จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,496



อัสโมเฟลกำลังกระวนกระวายสุดขีด


ในพักหลัง มันตระหนักว่าฝีมือของตนไม่พัฒนาขึ้นเลย จึงกังวลว่าเจ้าแห่งหอดาบจะพูดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์


แต่นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิด


“ข้าเห็นเงาผู้อื่นในดาบของเจ้า… บางที เจ้าคงใช้ความรู้สึกต่ำต้อยเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาฝีมือมาตลอด แต่ในระยะหลังพยายามแก้ไขให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง… ทว่า ความพยายามกลับกลายเป็นเพียงมโนภาพ เจ้าได้พบกับทางตัน”


อันดับสองที่แข็งแกร่งที่สุด


อัสโมเฟลเดินตามรอยเท้าของหมายเลขหนึ่งมาเป็นเวลานาน จึงอาศัยประสบการณ์ดังกล่าวในการเปลี่ยนให้ตัวเองกลายเป็นหมายเลขหนึ่งและก้าวข้ามขีดจำกัด


หมายเลขหนึ่งในที่นี้คือปิอาโร่และบราฮัม


อัสโมเฟลเลียนแบบพลังของปิอาโร่และเคยเอาชนะไคล์ในสมัยยังเป็นสาวกเทพสงคราม


หลังจากดวลกับบราฮัมและพ่ายแพ้ มันนำเวทมนตร์ตรวจจับมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และสามารถป้องกันเหตุก่อการร้ายในพิธีฉลองบรรลุนิติภาวะของเจ้าชาย


แต่บีบันปฏิเสธความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมด


“ต่อให้พยายามทั้งชีวิต เจ้าก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ด้วยวิธีดังกล่าว… ไม่มีวันที่เจ้าจะแข็งแกร่งไปกว่าบุคคลที่ตัวเองนับถือและอิจฉา… ผู้ที่กำหนดขีดจำกัดของเจ้า ไม่ใช่ใครนอกจากตัวเจ้าเอง”


อัสโมเฟลที่ถูกเผยจุดอ่อนอย่างหมดเปลือก ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า


เหล่าสมาชิกในทีมต่างพากันทำหน้าเศร้า เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องที่อัสโมเฟลพยายามเลียนแบบวิชาดาบของปิอาโร่


ซินกูเล็ดส่ายหน้า


“ไอ้งั่งนี่ไม่เปลี่ยนไปเลย… ชิ!”


เป็นคำด่าทอที่รุนแรงมาก


แต่อัสโมเฟลจำต้องแบกรับเอาไว้


ในสภาพก้มหน้า มันกล่าวออกไปอย่างเชื่องช้า


“ท่านอาวุโสกล่าวได้ถูกต้อง… ผมยังมิอาจสลัดความรู้สึกต่ำต้อยออกไปได้ นิสัยอันน่ารังเกียจเช่นนี้ไม่เคยแปรเปลี่ยนเป็นเวลานาน ไม่เว้นแม้ในยามทำลายชีวิตพวกพ้องและสมาชิกในครอบครัว… ผมไม่ใช่มนุษย์ที่เกิดมาสมบูรณ์แบบ เกรงว่าคงเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ไปตลอดชีวิต”


อันที่จริง อัสโมเฟลดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เพราะอย่างน้อยความรู้สึกต่ำต้อยก็มิได้พัฒนาไปเป็นความอิจฉาริษยา


บีบันมองเห็นว่าอัสโมเฟลพยายามแก้ไขสิ่งเหล่านี้อย่างหนัก พยายามทำให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง


จนท้ายที่สุด อัสโมเฟลมองปิอาโร่เป็นเป้าหมายที่ควรเทิดทูน มิใช่อิจฉาริษยา


หรือแม้แต่ตอนที่พ่ายแพ้บราฮัม มันก็เก็บมาเป็นแรงผลักดันมากกว่าจะโกรธ


อัสโมเฟลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไล่ตามเงาของคนเหล่านั้นอย่างเงียบงัน


หากนั่นคือตัวกำหนดขีดจำกัด มันคงต้องทำใจยอมรับ


เพราะถ้าพยายามทำลายขีดกำจัดและก้าวข้าม ความริษยาจะย้อนกลับมากัดกินจิตใจจนพลาดพลั้งก่อบาปเหมือนในอดีต


“อัสโมเฟล…”


เมื่อทุกคนตระหนักว่าอัสโมเฟลพยายามขจัดความรู้สึกด้านลบอย่างยากลำบาก สีหน้าของเหล่าอัศวินต่างพากันเศร้าหมอง หลายคนเกิดความเสียใจและเห็นใจ


แม้แต่ซินกูเล็ดก็ปิดปากเงียบ


ความพยายามอย่างหนักของอัสโมเฟลทำให้มันสับสนและอึดอัด


ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม บีบันพูดขึ้น


“ความรู้สึกต่ำต้อยคือหนึ่งในธรรมชาติของมนุษย์ เป็นแรงผลักดันที่ยอดเยี่ยมจนไม่ควรไปตีกรอบว่าระดับใดจึงจะน่ารังเกียจ… ข้าอาจไม่รู้จักอดีตของเจ้า แต่ก็ไม่คิดว่าวิธีการที่เจ้าใช้ในอดีตมันผิด… ปัจจุบันต่างหากที่ผิด พรสวรรค์ของเจ้าไม่ควรถูกปล่อยทิ้งขว้างให้เสียของ”


“…”


“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ เผชิญหน้ากับตัวเอง ไม่ใช่เงาของผู้อื่น”


“อา…”


อัสโมเฟลเริ่มตระหนักถึงบางสิ่ง


เป็นช่วงเวลาที่มันออกเดินทางตามหาอดีตพวกพ้องที่เคยทรยศเพื่อชดใช้บาป


อัสโมเฟลในตอนนั้นมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับตัวเองในอดีต


เพื่อจะชดใช้และสำนึกผิดอย่างถ่องแท้ มันต้องไตร่ตรองบาปให้ถี่ถ้วน จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเผชิญหน้ากับตัวเองเมื่อครั้งกระทำผิด


มันฉุกคิดถึงบางสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว


“…ผมเริ่มเข้าใจคำพูดของท่านอาวุโสขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากนี้จะขอสลักมันไว้ในใจ”


อัสโมเฟลสัมผัสได้


ถึงความจริงที่ว่า นับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป มันกำลังจะมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด


คล้ายกับได้ยินเสียง ‘ขีดจำกัด’ ของตัวเองถูกทำลายลงอย่างแผ่วเบา


เป็นความมั่นใจที่ยากจะอธิบาย


ความเชื่อใจและเคารพถูกฉาบลงบนใบหน้าอัศวินทุกคนขณะจ้องมองบีบัน


จากบรรดาทั้งหมด บุคคลที่มีสายตาชื่นชมที่สุดไม่ใช่ใครนอกจากปิอาโร่


เรื่องนี้ค่อนข้างผิดคาด


เพราะปิอาโร่ยังไม่ได้รับการสั่งสอนจากบีบันเลย


“…เหลือเจ้าคนเดียวแล้ว”


ทำไมถึงจ้องกันด้วยสายตาเช่นนี้?


เกี่ยวกับปิอาโร่ บีบันสนใจใคร่รู้มากที่สุด


ชายคนนี้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์กว่าใครในหมู่อัศวินอัจฉริยะตรงหน้า


นอกจากนั้นบีบันยังอยากรู้ว่า สายตาของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมาทางตน มีความหมายว่าอย่างไร


“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโส”


ปิอาโร่โค้งศีรษะอย่างนอบน้อมพลางกล่าวคำทักทาย


ว่ากันตามตรง มันอยากจะคุกเข่าและใช้ศีรษะโขกพื้น


ระหว่างที่อีกฝ่ายดวลกับคนอื่น ปิอาโร่สังเกตเห็น


ความจริงที่ว่า เจ้าแห่งหอดาบตรงหน้าถือครองพลังจิตไร้เทียมทานเหมือนกับตน


แต่เป็นระดับที่เหนือกว่าหลายเท่า


ขณะเดียวกันช่วยให้ทราบอย่างคลุมเครือว่า เทคนิคพลังจิตไร้เทียมทานที่เจ้านายของตนถ่ายทอดให้ แท้จริงแล้วมาจากใคร


ปิอาโร่สัมผัสได้ว่า เจ้าแห่งหอดาบตรงหน้าคืออาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ของตน จึงต้องการแสดงมารยาทและความจริงใจในระดับสูงสุด


แต่นั่นยังเร็วเกินไป


นักรบต้องคุยกันผ่านดาบและจอบสั้น


คงสมเหตุสมผลกว่าหากจะเก็บความรู้สึกไว้ถ่ายทอดหลังจากการประเมินฝีมือ


“เข้ามา”


บีบันที่พยักหน้ารับการทักทาย วางมือลงบนด้ามดาบ


เป็นท่วงท่าเดียวกับที่อเมลด้าคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้เทคนิคชักดาบฟัน


แต่ปิอาโร่มองเห็นความเป็นไปได้มากมายจากเชิงดาบดังกล่าว


มันตัดสินใจสร้างอาณาเขตอย่างสุขุมเยือกเย็น เริ่มจากการหว่านเมล็ด


“…?”


บีบันเผยความฉงน


รูม่านตาที่เบิกโพลง สะท้อนภาพของเมล็ดพันธุ์ซึ่งถูกหว่านด้วยพลังธรรมชาติ


ในวินาทีที่เมล็ดพันธุ์ร่วงหล่นถึงพื้น ปิอาโร่พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูง


จอบและเคียวสั้นถูกนำมาถือในมือทั้งสองข้าง


บีบันที่ได้สติกลับมา รีบตะโกนเสียงดัง


“หยุด!!”


“…?”


“…?”


เหล่าอัศวินต่างพากันสับสน


บีบันซึ่งรักษามาดสุขุมของเจ้าแห่งหอดาบมานาน เริ่มออกอาการกระวนกระวายอย่างเปิดเผย


ปิอาโร่ตระหนักถึงเหตุผล จึงเผยรอยยิ้มเจือจาง


‘เขาคงสังเกตเห็นว่าเราเองก็เป็นผู้ถือครองพลังจิตไร้เทียมทานเหมือนกัน’


ปิอาโร่มั่นใจมาก


เรื่องบังเอิญก็คือ บีบันกำลังเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงไม่ต่างกัน


ในฐานะผู้อุทิศชีวิตให้กับดาบ มันมีความรู้ในศาสตร์แขนงอื่นน้อยมาก


บีบันไม่เคยสนใจพลังธรรมชาติและชาวนา จึงมองไม่เห็นแก่นแท้ของอีกฝ่าย


‘ชาวนา?’


บีบันกำลังสับสนสุดขีด


นี่คือครั้งแรกที่มันเห็นชาวนาคิดจะสู้ด้วยจอบและเคียวสั้น


กระทั่งชาวนายอดฝีมือของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ที่มันเคยพบ ก็ยังต้องเหน็บดาบไว้ที่เอว และบางคนก็มีร่องรอยเวทมนตร์


แต่ชาวนาตรงหน้ากลับคิดจะต่อสู้ด้วยอุปกรณ์ทำสวน


ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา


มันเคยได้ยินว่ามีกลุ่มชาวนาลุกฮือขึ้นต่อสู้พร้อมกับอุปกรณ์ทำสวนเพื่อต่อต้านระบอบกดขี่ แต่วันนี้คือครั้งแรกที่มันได้เห็นกับตาตัวเอง


บีบันที่จ้องปิอาโร่อย่างเงียบงันเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ตัดสินใจถาม


“ชาวนาขึ้นมาหอดาบทำไม?”


“เพื่อทักทายเจ้าแห่งหอคอยดาบและรับคำชี้แนะที่เหมาะสม…”


“ทำไมชาวนาถึงอยากได้คำชี้แนะจากข้า? คิดว่าข้าเป็นชาวนาหรือ? เฮอะ! สามหาว!”


“…”


แต่ไหนแต่ไร คลาสชาวนาในตำนานต้องคอยรับมือกับอคติของผู้คนอยู่เสมอ


ปิอาโร่ค่อนข้างคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้


แต่มันก็ไม่คิดว่า แม้แต่ยอดฝีมืออาวุโสตรงหน้าก็ยังเข้าใจผิด


‘มิได้ตกตะลึงเพราะว่าเราถือครองพลังจิตไร้เทียมทานหรอกหรือ’


อเมลด้ากุมท้องพร้อมกับหัวเราะ


“กัปตันของพวกเราเก่งกาจถึงเพียงนี้ ทำไมถึงไปเป็นชาวนากันนะ? ฮุฮุฮุ!”


“เอ่อ… ปิอาโร่ ใจเย็นก่อนนะ ตอนนี้นายหน้าแดงมาก”


“…ปิอาโร่?”


ขณะดันเต้พยายามเรียกชื่อเพื่อทำให้ปิอาโร่ใจเย็นลง


บีบันที่กำลังทำหน้าบิดเบี้ยว เริ่มกระดิกใบหู


ปิอาโร่


ชื่อดังกล่าวสลักลงในความทรงจำของมันมาได้สักพัก


เป็นชื่อที่กริดเคยเล่าให้ฟัง


โดยกล่าวว่า ชายคนนั้นครอบครองวิชาดาบอิสระ เป็นแขนงย่อยของวิชาดาบไร้เทียมทาน


บีบันคิดว่านี่คงเป็นวาสนา จึงอนุญาตให้กริดถ่ายทอดพลังจิตไร้เทียมทานให้ปิอาโร่


“…นี่เจ้า”


บีบันที่ไตร่ตรองเหตุการณ์ในอดีตสักพัก เปิดปากพูดด้วยเสียงสั่นเครือ


“ทำไม… ถึงกลายเป็นชาวนา?”


ปิอาโร่ตอบอย่างมั่นใจ


“เพราะนี่คือเส้นทางที่ผมเลือกเดิน”


“…ได้เรียนพลังจิตไร้เทียมทานไปแล้วไม่ใช่หรือ?”


“ครับ… ขอบคุณท่านอาวุโสที่เมตตา”


“ทั้งที่ได้เรียนพลังจิตไร้เทียมทาน… แล้วทำไมถึงยังเป็นชาวนา?”


“หมายความว่ายังไง…?”


“ถ้าได้ครอบครองพลังจิตไร้เทียมทาน ก็ควรจะกลับมาเดินบนวิถีแห่งดาบไม่ใช่หรือ?”


“ไม่เสมอไป… ผมนำพลังจิตไร้เทียมทานผสานเข้ากับวิชาทำฟาร์มอิสระ จนกลายเป็นวิชาทำฟาร์มไร้เทียมทาน…”


“หุบปาก! ไอ้…! บัดซบ!!”


“…”


“ข้าคิดว่าเจ้าจะกลายเป็นสุดยอดนักดาบ… แต่นี่อะไร? ชาวนา? บัดซบ! บัดซบ!!”


“…”


อริยดาบบีบัน


แน่นอน มันภาคภูมิใจในดาบและวิชาดาบของตนมาก


บีบันเชื่อว่า ผู้สืบทอดพลังจิตไร้เทียมทานของตนจะกลายเป็นยอดนักดาบชื่อก้องโลก จึงแอบให้กำลังใจอยู่ห่างๆ แต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นชาวนา


มันไม่เข้าใจเหตุผลแม้แต่น้อย ราวกับความเชื่อใจของตนถูกทรยศ


“พลังจิตไร้เทียมทานอันสูงส่งถูกนำมาใช้ทำนา…!”


ถ้าจำมันไม่ผิด มันเคยได้ยินแว่วๆ จากกริดว่าปิอาโร่เป็นชาวนา


แต่แน่นอน บีบันคิดว่านั่นคงเป็นแค่งานอดิเรก


หรือต่อให้ทำเป็นอาชีพหลักมากกว่างานอดิเรก แต่บีบันก็ไม่ได้ใส่ใจนัก มองเป็นเพียงเรื่องตลกและปล่อยเข้าหูซ้ายออกหูขวา


นอกจากนั้น บีบันยังเชื่อว่าต่อให้อีกฝ่ายเคยหลงผิด (เป็นชาวนา) แต่ก็จะกลับมาเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในฐานะนักดาบหลังจากครอบครองพลังจิตไร้เทียมทาน


นั่นเพราะพลังจิตไร้เทียมทานคือแก่นสำคัญของวิชาดาบไร้เทียนทานที่อริยดาบสร้างขึ้น


แต่นี่มันอะไร


เพียงพริบตา ปิอาโร่ตกเป็นเป้าความโกรธโดยไม่ทราบสาเหตุ


“เจ้าคือความอับอายของข้า…!”


บีบันที่แผดเสียงตะโกน มีอันต้องชะงักกลางคัน


มันสัมผัสถึงพลังงานที่ชั่วร้ายมาจากฝั่งจักรวรรดิ


‘ผู้ปกครองหลักเดียว… แถมยังเป็นลำดับต้นๆ’


การปรากฏกายของจอมอสูรลำดับสี่ คามิคิน


ประสาทสัมผัสของอริยดาบเฉียบแหลมจนสามารถตระหนักถึงออร่าความชั่วร้ายอันเข้มข้นที่อยู่ห่างออกไปไกล


‘สงครามหนักหนากว่าที่คิด คงมีการสูญเสียเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน’


หอแห่งปัญญามิได้นำประเด็นของมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรมาถกเถียงกัน


เพราะพวกมันมองเป็นเพียงวิกฤติที่มนุษย์รับมือไหว


กล่าวอีกนัยหนึ่ง หอแห่งปัญญาประเมินแล้วว่าหายนะยังไม่ร้ายแรงเท่ากับภัยจากมังกร


ไม่ใช่ปัญหาที่บีบันต้องกังวล


แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนบริสุทธิ์จำนวนนับล้านต้องล้มตาย


หากบีบันยังถูกขังอยู่ในหอคอยและไม่รับรู้เรื่องราวทางโลก นั่นคงจะไม่เป็นอะไร


“นี่… ปิอาโร่”


“ครับ”


ปิอาโร่จ้องหน้าเจ้าแห่งหอดาบที่เงียบไปกะทันหัน พลางขานรับด้วยท่าทีแข็งขัน


มันต้องการดวลกับเจ้าแห่งหอดาบ


ปิอาโร่อยากพิสูจน์ให้อีกฝ่ายเห็นว่าชาวนานั้นยอดเยี่ยมเพียงใด


ราวกับบีบันอ่านความคิดออก


“เข้ามา ข้าต้องทดสอบฝีมือเจ้า”


บีบันเริ่มการดวล


มันพยายามสงบสติและมองว่า ยังไม่ควรด่วนเป็นกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์ หากยังไม่รู้จักความแข็งแกร่งของมนุษย์ดีพอ


อันดับแรก บีบันต้องการทดสอบฝีมือปิอาโร่


ถึงแม้จะเป็นชาวนา แต่ก็เป็นชาวนาที่ครอบครองพลังจิตไร้เทียมทาน


จะต้องเก่งเหนือจินตนาการแน่


“น้อมรับคำชี้แนะ”


ปิอาโร่พลังใช้พลังเร่งโต


เมื่อเมล็ดพันธุ์ที่หว่านไว้ล่วงหน้างอกเงยในพริบตา ชั้นบนสุดของหอคอยก็กลายเป็นแปลงเกษตรกรรม


เขตแดนของชาวนา


“@#%…”


บีบันที่พยายามทำตัวเยือกเย็น กลับมามีสีหน้าบิดเบี้ยวอีกครั้ง


***


“ฮุฮุ…”


ในเมืองใต้ดินอันมืดมิด


คราวนี้หลับไปนานแค่ไหน?


เธอไม่มีทางรู้ แต่ก็พอจะทราบว่าทำไมความฝันถึงได้โหดร้ายนัก


แมรีโรสบรรจงพยุงตัวลุกขึ้นจากโลงศพ พลางฉีกยิ้มเมื่อสัมผัสถึงปราณอสูรจากระยะไกล


“ชักน่าสนุกแล้วสิ”


ซ่า—


เรือนร่างอันทรงเสน่ห์กระจายกระจายคล้ายหมอกและสลายไป


เมื่อผู้อาศัยเพียงคนเดียวไม่อยู่ ความเงียบก็กลับมาปกคลุมเมืองอีกครั้ง


______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,036
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00