จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 688


    
    “เขาถูกบุตรชายตนเองสังหาร...”

    บ้าบอสิ้นดี
    เรื่องต่ำทรามเช่นนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นบนโลกไม่ว่ากรณีใด
    น่าเสียดายที่  ตอนนี้กริดกำลังอาศัยอยู่ในโลกซาทิสฟาย  ยุคสมัยแก่งแย่งชิงดีของมนุษย์โดยไม่สนวิธีการ  เขามิอาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้
    มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่ระบุถึงเหตุการณ์พี่น้องฆ่ากันเอง  คนในครอบครัวฆ่ากันเอง  และสามีภรรยาฆ่ากันเอง

    เรื่องราวข้างต้นมิได้ปรากฏแค่ในซาทิสฟาย  แต่โลกความจริงก็ไม่ต่างกันนัก
    กริดผู้รักครอบครัวเหนือสิ่งอื่นใด  เขารู้สึกเจ็บแปลบที่เรื่องแบบนี้กลายเป็นสิ่งธรรมดาของโลกที่ตนอาศัย

    ‘กษัตริย์ที่แข็งแกร่งในอดีตมากมายก็ต้องจบชีวิตลงเพราะคนใกล้ตัว...’

    กริดไม่มีวันลืมในสิ่งที่เคยร่ำเรียน
    เขาคือคนที่เคยตั้งใจเรียนอย่างหนักในช่วงเวลายังเป็นวัยรุ่น  
    สาเหตุที่ต้องตั้งใจเป็นพิเศษ  นั่นก็เพื่อให้มีเกรดเฉลี่ยเทียบเท่าคนทั่วไป  
    ด้วยเหตุนี้  กริดจึงถนัดวิชาที่เกี่ยวกับท่องจำมากกว่าวิชาที่ใช้สมอง  โดยเฉพาะวิชาประวัติศาสตร์
    
    หลังจากได้ยินว่ามาดราถูกบุตรชายตนเองสังหาร...
    “อย่างน้อยก็ในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์  ฉันจะไม่ยอมให้มีเรื่องต่ำทรามเช่นนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด...”

    ถึงจะยังไม่รู้รายละเอียดของมาดราเลยก็ตาม
    แต่ได้ยินเพียงเท่านี้ก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเสียแล้ว

    ในฐานะสามีและพ่อ  กริดเชื่อมั่นอย่างมากว่า  สายสัมพันธ์จะไม่มีวันขาดสะบัดหากตนยังมอบความรักและความเคารพให้ครอบครัวอย่างต่อเนื่อง

    ‘เหมือนกับที่พ่อแม่และเซฮีปฏิบัติต่อเรามาตลอด...’

    กริดยืมชืดด้วยสีหน้าขมขื่น    
    สติกส์อธิบายต่อไป
    
    “องค์ชายราจันดรามิได้สังหารมาดราด้วยเหตุผลต่ำทราม  ในบันทึกสุดท้ายขององค์ชายราจันดรา  เขาเขียนถึงความรักและความชื่นชมที่มีต่อผู้เป็นบิดา”

    “...”

    รักและชื่นชม?
    ไม่ได้ทำเพราะเหตุผลต่ำทราม?
    แล้วเขาสังหารบิดาตนเองไปเพื่ออะไร
    
    กริดได้แต่ขมวดคิ้วฉงน
    ชายหนุ่มไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ราจันดราต้องสังหารมาดรา

    สติกส์อธิบาย

    “มาดราเชื่อว่า  ตนเองสามารถปกป้องลูบาน่าได้ตราบชั่วนิรันดร์  แต่องค์ชายราจันดรารู้ดีว่า  มาดราก็เป็นมนุษย์เฉกเช่นคนปรกติ  อีกไม่ช้าก็ต้องแก่ชราและตายไป”

    “แล้ว?”

    “องค์ชายราจันดรากังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากมาดราเสียชีวิตลง  ในยุคสมัยนั้น  เพียงการมีตัวตนอยู่ของมาดรา  ก็มากพอจะทำให้จักรวรรดิรุกรานลูบาน่าอย่างไม่หยุดหย่อน  ยิ่งสงครามดำเนิน  เกียรติยศและชื่อเสียงของมาดราก็ยิ่งโด่งดังเกียรไกร  แต่ในทางกลับกัน  ประชาชนลูบาน่าต้องอยู่อย่างยากลำบากแร้นแค้น  และหากมาดราตายไป  ลูบาน่าจะกลายเป็นที่ระบายความโกรธของจักรวรรดิ”

    “...”

    “องค์ชายราจันดราขอร้องมาดราอยู่หลายหน  เพื่อประโยชน์ของประชาชน  เพื่ออนาคตชนรุ่นหลังของลูบาน่า  ได้โปรดสงบศึกกับจักรวรรดิ  ได้โปรดทำให้บ้านเมืองร่มเย็น  แต่น่าเสียดายที่คำขอร้องเหล่านี้ถูกมาดราปฏิเสธทุกครั้ง  มาดราเหยียดหยันราจันดราว่าเป็นคนขี้ขลาดและน่ารังเกียจ  จนกระทั่งกาลเวลาล่วงผ่าน...มาดรากลายเป็นชราชายผมหงอกขาว”

    “...”

    “ในวาระสุดท้ายของมาดรา  ความวิตกกังวลขององค์ชายราจันดราก็ยิ่งเพิ่มเป็นเท่าทวี...”

    “...”

    “ใช่แล้ว  ทุกคนต่างหวาดกลัว  ไม่เพียงราจันดราเท่านั้น  แต่สภาขุนนาง  กองอัศวิน  ทหาร  และประชาชน  ทุกคนต่างหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น”
    
    “...”

    “พวกเขากลัวว่าลูบาน่าจะถูกเปลี่ยนให้เป็นขุมนรกหลังจากมาดราจบชีวิตลง   ทุกคนคุกเข่าขอร้องให้องค์ชายราจันดรารีบลงมือทำอะไรสักอย่าง”

    “...”
    
    “...ลงเอยด้วย  องค์ชายราจันดราตัดหัวมาดราและส่งมอบให้จักรวรรดิ”

    “...”

    ด้วยเหตุนี้  อาณาจักรลูบาน่าจึงกลายเป็นเมืองรองของจักรวรรดิในที่สุด  องค์ชายราจันดราได้ช่วยชีวิตของราชวงศ์และประชาชนนับแสนไว้  แลกกับการตัดศีรษะมาดราและนำไปมอบให้จักรวรรดิ
    แม้อาจต้องสูญเสียอาณาจักร  แต่ชีวิตของผู้คนนับแสนก็ปลอดภัย
    
    หลังจากนั้น  ว่ากันว่า  ศีรษะของมาดราถูกแขวนประจานไว้ที่ประตูหลักของมหานครไททันนานถึงหนึ่งปีเต็ม

    “...ให้ตายสิ”

    กริดรู้สึกกระอักกระอ่วนทันทีเมื่อจินตนาการภาพทุกคนที่ผ่านเข้าออกไททันได้ถ่มถุยน้ำลายใส่ศีรษะของมาดรา
    เป็นฉากจบที่น่าเศร้าของวีรบุรุษผู้ปกป้องชาติมาตลอดทั้งชีวิต  วีรบุรุษผู้กลายเป็นตำนานและถูกชนรุ่นหลังขนานนามว่า...
    ‘ราชาไร้พ่าย’
    ชายผู้ไม่เคยพ่ายแพ้

    แต่ขณะเดียวกัน  กริดก็เข้าใจหัวอกขององค์ชายราจันดราและประชาชนลูบาน่าเช่นกัน
    แน่นอนว่า  กริดไม่ได้ยกย่องในสิ่งที่พวกเขาทำ
    แต่มาดราผู้แข็งแกร่งไม่เคยคิดถึงหัวอกตัวตนแสนอ่อนแอที่เขาปกป้องอยู่ด้านหลังเลยสักครั้ง  
    ไม่ผิดที่เขาจะมั่นใจในพลังของตัวเอง
    แต่มาดราผิดที่คิดว่าตนจะมีชีวิตอยู่บนโลกไปตลอดกาล
    
    ‘ถ้ามาดราไม่มั่นใจในตัวเองจนเกินไป  เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น...’

    เรื่องราวข้างต้นเป็นเพียงประวัติศาสตร์ของซาทิสฟาย
    มันเกิดขึ้นและจบลงไปแล้ว  ส่งผลให้เหตุการณ์ดำเนินมาถึงปัจจุบัน
    มนุษย์ทุกคนมีชีวิตอยู่บนเส้นกาลเวลาปัจจุบันก็จริง  แต่พวกเราสามารถเรียนรู้และศึกษาจากอดีตได้
    
    ‘เราจะหลงระเริงในพลังไม่ได้เด็ดขาด  ไม่อย่างนั้นจะเป็นแบบมาดรา...’

    กริดลุกขึ้นยืนหลังจากพักผ่อนเพียงพอ
    สายตาหันไปมองยังประตูมิติที่ส่งไปเกาะหมายเลข 66 โดยไม่กระพริบ

    “...ฉันจะสอนให้ดวงวิญญาณของนักรบผู้น่าเศร้าได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้เป็นหนแรก”

    ผู้คนในซาทิสฟายต่างยกย่องให้อริยดาบมุลเลอร์คือตัวตนแข็งแกร่งอันดับหนึ่งในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา
    แน่นอนว่ากริดก็เช่นกัน
    
    แต่จากคำบอกเล่าของสติกส์  หมู่เกาะเบเฮ็นคือหอเกียรติยศสำหรับให้ตำนานรุ่นใหม่สืบทอดพลังจากตำนานรุ่นเก่า  
    หรือในอีกความหมายหนึ่ง  ตำนานได้สืบทอดกันมาหลายรุ่นจนนับไม่ถ้วน  แต่มีเพียงตำนานรุ่นก่อนหน้าเท่านั้นที่ผู้เล่นรู้จัก

    คลาสของตำนานเดิมประกอบด้วย  อริยดาบ  มหาจอมเวท  นักธนู  นักลอบสังหาร  ช่างตีเหล็ก  ช่างตัดเย็บ  และนักขุดแร่  ดูเหมือนตำนานเหล่านี้จะสืบทอดพลังส่งต่อกันมาหลายรุ่นแล้ว

    แต่นักล่าอสูรกับราชาไร้พ่ายล่ะ?
    อเล็กซ์โหวกเหวกด้วยสีหน้าเคียดแค้นสุดขีด  เขากรีดเลือดและตะเบ็งเสียงลั่นสัตย์สาบานกับตนเองอย่างแน่นหนักว่าจะต้องกำจัดจอมอสูรทุกตนให้หมดไปจากโลกใบนี้  
    อเล็กซ์ต้องการทำลายขุมนรกให้สิ้นซาก...

    ส่วนมาดรา  ตำนานของเขาถือกำเนิดขึ้นด้วยตนเอง  จากการที่ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใดมาก่อน
    
    นอกจากนั้น  ยังมีผู้คนที่สร้างเส้นทางตำนานของตนขึ้นมาสำเร็จ  เฉกเช่นปิอาโร่
    กริดไม่ละทิ้งความเป็นไปได้  ที่โลกนี้จะยังมีตำนานเส้นทางใหม่คนอื่นเร้นกายซ่อนตัวอยู่

    น่าเสียดายที่พลังของอเล็กซ์ไม่เฉิดฉายเท่าที่ควรบนหมู่เกาะเบเฮ็น  เวทีของอเล็กซ์คือขุมนรก  ท่าไม้ตายของอเล็กซ์คือ ‘สยบขุมนรก’ ที่เป็นพิษร้ายสำหรับจอมอสูร
    
    แต่กับมาดราแล้วตรงข้าม…
    เวทีของมาดราคือโลกมนุษย์   หมู่เกาะเบเฮ็นเองก็ถือเป็นโลกมนุษย์  
    มาดราฆ่าฟันมนุษย์มาทั้งชีวิต...และกริดก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

    ‘บอสใหญ่มักเก่งที่สุดเสมอ...’

    ตึกตัก!  ตึกตัก!
    
    หัวใจกริดเริ่มเต้นโครมครามในยามย่างกรายเข้าประตูมิติเกาะหมายเลข 66
    เขาตื่นเต้นอย่างมากเมื่อจินตนาการว่า  ตนกำลังจะโค่นชายผู้ไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน
    
    ***

    ณ ร้านสวาปามจกบัลเผ็ด  
    ย่านแฮนัม  จังหวัดชอลลาใต้

    “ยินดีต้อนรับครับ!”

    นักสร้างดันเจี้ยน  อดีตหัวหน้ากลุ่มผู้เล่นชั่ว  บลัดคาร์นิวัล  ปัจจุบันเขากำลังประกอบธุรกิจอย่างขยันขันแข็ง
    ชายคนนี้ชื่นชอบจกบัลมาก  อย่างน้อยก็ต้องเปิดร้านจกบัลให้ลูกค้าได้ทานวันละหนึ่งชั่วโมง
    ความสุขที่ได้ลิ้มรสขาหมูรสเผ็ดทีละชิ้น  มันมิอาจบรรยายเป็นคำพูดได้เลย
    
    “หืม...วันนี้ก็ไม่มีลูกค้าเหมือนเคย”

    “...ร้านของฉันเน้นขายเดลิเวอรี่”

    สีหน้าของสวาปามจกบัลรสเผ็ดพลันถมึงทึงทันทีที่ได้เห็นใบหน้าลูกค้าชัดเจน
    ดึกดื่นเช่นนี้...เป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากพีคซอร์ด
    
    เขาคือแร้งเกอร์ของซาทิสฟายผู้เป็นหน้าเป็นตาให้เกาหลีใต้  ประธานองค์กรเกาหลีใต้จงเจริญ  และขุนนางชั้นมาร์ควิสแห่งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์

    ในทุกสัปดาห์  พีคซอร์ดจะเยี่ยมเยียนร้านสวาปามจกบัลเผ็ดที่แฮนัมเสมอ
    เหตุผลนั้นง่ายมาก  เขาต้องการชักชวนให้สวาปามจกบัลเผ็ดเข้าร่วมกิลด์

    มีการประเมินจากลอเอลไว้ว่า  หากอาณาจักรโอเวอร์เกียร์คว้าตัวนักสร้างดันเจี้ยนอย่างสวาปามจกบัลเผ็ดไว้ได้  ระดับการพัฒนาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด  จำนวนของผู้เล่นที่ทยอยย้ายเข้าอาณาจักรเพื่อลงดันเจี้ยนเฉพาะตัวจะยิ่งมีสูงขึ้น
    ไม่แปลกที่ทุกคนต่างต้องการตัวสวาปามจกบัลเผ็ด

    “มัคกุซู*ที่นึง” (อาหารจำพวกเส้น)

    สวาปามจกบัลเผ็ดหันไปมองพีคซอร์ดด้วยสีหน้าเย็นชาพร้อมเอ่ยปากถาม

    “ทำไมนายถึงมาที่นี่แล้วสั่งแต่มัคกุซูทุกครั้ง”

    สวาปามจกบัลเผ็ดเปิดร้านขายจกบัลเขากระทั่งจกบัลไปมาตั้งชื่อตัวละครในซาทิสฟาย  สิ่งนี้ย่อมแปลว่า  เขาหลงไหลจกบัลอย่างมาก
    สวาปามจกบัลเผ็ดจึงหงุดหงิดที่พีคซอร์ดถ่อเดินทางมาจากกรุงโซลอันไกลโพ้นเพียงเพื่อสังมัคกุซูทาน
    ราวกับพีคซอร์ดเกลียดจกบัลเข้าไส้
    
    พีคซอร์ดตอบกลับด้วยสีหน้าขึงขัง
    “ก็ฉันไม่ชอบจกบัลนี่”

    “นายไม่ชอบ...จกบัล?”

    ใบหน้าของสวาปามจกบัลเผ็ดพลันบิดเบี้ยวราวปีศาจ
    สีหน้าของพีคซอร์ดยังคงขึงขังเช่นเดิม
    ประหนึ่งใบหน้าของขุนนางผู้สูงสง่า
    ชวนให้นึกถึงแกนนำนักปฏิวัติสมัยที่ถูกญี่ปุ่นยึดครองดินแดน

    “หืม...แล้วจะให้ฉันโกหกว่าชอบจกบัลเพื่อให้นายประทับใจรึไง...ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก  ฉันไม่อยากโกหกนาย  ฉันอยากให้เราเป็นสหายที่ดีก่อกัน  และความจริงใจคือสิ่งที่ฉันจะมอบให้”

    “...”

    ความซื่อตรงกับความซื่อบื้อมักมีเส้นบางกั้นแบ่งไว้เสมอ
    แต่ถึงอย่างนั้น  สวาปามจกบัลก็สัมผัสได้ว่า  พีคซอร์ดก็ต้องการตนเป็นพวกพ้องด้วยจิตใจที่ซื่อตรง
    
    หัวใจของสวาปามจกบัลถูกสั่นคลอนเล็กน้อยจากเหตุการณ์นี้
    ยักษ์ใหญ่แห่งเกาหลีใต้อย่างพีคซอร์ด  แม้จะล่วงรู้อดีตอันดำมืดของตน  แต่เขากลับยังต้องการเป็นสหายด้วยใจจริงงั้นหรือ

    ถึงจะหวั่นไหว  แต่สวาปามจกบัลเผ็ดก็มิได้แสดงออกทางสีหน้า
    เขาจ้องพีคซอร์ดเขม็ง

    “ทำไมนายถึงไม่ชอบจกบัล...ไม่ชอบตรงส่วนไหนของมัน”

    ใช่แล้ว  
    ในสายตาของสวาปามจกบัลเผ็ดที่หลงไหลในจกบัลมาก  คำประกาศว่าไม่ชอบของพีคซอร์ดถือเป็นปัญหาใหญ่

    พีคซอร์ดตอบกลับอย่างเถรตรง

    “มันแพงเกินไป”

    “อะไรนะ?”

    “ราคาเฉลี่ยของจกบัลคือสามหมื่นวอน  แต่ดูปริมาณของมันสิ  จานเล็กขนาดที่ผู้ชายโตเต็มวัยสามารถกินหมดได้ด้วยตัวคนเดียว”

    “...นายกินคนเดียวหมดได้ยังไง”

    “ทุกคนที่มีอัตราการเผาผลาญสูงสามารถกินคนเดียวหมดได้สบายมาก  แต่ราคาของมันกลับแพงถึง 35,000 วอนในบางจาน  ฉันยอมรับราคานี้ไม่ได้  ลองนึกถึงราคาต้นทุนของขาหมูสิ  หากไปที่เขียงหมู  ฉันสามารถซื้อขาหมูได้ในราคาเพียงห้าพันวอน  แล้วทำไมราคาของจกบัลถึงได้แพงขนาดนั้น”

    แน่นอนว่า  พีคซอร์ดนั้นร่ำรวยมาก
    แต่เขาไม่ได้รวยตั้งแต่เกิด
    ในอดีตที่เคยใช้ชีวิตอดสู  พีคซอร์ดยากจนขนาดที่มีเงินไม่พอซื้อจกบัลทาน  แม้เขาจะอยากกินมันมากก็ตาม
    อดีตครั้งนั้นได้ตามหลอกหลอนมาจนถึงทุกวันนี้  ร่ายกายพีคซอร์ดเริ่มสั่นระริก
    
    สวาปามจกบัลเผ็ดเอ่ยปากถาม

    “แล้วถ้า...ถ้าเป็นจกบัลที่ทำจากหมูฮันดงล่ะ”

    “อะไรนะ...หมูฮันดง!”

    นัยน์ตาพีคซอร์ดพลันสั่นระริก
    ฮันดง!  หมูสายพันธุ์สุดหรูของประเทศประเกาหลีใต้  พีคซอร์ดทำหน้าราวกับเห็นผี
    
    สวาปามจกบัลเผ็ดฉีกยิ้มอย่างผู้มีชัย

    “ร้านสวาปามจกบัลเผ็ดของฉันใช้หมูฮันดงคุณภาพสูงสุดในการทำ  นายยังคิดว่า สามหมื่นวอนเป็นราคาที่แพงอยู่รึเปล่า”

    “ฮึ…!  นายคิดจะหลอกล่อฉันด้วยของแพงสินะ...”

    ในศตวรรษที่ 22 ของเกาหลีใต้
    เนื้อหมูส่วนใหญ่ถูกนำเข้าจากต่างประเทศ  
    เกษตรกรจึงไม่นิยมเลี้ยงหมูเท่าที่ควร  ส่งผลให้มูลค่าของหมูฮันดงพุ่งสูงขึ้นด้วยความหายาก
    แน่นอนว่า  ผู้ที่เป็นประธานองค์กรเกาหลีใต้จงเจริญอย่างพีคซอร์ดต้องสนใจในผลิตภัณฑ์จากหมูภายในประเทศ

    “ตกลง!  เพิ่มจกบัลเข้ามาในมัคกุซูของฉันด้วย!”

    “ไม่มีปัญหา…!”

    พีคซอร์ดและสวาปามจกบัลเผ็ด
    เนื่องจากคนทั้งสองได้พบกันทุกสัปดาห์  ความสนิทชิดเชื้อจึงเพิ่มพูนโดยไม่รู้ตัว
    อาณาจักรโอเวอร์เกียร์กำลังไปได้สวยโดยไม่ต้องพึงพาพลังของกริดในช่วงนี้

    กลับกัน  ข่าวใหญ่ได้ดังขึ้นจาก TV ติดผนังของร้านค้าทุกหนแห่ง  ไม่เว้นแม้แต่ภัตตาคารสุดหรู
    
    『 เป็นที่แน่ชัดแล้วครับว่า  เมื่อครู่ได้มีข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอผู้เล่นซาทิสฟายทุกคน  โดยเนื้อหาของข้อความระบุไว้ดังนี้...』

[ วีรบุรุษคนใหม่ได้มอบความสงบสุขแก่ดวงวิญญาณของอดีตวีรบุรุษ  โดยการทำให้พวกเขาเหล่านั้นหลับไหลพักผ่อนไปตลอดกาล  และ ณ บัดนี้  วีรบุรุษคนดังกล่าวได้เปิดประตูบานสุดท้ายของหมู่เกาะเบเฮ็นออกแล้ว ]

    นี่คือข้อความระบบซึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอผู้เล่นซาทิสฟายทุกคนที่กำลังออนไลน์    
    ใครคือวีรบุรุษ  และอะไรคือดวงวิญญาณของอดีตวีรบุรุษ…
    คำถามผุดขึ้นในหัวของทุกคน
    อันที่จริง  หมู่เกาะเบเฮ็นก็มิใช่สถานที่โด่งดังขนาดนั้นอยู่แล้ว
    มีเพียงแร้งเกอร์ระดับหัวแถวเท่านั้นที่สามารถรวบรวมข้อมูลจนได้พบกับสถานที่อันเป็นเนื้อหาระดับสูงของซาทิสฟายแห่งนี้
    
    คนทั่วไปยังคงไม่ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่และยากลำบากของหมู่เกาะเบเฮ็น

    ***

    จงแผ่ขยายพลังอำนาจให้ทัดเทียบกับ ‘ห้าเสาหลัก’ แห่งจักรวรรดิ
    นี่คือเนื้อหาภารกิจใหม่ที่แอ็กนัสได้รับจากจักรพรรดินีแมรี่
    แอ็กนัสนับเป็นกำลังรบที่สำคัญของแมรี่  หญิงสาวผู้ต้องการสถาปนาบุตรชายของตนให้เป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป
    เธอถึงกับยอมมอบผลประโยชน์และสิทธิพิเศษหลายสิ่งให้แก่แอ็กนัส
    
    ปัจจุบัน  แอ็กนัสกำลังอยู่ระหว่างเดินทางทำภารกิจ  ทันใดนั้นมันต้องชะงัก
    
    “...ประตูบานสุดท้ายเปิดออกแล้ว?”

    หมายความว่า  มีใครสักคนสามารถผ่านเกาะหมายเลข 62 ที่มันล้มเหลว
    แต่ใครกันที่เก่งกาจถึงเพียงนั้น?
    แอ็กนัสไม่ครุ่นคิดนาน

    “คิคิก...คงเป็นแกสินะ  ครอเกล!”

    แอ็กนัสต้องยอมจำนนต่อเกาะหมายเลข 62 เพราะผู้พิทักษ์ของที่นั่นคืออเล็กซ์
    การโจมตีของอเล็กซ์เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่ออันเดดทุกชนิดโดยไม่มีข้อยกเว้น
    นับเป็นบอสที่มันแพ้ทางที่สุด  เป็นบอสที่มันไม่อาจเอาชนะได้ในเร็ววัน
    แต่ครอเกลนั้นต่างออกไป
        
    ด้วยความเป็นคลาสต่อสู้อันดับหนึ่งของโลก  ครอเกลจึงไม่มีจุดอ่อนร้ายแรงจนถึงขั้นแพ้ทางใครเป็นพิเศษ
    
    “คิคิคิก...ถ้าเป็นแกล่ะก็  ฉันจะยอมยกให้ก็ได้!”

    สิ่งที่มันนึกเสียดายคือซากศพของอดีตตำนานอีกหลายคน
    แม้จะนึกเสียดาย  แต่มันก็ไม่ยึดติดเก็บไปเสียใจมากนัก
    มูลค่าของรางวัลตอบแทนจากแมรี่นั้นมากมายมหาศาลไม่แพ้สิ่งตอบแทนจากหมู่เกาะเบเฮ็นเลยสักนิด

    ***

    “ใครกันที่ไปถึงเกาะหมายเลข 66 ได้!”

    “...ฉันก็นึกไม่ออกเหมือนกัน”

    เฮ่าและอเล็กซานเดอร์
    พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกับครอเกลมายาวนาน  ไม่แปลกที่จะทึ่งกับข้อความระบบซึ่งประกาศออกไปทั่วโลกเมื่อครู่
    ทั้งสองไม่เคยคิดมาก่อนว่า  จะมีใครนอกจากครอเกลที่สามารถชำระล้างหมู่เกาะเบเฮ็นสำเร็จ

    ‘ใครกัน...’

    ใครกันที่กำลังจะคว้าหมู่เกาะเบเฮ็นไว้ในมือ  หมู่เกาะสุดหินที่สมควรจะเป็นสมบัติของครอเกลเพียงผู้เดียว
    ครอเกลอมยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นท่าทีของเฮ่าและอเล็กซานเดอร์

    “ต้องกริดอยู่แล้ว”

    “กริด…!”

    พวกเขาไม่ปฏิเสธ
    พลังทำลายล้างแสนทรงอานุภาพที่กริดสำแดงให้ทุกคนได้เห็นเมื่อครั้งดวลกับครอเกล  รวมถึงเมื่อครั้งปราบจอมอสูรบีเลียล  
    บนโลกนี้  ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความแข็งแกร่งของกริด

    “เร่งมือเข้าเถอะ  คิรินัสเป็น NPC พิเศษที่จะปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวในทุกสามปี  หากฉันพลาดไป  ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบเขาอีกเมื่อไร”

    “อื้อ!”

    ไม่มีผู้ใดไม่เพียรพยายาม
    ไม่มีผู้ใดไม่ฉกฉวยโอกาสตรงหน้า
    นับแต่นี้เป็นต้นไป  โชคชะตาของพวกเขาจะถูกกำหนดด้วยพรสวรรค์และความอดทนต่ออุปสรรค์ที่ถาโถมใส่

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร - เสาร์
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,144
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. แหม่คนแต่งนิยายช่างคิดประโยคให้ดีเลิศซะจริง

    ReplyDelete
    Replies
    1. ต้องพูดว่าคนแปลสิครับ

      Delete
    2. น่าจะหมายถึงที่มีคำเชิดชูเกาหลีอะครับมันมากเกินไปจนน่ารำคาญ

      Delete
  2. วันละ2 3 ตอนนะครับ

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00