จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,495
ย้อนกลับไปก่อนที่จอมอสูรลำดับสี่ คามิคินจะปรากฏตัว
“เจ้าแห่งหอดาบที่เก่งกาจพอจะสอนสั่งเราคือใครกัน? ชักอยากจะเห็นแล้วสิ”
“ฝ่าบาทเป็นคนตัดสินใจ อย่าทำตัวเสียมารยาท”
ปิอาโร่ อัสโมเฟล และอดีตอัศวินสีชาดต่างกำลังเดินขึ้นหอคอยดาบ
พวกมันล้วนเป็นคนใหญ่คนโต
ปิอาโร่คือแม่ทัพใหญ่และเจ้ากระทรวงการเกษตร อัสโมเฟลเป็นเจ้ากระทรวงความมั่นคง (งานหลักคือการปราบปรามการก่อการร้าย) ซินกูเล็ด อเมลด้า เคนดริก และดันเต้ต่างก็มีตำแหน่งเป็นขุนพล อัศวิน และครูฝึกดาบ
ไม่เพียงจะเคยเป็นเสาหลักของจักรวรรดิ แม้แต่ในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ก็ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญ
การที่ทุกคนต้องมารวมตัวกันเพื่อพบใครสักคน ไม่ใช่ภาพที่หาดูได้ง่ายนัก
“ฉันไม่ได้ต้องการเสียมารยาทอยู่แล้ว แต่พวกเราก็ควรทดสอบดูไม่ใช่หรือว่าเหมาะสมหรือไม่?”
“…”
ไม่มีใครโต้แย้งคำพูดซินกูเล็ด
แม้แต่ปิอาโร่และดันเต้ที่ในยามปรกติมักจะพูดว่า ‘อย่าได้ดูหมิ่นสายตาของฝ่าบาท’ ก็ยังปิดปากเงียบ
ถึงกริดจะกลายเป็นเทพ แต่นั่นเกิดจากการสั่งสมความสำเร็จและการทำงานหนัก ไม่ได้แปลว่ากริดคือตัวตนสมบูรณ์แบบ
และเหนือสิ่งอื่นใด เทพคือตัวตนที่มิได้เก่งกาจไปเสียทุกทาง
นั่นคือความจริงที่พวกมันได้เรียนรู้จากการดำรงอยู่ของเทพหลายตน
ส่งผลให้ปิอาโร่กับดันเต้เกิดความกังวล
“นั่นสินะ… ฝ่าบาทมีจิตใจอ่อนโยน และเชื่อว่าทุกคนจะเหมือนกับตัวเอง… ในบางครั้งก็เชื่อใจตัวคนอื่นมากไป”
“ใช่แล้ว หลักฐานก็คือการที่พระองค์เชื่อใจซินกูเล็ด”
“อเมลด้า ปากเก่งขึ้นเยอะเลยนะ”
หอคอยมีทั้งหมดสามสิบชั้น
เป็นหนึ่งในอาคารที่สูงที่สุดของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
บันไดเวียนดูราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด
แต่นั่นก็มิอาจทำให้ฝีก้าวของเหล่าอัศวินช้าลง
เพียงพริบตา กลุ่มนักรบที่กลมเกลียวได้เดินขึ้นมาถึงยอดหอคอยโดยไม่เหน็ดเหนื่อย
เมื่อหยุดยืนหน้าประตูที่ปิดสนิท ทุกคนหันมองตากัน
เจ้าแห่งหอดาบลึกลับ
ถ้าพบว่าบุคคลปริศนารายนี้ฉวยโอกาสจากความใจดีของกริด พวกมันจะไม่ปล่อยไว้แน่
“เข้ามา”
เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังจากหลังประตู
เป็นเสียงที่ค่อนข้างหนุ่ม อย่างมากก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับปิอาโร่
หน้าผากซินกูเล็ดมีเส้นเลือดปูดขึ้นทันที มันยิ้มพลางขบกรามแน่น
“เข้ามา… งั้นหรือ? ฮะฮะ! หมอนี่กล้าพูดกับฉันห้วนๆ แบบนี้เชียว?”
“ใจเย็นก่อน ซินกูเล็ด เขายังไม่เห็นหน้าพวกเราด้วยซ้ำ”
“ใช่ ที่นี่เป็นหอดาบ เขาอาจเข้าใจผิดว่าเราเป็นเด็กใหม่”
“ต้องยืนยันให้แน่ชัดกว่านี้ก่อน”
แต่ในทางตรงกันข้าม ความคลางแคลงใจที่เหล่าอัศวินมีต่อเจ้าแห่งหอดาบปริศนากลับยิ่งเพิ่มพูน
นั่นเพราะว่า ภายนอกอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ไม่มีใครมีพรสวรรค์มากพอจะที่เป็นเจ้าแห่งหอดาบ
ต่อให้ไล่รายชื่อของมหาจอมดาบทั้งหมดที่โด่งดังบนทวีป ไม่มีใครเลยที่คู่ควรกับการสอนสั่งพวกตน
พวกมันจะยอมรับถ้าอีกฝ่ายคือครอเกล แต่ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าไม่ใช่
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพิสูจน์ฝีมือให้ประจักษ์
ซินกูเล็ดเปิดประตูด้วยสายตาดุร้าย
“ยินดีต้อนรับ”
เจ้าแห่งหอดาบ บีบัน กล่าวทักทายทุกคน
อริยดาบที่มีชีวิตอยู่มานานนับร้อยปี
บรรยากาศรอบตัวกลับเรียบง่ายผิดคาด
บีบันไม่จำเป็นต้องปลดปล่อยปราณตลอดเวลา เพราะมันสามารถควบแน่นได้ในพริบตา
“แกเป็นใค—”
ซินกูเล็ดที่กำลังจะหาเรื่อง มีอันต้องชะงักไปเพราะปิอาโร่เข้ามาห้ามไว้
“ขอคารวะผู้อาวุโส”
ปิอาโร่ยังคงรักษามารยาท แต่นั่นเพราะอีกฝ่ายคือเจ้าแห่งหอดาบที่กริดเลือก ไม่ใช่เพราะตระหนักถึงตัวตนที่แท้จริงของบีบัน
ในทางกลับกัน ทันทีของบีบันแตกต่างออกไป ราวกับกำลังถูกรบกวน
“ไม่ต้องมากพิธี เข้าประเด็นได้เลย”
บีบันจะอยู่ที่หอคอยดาบแค่สัปดาห์เดียว
จนกว่าจะครบกำหนด มันต้องคอยชี้แนะวิชาดาบให้กับทุกคนที่เข้ามาในหอดาบ นี่คือสิ่งที่กริดไหว้วาน
และเหนือสิ่งอื่นใด โลกภายนอกกำลังวุ่นวายจากการรุกรานของกองทัพอสูร
บีบันไม่อยากให้เวลาทุกวินาทีผ่านไปอย่างสูญเปล่า
ใครก็ตามที่มาเยือนหอคอยดาบจะได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มข้นทุกลมหายใจ
แต่แน่นอน มีเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้เจตนาของบีบัน
ด้วยคำพูดและพฤติกรรมของเจ้าตัว ง่ายมากที่จะทำให้คนอื่นเกิดความเข้าใจผิด
“ฮะฮะ! ฉันชอบนิสัยแบบนี้… อันที่จริง พวกเราไม่ได้มาเพื่อทักทายนายเหมือนกัน”
ซินกูเล็ดก้าวไปข้างหน้า
สำหรับครั้งนี้ ไม่มีใครห้ามไว้ได้ทัน
ไม่สิ ระบุให้ชัดก็คือ ไม่มีใครคิดจะห้าม
แรกเริ่มเดิมที จุดประสงค์การมาเยือนหอดาบคือทดสอบฝีมือเจ้าแห่งหอคอย
จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องหยุดซินกูเล็ดที่พยายามทดสอบวิชาดาบของอีกฝ่าย
ตึก
ซินกูเล็ดกระโจนขึ้นจากพื้นด้วยเสียงแผ่วเบา
แน่นอน การเคลื่อนไหวดังกล่าวว่องไวมาก คล้ายกับปลาบินที่ดีดตัวขึ้นจากผิวทะเล
สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือคลื่นที่แผ่พุ่งออกไปด้านหน้า
คลื่นล่องหน
ปราณเพชฌฆาต
พลังปราณที่เกิดจากการระเบิดโทสะของซินกูเล็ด สามารถสั่นไหวและฉีกกระชากทุกสิ่ง
เป็นพลังที่ทรงพลังและแหลมคม
เพล้ง!
บีบันปัดทิ้งด้วยมือเปล่า
จากนั้นไม่ถึงหนึ่งวินาที บีบันคว้าคอซินกูเล็ดด้วยมือข้างเดียวกัน
“พลังทำลายจากภายใน… สามารถสร้างความเสียหายรุนแรงด้วยการจ้องมอง… ไม่เลว เป็นพรสวรรค์ที่หายาก… เจ้าขัดเกลามันจนถึงระดับนี้ได้ด้วยอดีตที่เจ็บปวดทรมานใช่ไหม?”
โครม!
ขณะบีบันเปิดปากพูด ร่างซินกูเล็ดบิดหมุนไปในอากาศก่อนที่หลังจะกระแทกพื้น
“???”
ใบหน้าซินกูเล็ดที่แหงนมองเพดานเริ่มซีดเซียว
ชายที่มักเก็บซ่อนสีหน้า กำลังเผยความตกตะลึงสุดขีด
จะให้ไม่ตกตะลึงได้อย่างไร
ตัวมันซึ่งในยุคทองของอัศวินสีชาดเคยเป็นรองเพียงคนจำนวนหยิบมือ กลับถูกสยบอย่างง่ายดายในหนึ่งกระบวนท่า
“…!”
ดวงตาปิอาโร่และอัสโมเฟลเบิกกว้างพร้อมกัน
ดันเต้พึมพำเสียงแผ่ว
“นั่นไม่ใช่ความบังเอิญ”
เจ้าแห่งหอดาบนิรนามที่ไม่มีใครเคยเห็น
นี่คือช่วงเวลาที่พวกมันกำลังตระหนัก
“…ฉันก็แค่ไม่ถนัดสู้มือเปล่า”
ซินกูเล็ดรีบดีดตัวขึ้นมายืนพร้อมกับชักดาบ
อาการหงุดหงิดเริ่มบรรเทาลง
แน่นอน
มันไม่ใช่คนโง่ ย่อมต้องมองออกว่าบีบันเป็นของจริง และตนจำเป็นต้องทุ่มสมาธิทั้งหมด
“อีกสักยกไหม?”
ในหมู่อัศวิน น้อยคนนักที่จะไม่ชื่นชอบการต่อสู้
และจากบรรดาทั้งหมด ซินกูเล็ดชื่นชอบมากกว่าใคร
มันมีความสุขที่ได้พบว่า โลกใบนี้กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยยอดฝีมือนิรนาม ขณะเดียวกันก็มองว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ทดสอบฝีมือซึ่งพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปี
บีบันพยักหน้าพร้อมกับชักดาบ
“เข้ามา”
ไม่ต้องมีบทสนทนายืดยาว
ซินกูเล็ดเปิดฉากบุกเต็มกำลังและลิ้มรสความพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดาย
บีบันไม่อ่อนข้อให้ ความเก่งกาจของอดีตอริยดาบถูกสำแดงให้ทุกคนประจักษ์
เจ้าแห่งหอคอยดาบโอเวอร์เกียร์
แม้จะเป็นตำแหน่งชั่วคราว แต่บีบันก็ไม่คิดจะทำให้เกียรติของตำแหน่งต้องมัวหมอง
เพราะที่นี่คือสถานฝึกดาบ
อริยดาบไม่มีวันแกว่งดาบเล่นๆ
“แค่ก…! แค่กแค่ก!”
ซินกูเล็ดที่ถูกกระแทกใส่ลูกกระเดือก ใช้สองมือจับจมูกพร้อมกับล้มลงไปชักตัวงอ
การต่อสู้จบลงโดยยังผ่านไปไม่ถึงห้าเพลงดาบ
บีบันมอบคำแนะนำ
“สำหรับเจ้า อาวุธหลักคือจิตสังหาร และเป็นสาเหตุที่เจ้าต้องระเบิดจิตสังหารออกมาตลอดเวลา แต่ก็ยังขาดความหลากหลาย… ข้าแนะนำให้เจ้าจัดระเบียบพวกมันใหม่ ขัดเกลาให้เฉียบคมกว่าเดิม ยิ่งมีความหลากหลายมากเพียงใด อาวุธของเจ้าก็จะถูกจับทางได้ยาก… นอกจากนั้น เจ้าควรลองฝึกใช้กระบี่ให้ชำนาญ ยิ่งช่ำชองเท่าไรก็ยิ่งแข็งแกร่ง”
“แค่ก… ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”
ซินกูเล็ดตอบด้วยลำคอที่ยังรู้สึกเจ็บ มันไม่คิดจะลุกขึ้นและโจมตีเข้าไปใหม่ แม้จะยังเหลือเรี่ยวแรงให้ทำได้ก็ตาม
เพราะนั่นจะถือเป็นการเสียมารยาท ด้วยเหตุผลบางประการ ซินกูเล็ดอยากรักษามารยาทกับชายตรงหน้า
มันมองออกว่าบีบันขัดเกลาวิชาดาบมานานเพียงใด
“ฉันด้วย! ได้โปรดสู้กับฉัน!”
อเมลด้ายกมือขึ้นด้วยดวงตาเปล่งประกาย
ในฐานะอัศวินและนักภูมิศาสตร์ เธอจดจำรายละเอียดของห้องทรงกระบอกแห่งนี้ได้ทุกซอกมุม
อเมลด้าสามารถคำนวณการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบที่จะเป็นประโยชน์กับตัวเองและสร้างความเสียเปรียบให้ฝ่ายตรงข้าม
“เข้ามา”
บีบันไม่คัดค้าน เพียงเลื่อนมือมาจับด้ามดาบที่เสียบอยู่ในฝักตรงเอว
‘ชักดาบฟัน?’
อเมลด้าฉีกยิ้ม
เธอหยั่งรู้ทุกซอกมุมของห้องเป็นอย่างดี ท่าชักดาบฟันของอีกฝ่ายจะถูกขัดขวางด้วยเสาหินและโล่
แตกต่างจากซินกูเล็ด อเมลด้าไม่บุ่มบ่ามบุกเข้าใส่นักดาบที่มากประสบการณ์ แต่จะงัดอาวุธและทักษะทุกชนิดออกมาใช้แทน
“…!?”
อเมลด้าที่เคลื่อนไหวไปตามเส้นทางในหัว ขว้างโล่ออกไปอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังดึงดูดความสนใจของบีบัน แต่ไม่กี่วินาทีถัดมา เธอกลับต้องลงเอยในสภาพที่น่าอับอายเหมือนกับกบตาย
เธอหมดสติจากการถูกโล่ของตัวเองกระแทกท้ายทอยในตอนที่มันวกกลับมาหาเจ้าของ
เคนดริกพึมพำ
“สามารถทำแบบนี้ได้ด้วยดาบเล่มเดียว…”
ในศึกเมื่อครู่ บีบันมิได้ขยับเขยื้อนแม้แต่หนึ่งก้าว อย่างมากก็แค่ชักดาบออกมาไม่สุด เผยให้เห็นใบดาบเพียงเล็กน้อย เพื่อสะท้อนโล่ของอเมลด้ากลับไป
และด้วยแรงสะท้อน โล่ที่อเมลด้าขว้างพุ่งกลับไปโดนท้ายทอยของเธอเองในจังหวะที่พยายามเปลี่ยนตำแหน่ง
โล่ของอเมลด้าซึ่งเคลือบไว้ด้วยออร่า ถูกกระแทกกลับอย่างง่ายดายประหนึ่งลูกบอล แถมทิศทางก็ยังแม่นยำ
“อ…เอ๋? ฉันสลบไปหรือ? จริงหรือเนี่ย?”
“พลังจิตที่เธอใช้ไม่เหมาะกับสภาพร่างกาย ปราณของเธอถูกโคจรอย่างไม่เหมาะสม ส่งผลให้การโจมตีเบาเกินไป”
“ค่ะ… นี่เป็นวิชาพลังจิตที่ถูกส่งต่อในตระกูลมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ทวด”
“การสืบทอดพลังในตระกูลเป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าไม่สามารถสืบทอดร่างกายและพรสวรรค์มาได้ทั้งหมด”
“ค่ะ…”
“ลองไปปรึกษาหอคอยเวทมนตร์ดู ร่างกายเจ้าเข้ากันได้ดีกับมานา ถ้าเปลี่ยนไปเป็นทางนั้นจะพัฒนาได้อีกไกล”
“ค่ะ…!”
อเมลด้าเองก็เริ่มสุภาพ
“ได้โปรดสอนสั่งด้วย”
เคนดริกก้าวออกมา
มันคือหัวหอกคนสำคัญในอัศวินสีชาดยุคทอง
ความถนัดของเคนดริกคือการฝ่าเข้าไปในกองทัพศัตรูและเด็ดหัวแม่ทัพ สร้างความได้เปรียบในสงคราม
“เข้ามา”
บีบันรับมือกับเคนดริกต่อทันทีโดยไม่หยุดพัก
หลังจากมองเห็นบุคลิกที่ชอบบุกของเคนดริก อริยดาบเปิดฉากด้วยการย่นระยะห่างเข้าหาอีกฝ่ายในพริบตา
ตุ้บ
“…!!”
“กลิ่นอายของวิชาดาบเงา… เจ้าเคยเป็นนักลอบสังหาร?”
“ใช่… ผมถูกกลุ่มนักลอบสังหารลักพาตัวไปตั้งแต่เด็ก ถูกพวกมันฝึกฝนอย่างหนักนานหลายปี จนกระทั่งวันหนึ่งได้รับการช่วยเหลือและไม่ต้องทำงานลอบสังหารอีก… คุณรู้ได้ยังไง…”
ดวงตาเคนดริกกำลังเบิกกว้าง
วิชาดาบของมันในวันนี้แตกต่างจากวิชาดาบนักลอบสังหารในวัยเด็ก แทบไม่มีสิ่งใดเลยที่เหมือนกัน และมันละทิ้งวิชาดังกล่าวไปนานแล้ว
ทำไมอีกฝ่ายถึงมองเห็นร่องรอย?
ร่องรอยที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่ามี
“มันแฝงอยู่ในนิสัย… ในการดวลหรือต่อสู้ระยะสั้น เจ้ามักใช้มันเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าโดยไม่รู้ตัว”
“นั่นก็จริง…”
“จงใช้มันเป็นอาวุธ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้ากลับมาฝึกวิชาดาบเงาเต็มตัว แต่จงฝึกให้เทคนิคบางส่วนของวิชาฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก จากนั้นก็พัฒนาจนกลายเป็นวิชาดาบของตัวเอง”
“ครับ… ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ!”
บีบันยังคงทำหน้าที่ของเจ้าแห่งหอดาบอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
มันยอมรับคำท้าของอัสโมเฟลกับดันเต้อย่างจริงใจ
อัสโมเฟลทนได้สิบหกดาบ ส่วนดันเต้ทนได้สิบเจ็ด
ไม่ใช่เพราะดันเต้แข็งแกร่งกว่าอัสโมเฟล
ต่อให้สั่งสมบารมีเทพ แต่พลังต่อสู้โดยรวมของดันเต้ก็ยังด้อยกว่าอัสโมเฟลและซินกูเล็ดพอสมควร
สาเหตุที่มันรับดาบได้นานกว่าใคร เป็นเพราะประสบการณ์ที่สั่งสมอย่างยาวนาน หากนับเฉพาะเทคนิคดาบ ดันเต้อาจเหนือกว่าทุกคนในกลุ่มอดีตอัศวินสีชาด
การมีเทคนิคที่ยอดเยี่ยม หมายถึงการรับมือศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ชายคนนี้คือผู้วางรากฐานให้กับวิชาดาบของกองอัศวินสีชาดแห่งจักรวรรดิ
บีบันแนะนำให้ดันเต้เพิ่มกล้ามเนื้อและความแข็งแกร่งทางกายภาพ รวมถึงการแนะนำให้ใส่พละกำลังในดาบมากขึ้น
“อา… สำหรับเจ้า…”
จากนั้น มันหันมาจ้องอัสโมเฟล
เป็นเวลานานที่บีบันไม่พูดอะไรออกมา
อัสโมเฟลกำลังกระวนกระวายสุดขีด
Comments
Post a Comment