จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 870



    ผู้เล่นคลาสจอมเวทมืดอันดับสองของโลก  ‘โดลเช่’  มันไม่พึงพอใจภารกิจที่ได้รับเลยสักนิด  

    เหตุใดคนมีฝีมืออย่างมันต้องปกป้องทางขึ้นวาติกันขณะที่คนอื่นได้บุกถล่มงานเลี้ยงอย่างสนุกสนาน?  

    ‘เราไม่ใช่สุนัขเฝ้าบ้านสักหน่อย!’

    โดลเช่ก้าวขึ้นมาเป็นจอมเวทมืดอันดับสองได้เพราะความพยายามและพรสวรรค์ส่วนตัว  ในฐานะบุคคลอันดับสองจากบรรดาคู่แข่งหลายพัน  มันย่อมภาคภูมิใจในความอัจฉริยะของตัวเอง
    
    และในความเป็นจริง  จอมเวทมืดเก็บเลเวลได้ยากกว่าคลาสจำพวกนักรบมาก  ด้วยเวทมนตร์โจมตีที่น้อยและระยะหน่วงนาน  การสังหารมอนสเตอร์จึงไม่ต่อเนื่อง  น้อยคนนักจะอัพเลเวลจนถึงคลาสระดับสามได้เช่นมัน

    กระนั้น  โดลเช่กลับถูกมอบหมายภารกิจให้ปกป้องทางขึ้น  

    ทำไมต้องเป็นตน?  
    แลัวจะมีศัตรูบุกเข้ามาจริงหรือ?

    ‘พวกมันคิดจะใช้อัจฉริยะอย่างเราทำงานกระจอกไปอีกนานแค่ไหน?’

    การปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ถือเป็นเหตุการณ์ชวนหงุดหงิดอย่างมาก  

    โดลเช่ยิ่งทวีความหัวเสียเมื่อการเฝ้ายามผ่านไปอย่างไร้ความหมาย  มันริษยาโรสที่ได้รับอภิสิทธิ์ให้ร่วมบุกถล่มโถงจัดงานเลี้ยงหลักวาติกัน  

    โรสคงได้รับความสำเร็จทางภารกิจมากมายแน่  โดลเช่คิด

    ‘เราอยากได้โอกาสสร้างผลงานบ้าง…’

    หากโอกาสนั้นมาถึง  มันจะแสดงฝีมือให้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าโรสผู้เป็นหนึ่งในข้ารับใช้ยาธาน  

    ตัวมันต้องก้าวข้ามโรสได้ในสักวันแน่  โดลเช่แสนมั่นใจ  มันประเมินเรื่องนี้จากหลักเหตุและผล  มิใช่ความโอหัง

    เทียบกับอดีตจอมเวทมืดอันดับหนึ่งอย่างยูร่าที่เป็นราวกับกำแพงสูงตระหง่าน  ตัวตนของโรสด้อยค่าและธรรมดามาก  

    โดลเช่ไม่คิดว่าตัวมันอ่อนแอกว่าโรส  เพียงแค่ขาดโอกาสในการแสดงฝีมือเท่านั้น

    ดวงของมันสู้โรสไม่ได้
    
    ‘โอกาส…ถ้าเรามีโอกาสบ้างล่ะก็  ตำแหน่งของเรากับโรสจะต้องสลับที่แน่นอน…หือ?’

    โดลเช่กตัดพ้อโชคชะตาขณะนั่งปฏิบัติภารกิจด้วยใบหน้าซังกะตาย  แต่ทันใดนั้น  มันสัมผัสถึงบางสิ่งเข้า  

    ใครบางคนรุกล้ำเข้ามาในม่านบาเรียที่ถูกกางไว้บริเวณตีเขา  แต่ยังไม่มีข้อความระบบบ่งชี้ว่าบาเรียถูกทำลาย  หมายความว่าผู้รุกล้ำในคราวนี้คือสิ่งมีชีวิตประเภท ‘มาร’  

    คงเป็นใครสักคนในวิหารยาธานกระมัง

    ‘มีใครถูกมอบหมายให้ทำงานกระจอกแบบเราด้วยหรือ?’

    หมอนั่นคงหัวเสียเหมือนเราแน่  โดลเช่ลุกขึ้นยืนจากหินก้อนใหญ่ที่มันนั่งพัก  จากนั้นก็ยืนเฝ้ารอว่าใครกันที่มีโชคชะตาต้องอับเฉาเหมือนตน

    “สวัสดี”

    ชายในชุดดำ?

    โดลเช่มิอาจเห็นใบหน้าของพวกพ้องคนใหม่ที่ปรากฏตัวท่ามกลางความมืดได้ชัดเจนนัก  มันขมวดคิ้วพลางเดินเข้าไปใกล้  

    ทันใดนั้น  แสงจันทร์ส่องลอดผ่านก้อนเมฆฝนด้านบนท้องฟ้า  เผยให้เห็นตัวตนของผู้มาเยือนซึ่งสวมมงกุฏหรูหราเหนือศีรษะ  

    อัญมณีสีแดงเข้มกำลังส่องประกายสะท้อนแสงจันทร์อย่างเงางาม  

[ ศัตรูทำให้ท่านตกอยู่ในอาการสับสน ]
[ ท่านมิอาจขยับตัวได้ชั่วคราว  ค่าต้านทานเวทมนตร์และพลังป้องกันลดลง 40% ]

    “…!?”

    ในการดวล  ปัจจัยสำคัญที่บ่งชี้ผลแพ้ชนะคืออาการผิดปรกติ  ฝ่ายใดสร้างอาการผิดปรกติได้มากกว่า  ฝ่ายนั้นย่อมมีโอกาสชนะสูง  

    ในฐานะจอมเวทมืดอันดับสอง  โดลเช่ย่อมทราบหลักพื้นฐานข้อนี้เป็นอย่างดี  เฉกเช่นแรงเกอร์ของโลกคนอื่ร  ตัวมันมีค่าต้านทานอาการผิดปรกติในระดับค่อนข้างสูง  

    แต่กลับตกอยู่ในอาการสับสนเพียงเพราะจ้องมองเป้าหมาย?

    เป็นมอนสเตอร์ระดับเดียวกับเมดูซ่างั้นหรือ?  ที่สามารถสร้างอาการแข็งเป็นหินได้เพียงจ้องมองด้วยสายตา  
    
    โดลเช่ตกตะลึงในความยิ่งใหญ่ของอีกฝ่าย  เส้นขนทั่วร่างเริ่มลุกตั้งชันอย่างหวาดกลัว  ลมหายใจของมันขาดห้วงไปชั่วขณะ  

    จนกระทั่ง  ข้อความระบบที่น่ายินดีแสดงขึ้น

[ อาการสับสนเหลืออีกหนึ่งวินาที ]

    เลเวลของ CC ไม่สูงอย่างที่คิด  ค่าต้านทานอาการผิดปรกติที่สูงของโดลเช่ส่งผลให้มันชะงักไปเพียงไม่กี่วินาที  

    มันปลอดภัยแน่นอน  เพราะบุคคลปริศนาอยู่ห่างมากถึงสิบห้าเมตร  ก่อนที่อีกฝ่ายจะถึงตัว  มันคงหลุดพ้นอาการผิดปรกติและร่ายมนตร์ดำตอบโต้ได้สบายมาก
    
    ‘และทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร…’

    เพียงหนึ่งวินาที…เหตุใดหนึ่งวินาทีในคราวนี้ถึงนานกว่าปรกตินัก?  

    สายตาของโดลเช่จดจ้องผู้มาเยือนที่เข้ามาใกล้ทุกขณะ  ภาพการมองเห็นของโดลเซ่เชื่องช้าราวกับกาลเวลาหยุดเคลื่อนไหวชั่วนิรันดร์

    ชายปริศนามีร่างกายกำยำ  จมูกเป็นสันโด่ง  ดวงตาเรียวคม

    นัยต์ตามีสีดำสนิททั้งสองข้าง  สายตาดุดันราวกับพญาเหยี่ยวจดจ้องเหยื่อ  ยังอัดแน่นด้วยความเย็นชาและโทสะ  

    เหนือสิ่งอื่นใด  เป็นสายตาที่ดูแคลนเหยียดหยันจอมเวทมืดอันดับสองอย่างโดลเช่ให้เป็นแค่มดปลวก

    ‘บ้าน่า…?’

    ดวงตาโดลเช่เบิกโพลงสุดขีด  มันกำลังตกตะลึงด้วยสาเหตุสองประการ

    ประการแรก  ชื่อตัวละครที่ถูกสลักไว้เหนือศีรษะชายปริศนา  

    และประการที่สอง…

    ‘ร…เร็ว?’

    เป้าหมายที่เคยห่างสิบห้าเมตรด้านหน้า  ยามนี้ยืนประชิดปลายจมูกมันด้วยเวลาเพียงหนึ่งวินาที

    “ไสหัวไปซะ”

    ร่างกายคนผู้นี้กำลังอาบด้วยพลังอสูรเข้มข้นที่ดำมืดยิ่งกว่าท้องฟ้ายามราตรี  

    เขาคือชายผู้โค่นท้องฟ้าและสถาปนาตัวเองเป็นท้องฟ้าผืนใหม่

    ราชาโอเวอร์เกียร์แสดงความเร็วที่เหนือขีดจำกัดของผู้เล่นด้วยความช่วยเหลือจากบัฟพลิ้วไหวและร่างมืด  
    
    ดาบสีดำแดงในมือถูกวาดเป็นเส้นตรงแหวกอากาศปะทะร่างโดลเช่  เพลิงทมิฬระอุขึ้นโดยมีตัวมันเป็นศูนย์กลาง  รัศมีกินวงกว้างไปถึงจอมเวทมืดอีกห้าคนที่ยืนไม่ห่างจากมันมากนัก

    ภารกิจของโดลเช่คือการเฝ้าระวังมิให้ศัตรูผ่านขึ้นไปได้  

    แตกต่างจากที่โดลเช่เข้าใจ  ภารกิจนี้ไม่กระจอกเลยสักนิดเดียว 

    ความหวาดกลัวเริ่มกัดกินจิตใจเมื่อเพลิงสีดำลุกท่วมร่างและสร้างความเสียหายออกมาเป็นตัวเลขเหนือจินตนาการ  

    หลอดพลังชีวิตโดลเซ่จมก้นในพริบตาราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน

    ‘พวกเขาจะรับมือไหวจริงหรือ?’

    เหล่าสาวกยาธานนับพัน  รวมถึงข้ารับใช้ยาธานที่ร่วมภารกิจบุกถล่มวาติกันทุกคน  

    มีใครที่ต่อกรกับสัตว์ประหลาดตัวนี้ไหวด้วยรึไง?  

    โดลเช่ไม่มั่นใจเลยสักนิด

    ข้ารับใช้ยาธานอาจแข็งแกร่ง  แต่อย่าลืมว่าในวาติกันยังมีบุตรีแห่งรีเบคก้า  หากเสริมด้วยตัวแปรที่ไม่คาดฝันอย่างราชาโอเวอร์เกียร์เข้าไปอีกคน  สถานการณ์ฝั่งวิหารยาธานคงเลวร้ายจนยากจะกอบกู้กลับคืน

    “ห…หยุดนะ!”

    ก่อนจะสิ้นลม  โดลเช่ตัดสินใจใช้พลุสัญญาณที่มันเคยคิดว่าไม่จำเป็น  

    แม้ตัวมันจะไร้ประโยชน์จนมิอาจสร้างรอยขีดข่วนแก่บุกรุก  แต่อย่างน้อยความถึกทนที่สั่งสมมาก็มากพอจะทำให้เหลือลมหายใจสำหรับยิงพลุสัญญาณ

    จะเกิดอะไรขึ้นหากมันฝืนโจมตีใส่กริดด้วยมนตร์ดำ?  คำตอบคือไร้ประโยชน์  มันไม่มีทางหยุดยั้งกริดได้  การเลือกยิงพลุสัญญาณนับเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด  

    โดลเซ่แสยะยิ้มเมื่อตระหนักว่าตนเองอัจฉริยะเพียงใด  จากนั้น  ร่างมันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีเทา

    ต้องมีใครสักคนรีบรุดมาที่นี่และถ่วงเวลากริดไว้ได้พักใหญ่แน่นอน

    “พวกกระจอก…”

    กลุ่มจอมเวทมืดและอัศวินมืดที่ลาดตระเวณรอบเชิงเขา  พวกมันรีบรุดหน้ามายังจุดที่พลุสัญญาณถูกยิง

    เฉกเช่นโดลเช่  สิ่งแรกที่หน่วยลาดตระเวนทำคือการร่ายมนตร์ดำใส่เป้าหมาย  

    ตามปรกติแล้ว  หลังจากถูกคำสาปนานาชนิดทำให้อ่อนแรงลง  จะเป็นเวลาที่อัศวินมืดลงดาบเชือดเป้าหมายทิ้งอย่างง่ายดาย  

    นี่คือคอมโบเสร็จสรรพที่พวกมันฝึกฝนร่วมกันมานาน  

    ง่ายและมีประสิทธิ์ภาพ

    “ม…ไม่สำเร็จ?”

    มนตร์ดำกลับไม่แสดงผลต่อชายปริศนาแม้แต่น้อย  เหล่าจอมเวทมืดต่างทึ่งเมื่อบุรุษผมดำสวมมงกุฏสามารถต้านทานคำสาปได้ทุกรูปแบบ 

    จอมเวทมืดบางคนเริ่มฉุกคิดได้  มันรีบตะโกนขึ้นอย่างลนลาน

    “ด…เดี๋ยวก่อน!”

    ทว่า  สายไปเสียแล้ว  อัศวินมืดลงมือด้วยสัญชาตญาณตามจังหวะที่เคยซักซ้อมกันมา  ร่ายกายขยับไปเองตามธรรมชาติดเมื่อกลุ่มจอมเวทมืดปลดปล่อยคำสาปอาบร่างเป้าหมายสำเร็จ

    ปลายดาบแหลมคมอัดแน่นด้วยพลังความมืดรุมทิ่งแทงใส่บุรุษปริศนาจากทุกทิศ 

    อัศวินมืดล้วนมั่นใจว่าดาบของมันต้องเสียบทะลวงร่างเป้าหมายแน่

    “…!”

    แต่ชายลึกลับกลับเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความเร็วที่น่าทึ่งจนยากจะมองทัน  หลบหลีกทุกดาบได้ง่ายดายไร้รอยขีดข่วน  จากนั้นก็หมุนตัวตวัดดาบเป็นวงกลมเชือดเฉือนอัศวินมืดทุกคนรอบทิศอย่างเท่าเทียมไม่แบ่งแยก

    “แค่ก…!”

    แตกต่างจากโบถส์รีเบคก้าที่มีกองทัพพาลาดิน  วิหารยาธานมีสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสำหรับฝึกฝนอัศวินมืดสักเท่าไร 

    ธรรมชาติของเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์จะช่วยอวยพรและเสริมร่างกายผู้ร่ายให้แข็งแกร่ง  กลับกัน  มนตร์ดำจะมุ่งเน้นไปที่คำสาปและการกัดกร่อนเป้าหมาย  ดังนั้นเมื่อเทียบกับพาลาดินแล้ว  อัศวินมืดจะมีพลังป้องกันและค่าสถานะต่ำกว่ามาก  

    ถึงจะสาปกัดกร่อนศัตรูหรืออาวุธของตัวเองได้  แต่หากโจมตีไม่โดยเป้าหมายก็ไร้ค่า

    หนึ่งดาบ…

    สองดาบ…  

    อัศวินมืดทยอยตายทีละหลายสิบคนในทุกดาบที่กริดกวัดแกว่ง  

    เหล่าจอมเวทมืดทำได้เพียงเฝ้ามองพวกพ้องถูกห้ำหั่นอย่างง่ายดายดุจดั่งผลแครอท  

    ความหวาดกลัวเริ่มสลักลงในจิตใจ  แข้งขาสั่นระริกไร้เรี่ยวแรง  ร่างกายแข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน

    “คลื่น”

    กริดปลดปล่อยทักษะแรกเมื่อบัฟร่างมืดและพลิ้วไหวหมดลง  รัศมีดาบพุ่งกระจายรอบทิศ  ทำลายจอมเวทมืด  ต้นไม้  รวมถึงก้อนหินใหญ่ในบริเวณ  ทุกสรรพสิ่งพังพินาศราบคาบ

    เมื่อทำลายฝูงมดปลวกในบริเวณนี้จนหมด  ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองโถงหลักวาติกันที่กำลังพังครืน

    “ไอรีน!  ลอร์ด…!”

    ‘ได้โปรดปลอดภัยด้วย’

    กริดอัญเชิญโอเวอร์เกียร์คอร์นขึ้นควบด้วยความเร็วสูงสุด

    *** 

    โล่และชุดเกราะดาเมี่ยนต้านรับกำปั้นที่ถูกกระชกอย่างไม่หยุดพักไว้ได้ก็จริง  

    แต่ชุดเกราะเงินและโล่ใหญ่ที่เปรียบดังสัญลักษณ์ของสันตะปาปากำลังสูญเสียความคงทนลงทุกขณะ  

    กำปั้นฮิลล์ที่รัวได้เร็วถึงสิบสองครั้งในหนึ่งวินาที   ไม่เพียงว่องไว  แต่ยังอัดแน่นด้วยพลังทำลายมหาศาล

    กระนั้น  สันตะปาปาดาเมี่ยนยังคงอึดถึกทนราวกับแมลงสาปด้วยผลจากเวทมนตร์ป้องกัน  บัฟเกราะ  รวมถึงเวทฮีล

    ถึงฮิลล์จะโจมตีได้ทรงพลังวินาทีละสิบสองครั้ง  แต่ดาเมี่ยนยังคงมีลมหายใจแม้การต่อสู้จะดำเนินผ่านมาครู่ใหญ่

    “ไอ้สุนัขนี่หนังเหนียวฉิบ!”

    ฮิลล์ขบกรามแน่นอย่างหงุดหงิด  

    ปัจจุบัน  ดาเมี่ยนยังเหลือเวทมนตร์ให้ใช้อีกมากก็จริง  แต่ภายในใจกลับตึงเครียดอย่างหนัก  เขากระวนกระวายใจกว่าที่ทุกคนเห็นมาก

    ‘นั่นคือทักษะงั้นหรือ?ง

    คงทำใจเชื่อได้ยากว่าสิบสองกำปั้นในหนึ่งวินาทีจากฮิลล์จะเป็นการโจมตีธรรมดา  

    ทุกครั้งที่มันเริ่มเหวี่ยงกำปั้น  ฮิลล์จะเข้าสู่ภาวะ ‘บาเรียคุ้มกายพิเศษ’ ที่ต้านทาน CC ทุกชนิดชั่วคราว

    หลังจากชกครบสิบสองหมัด  มันจะเผยช่องว่างราวหนึ่งวินาที

    ‘ไม่ผิดแน่  ต้องเป็นทักษะชนิดหนึ่ง’

    ในวินาทีที่กำปั้นชุดต่อไปเริ่มพุ่งเข้าใส่  ดาเมี่ยนยกโล่ใหญ่ขึ้นกำบังร่างกายพลางก้าวถอยหลังเพื่อลดแรงปะทะ  

    ดาเมี่ยนมั่นใจหลายส่วนว่าการโจมตีจากฮิลล์ต้องเป็นทักษะ

    ‘เมื่อทักษะแสดงผล  ผู้ร่ายจะสร้างบาเรียคุ้มกายพิเศษ  การโจมตีจะแสดงผลจนครบสิบสองหมัดโดยไม่ถูกขัดขวาง  จากนั้นจะเข้าสู่ระยะหน่วงหนึ่งวินาที…’

    เป็นทักษะที่โกงเกินไปแล้ว  

    ฮิลล์อาจเป็นข้ารับใช้ยาธานที่มีพลังทำลายสูงสุด  ดาเมี่ยนเชื่อเช่นนั้น

    ‘ถึงจะโจมตีได้รูปแบบเดียวและจับทางได้ง่ายก็จริง  แต่ว่า…’

    นี่คือคู่ต่อสู้ที่ดาเมี่ยนแพ้ทางมากที่สุด

    สิบสองกำปั้นจะปลดปล่อยจนครบโดยไม่มีเงื่อนไข  ไม่หยุดแม้จะถูกโจมตี  การสวนกลับไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด  และการป้องกันกำลังจะถึงขีดกำจัดความคงทนของอุปกรณ์  

    โอกาสเดียวคือช่องว่างหนึ่งวินาทีที่เผยหลังใช้งาน

    ในฐานะสันตะปาปาคลาสพาลาดิน  ดาเมี่ยนบกพร่องในด้านทักษะโจมตีค่อนข้างมาก  

    เขาไม่สามารถรีดเร้นความเสียหายในชั่วพริบตาได้เหมือนคลาสอื่น  มีเพียงพลังป้องกันที่เป็นราวกับปราการเหล็กอันแข็งแกร่ง

    พลังโจมตีน้อยนิดแลกมากับการมีบัฟจำนวนมากและแสดงผลเป็นวงกว้าง  ดาเมี่ยนมิอาจฉกฉวยโอกาสหนึ่งวินาทีให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุดด้วยขีดจำกัดทางคลาส

    ‘แย่ล่ะสิ  ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่’

    ดาเมี่ยนไม่ควรถูกฮิลล์พันแข้งขาไว้นาน  หากตนเอาชนะฮิลล์ไม่ได้  พวกพ้องที่เหลือต้องตกเป็นเหยื่อของกองทัพจอมเวทมืดแน่นอน

    แต่นอกจากตัวเขาแล้ว  จะยังมีใครที่สามารถล้มฮิลล์ได้อีกหรือ?   

    บุตรีแห่งรีเบคก้าและอัศวินสีชาดกำลังรับมือกับข้ารับใช้ยาธานที่เหลือ

    ‘ถ้าเราปราบฮิลล์ไม่ได้  พวกพ้องทุกคนก็จะ…’

    ลงเอยด้วย  ดาเมี่ยนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดวลกับฮิลล์ต่อไป  ถึงเขาจะสร้างอาการบาดเจ็บให้อีกฝ่ายได้ไม่มากก็ตาม  

    การตั้งรับเพียงอย่างเดียวและสวดภาวนาให้พวกพ้องเอาชนะวิหารยาธาน  สิ่งนี้คือการตัดสินใจถูกต้องแล้วจริงหรือ?

    ‘นั่นสินะ…สถานการณ์แบบนี้  มีแต่ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น’

    ดาเมี่ยนยังคงไม่ลืมว่า  องครักษ์โอเวอร์เกียร์จะยิ่งอ่อนล้าหลังจากปกป้องไอรีนและลอร์ดเป็นเวลานาน

    ตรงกันข้ามกับอัศวินสีชาด  อัศวินโอเวอร์เกียร์ต้องรับมือศัตรูรอบด้านตั้งแต่ต้นสงคราม  ปัจจุบันคงใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มทีแล้ว  

    ขณะที่ดาเมี่ยนถูกฮิลล์พัวพัน  คนเหล่านั้นอาจเสียท่าจนชีวิตของไอรีนกับลอร์ดตกอยู่ในอันตราย

    ดาเมี่ยนต้องรีบตัดสินใจ

    เขาจำเป็นต้องดวลกับฮิลล์  แต่จะใช้เวลานานไม่ได้เด็ดขาด
    
    ‘ลองดูสักตั้ง’

    ดาเมี่ยนหวนนึกถึงวิธีต่อสู้ที่กริดใช้ในงานแข่งนานาชาติ

    ตาต่อตา  ฟันต่อฟัน  
    หากถูกโจมตี  แค่โจมตีกลับให้รุนแรงกว่าก็พอ

    ใช่แล้ว  ดาเมี่ยนไม่คิดปัดป้องสิบสองหมัดของฮิลล์อีก  เลือดต้องแลกด้วยเลือด

    ‘พลังโจมตีของเราอ่านอ่อนแอ  มีแต่ต้องลองเสี่ยงดูเท่านั้น’

    เขาเริ่มใช้วิธีต่อสู้แบบใหม่ทันที  แทนที่จะยกโล่ป้องกัน  ดาเมี่ยนกระแทกโล่สวนกลับใส่ฮิลล์ในจังหวะที่มันปลดปล่อยกำปั้นเข้าใส่
    
    “คุฮ่าฮ่าฮ่า!  เจ้าโง่!”

    ฮิลล์หัวเราะอย่างขบขันเมื่ออ่านเจตนาดาเมี่ยนออก  

    ดาเมี่ยนโจมตีได้เพียงสองถึงสามครั้งในหนึ่งวินาที  ส่วนตัวมันทำได้ถึงสิบสอง
    
    “สามดาบคิดจะเทียบกับสิบสองหมัดงั้นหรือ?  อยากตายรึไง?  วะฮ่าฮ่าฮ่า!”

    ต่อให้ดาเมี่ยนใช้เวทฟื้นฟูเข้าแลกก็ไร้ประโยชน์  ฮิลล์ยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่

    “เสริมแกร่งกำปั้น!  ย๊ากกก!”

    มันมีบัฟเพิ่มพลังโจมตี  กำปั้นของมันเริ่มส่องแสงสีแดงระเรื่อ  ความเสียหายที่สร้างใส่ดาเมี่ยนรุนแรงเป็นสองเท่าจากของเดิม

    เวทฮีลของดาเมี่ยนฟื้นฟูการโจมตีจากสิบสองกำปั้นไม่ทัน

    “อึก…!”

    “ท่านอาจารย์ดาเมี่ยน!”

    “หลวงพ่อ!”

    สถานการณ์กำลังวิกฤติหนัก  

    เหล่าสาวกรีเบคก้าเริ่มหน้าถอดสีเมื่อเห็นสันตะปาปาดาเมี่ยนตกที่นั่งลำบาก  โดยเฉพาะลอร์ดตัวน้อยที่แสดงความกระวนกระวายใจชัดเจน

    “ถ…ถ้าผมโตกว่านี้”

    หากมีอายุมากกว่านี้  เขาคงปกป้องอาจารย์ดาเมี่ยนและท่านแม่ได้แน่  

    อีกนานแค่ไหนกันกว่าเขาจะเป็นผู้ใหญ่?  ลอร์ดกำหมัดแน่น  น้ำตาไหลรินลงบนใบหน้าที่กำลังเจ็บแค้น

    “วิชาดาบแพ็กม่า”

    บุรุษปริศนากระโดดลงจากรูโหว่บนเพดานโถงจัดงานเลี้ยงพลางโจมตีใส่ฮิลล์

    ฮิลล์พ่นลมหายใจเหยียดหยัน

    “ไอ้ระยำนี่ใครอีก?  อยากลิ้มรสหมัดของฉันเหมือนกันหรือ?”

    ฮิลล์เข้าสู่โหมดบาเรียคุ้มกายพิเศษพลางปลดปล่อยหนึ่งหมัด  สองหมัด…

    ทั้งหมดสิบสองหมัดใส่ชายแปลกหน้า 

    กำปั้นของมันที่มองตามด้วยตาเปล่าไม่ทันถูกเล็งใส่ใบหน้า  แผ่นอก  ข้างลำตัว  และส่วนสำคัญบนร่างกายอีกหลายจุด
    
    ทุกสิ่งเกิดขึ้นในหนึ่งวินาที

    และภายในหนึ่งวินาทีเดียวกัน  
    ชายปริศนากำลัง… 

    “ร่ายรำ”

    รัศมีดาบสามสิบเส้นที่ทรงพลังยิ่งกว่ากำปั้นได้ฉีกกระชากร่างฮิลล์จากทุกทิศทาง

    
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 5 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,266
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/


Comments

  1. กลายเป็นแสงสีเทาไปซ่ะ😤
    สนุก​มาก​ครับ
    วันนี้​ผมนอน​หลับ​ฝันดี​แล้ว​😁
    ขอบคุณ​ครับ​🙏

    ReplyDelete
  2. 12 หมัดทำคุย พระเอกเรา 30 ดาบต่อวิต่อหนึ่งเป้าหมายยังไม่พูดเลย

    ReplyDelete
    Replies
    1. มะๆ..ม่ายพูดเยอะเจ็บคอ😏

      Delete
    2. ขอ 3 คำ สนุกมากครับ

      Delete
  3. Replies
    1. ชื่อเรื่องก็เขียนบอกเเล้วไงเล่า~~

      Delete
  4. ร่ายรำ:โจมตีได้30ครั้งแล้วหรอ...? นึกว่า20ครััง

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00