จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,000



“ผมอยากทราบว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”


ถ้ำแห่งนี้ถือเป็นสถานที่สุดพิสดารเหนือจินตนาการกริด ยักษ์ใหญ่แห่งทวีปสองตนเคยหลับใหลในจุดลึกสุด ต่อให้พลิกแผ่นดินหาทั่วทวีป คงไม่พบจุดใดที่พิเศษไปกว่านี้อีกแล้ว


และนั่นคือเหตุผลที่กริดต้องการทราบ ใครกันที่ย่างกรายเยือนถ้ำผนึกแมรี่โรสก่อนตน


เขาต้องการรู้ให้ได้


‘คนธรรมดาไม่มีทางทนพลังอสูรของแมรี่โรสไหวแน่’


ขั้นต่ำคือระดับตำนาน คนผู้นั้นเป็นใคร และมาเยือนถ้ำแห่งนี้ด้วยจุดประสงค์อันใด ข้อมูลสำคัญคือพลังอันมีค่า ผู้เล่นซาทิสฟายล้วนคิดเช่นนี้


โชคดีที่เคลยเชอร์ให้ความร่วมมือ


> มุลเลอร์


“มุลเลอร์? อริยดาบมุลเลอร์?”


> ถูกต้อง


“งั้นหรอกหรือ…”


กริดพยักหน้า ภายในใจตกตะลึงประหนึ่งถูกฟ้าผ่าอย่างจัง


อริยดาบมุลเลอร์ หนึ่งในมนุษย์โลกที่แข็งแกร่งที่สุด ถูกยกย่องให้เป็นอันดับหนึ่งของตำนานยุคใหม่ หรือกระทั่งอนาคต


กริดผิดหวังเล็กน้อย เขานึกว่าจะได้ข้อมูลที่สำคัญกว่านี้ ทว่า คำถามใหม่พลันผุดขึ้นในหัว


‘เดี๋ยวก่อน.. มุลเลอร์อยู่คนละยุคสมัยกับแพ็กม่าไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมถึงมาเยือนถ้ำแห่งนี้ได้? ถ้ำที่น่าจะถูกสร้างหลังจากมุลเลอร์ตายไปแล้ว… มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล’


วันเดือนปีเกิดของมุลเลอร์ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ช่วงเวลาที่โด่งดังย่อมมีจารึกมากมาย หากให้ไล่เรียงลำดับโดยละเอียด อริยดาบมุลเลอร์จะมีบทบาทอย่างมากในยุคสมัยปฐมสันตะปาปา


หรือก็คือ เป็นช่วงเวลาประมาณ 320 ถึง 400 ปีที่แล้ว โดยถูกบันทึกไว้ว่า เป็นบุคคลที่ผนึกจอมอสูรมากมายในยุคสมัยแห่งความสิ้นหวัง จนกระทั่งเสียชีวิตลงเมื่อประมาณ 250 ปีก่อน


“ผ่านมากี่ปีแล้ว?”


กริดเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าสุดฉงน


> ราว 160 ปีก่อนเห็นจะได้


เคลย์เชอร์ตอบกลับในสิ่งที่น่าทึ่ง


‘นั่นมัน… ยุครุ่งเรืองของแพ็กม่า!’


กริดเริ่มตระหนัก


‘มุลเลอร์ก็มีอายุยืนยาวหลายร้อยปีเหมือนแพ็กม่างั้นหรือ?’


หากจำไม่ผิด เคยมีข่าวลือแปลกประหลาดหน้าหูว่า มุลเลอร์เพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อ 150 ปีที่แล้ว แต่หลายฝ่ายต่างมองว่านั่นเป็นข้อมูลเท็จ


ทว่า ในสายตากริดที่ทราบถึงความอายุยืนของแพ็กม่า เขาย่อมเชื่อว่ามุลเลอร์สามารถมีอายุยืนยาวได้ไม่ต่างกัน ด้วยเทคนิคหรือกลไกบางประการ


‘แต่แพ็กม่าไม่ทราบว่ามุลเลอร์ยังอยู่…’


มันเข้าใจว่ามุลเลอร์ตายไปแล้ว เพราะหากรู้ว่ายังอยู่ แพ็กม่าต้องเลือกร่วมมือกับมุลเลอร์แทนที่จะทำพันธสัญญาจอมอสูร


> ข้าเล่าทุกสิ่งให้เจ้าหมดแล้ว แค่นี้ใช่ไหม? ข้าง่วงมาก เฮ่อ… ค่ำคืนที่ปราศจากแมรี่โรสช่างเปล่าเปลี่ยวนัก


“เดี๋ยวก่อนครับ! มุลเลอร์มาทำอะไรที่นี่เมื่อ 160 ปีก่อน? แล้วเขาตายไปตอนไหน?”


> พูดมากจังนะ ถามเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยนเลยสักนิด แพ็กม่าเป็นคนสอนเจ้าให้เอาเปรียบสินะ? เฮ่อ… ไร้มารยาทพื้นฐานเหมือนกันทั้งศิษย์อาจารย์


“…!”


กริดผงะเล็กน้อย เขาเริ่มนึกได้ว่า ไม่มีเหตุผลอันใดที่เคลย์เชอร์ต้องตอบคำถามตน


> นอนละ บาย


“เดี๋ยวก่อนครับ…!”


เขาไม่ควรปล่อยเคลย์เชอร์ไปเช่นนี้ ยังมีข้อมูลสำคัญอีกมากให้ต้องศึกษาและเรียนรู้ เมื่อตัดสินใจได้ กริดตะโกนสุดเสียง


“ผมรู้ว่าแมรี่โรสอยู่ที่ไหน!”


ทว่า เคลย์เชอร์กลับมิได้ตกตะลึง ผิดจากที่กริดคาดไว้มาก


> ข้าเองก็รู้ สักแห่งในเมืองแวมไพร์ใต้ดินใช่ไหมล่ะ? แล้วยังไง? เจ้าจะพาหล่อนกลับมางั้นหรือ?


“…”


> ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าพูดพล่อยๆ นั่นอาจส่งผลให้ข้าหงุดหงิดเจ้ายิ่งกว่าเดิม


“…ขอโทษครับ”


> เฮ่อ… เห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้มีพระคุณของเทพธิดาแห่งแสงกับโบสถ์เล็กทั้งสาม ข้าจะบอกให้ก็ได้ สิ่งที่เจ้าอยากทราบ… รู้จักอาโมแร็ครึเปล่า?


“หมายถึงจอมอสูรที่เป็นข้ารับใช้ยาธานลำดับหนึ่งน่ะหรือ?”


> รู้จักสินะ


จอมอสูรแห่งความแตกแยก อาโมแร็ค กริดเคยมีประสบการณ์พานพบซึ่งหน้า


ในครานั้น บราฮัมยืมร่างกริดเพื่อให้อาโมแร็คมอบพรยาธานลงบนพาเฟรเนี่ยมสำหรับสร้าง ‘ภาชนะดวงวิญญาณ’


กริดไม่มีวันลืม ความรู้สึกที่ตัวเองหดลีบเล็กประหนึ่งเศษฝุ่นเมื่อต้องเผชิญดวงวิญญาณที่กำลังวูบวาบของอาโมแร็ค


> มันหวาดกลัวแมรี่โรส


“เห…?”


แมรี่โรสแข็งแกร่งขนาดทำให้จอมอสูรหวาดกลัวเชียว?


> มันคือหนึ่งในเก้าจอมอสูรที่ลงนามให้ปลดเบริอาเช่ออกจากสถานะจอมอสูร แถมยังขับไล่เธอพ้นจากขุมนรก ไม่แปลกที่โทสะของแวมไพร์ทุกตนจะมุ่งไปหาอาโมแร็ค มันคือต้นตนความถดถอยของเผ่าพันธุ์แวมไพร์อย่างแท้จริง และเป็นสาเหตุที่วิหารยาธานไม่กล้ายุ่งกับแวมไพร์


“…!”


กริดหวนนึกถึงบทสนทนาระหว่างบราฮัมและอาโมแร็ค แม้จะผ่านมานาน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่หลงลืมได้ง่ายนัก เหตุการณ์ครั้งนั้นคือหนึ่งในความทรงจำสุดพิเศษ



“แกรู้แล้วสินะว่าฉันจะมาหา”


[แน่นอน บราฮัม เจ้าปรารถนาพรยาธานเพื่อเป็นความเป็นนิรันดร์]


“จะมอบพรยาธานให้รึเปล่า?”


[แน่นอน]


“คึคึคึก… เทพยาธานยังคงหวาดกลัวแมรี่โรสเหมือนเคย”


[เทพยาธานชื่นชอบเจ้า ไม่เกี่ยวกับความหวาดกลัวที่มีต่อแมรี่โรส]



เทพยาธานหวาดกลัวแมรี่โรส บราฮัมกล่าวไว้เช่นนั้นชัดเจน เธอคือคู่ต่อสู้ที่แม้แต่เทพอสูรยังหวาดกลัว นับประสาอะไรกับจอมอสูรทั่วไป


‘แมรี่โรสแข็งแกร่งกว่าที่เราคิด และนั่นคือสาเหตุที่อาโมแร็คสนับสนุนบราฮัม พวกมันต้องการให้บราฮัมคอยถ่วงดุลอำนาจแมรี่โรส’


กริดได้ทราบเรื่องราวใหม่ที่น่าทึ่ง เมื่อเริ่มเข้าใกล้ความจริงทีละนิด เขารู้สึกราวกับตัวเองคือคนพิเศษของโลกใบนี้


คำอธิบายจากเคลย์เชอร์ดังแว่วตามมา


> ด้วยเหตุนี้ อาโมแร็คจึงหลอกใช้มุลเลอร์โดยกุข่าวลือว่า ‘หากปล่อยแมรีโรสไว้ เธอจะทำลายมวลมนุษย์ทั้งหมด ถ้าต้องการช่วยโลก ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่วมมือกับจอมอสูร’ เป็นสาเหตุที่มุลเลอร์ซึ่งวางมือจากความวุ่นวายไปแล้ว ต้องกลับมาจับดาบอีกครั้งเพื่อสะสางปัญหา แถมในช่วงเวลาดังกล่าว เหล่าแวมไพร์ยังเป็นศัตรูกับสี่โบสถ์ การปราบแมรี่โรสจึงเท่ากับช่วยโลก มุลเลอร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจัดการแมรี่โรส ยอมเชื่อข่าวลือและเดินทางมายังถ้ำแห่งนี้


“เพื่อทำลายแมรี่โรสโดยสมบูรณ์?”


> ถูกต้อง แต่เจ้านั่นก็ไม่ได้ทำ เพียงหันหลังกลับไปราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น… ระบุให้ชัดคือ หลังจากฟังข้าอธิบาย เจ้านั่นก็ยอมวางมือ


“แล้ว… หลวงพ่อ มุลเลอร์ใช้วิธีใดถึงอายุยืนได้ขนาดนั้น? ใช่ยืมร่างเด็กรึเปล่า? หรือว่าทำพันธสัญญากับจอมอสูร?”


> เจ้ายังไม่เข้าใจตำนานดีพอ ตำนานไม่เพียงแข็งแกร่ง แต่ยังต้องอาศัย ‘วาสนา’ เพื่อสั่งสมชื่อเสียงและบารมีจนกลายเป็นตำนาน บุคคลเช่นนั้นย่อมได้รับคำสรรเสริญจากมวลมนุษย์จนมีอายุยืนยาว ตำนานย่อมไม่ตายโดยง่าย แม้ผู้คนจะหลงลืมไปบ้างก็ตาม


“…!”


ข้อความระบบที่คุ้นตาย้อนกลับมาในความทรงจำกริด


[ตำนานย่อมไม่ตายโดยง่าย…]


นั่นคงเป็นที่มาของข้อความระบบขณะเข้าสู่ช่วงประกันชีวิตอมตะ


แต่กริดยังมีคำถาม


“ต…แต่ว่า ข่าน… ช่างตีเหล็กในตำนานที่ผมรู้จัก เขามิอาจฝืนอายุขัยทั่วไปของมนุษย์ แม้จะกลายเป็นตำนานแล้ว ความตายกัดกินชีวิตทันทีหลังจากตัวตนถูกยกระดับ ยิ่งไปกว่านั้น ตำนานทุกคนที่ผมรู้จักก็มิได้อายุยืนยาว… มีเพียงแพ็กม่าเท่านั้น”


> เฮ่อ… นี่ข้าต้องไม่ได้นอนเพราะเด็กช่างถามใช่ไหม จะอธิบายให้ก็ได้ ตำนานสายผลิตมักมีอายุไม่ยืนยาว คนเหล่านี้ยากจะได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ด้วยกันเอง ลองนึกดูให้ดี มนุษย์จะยกย่องที่ ‘ชิ้นงาน’ หรือตัว ‘ตำนาน’ มากกว่ากัน? คำตอบคือชิ้นงาน ของวิเศษมากมายในอดีต แทบไม่มีใครสนใจว่าผู้ใดเป็นคนสร้าง ตำนานสายผลิตล้วนเป็นเช่นนี้ ส่วนตำนานสายต่อสู้อย่างราชาไร้พ่าย เจ้านั่นแข็งแกร่งก็จริง ไม่เคยพ่ายแพ้ก็จริง แต่ชื่อเสียงและบารมีกลับดักดานแค่ในอาณาจักรตัวเอง ไม่มากพอจะเกิดอานิสงส์ให้อายุยืนยาว


“…?”


> ชื่อเสียงของราชาไร้พ่ายมิได้ดังไกลข้ามทวีป ส่งผลให้อานิสงส์ตำนานแสดงผลไม่เต็มประสิทธิภาพ แถมยังตายด้วยกลอุบายของจักรวรรดิซาฮารัน ทว่า ถึงจะไม่ถูกบุตรชายตัวเองสังหาร เจ้านั่นก็มีอายุไม่ยืนสักเท่าไร


“อา…”


กริดเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว ในมุมมองผู้เล่น คงเป็นการยากที่จะเข้าถึงอานิสงส์ตำนานที่เคลย์เชอร์อธิบาย เพราะประกันชีวิตอมตะคือสิ่งที่ติดตัวตั้งแต่เริ่ม และผู้เล่นก็ไม่มีระบบอายุขัย แต่สำหรับ NPC มนุษย์ทั่วไปนั้น…


‘เดี๋ยวนะ…’


กริดนึกถึงปิอาโร่และเมอร์เซเดสทันที ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองถูกห้ามมิให้ร่วมกิจกรรมเสี่ยงอันตรายเสมอ เพราะกริดกังวลว่าอาจต้องเสีย NPC พิเศษแสนสำคัญไป แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดสักเท่าไร


‘หากต้องการให้ NPC ตำนานมีอายุยืนยาว ต้องให้พวกเขาสั่งสมบารมีและอานิสงส์จากความสำเร็จให้มากที่สุด’


โดยเฉพาะเมอร์เซเดส สถานการณ์ของเธอน่าเป็นห่วงมาก ด้านปิอาโร่ยังมีชื่อเสียงจากการเกษตร แต่เมอร์เซเดสเป็นอัศวิน ชื่อเสียงเดียวของเธอคือออกรบ…


“เช่นนั้น… แพ็กม่าไม่เข้าใจหลักการอานิสงส์ของตำนานหรืออย่างไร? ทำไมถึงได้เข้าใจว่ามุลเลอร์เสียชีวิตไปนานแล้ว”


> ต่อให้เข้าใจหลักการ แต่ต้องแยกแยะกับความเชื่อ ไม่มีใครอยากเชื่อว่ามุลเลอร์จะมีอายุยืนขนาดนั้น ต่อให้มีบารมีและอานิสงส์มากเพียงใด แต่การที่มนุษย์ธรรมจะมีอายุหลายร้อยปี… ข้าเองยังไม่เชื่อจนกระทั่งได้เห็นกับตา


“แล้วมุลเลอร์ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”


> ไม่


เคลย์เชอร์มั่นใจ


> เขาตายแล้ว โลกมนุษย์หมุนเร็วมาก สิ่งใหม่เวียนมาถึงทุกเดือนทุกปี ความสนใจของมวลมนุษย์มักมุ่งไปยังวีรบุรุษหน้าใหม่ บทกวีขับขานอดีตวีรบุรุษเลือนรางลงทุกขณะ จนกระทั่งข่าวคราวมุลเลอร์เริ่มเลือนหายไปจากโลก


“…”


กริดพลันขนลุก ใบหน้าพลันดำมืด บนโลกจริงมีสุภาษิตหนึ่งซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘บุคคลที่ถูกลืมเลือนคือบุคคลที่ตายไปแล้ว’ และนั่นคือจุดจบเดียวกับตำนานมุลเลอร์


ชายหนุ่มจินตนาการภาพมุลเลอร์จากไปอย่างโดดเดี่ยวในวาระสุดท้าย


เคลย์เชอร์ส่งเสียงหัวเราะเมื่อเห็นกริดแสดงสีหน้าเจ็บปวด มันอ่านความรู้สึกออก


> ฮะฮะ! ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะมีการกล่าวถึงน้อยเพียงใด แต่ใช่ว่าจะถูกลืมเลือนโดยสมบูรณ์สักหน่อย ขนาดพวกเรายังสนทนาเรื่องของมุลเลอร์อยู่เลย เห็นไหม เขาไม่ได้ถูกลืม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เจ้าเองก็คงเคยได้ยินเรื่องราวมุลเลอร์จากปากผู้อื่นไม่น้อย ถึงแม้ตัวจะตายไปแล้ว แต่สิ่งที่เคยอุทิศให้โลกไม่มีวันดับสูญ ในวาระสุดท้าย มุลเลอร์มิได้จบชีวิตลงอย่างเดียวดายโดยไม่มีใครนึกถึง ตรงกันข้าม อาจโด่งดังยิ่งกว่าสมัยมีชีวิตเสียอีก เป็นจุดจบที่ค่อนข้างมีความสุขล่ะนะ


ขณะเล่าเรื่องมุลเลอร์ เสียงเคลย์เชอร์อ่อนโยนกว่าปรกติ นับว่าให้ความเคารพในตัวมุลเลอร์มากทีเดียว


หรือไม่ก็ เคลย์เชอร์เพียงต้องการปลอบประโลมกริดที่ทำหน้าเศร้า


> ช่างตีเหล็กในตำนานที่ด่วนจากไป… เขาชื่อข่านสินะ?


“ใช่ครับ…”


สันตะปาปาลำดับสอง เคลย์เชอร์ มันเอ่ยปากถามกริดพลางแสดงสีหน้าครุ่นคิด


หลังจากกริดตอบด้วยท่าทีเหม่อลอย เคลย์เชอร์กล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงอบอุ่น


> อีกหนึ่งสาเหตุที่เขาคนนั้นด่วนจากไป อาจเพราะมีความสุขกับโลกใบนี้อย่างเต็มประดาแล้ว การได้จากไปในช่วงเวลาที่ต้องการ ย่อมดีกว่าจากไปอย่างโดดเดี่ยวโดยไม่มีใครรับรู้เฉกเช่นมุลเลอร์ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?


“…หลวงพ่อพูดถูก ข่านคงมีความสุขมากในวาระสุดท้าย”


กลายเป็นตำนาน จากไปขณะอยู่ในอ้อมแขนเรา และได้กลับไปพบครอบครัวบนสวรรค์ ใช่แล้ว… นั่นคือสิ่งที่ข่านต้องการ ความสุขต้องอัดแน่นในใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้แน่


‘ข่าน… ลุงดูอยู่รึเปล่า? สันตะปาปาเคลย์เชอร์คนดังพูดถึงด้วยนะ… ลุงกลายเป็นคนดังแล้ว’


หัวใจกริดอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ต้องขอบคุณคำปลอบใจที่เคลย์เชอร์มอบให้


ขณะเดียวกัน


[ความสัมพันธ์กับเคลย์เชอร์เพิ่มขึ้นสิบแต้ม]


ข้อความระบบที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด


> ถึงจะดูเหมือนไร้มารยาท แต่จิตใจของเจ้าไม่เลว ข้าค่อนข้างชอบ


เมื่อเคลย์เชอร์เอ่ยปากชม (?) กริดทั้งภูมิใจและมีความสุข สันตะปาปาเคลย์เชอร์คือหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ อาจเป็นอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ การได้สานสัมพันธ์ แม้เพียงเล็กน้อย ย่อมทำให้กริดดีใจ


> ไปนอนจริงๆ แล้วนะ


เคลย์เชอร์กล่าวคำอำลา กริดโค้งศีรษะให้อย่างนอบน้อม แต่ทันใดนั้น คำถามใหม่ได้เล็ดลอดออกจากปาก


“มีหนึ่งคนที่ไม่ใช่ตำนาน แต่เหตุใดถึงอายุยืนยาวหลายร้อยปีนัก ไม่มีชื่อเสียง ไม่ได้รับบารมีหรืออานิสงส์สรรเสริญจากมนุษย์โลก หรือแท้จริงแล้วมันไม่ใช่มนุษย์?”


> ให้ตายสิ… ทำตัวน่ารำคาญชะมัด


เคลย์เชอร์บ่นอุบก่อนอธิบาย


> ถ้าไม่ใช่มนุษย์ ก็คงเป็นพวกเหนือมนุษย์


เหนือมนุษย์? แกรนมาสเตอร์ซิกเฟรคเตอร์เป็นพวกเหนือมนุษย์?


“ต่างจากตำนานยังไง?”


> ทั้งตำนานและเหนือมนุษย์จะมีหนึ่งสิ่งที่เหมือนกัน คือพรสวรรค์และฝีมือที่ก้าวข้ามขีดจำกัดมนุษย์ แต่ตำนานเป็นได้จากการสั่งสมชื่อเสียงให้ถึงระดับหนึ่ง ส่วนเหนือมนุษย์ต้องก้มหน้าฝึกฝนศาสตร์ด้านใดด้านหนึ่งจนบรรลุขีดจำกัด หากเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวพันกับอายุขัย เหนือมนุษย์สามารถมีชีวิตที่ยืนยาวได้


“จากที่ฟัง ก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งไปกว่าตำนาน…”


> หากกล่าวถึงความแข็งแกร่ง เหนือมนุษย์จะบรรลุศาสตร์ที่ลึกซึ้งกว่าตำนานมาก ตำนานต้องคอยสร้างชื่อเสียงสม่ำเสมอ ต่อสู้เพื่อโลก แต่เหนือมนุษย์เป็นพวกหมกมุ่นศึกษาสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน ความลึกซึ้งย่อมสูงกว่า ทว่า ตำนานบางคนก็แข็งกว่าเหนือมนุษย์ เนื่องจากมีโอกาสสั่งสม ‘ประสบการณ์ต่อสู้จริง’ มากมายขณะสร้างบารมีและชื่อเสียง เป็นสิ่งที่เหนือมนุษย์ไม่มีวันเข้าถึง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือมุลเลอร์


“…เอ่อ สรุปก็คือ พวกเหนือมนุษย์แข็งแกร่ง แต่ไม่เคยทำเพื่อคนอื่น… ใช่ไหม?”


> หืม? ไม่เกี่ยวเลย เพียงเพราะไม่ได้ต่อสู้เพื่อโลก ไม่ได้แปลว่าไม่เคยทำประโยชน์ต่อส่วนรวม เจ้าเองก็น่าจะเคย เหมือนกับเวลาทำดีแล้วไม่มีใครเห็น… ส่วนใหญ่แล้ว เหนือมนุษย์มักเป็นพวกชอบทำตามใจตัวเอง


“ชอบทำตามใจตัวเอง?”


> ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ชอบ ก็จะไม่แยแสแม้แต่น้อย ไม่สนว่าคนรอบข้างจะคิดเช่นไร คนรอบข้างมักมองเป็นพวกเอาแต่ใจ เฉื่อยชา ไม่สนโลก เหมือนกับข้า หากไม่เพราะแมรี่โรส ข้าคงไม่มีวันรับตำแหน่งสันตะปาปาลำดับสอง


“…”


เมื่อลองย้อนกลับไปในเหตุการณ์หมู่บ้านเนตรมาร เกรนมาสเตอร์หันหลังกลับทันทีหลังจากทราบว่าแผนการล้มเหลว…


คำถามในใจกริดถูกคลายปมไปอีกหนึ่งข้อ


ทว่า คำถามใหม่ผุดขึ้นแทรก


เหนือมนุษย์ ซิกเฟรคเตอร์ คนเอาแต่ใจเช่นนี้จะรับใช้ราชวงศ์ซาฮารันอย่างจงรักภักดีได้หรือ? แล้วเหตุใดถึงเสนอตัวรับใช้จักรวรรดิตั้งแต่แรก?


‘เป้าหมายของแกคืออะไรกันแน่?’


ตัวเราช่างลีบเล็กนัก


ขณะใช้สติปัญญาครุ่นคิดหาคำตอบ ช่องสนทนากิลด์มีการแจ้งเตือนใหม่แสดงขึ้น เป็นข้อความซึ่งมีเครื่องหมายแจ้งเตือนเน้นหนักความสำคัญ มันคือ ‘ประกาศด่วน’


“…!”


หลังจากอ่านจบ ดวงตากริดพลันเบิกโพลง


***


“รูปปั้นใครกัน?”


ราชาท้องฟ้า รีกัล มันยึดครองไบรันได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน เมื่อเดินมาถึงใจกลางจัตุรัสหน้ารูปปั้นขนาดใหญ่ รีกัลเอียงคอสงสัย


เป็นรูปปั้นชายชราหน้าตาใจดี รอยยิ้มอบอุ่น นัยน์ตาลุกโชนดุจดังเปลวเพลิง มือข้างหนึ่งถือค้อนตีเหล็ก


“หัวหน้าของพวกเราถาม… ทำไมถึงไม่มีใครตอบ!!”


เพียะ!


เมื่อไร้คำตอบ ทหารรีกัลใช้แส้สุ่มฟาดนักโทษใกล้เคียงอย่างโหดเหี้ยม


ปัจจุบัน สมาชิกโอเวอร์เกียร์และทหารต่างถูกจับกุมในฐานะเชลย เนื่องจากล้มเหลวในภารกิจปกป้องเมือง ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องอับอายในฐานะนักโทษ แต่ถึงอย่างนั้น พวกมันจะไม่ก่อความเดือดร้อนให้กริดและอาณาจักรโอเวอร์เกียร์เด็ดขาด ต่อให้ต้องแลกด้วยความตาย


รีกัลแสยะยิ้ม


“คงเป็นรูปปั้นพวกกระจอก อาณาจักรไร้ประวัติศาสตร์ย่อมไม่มีตำนานใดให้เชิดชู”


“เอามือ ออกจาก รูปปั้น”


นักโทษคนหนึ่งเค้นเสียงโกรธแค้นขณะรีกัลใช้มือลูบไล้รูปปั้นหินด้วยใบหน้าเหยียดหยัน


อัศวินโอเวอร์เกียร์ผู้ถูกล่ามโซ่แน่นหนา


ชื่อเหนือศีรษะเขียนไว้ว่าจู๊ด สร้างผลงานได้โดดเด่นในศึกป้องกันเมืองตลอดครึ่งวันที่ผ่านมา แม้กระทั่งกองทัพอากาศจักรวรรดิยังแอบยกย่องในใจ


“หืม”


เส้นผมสีเงินด้าน นัยน์ตาแดงก่ำ รีกัลในชุดเครื่องแบบแม่ทัพทหารอากาศพลันแสยะยิ้มขณะเหลือบมองจู๊ด


มันจ้องมองด้วยสีหน้าชื่นชอบ


“ฉันจะมอบโอกาสสุดล้ำค่าให้แก… มาเป็นข้ารับใช้ของฉันไหม?”


รีกัลอยากได้ตัวจู๊ด ชายคนนี้มีพลังทางกายภาพที่น่าทึ่ง ผนวกกับสติปัญญาที่ต่ำติดดิน ไม่ใช่ว่านี่คือสุนัขรับใช้ชั้นเลิศหรอกหรือ?


เป็นสุนัขที่ไม่มีวันแว้งกัดเจ้าของ เพราะมันไม่มีสมอง แถมยังเป็นพันธุ์แข็งแรงซึ่งหาได้ยาก


จู๊ดส่ายศีรษะ


“เจ้านายจู๊ด มีคนเดียว ราชาโอเวอร์เกียร์”


นั่นสินะ เป็นอย่างที่มันคาด


“ฉันดูแลแกได้ดีกว่า มอบสิ่งที่ต้องการได้มากกว่าราชาโอเวอร์เกียร์แน่นอน”


ในสายตาจู๊ด รีกัลไม่มีทางยิ่งใหญ่ไปกว่ากริด สาเหตุที่จู๊ดแข็งแกร่งขึ้น เพราะกริดเล็งเห็นถึงศักยภาพและเลือกให้เป็นอัศวินประจำตัว หากไม่แล้ว จู๊ดคงเป็นได้เพียงบุคคลนิรนาม เป็นแค่หัวหน้าหน่วยทหารวินสตัน


หากไม่เพราะกริดสร้างไอเท็มที่เหมาะสมให้ ตัวมันคงไม่แข็งแกร่งดังเช่นทุกวันนี้


จู๊ดกลายเป็น NPC กึ่งพิเศษได้เพราะกริด หากปราศจากกริด จู๊ดจะเป็นเพียงมนุษย์กล้ามเนื้อที่ขาดสมดุล


แน่นอน รีกัลย่อมไม่ทราบประวัติ


ตัวมันเป็นถึงหนึ่งในเจ็ดดยุคแห่งจักรวรรดิ ครอบครองพลังอำนาจเป็นล้นพ้น แข็งแกร่งเป็นลำดับต้นของทวีป ภายในใจไม่เคยเคลือบแคลงเลยว่า บารมีของตนสูงส่งกว่าราชาโอเวอร์เกียร์หลายเท่า


หนึ่งในสมาชิกโอเวอร์เกียร์พลันระเบิดเสียงหัวเราะ


“ฮะฮะ! ไม่ได้สำเหนียกตัวเองเลย”


เด็กหนุ่มที่ส่งเสียงหัวเราะร่วน ชื่อของมันคือไอเบลลิน


ในระยะหลัง ไอเบลลินรับหน้าที่เจ้าเมืองไบรันแทนจิสึกะ มันสู้เพื่อปกป้องเมืองอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ลงเอยด้วยการถูกอัดหมดสภาพและจับเป็นเชลย ทว่า จิตใจยังคงไม่ยอมแพ้ ไอเบลลินฆ่าตัวตายและคืนชีพใหม่เพื่อสู้อีกครั้ง แต่ท้ายที่สุด บทสรุปคือการตกเป็นเชลยรอบที่สอง


มันไม่ยกโทษให้ความอ่อนแอของตัวเอง ภายในใจสาปแช่งรีกัลที่บังอาจทำลายเมืองคนอื่นตามใจชอบ


“อย่างแกเนี่ยนะให้ได้มากกว่ากริด? ไปตายแล้วเกิดใหม่ยัง—…”


ยังไม่ทันจะกล่าวจบ รีกัลพุ่งประชิดตัวพร้อมกับระเบิดศีรษะไอเบลลินในพริบตา


ภาพการมองเห็นหมุนเคว้งและกลายเป็นสีขาวดำ ข้อความระบบสุดหดหู่แสดงขึ้นมุมหน้าจอ


[ท่านเสียชีวิต]


[สูญเสียค่าประสบการณ์ 35.6%]


[เสียค่าประสบการณ์เพิ่มเติม 10% เนื่องจากภาวะสงคราม]


[บุคคลที่สังหารท่านมีเอฟเฟคพิเศษ ‘คำสาปเล่นงานสิ่งมีชีวิตอมตะ’ ท่านสูญเสียค่าประสบการณ์เพิ่มเติม 10%]


[ท่านตายครบสองครั้งภายใน 24 ชั่วโมง ท่านถูกระงับการเชื่อมต่อกับซาทิสฟายชั่วคราว]


บทลงโทษในช่วงเวลาสงครามค่อนข้างรุนแรง คงไม่ใช่เรื่องฉลาดนักหากต้องตายในสงครามที่หวังกอบโกยค่าประสบการณ์ ยิ่งไปกว่านั้น คำสาปเล่นงานสิ่งมีชีวิตอมตะถือเป็นของแสลงที่คาดไม่ถึง


ลงเอยด้วย ไอเบลลินสูญค่าประสบการณ์เพิ่มเติม 20% เป็นความเจ็บปวดที่ไม่ต่างกับหัวใจถูกกรีดเฉือน


‘อันตราย… พวกมันอันตรายมาก ทุกคนต้องระวังตัวด้วยนะ’


ซู่วว—


ไอเบลลินกลายเป็นแสงสีเทา ใบหน้าสมาชิกโอเวอร์เกียร์พลันบิดเบี้ยว เหล่าทหารเริ่มออกอาการหวาดกลัว


จู๊ดคำราม


“ไปตายซะ!”


กึก! กึก!


เป็นการดิ้นรนที่เปล่าประโยชน์ ยิ่งจู๊ดออกแรง โซ่ที่พันธนาการก็ยิ่งรัดแน่น


รีกัลเมินเฉยเหล่าเชลย มันเดินกลับไปอ่านรายละเอียดที่สลักใต้รูปปั้น


<รูปปั้นของข่าน ช่างตีเหล็กในตำนาน>

สุดยอดช่างตีเหล็กผู้อุทิศกายใจให้อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ อาวุธชั้นเลิศมากมายที่กระจายทั่วอาณาจักรล้วนเคยผ่านมือทั้งสิ้น

เราขอสรรเสริญเขาในฐานะอาจารย์ สหาย และคนในครอบครัว

- ราชาโอเวอร์เกียร์ กริด


“โฮ่? คนนี้น่ะหรือที่ลือกัน…”


หน่วยข่าวกรองจักรวรรดิย่อมไม่ธรรมดา พวกมันทราบถึงตัวตนข่าน คนใกล้ชิดกริด


‘ไม่แปลกที่จะจัดพิธีศพอย่างยิ่งใหญ่ระดับอาณาจักร แถมกระจายรูปปั้นทั่วทุกเมือง’


หมายความว่า ตัวตนข่านมีความสำคัญต่อกษัตริย์และประชาชนโอเวอร์เกียร์มาก เมื่อทราบเช่นนั้น รีกัลออกคำสั่ง


“ทำลายรูปปั้นแล้วโยนลงแม่น้ำซะ”


“ไม่! อย่า! ทำแบบนั้นไม่ได้!!”


กึก! กึก!!


จู๊ดออกแรงขัดขืนหนักขึ้น โซ่ที่รัดพันร่างกายได้บาดผิวหนังลึกจนเลือดไหลซึมตามลำตัว ขณะเดียวกัน ทั้งทหารและชาวเมืองล้วนถูกโทสะครอบงำแทนที่ความหวาดกลัว


ชาวเมืองบางคนก้มศีรษะขอร้องอย่างสิ้นหวัง แต่รีกัลมิได้ถอนคำสั่ง


ครืนนนนน…!


เมื่อรูปปั้นถูกป่นเป็นผง รีกัลตะโกนเสียงดัง


“จักรวรรดิจะเข้าครอบงำพวกแกทุกคน! สัญลักษณ์ของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ต้องถูกทำลายให้สิ้นซาก! จักรวรรดิจะบดขยี้จิตวิญญาณพวกแกจนแหลกละเอียด! หากนึกโกรธแค้น จงสาปแช่งในโชคชะตาที่ทำให้พวกแกต้องเกิดมาในอาณาจักรไร้พลัง!”


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,391
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. ตอนไหนกริดจะมา​ รูปปั้น​ข่านถูกทุบแล้วกริด​ รีบกลับมาด่วน

    ReplyDelete
  2. โดนแน่
    โดนปี้จนป่นแน่
    ขอบคุณ​มาก​ครับ​😊🙏

    ReplyDelete
  3. แต่การสร้างรูปปั้นทุกหัวมุงเมือง ก็ออกจะเห่อไปหน่อยนิส

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00