลังมากกว่าปรกติถึงหลายเท่าตัว
ป้อมปราการนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แต่ละอาณาจักรไม่คิดรบพุ่งกันรุนแรงนัก ไม่มีใครต้องการสูญเสียไพรพลอย่างเปล่าประโยชน์
แต่แล้ว แอ็กนัสกลับสั่งให้ถอนกำลังออกจากป้อมปราการทั้งหมดและเปิดทุกทางเข้าออก
กษัตริย์เบลโต้ไม่เข้าใจเจตนาของแอ็กนัสเลยสักนิดเดียว
แอ็กนัสอธิบาย
"พวกแกอยากรู้เปล่า ว่าทำไมฉันถึงสั่งให้นำทัพหลวงกลับมารวมที่วัง..."
"ข--ขอรับ"
ลวดลาย 'กุหลาบชมพู' บนหน้าอกแอ็กนัสเป็นที่เตะตาสภาขุนนางอย่างมาก
สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของกองกำลังอันดับสองแห่งจักรวรรดิ กองอัศวินกุหลาบ ซึ่งขึ้นตรงต่อจักรพรรดินีแม่รี่
สภาขุนนางเบลโต้ต่างมั่นใจว่า แอ็กนัสคือคนสนิทของแมรี่
ถึงจะน่าประหลาดใจที่แมรี่เลือกช่วยเหลือพวกตน แต่ทุกคนก็น้อมรับความหวังดีไว้โดยไม่เคลือบแคลง
การตกเป็นขี้ข้าจักรวรรดิอีกครั้ง ก็ยังดีกว่าถูกกบฏฆ่าตายและสูญเสียอาณาจักร
ช่างโง่เขลานัก...แอ็กนัสไม่ใช่คนที่พวกมันสามารถพึ่งพาได้ตั้งแต่แรกแล้ว
"ฉันแค่อยากให้พวกมันมาถึงที่นี่โดยเร็ว...ไม่มีเหตุผลอื่น"
"..."
"การรอคอยมันช่างน่าเบื่อ ฉันก็เลยเปิดทางให้โล่งที่สุด...จงรีบมาที่นี่ซะ! คิคิคิคิก! อ้อ...! แล้วก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง...ยิ่งที่นี่มีศพเยอะ ทุกสิ่งก็ยิ่งง่ายดายกับฉัน"
"ข--ขอรับ..."
เหตุผลที่ยอมละทิ้งป้อมแสนสำคัญ เพียงเพราะมันขี้เกียจรอ...
ใบหน้าของสภาขุนนางเบลโต้พลันแดงก่ำอย่างโมโห
แอ็กนัสกล่าวต่อไป
"ทันทีที่ศัตรูมาถึง ไม่ต้องไปต่อต้านพวกมัน เปิดประตูให้เข้ามาแต่โดยดี จริงสิ...แล้วอย่าลืมโยนชาวเมืองกับทหารให้พวกมันเขมือบเล่นด้วยล่ะ เข้าใจรึเปล่า...คิคิคิคิก! คิฮ่าฮ่าฮ่า!"
"เหลวไหลสิ้นดี...!!"
ลงเอยด้วย ขุนนางบางคนไม่คิดอดทนอีกต่อไป
มันลุกพรวดขึ้นต่อว่าแอ็กนัส
"แกมันเสียสติไปแล้ว! ฉันไม่เชื่อว่านี่คือการกระทำตามเจตจำนงของจักรพรรดินีแมรี่!"
"ใช่! ไม่ต้องขัดขืนงั้นหรือ ให้ยินยอมเปิดประตูเมืองแต่โดยดีนี่ยนะ แถมยังให้โยนชาวเมืองกับทหารให้พวกมันฆ่าเล่นอีก...ไร้สาระ---ฮ--เฮ้ย!"
สภาขุนนางต่างพากันหน้าถอดสีเมื่อเห็นแอ็กนัสอัญเชิญลิชออกมาหนึ่งตัว
แกร่ก แกร่ก แกร่ก!
ร่ายกายลิชตนนี้ห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมเวทมนตร์มิดชิด
ทันทีที่ปรากฏตัว สนามพลังเวทมนตร์อันรุนแรงได้สะกดข่มทุกคนจนแทบหยุดหายใจ พวกมันอยากหนีไปจากที่นี่ให้ไกลที่สุด
"ฆ่ามันซะ"
แอ็กนัสออกคำสั่ง
ซู่วว!
ลิชทำการยิงเวทมนตร์ใส่ขุนนางผู้โชคร้าย
[ ท่านสังหารขุนนางแห่งอาณาจักรเบลโต้ ]
[ ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลมีหน้าที่มอบความหวาดกลัวแก่มนุษย์ ]
[ ขุนนางอาณาจักรเบลโต้ที่เหลือไม่คิดโกรธแค้นท่าน ตรงกันข้าม พวกมันกำลังหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ]
[ มีใครบางคนเอาชนะความหวาดกลัวได้ มันกำลังมุ่งร้ายต่อท่าน ]
"เห...คิคิคิก! ฆ่ามันอีก"
ซู่วว!
ลิชที่สังหารขุนนางคนแล้วคนเล่ามีชื่อว่ามูมัด
แม้ใบหน้าของเขาจะเป็นโครงกระดูก
แต่ด้วยสาเหตุบางประการ...ราวกับชายคนนี้กำลังรำไห้อยู่ภายในใจ
มูมัด โดนบังคับ เดวในอนาคตกริดจะต้องได้ภาระกิจปลดปล่อยมูมัดแน่นอน
ReplyDeleteภารกิจเป็นของ ยูเฟอนิม่า ตอนที่ได้หนังสือจากภารกิจที่ อาณาจักรไซเรน
Delete