จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,409



โกเลมตัวใหญ่ส่องแสงสีน้ำเงิน พุ่งชาร์จไปข้างหน้าพร้อมกับใช้หัวไหล่ขนาดมหึมาทำลายรูปขบวนของมนุษย์


ทว่า ความดุดันของมันคงอยู่ได้ไม่นาน


มนุษย์กระเด็นไปรอบทิศ ต่างออกแรงดึงเชือกในมือพร้อมกัน


โกเล็มขนาดมหึมาเสียหลักและเอนหลังล้มตึง ก่อนจะชักดิ้นชักงอคล้ายกับเต่าที่ถูกหงายกระดอง มิอาจลุกขึ้นได้ด้วยตัวเอง


ทันใดนั้น ทักษะนานาชนิดถูกประเคนเข้าใส่อย่างไม่ขาดสาย


“ประสานงานกันไหลลื่นมาก”


“ทำแบบนี้ได้เพราะเรารู้ว่าศัตรูจะเกิดตรงไหน จึงวางกับดักไว้ล่วงหน้า ไม่มีอะไรน่าชมเชย”


ซีบอลเฝ้ามองด้วยความสนใจ


บรรดาสมาชิกโอเวอร์เกียร์กำลังล่าผู้พิทักษ์พงไพรอย่างราบรื่นด้วยกับดัก


ด้วยความสัตย์จริง ความสำเร็จครั้งนี้ควรค่าแก่การถูกยกย่อง เพราะเลเวลของทีมล่าบอสเฉลี่ยแล้วค่อนข้างต่ำ


หากไม่นับโทบันที่คอยสั่งการอยู่ด้านหลังสุดโดยไม่ลงมือ ผู้เล่นคนอื่นมีเลเวลแค่ราวๆ สองร้อยกลางๆ เท่านั้น จึงนับว่ายอดเยี่ยมเมื่อบอสถูกจัดการลงโดยไม่มีใครต้องเสียชีวิต


ทว่า ซีบาลเคยเห็นเด็กอายุสิบห้า ‘โซโล่’ ผู้พิทักษ์พงไพร ‘ร่างจริง’ ตามลำพังเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ความสำเร็จของกิลด์ ‘โอเวอร์เกียร์สาม’ จึงมิได้ทำให้ตื่นเต้นแต่อย่างใด


“โทบัน ทำไมคนอย่างนายถึงต้องมาคุมการล่าบอสระดับนี้? ปล่อยให้กิลด์สองล่าเองไม่ได้หรือ?”


“ตามปรกติแล้ว หน่วยที่รับผิดชอบการล่าผู้พิทักษ์พงไพรคือกิลด์สาม แต่วันนี้เป็นการฝึกเด็กใหม่ ฉันจึงต้องมาคุมเอง”


“…เด็กใหม่?”


ไม่ใช่กิลด์สามด้วยซ้ำ?


‘พวกเขามีกลุ่มคนพรสวรรค์ในมือมากแค่ไหนกันแน่?’


ไม่สิ นี่อาจเป็นการบลัฟ… กิลด์ใหญ่คงไม่เปิดเผยข้อมูลให้คนนอกรู้…


ขณะกำลังเฝ้ามองการล่าด้วยความชื่นชม ซีบาลรีบลุกพรวดจากตำแหน่ง เนื่องจากสัมผัสได้ว่ากริดเข้ามาใกล้


‘บ้าบอสิ้นดี…’


กริดไม่ได้เป็นเจ้านายเราสักหน่อย จะยืนขึ้นทำไม?


“ไง สบายดีไหม?”


กริดเดินเข้ามาทักซีบาลที่กำลังตำหนิตัวเอง พลางกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มกระอักกระอ่วน


“แน่นอน… ต้องไม่สบายอยู่แล้ว”


ซีบาลจับมือกริดพร้อมกับตอบด้วยความสัตย์จริง


ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่การแวะไปเยือนอาณาจักรฮวาน ชีวิตของมันราวกับตกนรกในทุกวัน


แทบไม่มีโอกาสได้ผ่อนคลายตัวเอง เนื่องจากถูกสาวกเทพสงครามไล่ล่าอย่างไม่ลดละ


“นั่นสินะ ฉันขอโทษ… คงไม่สุภาพนักกับการถามว่าสบายดีไหม ทั้งที่เห็นได้ชัดว่านายต้องลำบากและดิ้นรนมากกว่าใคร”


กริดตบบ่าซีบาล ก่อนจะหันไปโค้งศีรษะให้ซิกเฟรคเตอร์อย่างสุภาพ


“ผมดีใจที่เห็นคุณปลอดภัย แต่ทำไมถึงเลือกจะอยู่ในป่ามากกว่าปราสาท?”


กริดแทบไม่เชื่อหูเมื่อได้ยินว่า ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มของซีบาลยืนกรานจะพักอยู่ในป่ามากกว่าในเมืองไบรัน


อาจพอเข้าใจได้ถ้าที่นี่เป็นจุดเก็บเลเวลชั้นเลิศ แต่ความเป็นจริงนั้นตรงกันข้าม


ในละแวกนี้ไม่มีมอนสเตอร์ให้เก็บเลเวล อย่างมากก็มีบอสผู้พิทักษ์คงไพรเกิดเป็นระยะ


“คำแนะนำจาก ‘มานา’ ระบุว่า ที่นี่ปลอดภัยที่สุดในโลก”


‘คำแนะนำจากมานา?’


หรือว่าเขาจะใช้เวทมนตร์โบราณเพื่อสื่อสารกับมานา?


กริดหวนนึกถึงเวทโบราณที่ซิกเฟรคเตอร์ใช้สร้างอักขระในอากาศ


ทันใดนั้น แกรนมาสเตอร์เริ่มพูดในสิ่งที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจ


“คงเป็นเพราะเจ้าสั่งให้ลูกชายทำลายเทวรูปของเทพสงคราม”


“…?”


“ไม่ต้องแสร้งทำหน้าฉงนก็ได้ ข้ารู้ตัวว่ากำลังถูกเจ้าทดสอบ… ไม่ต้องห่วง แม้ว่าร่างกายนี้จะอ่อนแอลงเรื่อยๆ จากคำสาปเกียจคร้าน แต่พลังเวทของข้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์”


‘เขากำลังพูดเรื่องอะไร?’


“พวกเราไปก่อนนะ!”


โทบันรวบรวมไอเท็มที่ดรอปจากผู้พิทักษ์พงไพร ก่อนจะโบกมืออำลากริด


มันต้องการพาคนออกไปโดยเร็ว ไม่อยากให้ใครเห็นความลับของกริดนานนัก


“อา… ไว้พบกันใหม่ ขอบคุณทุกคนที่ทำงานหนัก”


กริดโบกมือลาโทบันพร้อมกับโค้งศีรษะเล็กๆ ให้กับสมาชิกโอเวอร์เกียร์


เห็นดังนั้น ทุกคนพากันฉีกยิ้มกว้าง รีบโค้งตัวคำนับจนร่างกายท่อนบนขนานกับพื้น ก่อนจะกระซิบกระซาบและเดินจากไป


ซีบาลพึมพำ


‘แปลว่าเป็นเด็กใหม่จริงๆ …’


หลักฐานพิสูจน์ก็คือ แต่ละคนมีความสุขมากเมื่อถูกกริดทักทายด้วยตัวเอง


หมายความว่า สำหรับกิลด์โอเวอร์เกียร์ บอสผู้พิทักษ์พงไพรไม่เป็นมากไปกว่าบททดสอบสำหรับเด็กใหม่


“ท่านจะเป็นราชาแห่งความตายได้หรือไม่?”


หลังจากสมาชิกโอเวอร์เกียร์ลับสายตา กริดพึมพำบางสิ่งกับตัวเอง


โครงกระดูกสองตัวผุดขึ้นจากพื้นดิน ตัวหนึ่งเป็นนักรบโครงกระดูกสวมเกราะหนัก อีกตัวเป็นจอมเวทโครงกระดูกถือไม้เท้า


นอกจากนั้น กริดอัญเชิญโนเอะกับแรนดี้ สั่งให้ทุกคนกระจายออกไปทุกทิศ ห้ามมิให้ใครเข้ามาใกล้


ซิกเฟรคเตอร์เริ่มเปิดประเด็น


“เจ้ากลายเป็นเทพจริงๆ สินะ…”


“…ใช่ครับ ถึงจะเป็นแค่ในนาม แต่ก็ดูเหมือนจะถูกเรียกว่าแบบนั้น”


กริดมองตาซิกเฟรคเตอร์ เชื่อว่าอีกฝ่ายคงผิดหวังหรือไม่พอใจ


แต่ผิดคาด แกรนมาสเตอร์ยังคงสุขุมและอบอุ่น


เขามองเห็นทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนฮายาเตะ?


“เมื่อลองมองย้อนกลับไป สิ่งนี้คงเลี่ยงไม่ได้ เพราะความสำเร็จของเจ้ายิ่งใหญ่เสียจน มีเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ที่สามารถทัดเทียม… เหมาะสมแล้วที่จะถูกผู้คนนับถือจนกลายเป็นเทพ”


“คุณไม่ผิดหวังหรือ?”


ซิกเฟรคเตอร์ภาวนาให้ ‘ผู้สังหารเทพ’ ถือกำเนิดในทุกลมหายใจ


แต่กริดดันกลายเป็นเทพ เทพผู้ไม่สามารถฆ่าเทพด้วยกัน


“คงเป็นการโกหกหากจะบอกว่าไม่ผิดหวังเลย… ข้าอยากให้เจ้าเป็นผู้สังหารเทพ มิใช่เทพเสียเอง… แต่น้ำได้หกจากแก้วไปแล้ว ไม่มีใครย้อนอดีตกลับไปแก้ไขได้ และนอกจากนั้น…”


ซิกเฟรคเตอร์ชำเลืองไปทางมุมหนึ่งของป่า


ในตำแหน่งดังกล่าว เมอร์เซเดสกำลังเดินกลับจากลาดตระเวนความปลอดภัย


“เจ้าคงมองว่าการปลุกปั้นผู้สังหารเทพ ดีกว่าการเป็นผู้สังหารเทพเสียเองใช่ไหม? สำหรับเรื่องนี้ ข้าเห็นด้วย”


“…?”


ปลุกปั้นผู้สังหารเทพ?


ซิกเฟรคเตอร์กล่าวกับกริดที่กำลังสับสน


“อันที่จริง ข้าเคยลองแล้วในอดีต เมื่อพบว่าเมอร์เซเดสเกิดมาพร้อมกับดวงตาพิเศษ ข้าจึงพยายามเลี้ยงดูเธอในฐานะผู้สังหารเทพ สิ่งแรกที่ทำคือการพาไปเจอกับปิอาโร่ ฝากฝังให้เขาช่วยดูแล…”


สายตาของซิกเฟรคเตอร์เฉียบแหลมมาก ภายใต้การสอนของปิอาโร่ เมอร์เซเดสพัฒนาฝีมืออย่างรวดเร็วจนกระทั่งกลายเป็นอัศวินสีชาดลำดับหนึ่ง


“แต่เมอร์เซเดสมีข้อบกพร่องใหญ่หลวง… นั่นคือความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า สิ่งนี้เป็นทั้งยาบำรุงและยาพิษสำหรับตัวเธอ”


เมอร์เซเดสมีนิสัยไม่ยืดหยุ่นแม้แต่น้อย ให้ความสำคัญกับกฎมากกว่าผลลัพธ์ สิ่งนี้คืออุปสรรคที่คอยขัดขวางพัฒนาการ และความเคร่งครัดที่มีมากเกินไปจะทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย


กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมอร์เซเดสมีชะตากรรมต้องอายุสั้น


“ในตอนนั้น ข้าเล็งเห็นว่าเมอร์เซเดสมีอายุไม่ยืน เธอจะตายก่อนที่ศักยภาพผลิบานและก้าวข้ามขีดจำกัดมนุษย์”


สายตาของซิกเฟรคเตอร์ยังคงมองไปทางเมอร์เซเดส


ในฐานะอดีตข้ารับใช้ของเทพ ซิกเฟรคเตอร์ที่มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ย่อมตระหนักถึงพรสวรรค์ของหญิงสาวได้ดีกว่าใคร


“แต่แล้ว เจ้ากลับเปลี่ยนนิสัยของเมอร์เซเดสสำเร็จ พัฒนาเธอจนยอดเยี่ยมได้อย่างทุกวันนี้… สมแล้วที่ได้เป็นเทพ”


‘แต่เรายังไม่ใช่เทพที่สมบูรณ์… อย่างน้อยก็ในด้านเผ่าพันธุ์…’


ฮายาเตะระบุว่า กริดยังมีโอกาสกลายเป็นผู้สังหารเทพ ขอเพียงเผ่าพันธุ์ยังเป็นมนุษย์


แต่ซิกเฟรคเตอร์ไม่ทราบเรื่องนี้ จึงค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ฮายาเตะมีระดับตัวตนสูงกว่าซิกเฟรคเตอร์ราวหนึ่งขั้น


ลำดับหนึ่งแห่งหอคอย มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด


จุดสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์คนปัจจุบัน


‘คงเป็นหนังคนละม้วนถ้าซิกเฟรคเตอร์ได้ร่างครึ่งเทพคืน… แต่ไม่ว่าจะแบบไหน เราก็ภูมิใจที่เขาชื่นชมพัฒนาการของเมอร์เซเดส’


เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เมอร์เซเดสร่างปัจจุบัน เก่งกาจชนิดที่ร่างอัศวินสีชาดเทียบไม่ติดฝุ่น


เธอกลายเป็นอัศวินในตำนาน เขียนปณิธานอัศวินไปแล้วหลายข้อ


‘ไม่ใช่แค่เธอ แต่ผู้ส่งสารคนอื่นๆ ก็แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ’


นอกจากนั้น เอกลักษณ์ของเทพโอเวอร์เกียร์คือการยกระดับประสิทธิภาพไอเท็ม แนวคิดในการปลุกปั้นผู้สังหารเทพสองซิกเฟรคเตอร์จึงฟังดูมีน้ำหนัก


กริดไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน


‘กองทัพผู้สังหารเทพ…’


ชายหนุ่มมีข้อได้เปรียบที่แตกต่างจากเทพตนอื่น


มันสามารถสร้างไอเท็มเพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้บรรดาผู้ส่งสารและเหล่าขุนพล


การสร้างกองทัพผู้สังหารเทพไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน หากฝีมือการผลิตไอเท็มเพิ่มถึงจุดหนึ่ง กริดสามารถยกระดับพวกพ้องแบบก้าวกระโดดได้ด้วยไอเท็มเพียงอย่างเดียว


ในวินาทีนี้ ชายหนุ่มผุดเป้าหมายใหม่ในใจ


กริดยื่นมือไปหาซิกเฟรคเตอร์อย่างมีความสุข


“ในเมื่อเล็งเห็นแผนการของผม คุณคงรู้ใช่ไหมว่าผมจะขอสิ่งใด?”


“แน่นอน”


ซิกเฟรคเตอร์จับมือตอบ


“ตัวข้า ซิก ขอเป็นผู้ส่งสารของเทพโอเวอร์เกียร์ด้วยความเต็มใจ”


ผู้ส่งสารคนที่หกถือกำเนิด


อย่างไรก็ตาม ไม่มีมหากาพย์หรือข้อความโลกปรากฏ กริดคาดว่าสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นหลังจากตนรวบรวมผู้ส่งสารได้ครบเจ็ด


***


กริดพาซิกเฟรคเตอร์และซีบาลมายังปราสาทไบรัน


สำหรับผู้คนที่ต่อสู้ดิ้นรนอย่างยากลำบากมานาน ชายหนุ่มต้องการต้อนรับด้วยมื้ออาหารสุดวิเศษ


“เจ็ดนักบุญภัยพิบัติ… หน้าที่คือการลงทัณฑ์ผู้ที่เคลือบแคลงในเทพใช่ไหม?”


กริดยังคงถามต่อ


“ไม่ใช่ว่าเทพมีข้ารับใช้ที่เรียกว่าเทวทูตอยู่แล้วหรือ? เหตุใดถึงเลือกประทานพลังให้มนุษย์เจ็ดคนและมอบหน้าที่?”


บางที พวกท่านอาจต้องการยกระดับเผ่าพันธุ์มนุษย์


การเป็นเทพมิได้แปลว่าต้องเกลียดชังหรือดูแคลนมนุษย์เสมอไป


กริดเชื่อว่าคงมีเทพสักตนสองตนอยู่ฝ่ายมนุษย์ เฉกเช่นเฮ็กเซเทีย


ทว่า คำตอบที่ได้รับนั้นเลวร้ายกว่าจินตนาการมาก


“เทวทูตจะใช้พลังบนโลกกึ่งกลางและในนรกได้ไม่สะดวกนัก ติดเงื่อนไขที่ซับซ้อนหลายข้อ เทพจึงอยากใช้มนุษย์เป็นเบี้ยในการปกครองโลกอื่นๆ นอกเหนือจากสวรรค์”


“แบบนี้นี่เอง…”


ในปัจจุบัน กริดค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า เป้าหมายสูงสุดของผู้เล่นทุกคนคือการปกป้องโลก และนั่นหมายถึงการต่อกรกับเทพ


จากบรรดาผู้เล่นทั้งหมด เราคือจุดศูนย์กลาง…


‘ระบบพยายามยกเราเป็นเทพ เพราะอยากให้คอยนำทางผู้คน?’


ถือเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจ แต่ก็มาพร้อมภาระอันหนักอึ้ง


ซิกเฟรคเตอร์พูดกับกริดที่กำลังทำหน้าเครียด


“สำหรับตอนนี้… มีสองสิ่งที่เจ้าต้องรีบทำ ประการแรก รวมมนุษย์ให้เป็นปึกแผ่น นั่นคือทางออกเดียวที่จะได้รับชัยชนะในสงครามกับสวรรค์ ประการที่สอง โน้มน้าวให้แมรีโรสเป็นพวก… พลังด้านต่อสู้ของหล่อนแข็งแกร่งที่สุดบนโลกกึ่งกลาง เจ้าต้องโน้มน้าวหล่อนให้สำเร็จ จึงจะมีพลังมากพอสำหรับต่อกรกับสวรรค์… ทั้งสองสิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าเองก็จะร่วมมืออย่างสุดกำลัง”


“แมรีโรสกลายเป็นพวกพ้องของผมแล้ว นอกจากนั้น มนุษยชาติเองก็กำลังกลมเกลียว ออร์คกับแวมไพร์ก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของผม… อาณาจักรมนุษย์ส่วนใหญ่มีสายสัมพันธ์อันดีกับโอเวอร์เกียร์”


“…?”


มีดของซิกเฟรคเตอร์ที่กำลังหั่นเนื้อชะงักทันที


มันหรี่ตาจ้องกริด จนกระทั่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายมิได้โกหก จึงเผยรอยยิ้ม


“ในเมื่อเจ้าเตรียมการพร้อมแล้ว ตอนนี้มองไปไกลแค่ไหน? น่าทึ่งมากที่สามารถโน้มน้าวแมรีโรสสำเร็จ เป็นเพราะพลังของเทพหรือ?”


“ไม่เลยสักนิด”


“งั้นหรือ… ข้าไม่อยากจินตนาการว่าเจ้าของเสียสละสิ่งใดไปบ้าง เพื่อโน้มน้าวแมรีโรสจนสำเร็จ”


“…”


มนุษยชาติรวมกันเป็นปึกแผ่นด้วยความช่วยเหลือจากบาซาร่า


ในส่วนของการโน้มน้าวแมรีโรส กริดไม่ต้องเสียสละสิ่งใด แต่นั่นก็เหนื่อยเกินไปที่จะอธิบาย


“ในเมื่อเงื่อนไขสำคัญสองประการลุล่วงแล้ว งานที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องยาก… จงใช้อาศัยพลังของแมรีโรส บุกถล่มนรกและกวาดล้างจอมอสูรเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ฝ่ายเรา”


กริดถามอย่างคาใจ


“ไม่ใช่ว่าควรช่วยเหลือเทพเฮ็กเซเทียก่อนหรือ? ท่านเป็นพันธมิตรเพียงหนึ่งเดียวบนสวรรค์ และฝ่ายเราจะได้รับคุณประโยชน์มากมายหากช่วยท่านสำเร็จ”


“เทพมิอาจสังหารเทพ เฮ็กเซเทียต้องปลอดภัยแน่… เราจำเป็นต้องกวาดล้างนรกให้สิ้นซากก่อนที่นรกกับสวรรค์จะจับมือกัน”


เมื่อหวนนึกถึงเรื่องที่เฮ็กเซเทียเคยลงไปยังนรกเพื่อขอยืมพลังจากบาเอล สีหน้ากริดดำมืดทันที


“แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าระหว่างที่พวกเขากำลังกวาดล้างนรก จอมอสูรขอความช่วยเหลือจากสวรรค์?”


“นั่นเป็นไปไม่ได้ เทพอาจลงไปเยือนนรกได้ก็จริง แต่จอมอสูรขึ้นไปบนสวรรค์ไม่ได้ และยาธานเป็นเพียงตัวตนเดียวที่สามารถติดต่อกับสวรรค์… อย่างไรก็ตาม ยาธานไม่เคยเคลื่อนไหวถ้าไม่ใช่การออกมาทำลายโลก…”


“พวกเจ้าที่กำลังจะตายในอีกไม่ช้า มัวพล่ามเรื่องเหลวไหลอะไรกันอยู่?”


เหตุเกิดขณะบทสนทนากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม


หน้าต่างภัตตาคารแตกละเอียดพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งที่กรูเข้ามา


ชื่อเหนือศีรษะของชายผู้ปิดตาเดินบนเพดานคือแฮกัก


ด้านหลังของมันคือสาวกเทพสงครามอีกหลายสิบ


“หลังจากมุดหัวอยู่นานสองสัปดาห์… หมดเวลาหายใจของพวกเจ้าแล้ว”


“ไอ้พวกระยำ!”


ซีบาลก่นด่าขณะกระโดดขึ้นไปบนเพดาน


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ฆ่าพวกพ้องอัศวินไปมากมาย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะเดือดดาลและคุมสติไม่อยู่


สาวกเทพสงครามสองคนพุ่งเข้ามาขวางทางซีบาล ทว่า พวกมันกลับกระอักเลือกและเสียชีวิตในพริบตา


“…!”


“…!”


ทุกสายตาจดจ้องมาทางกริด


ชายหนุ่มมองแฮกักด้วยสีหน้าเฉยเมย ไม่ว่าใครที่เห็นภาพนี้มีอันต้องเย็นสันหลัง


“แกรู้ตัวบ้างไหม… ว่ากำลังคลานเข้ามาในถิ่นของใคร?”


ดาบที่มีเลือดสดไหลหยดลงพื้นตลอดเวลา นอกจากนั้นยังรายล้อมด้วยหมอกสีเลือด


ดาบในมือกริดถูกแทงออกไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงประหนึ่งสายฟ้าฟาด


ปลายดาบเสียบเข้าไปในร่างแฮกักพร้อมกับระเบิดออก


______________

ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน

ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,902
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ




Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00