จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,500
จอมเวทมืดอันดับหนึ่ง
โรสคือผู้เล่นคนแรกที่กลายเป็นอสูร และเป็นที่ทราบกันดีว่าเธอมาถึงจุดนี้ด้วยความยากลำบาก
ในฐานะข้ารับใช้ยาธานที่ศาสนาเคยตกต่ำสุดขีด โรสได้รับคำยกย่องอย่างมากหลังจากดิ้นรนเอาตัวรอดมาได้
บางครั้งเธอก็ถูกเรียกว่าแมลงสาบ
ทั้งที่เป็นศัตรูกับกริดและโอเวอร์เกียร์ แต่เธอก็พยุงตัวผ่านมาได้เรื่อยๆ จนกระทั่งกายเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งจอมอสูร
เห็นได้ชัดว่าโรสทำได้ดีกว่าเวอราดินมาก
ซู่ว!
หลังจากกลายเป็นอสูร โรสได้รับเวทมนตร์ขุมนรกที่เกี่ยวกับการแทรกแซงจิตใจ
ไม่มีอะไรสลักสำคัญ
เมื่อเทียบกับพลังเวทสุดอลังการของปีศาจบางตน เวทมนตร์ของเธอค่อนข้างดูกระจอก
สิ่งเดียวที่บรรเทาความเจ็บปวดของเธอได้ คือการที่เวทมนตร์สมัยเป็นจอมเวทมืดยังคงอยู่
นั่นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอเหนือกว่าผู้เล่นคนอื่นอย่างเทียบไม่ติด
‘เป็นเรื่องดีที่ไม่โง่ลงหลังจากกลายเป็นอสูร’
หมู่เกาะเบเฮ็นถูกเปลี่ยนให้เป็นสนามรบ
ขณะไล่เข่นฆ่ามนุษย์ โรสฉีกยิ้มกว้าง
การบุกโจมตีพร้อมกันจากทุกซอกมุมโลก แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นโดยรวมของมนุษย์และอสูร
ประตูมิติจำนวน 33,333 บานจะถูกเปิดขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งทวีปและกระตุ้นให้อสูร เผ่าอสูร และจอมอสูรบางตนออกไปโจมตี
ทำเช่นนี้ก็เพื่อล่อให้มนุษย์แบ่งกำลังคนออกไปจากหมู่เกาะเบเฮ็นและห้วงนรกซึ่งเป็นเส้นทางโจมตีหลัก
กริดและผู้ส่งสารซึ่งถูกยกระดับอย่างมากจากภารกิจสำรวจนรก รวมถึงคณะสำรวจของยูร่า รูบี้ และครอเกลที่เริ่มพัฒนาตามมา
เหล่านี้คือกลุ่มคนที่จอมอสูรลำดับสิบสาม บีเลธ หวาดระแวงจนต้องขยายสนามรบออกไปเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันผนึกกำลังกัน
เทียบกับหนึ่งต่อหนึ่ง อสูรเหนือกว่ามนุษย์พอสมควร แผนการนี้จึงสร้างความได้เปรียบให้พวกมัน
มีอสูรมากมายที่เย้ยหยันและคัดค้าน พวกมันตั้งคำถามว่า เหตุใดกองทัพอสูรถึงต้องมากแผนการกับมนุษย์ด้วย
แต่ก็เปล่าประโยชน์ บีเลธเป็นราชาแห่งความบ้าคลั่ง
โทสะและความรุนแรงของมันอยู่ในระดับเหนือสามัญสำนึก บีเลธฆ่าอสูรด้วยกันเองโดยไม่ลังเล จนกระทั่งฝ่ายที่พยายามคัดค้านเกิดความหวาดกลัวและยอมจำนนในที่สุด
กระแสต่อต้านลดลงอย่างรวดเร็ว และดังที่ได้เห็น การบุกจู่โจมเกิดขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก
[เลเวลของท่านเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ]
‘ชัยชนะคือสิ่งที่หอมหวานเสมอ’
กองกำลังมนุษย์ที่ปกป้องหมู่เกาะเบเฮ็นส่วนใหญ่เป็นกองทัพฝ่ายพันธมิตรที่มีวัลฮัลล่าเป็นแกนหลัก
แม้จำนวนอาจมากถึงหลายแสน แต่กองทัพนรกมีมากกว่านั้น
NPC พิเศษที่ต้องระวังคืออัศวินระดับมหาจอมดาบสิบเอ็ดคน และมหาจอมเวทอีกสองคน
ไฮแรงเกอร์ฝ่ายผู้เล่นมีเพียงห้าสิบ
น้อยคนนักที่จะเอาชนะการดวลตัวต่อตัวกับอสูร
แต่ก็มีอยู่หนึ่งคน
เทพสงครามอาเรสซึ่งแข็งแกร่งขึ้นตาม ‘จำนวนทหารที่บัญชาการ’ สามารถเต้นรำไปในสนามรบและสร้างความหวาดหวั่นแก่กองทัพฝ่ายอสูร นอกจากนั้นยังติดอาวุธด้วยไอเท็มชั้นเลิศ แต่น่าเสียดายที่อาเรสถูกตรึงไว้โดยจอมอสูรลำดับยี่สิบสี่ จนสำแดงพลังได้ไม่มากเท่าที่ควร
ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งจอมอสูรลำดับยี่สิบสี่จากนาเบเรียส มันคือจอมอสูรหน้าใหม่ที่ยังถูกประเมินว่าด้อยกว่าคนเก่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหนือกว่าอาเรสพอสมควร
สีหน้าอาเรสตึงเครียดราวกับด้ายที่ถูกขึง เห็นได้ชัดว่ายิ่งจำนวนทหารลดลง มันก็ยิ่งอ่อนแอ ความแข็งแกร่งถดถอยลงทุกขณะ
โรสกำลังผ่อนคลายสุดขีด
มอนสเตอร์และอสูรทั่วไปคอยรับลูกธนูและเวทมนตร์แทน ส่วนเธอผสมโรงไปกับอสูรที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง ไล่ล้างบ้างมนุษย์อย่างฝ่ายเดียวอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะเมื่อได้ฆ่าผู้เล่น โรสมีความสุขอย่างมองไม่ถูก
ค่า EXP และไอเท็มที่ผู้เล่นฝ่ายมนุษย์แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา เธอช่วงชิงมาอย่างง่ายดาย
เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เหยียบย่ำและเติบโตบนหายนะของผู้คน
โรสไม่เสียใจที่เลือกเป็นอสูร
เธอรู้สึกเหมือนได้ตอกหน้าคนที่เคยวิพากษ์วิจารณ์
‘ผู้เล่นทุกคนมีเส้นทางที่แตกต่าง เส้นทางของเราก็ควรได้รับความเคารพเท่าคนอื่น’
พวกมันก็แค่อิจฉาที่ไม่ได้เป็นอสูรเหมือนกับเธอ
ก็เลยทำเป็นตั้งแง่วิจารณ์
“โรส…! เธอยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่ไหม?”
“ตาบอดรึไง! ไม่เห็นหรือว่าฉันเป็นอสูร!”
โรสเน้นฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้เล่นอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นก็เลียเลือดที่ปลายนิ้ว
อาจเป็นเพราะปีศาจถูกกำหนดให้กินมนุษย์เป็นอาหาร
ยิ่งเธอฆ่าคนก็ยิ่งได้รับบัฟมากมาย
หลักๆ ก็ฟื้นฟูพลังชีวิตและมานา
“ฮะฮะ! ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยมมาก!!”
การได้ลิ้มรสพลังที่เหนือกว่า มอบความสุขให้เธอเป็นล้นพ้น
ราวกับได้ก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่
กริดที่กลายเป็นเทพ คงยินดีปรีดายิ่งกว่านี้เป็นร้อยเท่ากระมัง?
โรสไม่เชื่อว่ากริดจะอดทนต่อความเย้ายวนใจตรงหน้าได้
‘หึหึ… ในไม่ช้า เขาต้องกลายเป็นทรราชแน่’
มีผู้เล่นมากมายใช้ตำแหน่งขุนนางเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น โดยเฉพาะกับ NPC
จริงอยู่ เมื่อเทียบกับคนเหล่านั้น กริดจะกลายเป็นนักบุญในทันที
แต่จะแข็งใจได้นานสักแค่ไหนกันเชียว?
หลังจากกลายเป็นเทพและครอบครองพลังที่อยู่คนละมิติ ในไม่ช้ากริดก็จะเจริญรอยตามผู้อื่น
‘ชักอยากเห็นเร็วๆ แล้วสิ… ฉากที่ผู้คนต้องดิ้นรนอย่างสิ้นหวังเมื่อกริดเดินเข้าสู่ด้านมืด’
เธอตั้งตารอ
เมื่อถึงตอนนั้น บางทีโรสอาจลงเรือลำเดียวกับกริด
โรสที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่มได้สติกลับมากะทันหัน
ณ ทางเข้าของหมู่เกาะเบเฮ็นซึ่งเป็นสนามรบ
ภาพของเรือรบหลายสิบลำปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้าที่ทอดยาวออกไป
แม้จะมองจากระยะไกลก็ยังมีขนาดมหึมา แถมยังมากสีสัน
คล้ายกับพวกมันกำลังโอ้อวดความยิ่งใหญ่
ประหนึ่งว่าไม่มีศัตรูใดภายในมหาสมุทรที่ควรค่าแก่การยำเกรง
อาศัยเนตรของอสูร โรสมองเห็นธงบนเรือ
‘กองทัพเรือโอเวอร์เกียร์’
เราได้ยินว่ากองเรือกำลังมุ่งหน้าไปที่ไซเรน… หลังจากนั้นคงตรงมาที่นี่โดยไม่กลับเกาะคอร์ก…
ขณะเดียวกัน โรสเห็นกองกำลังใหม่ปรากฏตัวจากเส้นขอบฟ้าอีกฝั่งหนึ่ง
ธงศึกมีหลากหลาย สื่อถึงกองทัพจากชาติพันธมิตร
นำทีมโดยขุนพลโอเวอร์เกียร์และแม่ทัพแห่งวัลฮัลล่า
‘คณะสำรวจนรกกลับมากันแล้วสินะ… กัปตันของสามแม่ทัพอย่างลัคไม่อยู่… สิบวีรชนฯ มีแค่เรกัส ป็อน… จิสึกะ?’
ที่นี่มีจอมอสูรถึงห้าตน
นอกจากนั้นยังมีอสูรอีกหลายร้อยตนที่แข็งแกร่งกว่าไฮแรงเกอร์
คิดจะหยุดกองทัพอันเกรียงไกรด้วยขุนพลเพียงหยิบมือ? คิดแบบนั้นจริงหรือ?
ขณะโรสกำลังเย้ยหยัน เสียงแหบพร่าดังขึ้นในหัว
เป็นเสียงความคิดของบีเลธที่ส่งไปถึงอสูรทุกตนในสนามรบ
“ “รักษาแนวรบไว้เหล่าราชาปกป้องชายฝั่ง” ”
‘ทำไมต้องกลัวกองทัพเรือขนาดนั้น?’
โรสเม้มปาก
ในสายตาเธอ กองทัพเรือมิได้น่ากลัวที่สุด แต่เป็นกองทัพที่นำโดย ‘ตำนาน’ ของมนุษย์
อริยศร จิสึกะ
ศัตรูหมายเลขหนึ่งในสนามรบนี้
โรสมองว่ากองทัพเรือโอเวอร์เกียร์ไม่มีแรงเกอร์ที่แข็งแกร่งสังกัดอยู่เลย
เก่งที่สุดน่าจะเป็นโซลเยอร์
แต่เนื่องจากคลาสประเภททหารมักไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ชื่อเสียงของโซลเยอร์จึงแย่มาก
จะถูกจอมอสูรลำดับสามสิบฆ่าตายก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างไรก็ตาม บีเลธกลับสั่งให้ปกป้องชายฝั่งเป็นสำคัญ
ราวกับไม่รู้จักความแข็งแกร่งและตัวตนของจิสึกะ
‘ต่อให้กษัตริย์เผ่าวารีเข้าร่วม กองทัพเรือก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่… เราควรเตือนให้พวกเขาคอยระวังแนวรบบนบก’
แต่ถ้าพูดแบบนั้น ศีรษะของเธอคงแหลกละเอียดในพริบตา
บีเลธเป็นพวกอารมณ์รุนแรงที่สามารถทำแบบนั้นได้โดยไม่ลังเล
ขณะโรสกำลังเกิดคำถาม
กรี๊!!
เครื่องหมายการค้าของจิสึกะปกคลุมท้องฟ้า
ในวินาทีที่ภาพฉายขนาดมหึมาของเทพจากตะวันออกปรากฏกาย น้ำทะเลเริ่มเดือดเป็นฟอง
ความร้อนเป็นเพียงสัญญาณเตือนหายนะ
เพียงพริบตา สายฝนเปลวเพลิงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย
เป็นพลังทำลายที่แตกต่างจากสมัยอดีตโดยสิ้นเชิง
แต่สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือความแม่นยำอันน่าสะพรึง
ไม่ว่าจะหลบหลังกำบังของภูมิประเทศหรือใช้มอนสเตอร์เป็นโล่ แต่ลูกธนูก็จะพุ่งลงมาเสียบร่างอย่างแม่นยำในสักทิศทางหนึ่ง
โรสซึ่งมีสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด นึกทบทวนคำวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ
พวกมันเปรียบเทียบระยะการมองเห็นระหว่างกริดและจิสึกะ
ใครบางคนระบุว่า จิสึกะมีระดับการมองเห็นแบบเดียวกับดาวเทียม
แต่แน่นอน โรสมองว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ใครจะไปมีพลังแบบนั้นได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ลิ้มรสด้วยตัวเอง เธอเริ่มตระหนักว่าบทวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญค่อนข้างแม่นยำทีเดียว
ยุคสมัยของผู้เชี่ยวชาญเก๊จบลงไปนานแล้ว
“ “นั่นก็เป็นอัครสาวกของเทพโอเวอร์เกียร์หรือ… กับระเบิดถูกฝังดักไว้ทั้งสองทาง…” ”
กระทั่งบีเลธก็มิอาจนิ่งเฉยต่อการทิ้งระเบิดปูพรมของจิสึกะ
หากปล่อยเอาไว้ ด้วยพลังทำลายและความแม่นยำในระดับนี้ เกรงว่าสถานการณ์สงครามอาจพลิกผัน
[ภายในของท่านถูกสั่นคลอนโดยศรปราบมาร]
[ปราณอสูรเริ่มกระจัดกระจาย ร่างกายและเวทมนตร์ของท่านจะมิอาจดึงปราณอสูรมาใช้งาน]
[ค่าสถานะทุกชนิดลดลงอย่างมากจนกว่าปราณอสูรจะกลับคืน ทักษะและเวทมนตร์บางชนิดไม่สามารถใช้งานได้ตามปรกติ]
[พลังป้องกันลดลงเล็กน้อย ค่าความคงทนลดลงมาก]
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไร…!?’
หลังจากเปลี่ยนเป็นอสูร โรสมีรูปลักษณ์ที่ดุร้ายขึ้น
แต่ปัจจุบัน ดวงตาของเธอกลับมากลมกลึงอีกครั้ง ไม่ต่างจากสมัยที่ยังเป็นมนุษย์
โรสทวีความประหลาดใจทุกครั้งที่ถูกศรปราบมารเสียบร่าง บาเรียเวทมนตร์ที่เธอกางปกคลุมอวัยวะภายในกำลังแตกละเอียด
“พวกอสูรใช้พลังของมันไม่ได้แล้ว!”
“ตอนนี้แหละ! บุกเข้าไป!!”
ขวัญกำลังใจของกองทัพฝ่ายพันธมิตรซึ่งเคยแตกพ่ายไปครั้งหนึ่ง กลับมาฮึกเหิมและห้าวหาญอีกครั้ง
ต้องขอบคุณสายฝนเปลวเพลิงจากจิสึกะ บาดแผลตามร่างกายเริ่มฟื้นฟู กำลังวังชากลับคืนมา การตอบโต้เริ่มต้นขึ้น
ในทางกลับกัน กองทัพนรกกำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนประหนึ่งตกลงไปในหนองน้ำ
มอนสเตอร์และอสูรระดับต่ำทยอยกลายเป็นแสงสีเทา หรือไม่ก็เจ็บหนักจนล้มลง
“ “เหล่าราชารักษาแนวรบไว้ ข้าจะปกป้องชายฝั่ง” ”
ในที่สุดบีเลธก็ออกหน้าด้วยตัวเอง เลิกเอาแต่ยืนสั่งการใจกลางสนามรบ
มันดึงหอกเล่มหนึ่งออกจากช่องสัมภาระ
จากนั้นก็สำแดงพลัง
ห่าฝนเปลวเพลิงที่พรั่งพรูจากท้องฟ้าหยุดลงทันที
ฉากตรงหน้าช่างมหัศจรรย์ราวกับปาฏิหาริย์
ประหนึ่งวิดีโอที่กดปุ่มหยุด
อำนาจในการควบคุมวัตถุที่ไม่มีเจ้าของ
แม้แต่กระสุนที่พุ่งออกจาก ‘เจ้าของ’ ก็ยังไม่รอดพ้นจากการครอบงำของมัน
เหมือนกับที่ปราณดาบของกริดเคยถูกควบคุม
ซู่ว ซู่ว ซู่ว ซู่ว ซู่ว ซู่ว!!
ฉากที่หยุดชะงักถูกเล่นแบบย้อนกลับ
สายฝนเปลวเพลิงซึ่งค้างอยู่กลางอากาศจนถึงเมื่อครู่ ลอยกลับไปในตำแหน่งที่มันพุ่งออกมา
นักข่าวและสตรีมเมอร์ที่ซ่อนตัวตามจุดต่างๆ ของสนามรบเพื่อถ่ายทอดสด ต่างพากันชะงักงันจนมิอาจถ่ายทอดภาพที่ดีที่สุดให้ผู้ชม
พวกมันตกตะลึงกับฉากอันน่าเหลือเชื่อนานหลายวินาที
ส่งผลให้ผู้ชมทางบ้านเห็นแค่เปลวไฟลอยกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่วนฉากความพังพินาศของกองทัพพันธมิตรถูกถ่ายทอดด้วยเสียงแทน
บึ้ม!
บีเลธกระโจนไปทางชายฝั่ง มันสามารถย่นระยะทางหลายกิโลเมตรได้ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว
แตกต่างจากไททันซึ่งอยู่ในช่วงรุ่งสาง หมู่เกาะเบเฮ็นกำลังถูกฉาบด้วยแสงจากพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
บนผืนทะเลสีทอง บีเลธยืนอยู่ตามลำพังท่ามกลางเรือรบหลายสิบลำที่กำลังแล่นเข้ามาใกล้ ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความหงุดหงิดเหมือนทุกที
ทว่า ดวงตาของมันเย็นชาจนน่าเหลือเชื่อ มีสัญญาณการยับยั้งชั่งใจปรากฏให้เห็น
สิ่งใดทำให้มันต้องระวังตัวขนาดนี้?
อสูรทรงปัญญาทั้งหมด รวมถึงโรส ต่างพากันสับสน
พิจารณาจากความผิดปรกติของบีเลธ พวกมันเชื่อว่าสถานการณ์คงไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
“กริดกำลังจะมาหรือ?”
นักข่าวและสตรีมเมอร์ต่างพากันคาดหวัง
สนามรบหลักแบ่งออกเป็นห้วงนรกและหมู่เบาะเบเฮ็น
จากทั้งสองสมรภูมิ หากกริดปรากฏตัวฝั่งใด ที่นั่นจะดึงดูดยอดผู้ชมได้มหาศาล
ท่ามกลางความวุ่นวาย
ฟ้าว!!
บีเลธกระแทกหอกไปข้างหน้าเต็มแรง
ทะเลที่ถูกฉาบด้วยแสงสีทองถูกผ่าออกเป็นสองซีก เผยให้เห็นน้ำทะเลสีเข้มด้านล่าง
เรือรบหลายสิบลำโยกคลอนอย่างหนัก และเรือสี่ลำด้านหน้าที่ปะทะกับแรงกระแทกโดยตรง ถูกทำลายและอับปาง
สามารถทำลายศัตรูได้ตั้งแต่การต่อสู้ยังไม่เริ่มขึ้น
สมกับเป็นตัวตนที่เคยนำพาความพ่ายแพ้มาสู่กริด
> หือ? นั่นอะไร?
ผู้ชมที่อึ้งไปสักพัก ค้นพบบางสิ่ง
เป็นแสงสีแดงจากดวงตาที่ลอยอย่างเงียบงันเหนือคลื่นทะเลซัดสาด
เหตุผลที่ทุกคนสังเกตเห็น มิใช่เพียงเพราะมันเป็นแสงจากดวงตา แต่เป็นเพราะดวงตาคู่ดังกล่าวกำลังประสานสายตากับบีเลธ
แต่เพียงพริบตา แสงสว่างจากดวงตาที่ได้รับความสนใจจากทุกคน เลือนหายไปราวกับเป็นเรื่องโกหก
ภาพการถ่ายทอดสดของสถานีข่าวและสตรีมเมอร์ถูกซูมออกอย่างรวดเร็ว
และทุกคนก็ได้เห็น
เจ้าของดวงตาสีแดง ซึ่งตอนนี้หายตัวมาโผล่ด้านหลังบีเลธ
เป็นบุคคลในชุดคลุมสีดำ
วงแหวนเวทและอักขระพิสดารมากมายถูกสลักบนกระดูกสีขาว มอบบรรยากาศคุกคามถึงขีดสุด
ลิช
นี่คือวินาทีที่ราชาแห่งเหล่าอันเดดเข้าร่วมสังเวียน
ภาพที่มันยืนเคียงข้างจอมอสูร ทำให้ผู้คนพากันเข้าใจว่ามันคือกำลังเสริมจากนรก
แต่นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด
หอกของบีเลธแทงทะลุใบหน้าลิช
ไม่สิ มันทะลุภาพตกค้างที่ลิชเหลือทิ้งไว้
ปัจจุบันลิชอยู่ห่างออกไปสิบเมตรจากตำแหน่งเดิม
เป็นฉากที่ชวนให้ประหลาดใจไม่น้อย
เนื่องจากไม่มีใครเห็นว่าลิชเคลื่อนไหว
“ “เจ้าส่งกลิ่นเหมือนกับมนุษย์ที่เคยถูกข้าล่า… ตอนนี้ผู้คนต่างเรียกชายคนนั้นว่าเทพโอเวอร์เกียร์ ข้าเคยได้ยินว่าอัครสาวกของมันแข็งแกร่ง แต่ไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นลิช” ”
> อย่าใช้คำพูดอวดดีกับเจ้านายของข้า…
ผู้ชมทางบ้านต่างพากันขนลุก
ทุกการเคลื่อนไหวจะทิ้งออร่าและร่องรอยสีดำเสมอ คล่องแคล่วจนสามารถสร้างภาพตกค้าง ผิดไปจากวิสัยอันเดดอย่างมาก
แถมยังมีน้ำเสียงที่น่าขนลุก
ลิชที่ไม่ธรรมดาตรงหน้า แท้จริงแล้วเคยเป็นใคร?
ฮัคเซ่นผู้ครอบครองสุดยอดอาคม หรือเจสสิก้าผู้ครอบครองเวทกังวาน
ขณะผู้ชมกำลังทบทวนรายชื่ออดีตสุดยอดจอมเวท
ฟ้าว!
พายุซึ่งก่อตัวจากความร้อนของสายฝนเปลวเพลิง พัดผ่านมายังจุดที่ลิชและบีเลธยืนอยู่
เสื้อคลุมของลิชตนดังกล่าวพัดกระพือจนหลุดออก
ชื่อตัวละครเหนือศีรษะที่ถูกเผยออกมาคือ <โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์สอง>
> อา…
ผู้ชมทางบ้านที่กำลังนั่งเกร็งจนเหงื่อชุ่มมือ ส่งเสียงครางออกมาโดยพร้อมเพรียง แฝงไว้ด้วยหลากหลายความหมาย
***
ณ แอสการ์ด
“ผู้คนกำลังเรียกหาข้า”
เทพสงครามเซราทุลที่กำลังนั่งสมาธิบนเมฆทอง ลืมตาและลุกขึ้น
มันเหตุผลเหลือเพื่อที่สนับสนุนให้มันลงไปยังพื้นโลก
พลังที่ผู้พ่ายแพ้ในสงครามต่างปรารถนาและสวดวิงวอน
พลังของเซราทุล
นับตั้งแต่อดีตกาล สงครามและความหิวโหยคือแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้เซราทุลเป็นอิสระ
เป็นโอกาสอันดีในการสร้างสาวก
“แต่ก่อนอื่น… ข้าต้องลงทัณฑ์เทพจอมปลอม”
Comments
Post a Comment