จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 884



    เติบโตมาในฐานะบุตรชายของนักสร้างหนังชื่อก้องโลก  ตั้งแต่เล็กจนโต  สกังก์เคยดูภาพยนตร์คุณภาพเยี่ยมหลายเรื่อง


    โดยเฉพาะหนังคลาสสิกในยุคสมัยราวร้อยปีก่อน


    เจ้าพ่อมาเฟียที่ต่อสู้เพื่อปกป้องแก๊งค์ของตัวเอง  แต่กลับเกิดปัญหาที่ซับซ้อนภายในตระกูล 

    อัจฉริยะวัยเยาว์ที่ใช้ความร่ำรวยเข้าห้ำหั่นกับมารร้าย

    นักโบราณคดีที่ออกตามหาสมบัติลับทั่วโลก  และคอยปกป้องมิให้พรรคนาซีลงมือกระทำเรื่องชั่ว

    ชายวัยกลางคนที่ตัดสินใจโกนหัวเพื่อช่วยเด็กเล็ก

    และอีกมากมาย


    ตัวเอกจากภาพยนตร์แต่ละเรื่องคือแรงบรรดาลใจที่สำคัญของสกังก์


    สกังก์สนใจการละคร  และมุ่งมั่นเข้าเรียนด้านนี้ตั้งแต่สมัยมัธยม  เขาเลือกเส้นทางของนักแสดง  ใช้ชีวิตหลายบุคคลิกตั้งแต่เด็กจนโต


    บ้างเป็นชีวิตวีรบุรุษ  บ้างเป็นชีวิตของตัวร้าย  ในบางครั้งเป็นนักสำรวจ  และอีกหลายครั้งที่ได้เป็นพนักงานเงินเดือนทั่วไป


    สกังก์มีความสุขกับประสบการณ์แปลกแปลกใหม่ที่หาไม่ได้จากชีวิตประจำวัน


    โดยเฉพาะนักสำรวจ  สิ่งนี้คือแรงบันดาลใจในการเปิดโลกใบใหม่  สกังก์ต้องการค้นหาสถานที่ซึ่งยังไม่เคยมีใครไปถึง


    แต่ในโลกมนุษย์  การบรรลุความฝันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย


    บุคคลที่ยิ่งใหญ่ในอดีตได้สำรวจผืนแผ่นดินทั่วโลกจนปรุโปร่งแล้ว


    สองจุดที่ยังไม่ถูกสำรวจอย่างจริงจังคือใต้ทะเลลึกและอวกาศ  


    แต่นักแสดงเกรดรองอย่างสกังก์ไม่มีเงินมากพอจะสำรวจอวกาศหรือใต้ทะเลได้


    จนกระทั่งซาทิสฟายเปิดตัว


    สถานที่แห่งนี้คือโลกใบใหม่อย่างแท้จริง


    สำหรับสกังก์  ดินแดนซาทิสฟายได้ปลุกเร้าความฝันที่เคยเหี่ยวเฉาให้ลุกโชนขึ้นใหม่


    เขากลายเป็นอินเดียน่าโจนส์และตระเวนไปรอบโลกซาทิสฟายเพื่อค้นหาสถานที่ลึกลับ


[ ภูมิปัญญาและสัมผัสพิเศษของนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่แสดงผล ]


    สุสานดาบ—สถานที่ซึ่ง ‘แพ็กม่า’ ช่างตีเหล็กในตำนาน  เคยใช้ชีวิตในวาระสุดท้าย  


    เป็นดินแดนที่กว้างขวางและว่างเปล่า 


    มีเพียงดาบเก่ากว่าหมื่นเล่มถูกเสียบปักกระจัดกระจายทั่วทุ่งกว้าง  ไม่มีสิ่งอื่นอีกแล้ว  


    ‘เขาอาศัยอยู่ที่นี่ในวาระสุดท้ายสินะ’


    แต่เหตุใดถึงไม่พบอุปกรณ์สำหรับดำรงชีวิตหรือจุดที่น่าจะเป็นที่พักอาศัยเลย?


    ‘หรือว่ามีใครบางคนลบร่องรอยไป?’


    ไม่น่าใช่  ไม่มีเบาะแสของการกระทำเช่นนั้นให้เห็น


    ราวกับไม่มีที่พักอาศัยใดบนดินแดนอันว่างเปล่าแห่งนี้มาตั้งแต่ต้น


    ‘ถ้าอย่างนั้น  แล้วแพ็กม่า…’


    ดำรงชีวิตด้วยวิธีใด  ถึงเอาตัวรอดท่ามกลางลานโล่งกว้างในฤดูใบไม้ผลิ  ฤดูร้อน  ฤดูใบไม้ร่วง  และฤดูหนาว?  


    หรือแพ็กม่าสามารถอดทนต่อความร้อนจากแสงแดด  ความแห้งแล้ง  ความหนาวเหน็บ  และพายุฝน?


    ‘ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด’


    ไม่มีร่องรอยของอุปกรณ์ยังชีพ


    สกังก์พิจาณาพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียด  ยากที่จะให้เชื่อว่า  ร่องรอยของการอยู่อาศัยจะถูกลบเลือนอย่างสมูบณ์  จากฝีมือธรรมชาติในระยะเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี


    ข้อสรุปเดียวในตอนนี้จึงออกมาเป็น—ไม่เคยมีใครอาศัยในสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่ต้น


    “ไม่มีอะไรเลย”


    “คิดเหมือนกัน”


    “ไม่น่าจะมีคนอาศัยอยู่ได้”


    “ข่าวลือที่ว่า  ศพของบราฮัมถูกฝังอยู่ที่นี่  เป็นได้เพียงข่าวลือสินะ”

    

    ไม่ต่างจากที่สกังก์คาดไว้นัก  ความคิดของลูกน้องสกังก์เหมือนกับตน


    พวกเขาไม่พบร่องรอยในบนสุสานดาบ


    ‘มีแค่ดาบเก่าเหล่านี้เท่านั้น’


    สกังก์ใช้มือผลักหนึ่งในดาบกว่าหมื่นเล่มที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว


    ทั่งที่ออกแรงผลักอย่างเต็มที่แล้ว  แต่ตัวดาบกลับไม่เขยื้อนแม้แต่หนึ่งมิลลิเมตร


    ราวกับเป็นเพียง ‘ฉาก’ ของสุสานดาบแห่งนี้


    ไม่มีทางที่พละกำลังของผู้เล่นจะทำให้ดาบขยับเขยื้อนได้


    หนึ่งเล่ม  

    สองเล่ม

    สามเล่ม… 


    สกังก์ยืนครุ่นคิดพลางเอนหลังพิงดาบที่เสียบปักกับพื้น


    ‘ดาบพวกนี้เป็นของจริงรึเปล่านะ?’


    เหมือนกับไอเท็มดาบที่ผู้เล่นสามารถกวัดแกว่งใช้งานหากบรรลุเงื่อนไขสวมใส่


    ‘น่าแปลก  ถึงจะไม่มีสัญญาณการอยู่อาศัย  แต่ควรมีสมบัติเหลือทิ้งไว้บ้างสิ’


    เป็นถึงสถานที่ซึ่งแพ็กม่าอาศัยในวาระสุดท้ายของชีวิตทั้งที… 


    แพ็กม่าคือช่างตีเหล็กในตำนาน  เขาอาจเหลือดาบคุณภาพเยี่ยมทิ้งไว้บ้าง


    การที่มันถูกเรียกว่าสุสานดาบ  เพราะแพ็กม่าทิ้งดาบเก่าของตัวเองนับหมื่นเล่มไม่ใช่รึไง?


    ลานกว้างอันว่างเปล่าซึ่งเต็มไปด้วยดาบที่ถูกปักในดิน  ดาบเหล่านี้คงถูกทิ้งเพราะเป็น ‘ขยะ’ สำหรับแพ็กม่า


    แต่นั่นเป็นมุมมองช่างตีเหล็กในตำนาน 


    ในอีกความหมายหนึ่ง  ขยะในสายตาแพ็กม่าคือสมบัติล้ำค่าของมนุษย์ปรกติ


    ‘ต้องเป็นแบบนั้นแน่’


    งานคุณภาพแย่ของแพ็กม่า  อย่างน้อยก็ต้องมีเกรดอีปิกหรือยูนีคขึ้นไป


    ‘มันต้องเป็นดาบที่ดีมาก’


    อาวุธที่แพ็กม่าสร้างกับมือ  คุณสมบัติคงยอดเยี่ยมกว่าอาวุธในยุคปัจจุบันหลายเท่า


    หรือต่อให้ประสิทธิภาพด้อยจนไม่เหมาะสำหรับใช้งาน  แต่คุณค่าทางประวัติศาสตร์ย่อมมิอาจประเมินเป็นตัวเลขได้


    ในฐานะนักสำรวจ  นี่คือโอกาสทองในการสร้างชื่อเสียงและเพิ่มระดับทักษะ


    ‘เงินเป็นแค่ของแถม’


    สกังก์เกิดประกายไฟมุ่งมั่น  เขาหันไปออกคำสั่งกับลูกน้อง


    “ตรวจสอบดาบทุกเล่ม!  ห้ามพลาดแม้แต่เล่มเดียว”


    “อะไรนะ?”


    ทุกคนต่างขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำสั่งสุดบ้าบิ่น


    ต้องตรวจสอบดาบทุกเล่มเนี่ยนะ?


    ดาบเหล่านี้ถูกปักในดินมานานหลายร้อยปีแล้ว


    คุณค่าคงถดถอยลงมาก  แถมคมดาบยังทื่อและบิ่นจากการกัดเซาะของธรรมชาติ


    ‘ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะตรวจสอบครบ?’


    ‘เราไม่คิดว่าจะมีประโยชน์อะไร…’


    ลูกน้องสกังก์เผยสีหน้าผิดหวังชัดเจน  แต่คำสั่งถูกประกาศแล้ว  พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลงมือ


    จนกระทั่ง… 


    “อะไรกัน?”


    เมื่อสกังก์พยายามบิดหมุนดาบเล่มที่ 134 เพื่อดึงขึ้น  เหตุการณ์แสนประหลาดได้ปรากฏเบื้องหน้า


    ใบดาบที่เล่ม 134 ได้หมุนไปในทิศทางตามที่สกังก์ออกแรง

    

    แม้จะไม่ถูกดึงขึ้นเหมือน 133 เล่มก่อน  แต่นี่คือเล่มแรกที่มีการขยับเขยื้อน!


    ตึกตัก…!


    ตึกตัก!!


    หัวใจสกังก์กำลังเต้นโครมคราม


    ความคาดหวังเริ่มปรากฏบนสีหน้า


    เมื่อใบดาบหมุนครบ 90 องศา  ตำแหน่งของดาบข้างเคียงมีการขยับเปลี่ยนแปลงทันที


    แผ่นดินใต้ฝ่าเท้าสกังก์เริ่มเคลื่อนตัว!


    “พวกนายก็เห็นเหมือนกันใช่ไหม?”


    สกังก์ฉีกยิ้มกว้างขณะหันไปประสานสายตากับพวกพ้อง


    เขาตะโกนออกไปสุดเสียง


    “พยายามจัดเรียงให้เป็นรูปร่าง!  อาจต้องใช้เวลาหลายวัน—ไม่สิ  หลายเดือน  ในการทำให้ทุกอย่างลงตัว!”


    “โอ๊สสส!”


    เหล่านักสำรวจอัจฉริยะต่างมีไฟการทำงานอีกครั้ง


    พวกพบเบาะแสที่ชัดเจนแล้ว  ทุกคนจะไม่หยุดมือจนกว่าจะได้ค้นพบความลับหรือสมบัติล้ำค่า


    ทุกครั้งที่ดาบขยับ  ผืนดินด้านล่างก็จะขยับตาม


    ตำแหน่งของการขยับจะขึ้นอยู่กับดาบที่ถูกหมุน


    ในบางครั้ง  ตำแหน่งการเคลื่อนที่จะถูกรีเซ็ตกลับสู่ค่าเริ่มต้น  หมายความว่าการพยายามที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า


    เป็นปริศนาและโครงสร้างที่ซับซ้อน  ยากจะทำความเข้าใจในระยะเวลาอันสั้น


    ดังเช่นที่สกังก์หวาดกลัว  ทุกคนอาจต้องกินนอนที่นี่นานหลายเดือน


    ทว่า  ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่หดหู่  สายตาของกลุ่มนักสำรวจอัจฉริยะกำลังลุกวาว


    *** 


    >>  ความริษยาของเฮ็กเซเทียได้ทำให้มนุษย์ทั่วโลกตกอยู่ในความสิ้นหวัง  บาปของมันหนักหนานัก  เจ้าจะอภัยมันได้จริงหรือ? 


    “ฉ…ฉัน”


    กริดมีโอกาสได้เห็นธาตุแท้ของเทพตนหนึ่งเต็มสองตา


    เขาจะตัดสินใจเช่นไร?


    จะเลือกเดินตามเจตจำนงของมารลำดับสี่และต่อต้านเทพ  


    หรือจะกระทำแบบเดียวกับครั้งก่อนหน้า  เก็บงำเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดกาล


    >>  มีโอกาส 61.8% ที่ผู้เล่นกริดจะเลือกสืบทอดเจตจำนงของมารลำดับสี่  


    เสียงของมอร์เฟียสดังข้างหูลิมชอลโฮ


    ประธานใหญ่แห่ง SA กรุ๊ปแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย


    “61.8% เองหรือ?  ทำไมถึงมีโอกาสมากถึง 40% ที่กริดจะปฏิเสธพลังของมารลำดับสี่?”


    ปัจจุบัน  กริดกำลังเข้าสู่เนื้องเรื่องของ ‘มารลำดับสี่’ ซึ่งเกี่ยวพันกับทักษะบัญชาแห่งเทพ


    หากกริดประกาศต่อโลกว่า ‘เทพมิใช่ตัวตนที่ควรถูกกราบไหว้บูชา’  เขาจะได้รับพลังจากมารลำดับสี่ทันที

    

    ผลของมันคือการยกระดับ ‘บัญชาแห่งเทพ’ ซึ่งกริดเคยพลาดไปในภารกิจ ‘เส้นกั้นแบ่งระหว่างดีชั่ว’


    กลับกัน  หากเขาเลือกปกปิดความจริง  กริดจะไม่ได้รับรางวัลตอบแทนเพิ่มเติม


    ข้อดีเพียงสิ่งเดียวคือยังมีโอกาสคว้า ‘พรจากเทพธิดา’ ในภารกิจ ‘ชำระล้างปฐมดาบศักดิ์สิทธิ์’


    ประธานลิมชอลโฮมั่นใจหลายส่วนว่ากริดคงยอมรับข้อเสนอของ ‘มารลำดับเจ็ด’


    พรจากเทพธิดาคือรางวัลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมก็จริง  ทว่า  เทียบไม่ได้เลยกับการยกระดับบัญชาแห่งเทพ


    แต่ทำไมมอร์เฟียสถึงประเมินโอกาสไว้ต่ำนัก?  เพียง 61.8% เท่านั้น

    

    “หรือเพราะเขาเคยละทิ้งพลังครึ่งเทพก่อนหน้านี้?”


    >>  ถูกต้อง  ผมประเมินจากการกระทำของกริดครั้งล่าสุด  ในคราวนั้น  ผมเคยคาดเดาไว้ว่า  กริดมีโอกาส 97% ที่จะเลือกเดินบนเส้นทางครึ่งเทพ  เพราะเขาคือบุคคลที่แสดงหาความแข็งแกร่งอยู่เสมอ  แต่ผลกลับออกมาตรงกันข้าม


    “…นั่นเพราะพวกพ้องของเขาอาจเดือดร้อน”

    

    กริดใส่ใจคนรอบข้างมาก


    ชายคนนี้แสดงให้เห็นชัดเจนหลายครั้งแล้ว  ว่าครอบครัวและพวกพ้องสำคัญกับชีวิตตนขนาดไหน


    ขณะเดียวกัน  กริดในจอภาพที่กำลังถูกจับตามอง  เขาเริ่มให้คำตอบ


    “ฉ…ฉัน”


    > …


    “ฉันไม่สนว่าเฮ็กเซเทียเคยทำสิ่งใดมาบ้าง  ตัวฉันก็เคยริษยาผู้อื่นบ่อยครั้ง  ฉันไม่ได้ดีกว่าไปเฮ็กเซเทียนักหรอกนะ  ไม่มีสิทธิ์ชี้หน้าตัดสินความริษยาของใคร”


    >>  กับเจ้าแล้วไม่เหมือนกัน  เจ้าเป็นเพียงมนุษย์  ส่วนมันคือเทพ  ความริษยาของเฮ็กเซเทียส่งผลให้มนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์เดือดร้อน!  รู้เช่นนี้แล้ว  เจ้ายังคิดอภัยในสิ่งเลวทรามที่เฮ็กเซเทียก่ออีกหรือ?


    “เพราะเขาเป็นเทพต่างหาก  ความริษยาจึงส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทั้งหมด  ความริษยาสามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทั้งนั้น”


    - ...?


    “หากเฮ็กเซเทียอ่อนแอกว่า  ฉันคงไม่ให้อภัยเขาแน่  และจะลุกขึ้นต่อต้านทันที  แต่ในเมื่อเฮ็กเซเทียแข็งแกร่งกว่า  ฉันคงทำได้เพียงยอมจำนน  มิอาจหาญกล้าเผชิญหน้า”


    >>  เจ้ามันขี้ขลาด!


    “ช่วยไม่ได้  สิ่งที่ฉันเป็นห่วงมีเพียงครอบครัวตัวเอง  มิใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด”


    รอยยิ้มจืดชืดของกริดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่แน่วแน่


    “…ด้วยเหตุนี้  ฉันจึงต้องเลี่ยงการเผชิญหน้าไปก่อน  แต่หากความริษยาของเฮ็กเซเทียส่งผลกระทบต่อฉันในสักวัน  หากความริษยาของเฮ็กเซเทียเกิดเป็นภัยคุกคามต่อครอบครัวฉันในสักวัน  ถึงตอนนั้น  ฉันจะลุกขึ้นสู้  ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้ง  ฉันก็จะลุกขึ้นใหม่และเอาชนะเฮ็กเซเทียให้ได้  หากคุณมองว่านี่คือความเห็นแก่ตัวและขี้ขลาด  ฉันคงต้องยอมรับ  ฉันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น”


    >> … 


    มารลำดับเจ็ดพลันเงียบงัน  จิตใจกริดเริ่มหลุดพ้นจากการถูกครอบงำ


    ภาพเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดจบลงเพียงเท่านี้  เป็นอีกครั้งที่กริดปฏิเสธเจตจำนงของมารลำดับสี่


    ขณะเดียวกัน  เขาก็ได้รับคำบอกใบ้ว่า  เทพบนสวรรค์สามารถเกิดความริษยาและอาฆาตได้  เหยื่ออาจเป็นตัวเขาในสักวัน


    บทสรุปของเรื่องราวครั้งนี้  กริดตัดสินใจโดยใช้หัวใจนำพาอย่างซื่อตรง


    ส่งผลให้… 


[ มารลำดับเจ็ดสนใจในตัวผู้เล่น ‘กริด’ ]

[ ค่าความสัมพันธ์กับมารลำดับเจ็ดเพิ่มขึ้น 10 หน่วย ]


    เรื่องราวเริ่มดำเนินไปอย่างผิดแผก


    “มารลำดับเจ็ดพึงพอใจ?  เดี๋ยวนะ! ปัญญาประดิษฐ์ของนักบุญภัยพิบัติลำดับเจ็ด  ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกทอดทิ้งนานหลายปีโดยไม่มีใครยุ่งเกี่ยว  พัฒนามาถึงจุดนี้ได้ยังไง?”


    นัยน์ตาของลิมชอลโฮเริ่มสั่นระริก


    เขากำลังทึ่ง


( สำหรับคนที่สับสนระหว่างมารลำดับสี่กับมารลำดับเจ็ด เนื่องเรื่องบทนี้ค่อนข้างซับซ้อน

- กริดสืบทอดพลังของมารลำดับสี่  จึงมีสิทธิ์ทำภารกิจยกระดับ ‘บัญชาแห่งเทพ’ ซึ่งเป็นพลังของมารลำดับสี่

- แต่คนที่เข้าสิงกริดและฉายภาพย้อนอดีตของเฮ็กเซเทียคือมารลำดับเจ็ด  เหตุการณ์เกิดจากคำสาปดาบศักดิ์สิทธิ์ถูกกระตุ้น

- NPC ที่กริดส่งเสียงคุยโต้ตอบกับกริดคือมารลำดับเจ็ด  เพียงแต่ของรางวัลภารกิจคือพลังของมารลำดับสี่ )

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน

ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,275

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/


Comments

  1. เกือบงงแล้วถ้าไม่ได้คำอธิบายช่วยใว้
    สนุก​มาก​
    ขอบคุณ​มาก​ครับ​😁

    ReplyDelete
    Replies
    1. งง เหมือนกันจนต้องกับมาอ่านซ้ำ กริดช่างสุดยอด สามารถเปลี่ยนปัญญาประดิษได้ ชายที่อยู่เหนือความคาดหมายเสมอ

      Delete
  2. สนุกมากอ่านรวดเดียวเลยประมาณ 2อาทิตย์ค้าง555

    ReplyDelete
  3. ไอ้เราก็ส่งสัยว่าทำไมนานอัพพตอนจัง พอเข้าไปอ่านในเฟสถึงบางอ้อแอดลงสัปดาห์ละ 3 ตอน เพราะเว้นระยะห่างกับกลุ่มล่าสุด 😅🙏คิดถึงจังเลยครับ เคยได้อ่านทุกวัน และกลายเป็นหยุดอังคาร~พุธ ตอนนี้ อัพสัปดาห์ละ 3 ตอน ยังไงก็ fc away ขอบคุณที่อัพให้อ่านนะครับ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณ​ที่ให้ข้อมูลครับ
      ผมไม่ได้เข้ากลุ่ม​เลยไม่รู้😂
      ไปเข้าก่อนนะ

      Delete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00