จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 656



    "ผิดจากที่จินตนาการไว้เลยแฮะ...นายหล่อและนิสัยดีกว่าที่ฉันคิดไว้มากที่เดียว  นึกว่าจะเป็นตาลุงนิสัยหยาบกระด้างซะอีก  เคี๊ยกฮ่าฮ่าฮ่า!!"

    เทพสงคราม  อาเรส
    ชายผู้เฉียดเข้าใกล้สมญานาม <กษัตริย์คนแรก>
    กริดตระหนักดีกว่า  หากไม่เพราะตนมีลอเอล  เจ้าของสมญานามกษัตริย์คนแรกต้องตกเป็นของอาเรสแน่นอน

    "เป็นครั้งแรกที่เคยได้ยินใครสักคนชมว่าฉันหล่อ...ไม่ยอกันเกินไปหน่อยหรือ"

    อาเรสสามารถเข้ากับคนได้ง่าย  
    ด้วยนิสัยร่าเริงและใบหน้าเป็นมิตร  เขาจึงเป็นที่รักและได้รับการไว้เนื้อเชื่อใจจากผู้คนเสมอ

    "น่าแปลก...ทำไมถึงไม่เคยมีใครชมว่านายหล่อเลยล่ะ  อ๊ะ--หรือว่า!"

    อาเรสแสยะยิ้มพร้อมกับใช้ศอกกระแทกกริดเล็กน้อย

    "ทำเป็นถ่อมตัวต่อหน้าแฟนใช่ไหม"

    'แฟน...'

    ใครคือแฟน...
    กริดหันมองตามสายตาที่อาเรสชำเลือง  
    เขาได้เห็นจิสึกะ
    หญิงสาวสุดเซ็กซี่  ผิวสีแทน  แขนขาเรียวยาวเหมือนนางแบบ  
    แม้จะยืนท่ามกลางผู้คนนับร้อย  แต่ออร่าก็ยังงดงามโดดเด่นเหนือใคร

    "...หล่อนไม่ใช่แฟนสักหน่อย"

    "อย่าทำไก๋น่า...!  นายครอบครองทั้งยูร่าและจิสึกะเรียบร้อยแล้วใช่ไหม"

    "ฉันยังไม่ได้ครอบครองสักหน่อย..."

    "เด็ดทั้งดอกไม้อันดับหนึ่งของอเมริกาใต้และดอกไม้งามแห่งตะวันออก...ฉันล่ะอิจฉานายจริงๆ   หากอายุน้อยกว่านี้สักสิบปี  บางทีฉันอาจมีโอกาสแบบนี้บ้าง...เคี๊ยกเคี๊ยก!"

    "พวกเธอไม่ใช่แฟนของฉัน  ลองคิดดูให้ดีสิ  ต่อให้ชาติก่อนฉันช่วยจักรวาลนี้ไว้  แต่ก็ไม่มีทางได้ครอบครองทั้งสองคนพร้อมกันแน่...ไม่สิ  ฉันไม่ใช่ไอ้ขยะที่จะคบผู้หญิงทีเดียวสองคนพร้อมกันสักหน่อย!"

    "อ้อ...งั้นแปลว่านายคบกับยูร่าคนเดียวสินะ  ความสัมพันธ์กับจิสึกะเป็นแค่คู่ขาหรอกหรือ  วูบวาบและร้อนแรง...ใช่ไหมล่ะ"

    "เฮ่อ...เราเลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ"

    กริดสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมนุษย์จอมตื้อจากอาเรส  เป็นกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับโดรันมาก
    ชายหนุ่มรู้ดีว่า  การโต้เถียงกับคนเช่นนี้จะไม่เกิดประโยชน์อันใด
    กริดบ่นอุบอิบพร้อมกันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น  
    
    อาเรสจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสุขุม

    'เขาเป็นคนประเภทจริงใจ...และซื่อตรง'

    เป็นการยากที่จะให้เชื่อว่า  คนเช่นนี้จะเป็นผู้ปกครองอาณาจักรใหญ่หนึ่งแห่ง
    กริดปฏิเสธเรื่องความรักอย่างตรงไปตรงมาและไร้เดียงสา  
    
    อาเรสในวัย 49 ปีตระหนักดีกว่า  คนประเภทกริดจะไม่เสียบมีดแทนตนในภายหลังแน่

    '...แต่ด่วนสรุปเร็วไปคงไม่ดี  ต้องดูอีกสักหน่อย'

    ความประทับใจแรกของอาเรสที่มีต่อกริดนับว่ายอดเยี่ยม
    
    แม้กิลด์โอเวอร์เกียร์อาจใช้แผนสกปรกในการบังคับจับมือพันธมิตร  แต่เรื่องนั้นก็เป็นอดีตไปแล้ว  
    กิลด์โอเวอร์เกียร์สามารถปราบหน่วยเกราะหนักเจนศึกได้ราบคาบ  ส่งผลให้กองทัพอาเรสรับมือกับทัพหลวงของราชวงศ์เบลโต้อย่างราบรื่น
    อาเรสมองว่า  เหตุการณ์ในปัจจุบันเป็นผลดีมากกว่าเสีย  
    ไม่ใช่เรื่องแย่ที่ตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับโอเวอร์เกียร์    

    "ฉันล้อเล่นน่า...นายนี่  ล้อเล่นแค่นี้ก็โกรธกันแล้วหรือ  วีรบุรุษต้องใจกว้างกว่านี้หน่อยสิ!  เหมือนกับฉันคนนี้นี่ไง!  เคี้ยกเคี้ยกเคี้ยก!"

    อาเรสเริ่มยุแหย่กริดผู้เงียบขรึม...
    
    ตาลุงนี่...
    คงเป็นการยากที่จะให้คนทั่วไปเชื่อว่า  เขาคือผู้นำของกองทัพอาเรสอันแสนเกรียงไกร

    'พวกเราต้องระวัดระวังตัวให้มาก'

    'เป็นการแสดงรึเปล่านะ...'

    จิสึกะและยูเฟอมิน่าต่างหันมามองอาเรสด้วยสายตาหวาดระแวง

    "เฮ่อ..."

    สก็อตต์ยืนถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายข้างกายอาเรส
    เป็นภาพที่คล้ายคลึ่งกับลอเอลเมื่อยืนข้างกายกริดยังไงยังงั้น

    จิสึกะและยูเฟอมิน่าพลันตะหนักได้  พวกเธอต่างเกาแก้มอย่างเคอะเขิน
    ดูเหมือนทั้งสองคนพอจะทราบนิสัยเบื้องต้นของชายที่ชื่ออาเรสแล้ว

    ***

    อาเรสชื่นชอบกริดมาก
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  อาเรสมองว่า  พลังของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์คือสิ่งที่จำเป็นต่อกองทัพตน  
    จะเกิดอะไรขึ้นหากทหารที่มีทักษะสุดโกงได้สวมชุดเกราะสุดโกงออกศึก...
    
    แม้พันธมิตรจะเริมต้นไม่ค่อยสวย  แต่อาเรสก็ต้องการให้มันยืนยาวที่สุด
    ดังนั้น  เขาต้องแสดงความจริงใจต่อกริด

    "พวกนี้ยังใช้การไม่ได้..."

    ณ ปราสาทอาเรส  ใจกลางลานฝึก
    อาเรสเผยให้กริดกับพรรคพวกเห็นภาพการฝึกฝนทหารใหม่จำนวนหนึ่งหมื่นนาย

    "ทักษะเสริมแกร่งทหารกล้าของฉันเพิ่งจะเลเวลสอง  ทำให้มอบทักษะติดตัวแก่ทหารใหม่ได้เพียง 20 ช่องทักษะ  และเมื่อฝึกเสร็จ  ทหารจะมีเลเวลเริ่มต้นแค่ 200...แต่ถึงอย่างนั้น  ทหารพวกนี้ก็มีจุดเริ่มต้นสูงกว่าหน่วยเกราะหนักเจนศึกล่ะนะ  ฮ่าฮ่าฮ่า!"

    "..."

    กริดและพรรคพวกถูกอาเรสเชิญไปชมการฝึกทหาร
    การที่อาเรสยอมเปิดเผยทักษะของตนให้กริดรับรู้  สิ่งนี้นับว่าบ้อบอสิ้นดี

    "น--นายเสียสติไปแล้วรึไง"

    สก็อตต์โพล่งขึ้นแม้จะรู้ว่าสายไป
    เขาไม่เข้าใจเลย  ว่าเหตุใดอาเรสถึงยอมเปิดเผยความลับตัวเองแก่คนที่อาจเป็นศัตรูในวันข้างหน้า

    อาเรสยักไหล่
    "พวกเขาคงรู้ถึงทักษะของฉันไม่มากก็น้อยแล้ว  ในเมื่ออีกเดี๋ยวก็คงถูกเปิดเผยอยู่ดี  แล้วจะกลัวคนรู้ความลับไปทำไมกัน  ก็ให้รู้ทั้งหมดไปเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดาสุ่ม  เคี๊ยกฮ่าฮ่าฮ่า!"

    "เฮ่อ...ซู้ด..."

    สก็อตต์ถอนหายใจยาวและสูดลมหายใจเข้าลึก
    ท่าทีของสุขุมของสก็อตต์ไม่หลงเหลืออีกแล้ว  ชายคนนี้กลายเป็นตัวตนที่แสนเหนื่อยหน่ายอ่อนแอ  สีหน้าละเหี่ยใจตลอดเวลา  
    สก็อตต์ไร้เรี่ยวแรงราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ

    ท่ามกลางบรรยากาศผิดแผก  กริดเอ่ยปากถามขึ้น

    "ทักษะติดตัวที่นายมอบให้ทหารได้...เป็นทักษะประเภทไหนบ้าง"

    "อ้อ...ก็พวกขี่ม้าขั้นสูง  ชำนาญเกราะหนักขั้นสูง  ชำนาญอาวุธทุกชนิดขั้นกลาง  และบาเรียต้านทานเวทมนตร์ขั้นต้น  อ๊ะ...ยังมีพุ่งตัวขั้นต้น  ใส่ได้ค่อนข้างน้อยนะว่าไหม  บางทักษะก็กินช่องเยอะกว่าทักษะอื่น  เช่นทักษะขั้นสูงทั้งสองชนิดที่กล่าวไป"

    "...นายไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหม"

    ในซาทิฟาย  หากผู้เล่นต้องการฝึกฝนทหาร  สามารถกระทำได้สองวิธี

    วิธีแรก  สร้างค่ายทหารในดินแดนที่ตนเป็นเจ้าของ
    จากนั้นก็ทุ่มเม็ดเงินและกำลังคนเข้าไป  เพื่อฝึกให้พลเมืองกลายเป็นทหารพร้อมรบ  
    ขึ้นอยู่กับเลเวลของค่ายทหาร  ยิ่งเลเวลสูง  ทหารที่ฝึกฝนก็ยิ่งมีทักษะหลากหลาย
    ฟังดูคล้ายกับเกมวางแผนรบอันโด่งดังสมัยร้อยปีก่อน...xตาร์xราฟต์
    วิธีนี้จะสะดวกสบายกว่ามาก  แต่ข้อเสียคือ  เลเวลของทหารที่ได้รับจะน้อย  แถมเลเวลของทักษะก็ไม่สูงมากนัก

    วิธีที่สอง  ผู้เล่นสามารถฝึกทหารด้วยตนเองโดยไม่ต้องผ่านค่าย  หรือไม่ก็จ้าง NPC ที่ชำนาญมาฝึกฝนทหารอีกทอดหนึ่ง  
    วิธีนี้จะสิ้นเปลืองเงินและเวลาอย่างมาก  ผู้เล่นต้องจัดแจงควบคุมทุกสิ่ง  
    แต่ข้อดีคือ  วิธีนี้จะทำให้ทหารได้รับทักษะตรงความต้องการผู้เล่น  และเลเวลของทักษะจะยิ่งสูงขึ้นเมื่อทหารยิ่งฝึกหนัก  แถมเลเวลของทหารก็ยังเพิ่มขึ้นมาก

    สรุปโดยสิ้นก็คือ  กริดฝึกฝนทหารของตนด้วยทั้งสองวิธี
    วิธีแรกใช้เพื่อสร้างทหารที่ประจำการในจุดไม่สำคัญ  เช่นทหารเวรยามที่คอยตรวจตราตามเมือง  
    ส่วนวิธีที่สอง  ชายหนุ่มใช้เพื่อสร้างทหารระดับหัวกะทิ  เฉกเช่นทหารเรย์ดัน  
    การฝึกโดยอัสโมเฟลและปิอาโร่จะทำให้ทหารมีเลเวลสูง  แถมทักษะที่ได้รับก็ยังหลากหลายและน่าพึงพอใจ

    แต่ก็มีตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่
    เช่นสภาพภาพแวดล้อมที่ทหารใช้ฝึก
    ตัวอย่างที่ชัดเจนคงหนีไม่พ้น...ทหารทุกนายที่ถูกปิอาโร่ฝึก  จะได้รับทักษะติดตัว <ชำนาญการรบในทุ่งข้าวเพิ่มขึ้น 120%>
    หรือแม้กระทั่งทักษะ <ชำนาญการเคลื่อนที่บนผืนทราย> ที่ติดตัวทหารเรย์ดันทุกนาย
    
    กริดจึงได้ข้อสรุป

    'ต่อให้ยอดขุนพลอย่างปิอาโร่และอัสโมเฟลฝึกฝนด้วยตัวเอง  แต่ทหารก็ไม่สามารถมีทักษะติดตัวที่หลากหลาย  แถมยังได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อม...และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด  ทักษะขั้นสูงไม่เคยปรากฏในทหารที่ถูกฝึกมาก่อน'

    ทักษะทุกชนิดของทหารจะเริ่มที่ <ขั้นต้น> และค่อยๆ พัฒนาไปทีละนิด
    นั่นคือทหารที่กริดสามารถสร้างได้

    แต่ทหารของอาเรสกลับมีทักษะขั้นสูงทันทีที่ฝึกเสร็จ...
    อาเรสจะยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว

    "โกงมาก...นายสุดยอดยิ่งกว่าคำร่ำลือเสียอีก  แต่ทักษะที่เจ๋งขนาดนี้คงต้องมีข้อเสียร้ายแรงใช่ไหม"

    "ขออุบไว้เป็นความลับก็แล้วกัน  เพราะถ้ามีใครรู้เข้า  ฉันจะลำบากเอาได้  ฮ่าฮ่า!"

    "...ไม่ได้สิ  นายต้องบอกฉัน...ฉันนึกว่าวีรบุรุษจะเป็นคนใจกว้างมากกว่านี้ซะอีก"

    "ฉันใจกว้าง...แต่ไม่ได้โง่นะเฟ่ย"

    "..."

    กริดและอาเรสสนิทสนมกันในเวลาเพียงไม่กี่วัน
    ราวกับทั้งคู่เป็นมิตรสหายที่พัดพรากจากกันมานาน  
    ยิ่งอาเรสเปิดเผยข้อมูลฝั่งตน  จิสึกะ  ป็อน  เรกัส  และยูเฟอนิม่าต่างก็เริ่มชื่นชมชายคนนี้มากขึ้น
    
    แต่กลับกัน  ฝ่ายอาเรสกลับไม่เข้าใจหัวหน้าพวกตนเลยสักนิด

    'เขากำลังคิดอะไรอยู่...'

    พวกตนอาจต้องพึ่งพากิลด์โอเวอร์เกียร์ในตอนนี้ก็จริง
    แต่พันธมิตรมิใช่สิ่งยั่งยืน  ในอนาคตอาจต้องเป็นศัตรูกันสักวัน
    ใช่แล้ว  โอเวอร์เกียร์จะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจในอนาคต  แล้วทำไมอาเรสถึงยอมเปิดเผยข้อมูลให้อีกฝ่ายรับรู้

    ยิ่งไปกว่านั้น...

    'กริดเป็นเพื่อนครอเกลนะ!'

    หากกริดกลับไป  มีโอกาสสูงมากที่กริดจะรายงานข้อมูลเหล่านี้ให้ครอเกลรับรู้  และฝ่ายที่เสียเปรียบจะต้องตกเป็นพวกตนแน่นอน
    
    หลังจากเห็นสีหน้าของพวกพ้องเริ่มกังวล
    อาเรสจึงเอ่ยปากถามกริด

    "คิดว่ายังไงบ้าง...ถ้าหากยอดทหารของฉันได้สวมใส่ยอดยุทธภัณฑ์ของนาย 
แค่คิดก็สุดยอดแล้ว...ว่าไหม"

    "โฮ่..."

    จะเกิดอะไรขึ้นหากทหารอันดับหนึ่งของอาเรส  ได้สวมไอเท็มอันดับหนึ่งจากกริด

    "พวกจักรวรรดิงั้นหรือ…ช่างน่าขัน   พวกเราจะเขมือบมันให้สิ้นซาก!  แต่นอนว่ายังไม่ใช่ตอนนี้หรอกนะ  ฮ่าฮ่า!"

    เฉกเช่นผู้เล่นส่วนใหญ่ของโลก  อาเรสเล็งเห็นถึงคุณค่าของช่างตีเหล็ก
    โดยเฉพาะช่างตีเหล็กในตำนานเช่นกริด

    อาเรสหวังจากก้นบึ้งของหัวใจว่า  ตนและกริดจะเป็นสหายที่ดีต่อกันได้  
    และร่วมกันสร้างกองทัพไร้พ่ายขึ้นมาต่อกรกับศัตรู  

    "มาเป็นเพื่อนกันเถอะ"

    อาเรสฉีกยิ้มกว้างก่อนจะยื่นแขนออกมาหากริด
    ในวินาทีนี้  ความน่าเกรงขามของอาเรสไม่ด้อยไปกว่ากริดเลยสักนิด  

    มาดของลุงแก่ใจดีพลันหายไป  
    กลายเป็นมาดของพยาราชสีห์แสนดุดันปรากฏแทนที่
    
    'ไม่แปลกที่แม่ทัพฝึกทหารมาแล้วนับหมื่นจะมีค่าความน่าเกรงขามสูง'

    กริดได้แต่นึกสงสัย  ว่าคลาสของอาเรสคืออะไรกันแน่  แล้วอยู่ในระดับใดกัน
    จะใช่คลาสลับชื่อ <เทพสงคราม> อย่างที่ทุกคนเรียกขานหรือไม่

    ชายหนุ่มสลัดความเคลือบแคลง  
    เขายื่นแขนออกไปจับมืออาเรสอย่างแนบแน่น

    "ตกลง...พวกเราจะเป็นเพื่อนกัน"

    ***

    ณ ราชวังเบลโต้

    "เจ้าพวกบ้านั่นช้าฉิบ..."

    ชายที่กำลังนั่นอยู่บนบัลลังก์ใหญ่มิใช่กษัตริย์  หากแต่เป็นแอ็กนัส  ชายผมสีเขียวผู้มีผิวหนังขาวซีด

    ขลุกขลุก  ขลุกขลุก

    วัตถุหรูหราชนิดหนึ่งซึ่งห่อหุ้มอัญมณีล้ำค่าไว้มากมาย  บัดนี้กำลังหมุนวนอยู่บนฝ่ามือแอ็กนัส

    มงกุฏแห่งกษัตริย์เบลโต้  สิ่งแทนพลังอำนาจของอาณาจักรเบลโต้  กำลังแปรเปลี่ยนเป็นของเล่นเมื่ออยู่ในมือแอ็กนัส  
    กษัตริย์เบลโต้จ้องมองโดยปราศจากความโกรธเคือง  มันเอ่ยปากถามแอ็กนัสอย่างระมัดระวัง
    
    "กระผมนำกำลังทหารจากทุกป้อมกลับมาหมดแล้ว  ตอนนี้ฝ่ายศัตรูกำลังมุ่งหน้ามายังวังหลวงโดยไร้สิ่งกีดขวาง...ต--แต่ทำแบบนี้จะดีแน่แล้วหรือ"

    ตามปรกติแล้ว  หลักการทำสงครามเบื้องต้น  ป้อมปราการคือสิ่งสำคัญที่สุดในเชิงยุทธศาสตร์  มันถูกสร้างขึ้นเพื่อเสริมให้จุดที่ได้เปรียบอยู่แล้ว  ยิ่งทวีความได้เปรียบขึ้นจากเดิมหลายเท่า  
    ในสงคราม  ป้อมปราการคือปัจจัยสำคัญที่มิอาจถูกมองข้าม  
    การจะตีป้อมปราการสักแห่งให้แตก  ต้องระดมกำลังมากกว่าปรกติถึงหลายเท่าตัว
    ป้อมปราการนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แต่ละอาณาจักรไม่คิดรบพุ่งกันรุนแรงนัก  ไม่มีใครต้องการสูญเสียไพรพลอย่างเปล่าประโยชน์
    
    แต่แล้ว  แอ็กนัสกลับสั่งให้ถอนกำลังออกจากป้อมปราการทั้งหมดและเปิดทุกทางเข้าออก  
    กษัตริย์เบลโต้ไม่เข้าใจเจตนาของแอ็กนัสเลยสักนิดเดียว

    แอ็กนัสอธิบาย

    "พวกแกอยากรู้เปล่า  ว่าทำไมฉันถึงสั่งให้นำทัพหลวงกลับมารวมที่วัง..."

    "ข--ขอรับ"

    ลวดลาย 'กุหลาบชมพู' บนหน้าอกแอ็กนัสเป็นที่เตะตาสภาขุนนางอย่างมาก
    สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของกองกำลังอันดับสองแห่งจักรวรรดิ  กองอัศวินกุหลาบ  ซึ่งขึ้นตรงต่อจักรพรรดินีแม่รี่
    สภาขุนนางเบลโต้ต่างมั่นใจว่า  แอ็กนัสคือคนสนิทของแมรี่ 
    ถึงจะน่าประหลาดใจที่แมรี่เลือกช่วยเหลือพวกตน  แต่ทุกคนก็น้อมรับความหวังดีไว้โดยไม่เคลือบแคลง
    การตกเป็นขี้ข้าจักรวรรดิอีกครั้ง  ก็ยังดีกว่าถูกกบฏฆ่าตายและสูญเสียอาณาจักร

    ช่างโง่เขลานัก...แอ็กนัสไม่ใช่คนที่พวกมันสามารถพึ่งพาได้ตั้งแต่แรกแล้ว

    "ฉันแค่อยากให้พวกมันมาถึงที่นี่โดยเร็ว...ไม่มีเหตุผลอื่น"

    "..."

    "การรอคอยมันช่างน่าเบื่อ  ฉันก็เลยเปิดทางให้โล่งที่สุด...จงรีบมาที่นี่ซะ!  คิคิคิคิก!  อ้อ...!  แล้วก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง...ยิ่งที่นี่มีศพเยอะ  ทุกสิ่งก็ยิ่งง่ายดายกับฉัน"

    "ข--ขอรับ..."

    เหตุผลที่ยอมละทิ้งป้อมแสนสำคัญ  เพียงเพราะมันขี้เกียจรอ...
    ใบหน้าของสภาขุนนางเบลโต้พลันแดงก่ำอย่างโมโห

    แอ็กนัสกล่าวต่อไป

    "ทันทีที่ศัตรูมาถึง  ไม่ต้องไปต่อต้านพวกมัน  เปิดประตูให้เข้ามาแต่โดยดี  จริงสิ...แล้วอย่าลืมโยนชาวเมืองกับทหารให้พวกมันเขมือบเล่นด้วยล่ะ  เข้าใจรึเปล่า...คิคิคิคิก!  คิฮ่าฮ่าฮ่า!"

    "เหลวไหลสิ้นดี...!!"

    ลงเอยด้วย  ขุนนางบางคนไม่คิดอดทนอีกต่อไป
    มันลุกพรวดขึ้นต่อว่าแอ็กนัส

    "แกมันเสียสติไปแล้ว!  ฉันไม่เชื่อว่านี่คือการกระทำตามเจตจำนงของจักรพรรดินีแมรี่!"

    "ใช่!  ไม่ต้องขัดขืนงั้นหรือ  ให้ยินยอมเปิดประตูเมืองแต่โดยดีนี่ยนะ  แถมยังให้โยนชาวเมืองกับทหารให้พวกมันฆ่าเล่นอีก...ไร้สาระ---ฮ--เฮ้ย!"

    สภาขุนนางต่างพากันหน้าถอดสีเมื่อเห็นแอ็กนัสอัญเชิญลิชออกมาหนึ่งตัว

    แกร่ก  แกร่ก  แกร่ก!

    ร่ายกายลิชตนนี้ห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมเวทมนตร์มิดชิด
    ทันทีที่ปรากฏตัว  สนามพลังเวทมนตร์อันรุนแรงได้สะกดข่มทุกคนจนแทบหยุดหายใจ  พวกมันอยากหนีไปจากที่นี่ให้ไกลที่สุด

    "ฆ่ามันซะ"

    แอ็กนัสออกคำสั่ง

    ซู่วว!

    ลิชทำการยิงเวทมนตร์ใส่ขุนนางผู้โชคร้าย

[ ท่านสังหารขุนนางแห่งอาณาจักรเบลโต้ ]
[ ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลมีหน้าที่มอบความหวาดกลัวแก่มนุษย์ ]
[ ขุนนางอาณาจักรเบลโต้ที่เหลือไม่คิดโกรธแค้นท่าน  ตรงกันข้าม  พวกมันกำลังหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ]

[ มีใครบางคนเอาชนะความหวาดกลัวได้  มันกำลังมุ่งร้ายต่อท่าน ]

    "เห...คิคิคิก!  ฆ่ามันอีก"

    ซู่วว!

    ลิชที่สังหารขุนนางคนแล้วคนเล่ามีชื่อว่ามูมัด
    แม้ใบหน้าของเขาจะเป็นโครงกระดูก
    แต่ด้วยสาเหตุบางประการ...ราวกับชายคนนี้กำลังรำไห้อยู่ภายในใจ

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. มูมัด โดนบังคับ เดวในอนาคตกริดจะต้องได้ภาระกิจปลดปล่อยมูมัดแน่นอน

    ReplyDelete
    Replies
    1. ภารกิจเป็นของ ยูเฟอนิม่า ตอนที่ได้หนังสือจากภารกิจที่ อาณาจักรไซเรน

      Delete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00