จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,142



“ถึงจะเผชิญหน้ากับมันแบบพร้อมรบสุดขีด แต่ฉันก็คงถูกฆ่าตายโดยไม่ได้แกว่งดาบสักหน”


ความตายอันแสนเจ็บปวด สูญเสียค่าประสบการณ์ และสูญเสียไอเท็ม


นี่คือบทลงโทษปรกติสำหรับผู้เล่น หากรักจะเล่นซาทิสฟาย ก็ต้องยอมรับในจุดนี้ให้ได้


อย่างไรก็ตาม การถูกช่วงชิงดาบตะวันเฉิดฉายในฐานะ ‘ไอ้งั่ง’ นั้นยากเกินกว่าจะทำใจยอมรับไหว


“เจ้าบ้านั่นเป็นสัตว์ประหลาด ตระหนักถึงเจตนาของผู้เล่น และช่วงชิงอาวุธไปเป็นของตัวเอง! บ้าบอสิ้นดี! แบบนี้ไม่โหดร้ายกับผู้เล่นเกินไปหน่อยหรือ ไอ้มอนสเตอร์ระยำ! ไปตายซะ!”


อาสึกะกลายเป็นคนพูดจาวกวนเรื่องเดิมๆ ประหนึ่งนกแก้วนกขุนทอง


แบล็คเท็ดดี้ ผู้ทำได้เพียงเฝ้ามองด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยซับน้ำตา


“คุณหนู… ผมคอยดูแลคุณหนูมานานกว่ายี่สิบปี คุณหนูในความทรงจำของผมไม่ใช่คนอ่อนแอเช่นนี้ คุณหนูเกรี้ยวกราดประหนึ่งสายฟ้า ดีดพยศประหนึ่งม้าป่า แต่ปัจจุบัน คุณหนูเป็นได้เพียงลูกม้าป่วย น้ำตาของคุณหนูทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด”


“เท็ดดี้…”


“ได้สติกลับมาสักที คุณหนู จงแก้แค้นในแบบฉบับของคุณ จงจัดการกับไอ้บอสระยำ อัปลักษณ์ และเจ้าเล่ห์ตนนั้น จงแผดเผาความหงุดหงิดในใจให้มอดไหม้ประหนึ่งโยนบุหรี่ลงบนกองฟาง! จงเป็นม้าป่า หาใช่สุนัขป่วย!”


“แต่ว่านะ เท็ดดี้ ฉันไม่ได้เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของโลก ยังมีสัตว์ประหลาดอีกมากมายอยู่นอกเหนือการควบคุม และไม่สามารถกำราบได้ด้วยพลังอันน้อยนิด ฉันเป็นเพียงลูกม้าป่วยตัวหนึ่ง”


“ฮ…ฮึก! คุณหนู!! ฮือออ~”


“…สองคนนั้นเอาอีกแล้วหรือ”


“กำลังถ่ายหนังอยู่หรือไง”


ณ ร้านเหล้าฮายาคาน


ถือเป็นร้านเหล้าอันดับหนึ่งในย่านทิศใต้ของจักรวรรดิซาฮารัน อาคารสูงเจ็ดชั้น สร้างจากการขุดเจาะภูเขาลูกเล็ก สีสันและบรรยากาศงดงามเหมาะแก่การดื่มด่ำ


ถูกต้อง อาสึกะและเท็ดดี้กำลังอยู่ในร้านเหล้าของซาทิสฟาย พวกมันมิได้มึนเมาเพราะฤทธิ์สุรา หากแต่เป็นบรรยากาศและเรื่องราว


ในสายตาคนปรกติ ทั้งสองไม่ต่างอะไรกับพวกสติเพี้ยน


“ว่าแต่ พวกเขาเป็นใครกัน”


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจของตัวเอง ส่วนใหญ่มักไม่มีข้อมูล”


อาสึกะและแบล็คเท็ดดี้คือไฮแรงเกอร์ แถมยังอยู่ในลำดับสูงมาก การไปไหนมาไหนจึงไม่สะดวกนัก


แม้แต่การสังสรรค์ในร้านเหล้า ก็ยังต้องโพกหัวและปิดหน้ามิดชิด เพื่อมิให้ชื่อตัวละครปรากฏเหนือศีรษะสร้างความฮือฮา


อย่างไรก็ตาม ทั้งสองมักสวมเครื่องประดับราคาแพงติดตัวเสมอ ลำพังการอำพรางธรรมดาจึงมิอาจเก็บซ่อนสนิท แถมยังชอบส่งเสียงโหวกเหวกภายในร้านเหล้าจนกลายเป็นจุดสนใจ จึงไม่แปลกหากจะตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มผู้เล่น PK ไปโดยปริยาย


และแน่นอน จุดจบคือความตายของฝ่ายเข้ามาหาเรื่องเสมอ


นับแต่นั้น ก็ไม่เคยมีผู้เล่นคนใดในร้านเหล้า กล้าลงมือกับคู่หูอาสึกะและแบล็คเท็ดดี้อีกเลย


“นี่! คุณหนูตรงนั้นน่ะ”


“หือ?”


“ทำไมคุณถึงไม่ลองให้พวกเราช่วยกันตามหาดาบตะวันเฉิดฉายอะไรนั่นล่ะ?”


“แล้วจะให้ฉันบอกความลับ ว่าแอบเข้าไปในดันเจี้ยนส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไง?”


“แต่คุณไม่ได้ฆ่าบอสใหญ่ไม่ใช่หรือ ดันเจี้ยนยังไม่ถูกเคลียร์สักหน่อย เจ้าของคงยังไม่เอะใจ พวกเราก็แค่แอบเข้าไปตามหาดาบอีกรอบ”


“แต่พวกเราฆ่าทหารยามไปแล้ว”


“อา… ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของดันเจี้ยนยังเป็นพวกเอาใจใส่ NPC ของตัวเองมาก ถึงคนลงมือฆ่าทหารยามจะไม่ใช่พวกฉัน แต่เป็นเครปัสก็เถอะ…”


“พอได้แล้ว อย่าไปพูดถึงอีกเลย”


ปัจจุบัน อาสึกะปรารถนาความตายของเฟนเรียร์เหนือสิ่งอื่นใด


จุดประสงค์แรกคือรางวัลภารกิจ ซึ่งจะได้รับหลังจากความตายของเฟนเรียร์ และอีกหนึ่งเหตุผลคือการแก้แค้น


นั่นคือสาเหตุให้เธอตัดสินใจทิ้งดาบตะวันเฉิดฉายไว้หน้าห้องบอส


แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป และอนาคตของตัวเองอาจไม่ปลอดภัย รางวัลภารกิจและการแก้แค้นจึงกลายเป็นประเด็นรองทันที


อาสึกะยังไม่ลืมจุดจบของเวอราดิน


‘กริดเคยประกาศออกทีวีว่า เขาจะตามแก้แค้นเวอราดินสุดขอบโลก เพียงเพราะสูญเสีย NPC ไปหนึ่งคนจากเหตุการณ์บุกรุกเมืองหลวง’


ว่ากันตามตรง นิสัยของอาสึกะก็ไม่ได้ดีนัก


ในฐานะทายาทรุ่นสามของอภิมหาเศรษฐี พฤติกรรมความเอาแต่ใจของอาสึกะได้กลายเป็นชื่อเสียงด้านลบมานาน ผู้คนมักตามไม่ทันว่า ภายในหัวของเธอกำลังคิดสิ่งใดอยู่


โดยเฉพาะความคิดสุดพิสดารในการทิ้งดาบเกรดเลเจนดารีให้กริด และหวังว่าราชาโอเวอร์เกียร์จะช่วยตนแก้แค้นเฟนเรียร์แทนในภายหลัง


แต่เรื่องน่าตลกคือ เฟนเรียร์ช่วงชิงมันไป


ด้วยเหตุนี้ อาสึกะจึงทำอะไรไม่ได้อีก


เธอไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับกริด เนื่องจากเคยก่อความผิดพลาดจนยากจะให้อภัย นับแต่นั้นจึงพร่ำบอกกับตัวเองว่า จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับกริดอีกตลอดชีวิต


‘ช่างเถอะ… คงต้องยอมรับสภาพแต่โดยดี’


อาสึกะกระดกเหล้าขวดสุดท้าย พลางตรวจสอบรายละเอียดสมญานาม ‘ไอ้งั่ง’ รวมถึงรางวัลจากการฆ่าหมาป่าของเฟนเรียร์


“เฮ่อ กลับไปเก็บเลเวลดีกว่า”


“ครับคุณหนู”


การเมาดิบในโรงเหล้าช่วยคลายความตึงเครียดลงได้เล็กน้อย


ใจจริง เธออยากเมาในชีวิตจริงให้สุดเหวี่ยงมากกว่า แต่ถ้าทำแบบนั้น จะส่งผลให้ชั่วโมงออนไลน์ซาทิสฟายลดลง


อาสึกะเป็นมืออาชีพ


เฉกเช่นท็อปแรงเกอร์คนอื่น การรักษาอันดับของตัวเอง รวมถึงการไต่เต้าขึ้นไปข้างบน หากละเลยแม้เพียงวันเดียวก็อาจทำให้ถูกแซงหน้า


***


“ยังเหมือนเดิมสินะ”


กริดยิ้มจืดชืดขณะสำรวจใบหน้าทหารยามหน้าเมืองแวมไพร์เฟนเรียร์


พวกมันกำลังยืนทำความเคารพราชาโอเวอร์เกียร์ด้วยท่าทีตะกุกตะกัก


ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะแต่ละคนไม่ใช่ทหารมืออาชีพของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์


แต่เป็นนักโทษ


นี่คือไอเดียของคริส เจ้าเมืองเรย์ดัน


เพื่อเป็นการทำโทษไปในตัว คริสได้ส่งอาชญากรของเมืองเรย์ดันมายืนเฝ้าทางเข้าเมืองเฟนเรียร์กลางทะเลทราย แทนงานของทหาร


อย่างไรก็ตาม เพื่อกระตุ้นให้นักโทษสมัครใจยอมมาทำงาน คริสสัญญาว่าจะลดโทษลงจากเดิมเหลือเพียงหนึ่งในสาม ส่งผลให้นักโทษจำนวนไม่น้อย ยอมสมัครใจมายืนเป็นหูตาใจกลางทะเลทรายกว้างใหญ่


เซ็ดนอสเกาหัว


“พวกเราคงสิ้นเปลืองทหารโอเวอร์เกียร์โดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ ฉันรู้ว่ามันอาจโหดร้ายกับพวกนักโทษไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยคริสก็ทำตามสัญญา ว่าจะปล่อยตัวพวกเขาเร็วขึ้น”


“ช่างมันเถอะ”


กริดไม่มัวคิดให้ปวดหัว


สายตาของชายหนุ่มสนใจเพียงด้านในของเมืองแวมไพร์และข้อความระบบ


[เจ้าเมืองแวมไพร์ มาร์ควิสเฟนเรียร์ สัมผัสถึงตัวตนของท่านและตื่นจากการหลับใหล]


[เฟนเรียร์ไม่ยอมรับว่าท่านคือราชาโลหิต]


[เลือดในร่างกายเย็นเฉียบกะทันหัน อุณหภูมิร่างกายเริ่มลดลงมหาศาล]


[ท่านต้านทาน]


ผู้จะกลายเป็นราชาโลหิต


สมญานามซึ่งมาพร้อมเอฟเฟคสะกดข่มแวมไพร์ทั่วไป ทำให้แวมไพร์เลือดบริสุทธิ์สับสนว้าวุ่น และทำให้แวมไพร์ทายาทโกรธเคืองรุนแรงจนตื่นขึ้นจากการหลับใหล


ระบบได้อธิบายไว้ว่า ราชาโลหิตหมายถึง ราชาแห่งแวมไพร์ทายาททั้งปวง และเป็นสาเหตุให้ทีราเม็ทแสดงอาการนอบน้อมเป็นพิเศษ


หากมองผิวเผินอาจเป็นสุดยอดสมญานาม


แต่สำหรับกริด ข้อเสียของสมญานามนับว่าค่อนข้างอันตราย


เพราะหากเมื่อไรได้เผชิญหน้ากับแวมไพร์ทายาท อีกฝ่ายจะหลุดพ้นจากคำสาปเกียจคร้านชั่วคราวทันที


ถ้าไม่ถูกพันธนาการด้วยคำสาป ทั้งแมรีโรสและเฟนเรียร์จะแข็งแกร่งจนรับมือได้ยาก กริดจึงมองว่าเป็นสมญานามถ่วงแข้งขาเสียมากกว่า


“ทำไมฉันถึงกลายเป็นราชาโลหิตไปได้…”


ย้อนกลับไปในอดีต ชายหนุ่มได้รับสมญานามผู้จะกลายเป็นราชาโลหิต หลังจากเอาชนะแวมไพร์ทายาทมาได้


แต่เราไม่ได้เป็นแวมไพร์สักหน่อย เรียกได้ว่ามนุษย์ทั้งแท่ง แล้วเหตุใดถึงกำลังจะกลายเป็นราชาโลหิต…?


กริดเคยนึกสงสัยเรื่องนี้มานาน และคราวนี้มีบราฮัมช่วยไขความกระจ่าง


“ก่อนแมรีโรสจะถือกำเนิด ท่านแม่ได้คิดแผนการหนึ่งขึ้นมา นั่นคือการทำให้เฟนเรียร์แข็งแกร่งขึ้นหลังจากเอาชนะพี่น้องทุกคน”


“…”


“ในสมัยนั้น เฟนเรียร์มีพลังเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาทายาททั้งหมด ท่านแม่จึงหวังกับมันไว้มาก หากเฟนเรียร์เอาชนะทายาทครบทุกคนเมื่อไร มันจะพัฒนาตัวเองจนมีพลังเทียบเท่าท่านแม่ หลังจากนั้นจะเป็นการร่วมมือกันระหว่างเฟนเรียร์และท่านแม่ เพื่อแก้แค้นยาธานและบาเอล นั่นคือจุดเริ่มต้นของแผนการใช้งานพลังราชาโลหิต”


“แล้วทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเช่นนั้น? แค่สร้างเฟนเรียร์ให้แข็งแกร่งแต่แรกก็จบแล้วไม่ใช่หรือ?”


“ลืมไปแล้วรึไง ท่านแม่มีชะตาอย่างไรหลังจากให้กำเนิดแมรีโรส”


“…!”


เบริอาเช่ตายหลังจากแมรีโรสลืมตาดูโลก


จึงหมายความว่า หากต้องการสร้างแวมไพร์ให้ทรงพลังเท่าตัวเอง สิ่งแลกเปลี่ยนคือชีวิตของตัวเองเท่านั้น


กริดเริ่มเข้าใจแผน ‘ราชาโลหิต’ ขึ้นมาบ้าง


“ถูกต้อง ท่านแม่ต้องการร่วมมือกับเฟนเรียร์เพื่อโค่นยาธานและบาเอล หากเธอตายไป การให้กำเนิดทายาทก็ไร้ประโยชน์ แต่เฟนเรียร์กลับมิอาจตอบสนองความหวังของท่านแม่ ถูกคำสาปเกียจคร้านเล่นงานจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด แถมยังพ่ายแพ้ให้กับแวมไพร์ผู้สืบทอดคุณลักษณะพิเศษเพียงชนิดเดียวอย่างฉัน”


“…”


“สรุปก็คือ เฟนเรียร์เป็นไอ้งั่งไร้ความสามารถ ทำลายแผนของท่านแม่จนป่นปี้”


“…”


ไม่เลยสักนิด เฟนเรียร์ก็ส่วนหนึ่ง แต่ผู้ทำลายความฝันของแม่นาย คือตัวนายเองต่างหาก!


นายเอาชนะเฟนเรียร์ทำไม?


หากนายปล่อยให้มันชนะ เฟนเรียร์อาจกลายเป็นราชาโลหิตนานแล้ว…


‘…หมอนี่มีพรสวรรค์ด้านการแกล้งคนมาตั้งแต่เกิดเลยหรือไง’


หลังจากได้เรียนรู้สิ่งใหม่ กริดหันไปสำรวจสภาพปัจจุบันของบราฮัม


มหาจอมเวทในตำนานยังคงใช้ใบหน้าแสนจืดชืดของลักซ์ แต่กำลังเผยรอยยิ้มมีเลศนัย


“เมื่อแผนราชาโลหิตล้มเหลว ท่านแม่จึงต้องยอมให้กำเนิดแวมไพร์สัตว์ประหลาดอย่างแมรีโรสขึ้นมา ท่านยอมตัดใจจากการล้างแค้นด้วยมือตัวเอง ปล่อยให้แมรีโรสซึ่งแข็งแกร่งกว่าตน สานต่อการแก้แค้นในอนาคต”


“น่าเศร้าเหมือนกัน…”


กริดยืนฟังเงียบงัน


มันไม่มีอารมณ์จะกล่าวติดตลกว่า ‘ถ้านายให้เฟนเรียร์ฆ่าก็จบแล้ว’ ออกไป


อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งคำถามคาใจ


“แล้วทำไมฉันถึงมีโอกาสเป็นราชาโลหิต”


“ท่านแม่คงเปลี่ยนใจก่อนตาย จากเฟนเรียร์เป็นใครก็ได้ ขอเพียงมีพลังพอจะสังหารเหล่าแวมไพร์ทายาทครบทุกคน”


“…!”


“ท่านแม่หวังให้คนผู้นั้น ร่วมมือกับแมรีโรสเพื่อแก้แค้นให้ท่าน แทนเจ้าเฟนเรียร์ไม่เอาไหน นี่คงเป็นความหวังสุดท้ายของเธอ”


“อา…”


“และปัจจุบัน เจตจำนงดังกล่าวได้มาตกอยู่กับนาย ผู้ไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด”


“…”


บ้าบอสิ้นดี


หลังจากได้ทราบความจริง กริดเผยรอยยิ้มจืดชืดพลางหันกลับไปซักถาม


“ถ้าฉันฆ่าเฟนเรียร์ในวันนี้ จะกลายเป็นราชาโลหิตทันทีเลยไหม?”


“อาจจะ”


“แล้วทำไมนายถึงไม่เป็นราชาโลหิตแทน? ทำไมฉันถึงต้องแก้แค้นให้แวมไพร์ด้วย?”


กริดไม่ใช่แวมไพร์ จึงไม่ต้องการล้างแค้นให้แวมไพร์ตนใด


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้องแก้แค้นสิ่งมีชีวิตสุดโฉดอย่างจอมอสูรลำดับหนึ่ง บาเอล และเทพมารยาธาน


ชายหนุ่มเคยสาบานกับตัวเองไว้ว่า จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับตัวตนระดับเทพหรือมังกรอีกเป็นอันขาด


บราฮัมจ้องมองอีกฝ่ายพลางแสยะยิ้ม


“แน่นอน ความแค้นของตระกูลแวมไพร์ พวกเราจะแก้แค้นกันเอง ไม่ต้องพึ่งพานาย”


“ได้ยินแบบนี้ค่อยชื่นใจ… ล…แล้วนายจะหลบหน้าฉันทำไม!”


“หืม… ตอนไหนหรือ”


ทันใดนั้น


“กลิ่นเลือดของมนุษย์!”


“อาหาร! อาหารมาประเคนให้ถึงปาก!”


ฝูงแวมไพร์เริ่มได้กลิ่นเลือดมนุษย์ จึงลุกขึ้นจากโลงศพทีละตนสองตน


กริดก้าวถอยหลังเล็กน้อย พร้อมกับการมายืนขวางไว้ของเหล่าสมาชิกโอเวอร์เกียร์


แวมไพร์ทุกตนในเมืองเฟนเรียร์ล้วนมีเลเวลสูงกว่า 400 ก็จริง แต่สมาชิกกิลด์ก็มิได้เผยสีหน้าหวั่นเกรง


“ตรงนี้พวกเราจะคอยจัดการให้เอง! ไม่ปล่อยให้เหล่าอัศวินสูญเสียเรี่ยวแรงก่อนจะได้สู้กับเฟนเรียร์เด็ดขาด!”


“โอ๊ส!”


“ศัตรูไม่หมู! ห้ามประมาท”


เซ็ดนอสออกคำสั่งนำทัพอย่างอาจหาญ มันเปิดฉากด้วยการร่ายมนตร์วายุเป็นวงกว้าง


กลุ่มก้อนแวมไพร์จำนวนมากด้านนอก ซึ่งกำลังรุมล้อมเข้ามาใกล้ทุกขณะ เซ็ดนอสเตรียมลดความเร็วพวกมัน เพื่อให้พวกพ้องไม่ต้องรับศึกหนักหลายด้านพร้อมกัน


แต่เวทวายุยังไม่ทันปลดปล่อย แวมไพร์หลายตนได้ถูกแผดเผาจนไหม้เกรียม


เหล่าสมาชิกโอเวอร์เกียร์ซึ่งกำลังยืนบัฟตัวเองและเตรียมกระโจนเข้าศึก ต่างหันกลับมามองบราฮัมอย่างพร้อมเพรียง


หลังจากสร้างเปลวเพลิงขนาดมหึมาแผดเผาเหล่าแวมไพร์ทุกตัวในการมองเห็น บราฮัมแสดงสีหน้าพึงพอใจสุดขีด


“ความรู้สึกแบบนี้แหละ…”


[อัศวินของท่าน ‘บราฮัม’ เลเวลอัพ!]


[อัศวินของท่าน ‘บราฮัม’ เลเวลอัพ!]


“…”


กริด ปิอาโร่ สมาชิกโอเวอร์เกียร์ ทุกคนต่างยืนมองบราฮัมอย่างหมดคำจะกล่าว


เวทไฟของบราฮัมรุนแรงจนน่าทึ่ง คล้ายกับแข็งแกร่งขึ้นจากเมื่อก่อนหลายเท่าตัว


กริดเกาหัวแกร่ก


“ตอนแรกโนเท็ม* ตอนนี้เท็มพาวสินะ”


(*กริดเล่นคำ โนเท็ม = No Item, เท็มพาว = Item Power)


“ฉันยังไม่ได้เอาจริงด้วยซ้ำ”


มันไม่ได้โกหก มหาจอมเวทในตำนานยังคงมือเปล่า มิได้นำไม้เท้าบีเลียลออกมาถือ


ขณะเดียวกัน เหล่าสมาชิกโอเวอร์เกียร์อยากย้อนเวลากลับไปสองวินาทีก่อนหน้าเหลือเกิน


‘แล้วพวกเราจะกินยาบัฟไปเพื่ออะไร!’


ท่ามกลางความเงียบงัน


กึก.


กึก.


ใครบางคนเดินออกมาจากความมืด


เป็นจู๊ด


เมื่อครู่ จู๊ดแอบปีนขึ้นไปบนอาคารหลังหนึ่งตามลำพัง ด้านบนเป็นพื้นราบซึ่งเต็มไปด้วยแวมไพร์หลายร้อนตน แต่สายตาจู๊ดบังเอิญเหลือบเห็นบางสิ่งใต้ฝ่าเท้า จึงก้มตัวหยิบและรีบกลับมาหากริด


“ฝ่าบาท. กริด. จู๊ด. เก็บของได้.”


“จู๊ด…”


หัวใจกริดพลันตื้นตัน


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,531
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. ดาบใช่ใหม?
    ดาบอะไร​นะ​ลืมแล้ว😆😆
    ขอบคุณ​มาก​ๆ​ๆ​ๆ​ๆ​ครับ​แอด​😁🙏

    ReplyDelete
  2. เอาตรงๆ ตอนนี้กริดผูกขาดทุกอย่างในเกมไว้กับตัวแล้วใช่ไหมครับ แล้วแบบนี้นอกจากNPC ยะไม่มีใครในโลกชนะกริดแล้วหรอ

    ReplyDelete
  3. สกิลพระเอก =ความบังเอิญ

    ReplyDelete
  4. จู๊ดอย่างมึน5555555ได้ของฟรีเลย

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00