จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,402



[เผ่าพันธุ์ใหม่ ‘แวมไพร์’ ถูกปลดล็อก ระบบใหม่ถูกเพิ่มเข้ามาให้กับราชาโลหิต]


[★ ราชาโลหิตสามารถมอบภารกิจ ‘ประกาศิตราชาโลหิต’ ให้กับผู้เล่นทุกคนได้สัปดาห์ละหนึ่งครั้ง]


<ประกาศิตราชาโลหิต>

* เนื้อหาและความยากของภารกิจเป็นแบบสุ่ม ระดับความยากสูงสุดคือ A

* ผู้เล่นที่สำเร็จภารกิจจะได้รับรางวัลอย่างเหมาะสม ส่วนราชาโลหิตจะได้รับค่าสถานะ ‘บัญชา’ ทุกครั้งที่ผู้เล่นสำเร็จภารกิจรวมถึงจุดหนึ่ง ยิ่งค่าสถานะ ‘บัญชา’ สูงขึ้น อัตราการดูดเลือดก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มความเร็วในการร่ายเวทและความเร็วในการแสดงผลของทักษะ นอกจากนั้น เวทโลหิตจะแสดงผลนานขึ้นจากปรกติ

* ผู้เล่นที่ไม่ยอมทำภารกิจของราชาโลหิตเป็นเวลาสี่สัปดาห์ติดต่อกันจะถูกลงโทษ ความสัมพันธ์กับราชาโลหิตจะกลายเป็นศัตรู หากผู้เล่นคนใดเป็นศัตรูกับราชาโลหิต ระบบจะจำแนกให้เป็นคนทรยศของเผ่าพันธุ์

* ผู้เล่นที่ทำภารกิจได้ดี เมื่อครบรอบวัฏจักร มีโอกาสต่ำที่จะถูกยกระดับจากแวมไพร์ ‘ทั่วไป’ เป็นแวมไพร์ ‘ขั้นสูง’ และแวมไพร์ ‘ขั้นสูง’ ก็มีโอกาสต่ำที่จะเลื่อนระดับเป็นแวมไพร์ ‘เลือดบริสุทธิ์’ เมื่อครบรอบวัฏจักร


“หืม…”


ทั่วโลกกำลังปั่นป่วนเมื่อแวมไพร์กลายเป็นเผ่าที่สามารถเลือกเล่นได้


แววตาของกริดซึ่งเผยความตื่นตระหนกหลังจากพบว่าตนคือต้นเหตุ เริ่มสงบลงและเผยความพึงพอใจ


ในที่สุด ศักยภาพของราชาโลหิตก็ยังไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว


นี่คือสาเหตุที่แมรีโรสยอมไม่มีทายาทกับเรา?


แม้ว่าของทัพแวมไพร์จะไม่ทรงพลังเท่าแผนการเดิม แต่มากก็พอจะขยายฐานอำนาจได้บางส่วน


ตราบใดที่ระบบ ‘ประกาศิตราชาโลหิต’ ยังคงอยู่ แวมไพร์มิอาจหันหลังให้กริดได้


อย่างไรก็ตาม พวกมันอาจไม่พอใจเมื่อตระหนักว่า พวกตนกำลังเต้นรำอยู่บนฝ่ามือของราชาโลหิต


นั่นเพราะภารกิจมาจากราชาโลหิตโดยตรง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเข้าใจผิด


เฉกเช่นเผ่าออร์คที่ตกอยู่ในมือกริดเพราะความจงรักภักดีของเทรูชาน เผ่าแวมไพร์เองก็กำลังจะอยู่ในกำมือชายหนุ่ม


‘แถมยังมีค่าสถานะใหม่’


บัญชา


ถึงปัจจุบันจะยังมีเพียง 0 แต้ม แต่ในอนาคตจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


‘และคงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว’


แวมไพร์เป็นเพียงไม่กี่เผ่าพันธุ์ที่ครอบครองทักษะหายากในซาทิสฟายอย่าง ‘ดูดเลือด’


นอกจากนั้น แวมไพร์ยังสามารถแปลงกายเป็นค้างคาว เปลี่ยนตัวเองให้เป็นควัน จึงไม่ถูกตีกรอบด้วยแนวคิดของห้วงมิติ


แถมความทนทานทางร่างกายก็ยังสูงมาก และสามารถสร้างสัตว์รับใช้เป็นของตัวเอง


ยิ่งถ้าเลื่อนขั้นเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ ก็ยิ่งสามารถสร้างแวมไพร์ขึ้นมาเป็นบริวารส่วนตัว


เหนือสิ่งอื่นใด ใบหน้าและรูปลักษณ์จะถูกปรับปรุงให้ดูดีขึ้นมาก อาจไม่งดงามเท่ากับเอลฟ์ แต่ก็มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นหลายเท่าแน่นอน


ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกหากแวมไพร์จะได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก และมีแนวโน้มว่าจะมากกว่าในกรณีของออร์คสนธยา


เพียงจินตนาการภาพผู้เล่นนับสิบล้านคนคอยทำภารกิจของราชาโลหิตทุกสัปดาห์ กริดเชื่อว่าความแข็งแกร่งของตนจะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด


‘แต่ถ้าเป็นแบบนี้…’


ไม่ใช่ว่าจำนวนมนุษย์จะลดลงไปเรื่อยๆ หรอกหรือ?


ยิ่งในอนาคต เผ่าพันธุ์พิเศษอย่างเอลฟ์หรือคนแคระก็คงถูกปลดล็อกเพิ่มเติม


ขณะชายหนุ่มกำลังกังวล


‘ไม่สิ อาจจะดีก็ได้’


กริดสรุปว่านี่ยังไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวล


เดิมที แวมไพร์กับออร์คคือศัตรูตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อแปรพักตร์มาอยู่ฝ่ายเดียวกัน กองทัพฝ่ายพันธมิตรก็จะยิ่งแข็งแกร่ง


“ข้าเปิดบ่อเลือดแล้ว… นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำให้ได้”


แมรีโรสเปิดปากขณะกริดพยายามปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลง


“แวมไพร์เหล่านี้จะไม่มีประโยชน์มากนักในสงครามกับจอมอสูร เว้นเสียแต่จะพัฒนาขึ้นมาเป็นแวมไพร์ทายาทสายเลือดแท้ การเพิ่มจำนวนประชากรจึงแทบไม่มีความหมายในแผนการแก้แค้นของข้า… กริด เจ้าจงอย่าลืมคำสัญญา หากข้าเดือดร้อนและเจ้าเลือกที่จะเพิกเฉย ข้าจำเป็นต้องใช้กำลังบังคับ”


ฟังดูเหมือนคำเตือนมากกว่าคำขู่


กริดที่ได้ยินมิได้รู้สึกหวาดกลัว


“เรื่องนั้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน”


ชายหนุ่มยืนกราน


“เพราะฉันจะสู้เพื่อเธอจนถึงที่สุด”


เยี่ยม… สมบูรณ์แบบ!


กริดเชื่อว่าคำตอบของตนจะเพิ่มค่าความสัมพันธ์กับแมรีโรสได้แน่


มิใช่การคาดหวัง แต่เป็นความมั่นใจ


กริดเคยมีประสบการณ์กุมหัวใจ NPC สำเร็จมาแล้วมากมาย ไม่เว้นกระทั่งเทพอย่างเฮ็กเซเทีย


ทว่า ผลลัพธ์กลับไม่ตรงตามที่คิดไว้


“…”


เส้นดวงตาของแมรีโรสเฉียงขึ้นไปทางหางคิ้ว แสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ดูคล้ายกับแมวที่กำลังหงุดหงิด


“…?”


[ค่าความสัมพันธ์กับแมรีโรสลดลง 1 หน่วย]


“…?!”


ได้ยังไง?


ในเมื่อยืนกรานจะช่วยจนถึงที่สุด แล้วทำไมเธอถึงไม่พอใจ?


‘เราพูดอะไรผิด?’


ใบหน้ากริดกำลังขาวซีดขณะนึกทบทวนคำพูดตัวเอง


ขณะเดียวกัน แมรีโรสเอาแต่จ้องหน้ากริดอย่างโกรธเคือง


ด้วยเหตุผลบางประการ เมอร์เซเดสมีความสุขกับสนทนาเมื่อครู่อย่างมาก


***


“ภาพวาดเหล่านี้เป็นฝีมือเบริอาเช่”


ความสัมพันธ์ระหว่างกริดและแมรีโรสนั้นค่อนข้างชัดเจนแล้ว


ทั้งคู่จะเป็นมิตรสหายที่ร่วมมือกันทำลายนรกในวันข้างหน้า


จะไม่มีการหันมาแว้งกัดกันเอง จนกว่าแมรีโรสจะแก้แค้นสำเร็จ


ศักดิ์ศรีของบราฮัมคงระคายเคืองไม่น้อย เป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสในระดับที่สามารถกระอักเลือดให้ตายได้เลย


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าแมรีโรสจะไม่เห็นบราฮัมอยู่ในสายตา


หากทั้งคู่เดินสวนกันบนถนน แมรีโรสจะฆ่าบราฮัมตายเหมือนหมาตัวหนึ่งหรือไม่?


คงไม่


ในสายตาแมรีโรส บราฮัมไม่ใช่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่อะไรนัก ถึงจะเป็นมหาจอมเวทในตำนานก็ตาม


แน่นอน นั่นคือในกรณีปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคต


“แบบนี้นี่เอง… เข้าใจแล้ว”


แมรีโรสตั้งชื่อชุดภาพวาดบนทางเดินว่า ‘การแก้แค้นอันไร้พลังของท่านแม่’


ภาพนำเสนอเรื่องราวที่โลกมนุษย์ถูกทำลายและสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นำเสนอให้เห็นถึงความชั่วร้ายของรีเบคก้า และนำเสนอถึงความโง่งมและปวกเปียกของยาธาน


แมรีโรสไม่มีเจตนาจะเผยแพร่ออกสู่สายตาคนทั่วโลก เพราะนั่นเท่ากับเป็นการป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ ว่ามารดาของตนไร้พลังจนไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากนำความเกลียดชังต่อเทพทั้งสองมาระบายเป็นภาพวาด


‘แต่ถึงเราจะนำออกไปเปิดโปง ผลกระทบก็คงไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร’


ต้องไม่ลืมว่า นี่เป็นผลงานการวาดของจอมอสูร


คงเป็นเรื่องยากที่จะให้มนุษย์ยอมเชื่อเนื้อหาในภาพที่จอมอสูรวาดขึ้น


นอกจากนั้น พวกสาวกของรีเบคก้าก็คงไม่สั่นคลอน


แต่อาจมีการปลุกระดมให้คนทั่วโลกเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อต่อต้านจอมอสูร


‘เมื่อครู่เธอบอกว่า… สีเขียวคืออาโมแรค?’


ขณะเดินชมภาพวาดในลำดับย้อนหลัง กริดและแมรีโรสหยุดลงตรงภาพที่สอง


ภายในภาพ เบริอาเช่สีแดงกำลังเดินตามยาธานคล้ายกับเป็นบิดา ส่วนยักษาบาเอลอยู่ห่างออกไป


เมื่อเทียบกับคนทั้งสอง อาโมแรคสีเขียวดูคล้ายกับคอยสนับสนุนยาธานด้วยความเคารพ


‘อาโมแรคคือผู้ก่อตั้งศาสนายาธานสินะ…’


อาโมแรค


แมรีโรสบอกกับกริดว่า อีกฝ่ายคือจอมอสูรลำดับสอง


‘แตกต่างจากลำดับหนึ่งอย่างบาเอลที่นิยมความวุ่นวายโกลาหล’


วิเคราะห์จากประสบการณ์ส่วนตัว กริดยังไม่พบเป้าหมายที่แท้จริงของบาเอลนอกจากความบันเทิง


อีกฝ่ายเป็นศัตรูที่รับมือได้ยากมาก มีหลายด้านที่ยังไม่สามารถเอื้อมถึงในเวลานี้ หากต้องการโค่นล้ม จำเป็นต้องเตรียมตัวให้รัดกุมมากที่สุด


ในทางกลับกัน อาโมแรคมีจุดประสงค์ชัดเจนมาก นั่นคือการนำเทพยาธานลงมายังโลกมนุษย์


การจะเอาชนะอาโมแรค กริดจำเป็นต้องมีกลยุทธ์และแผนการที่เฉียบขาด


ขณะความกังวลของชายหนุ่มเริ่มฝังลึก


เมอร์เซเดสที่เดินตามมาจากด้านหลัง ชะงักฝีเท้าและกล่าวอย่างหนักแน่น


“ดิฉันจะสนับสนุนฝ่าบาทจนถึงที่สุด ไม่ว่าอุปสรรคข้างหน้าจะเป็นอะไรก็ตาม”


“ได้ยินแบบนี้ค่อยดีใจ”


ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มผ่อนคลาย คล้ายกับหมอกหนาที่เคยบดบังสายตาถูกขจัดออกไป


เมื่อครู่ เมอร์เซเดสได้บอกกับตนทางอ้อมว่า ในอนาคต ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับศัตรูรูปแบบใด ทุกปัญหาสามารถฝ่าฟันไปได้ด้วยพลังและคนที่คอยสนับสนุน


‘ไม่มีทางเลือก… เราต้องแข็งแกร่งกว่านี้’


กริดเดินออกจากปราสาทของแมรีโรสและเริ่มทดสอบเวทโลหิต


หยดเลือดสีแดงเริ่มมารวมตัวกันที่ปลายนิ้ว ก่อนจะก่อตัวเป็นรูปทรงของดาบ


ถูกต้อง นี่คือเวท ‘ดาบโลหิต’ ที่สามารถระเบิดและสร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง


ยิ่งค่า ‘บัญชา’ เพิ่มขึ้น เราก็ยิ่งร่ายได้เร็วและเก็บดาบไว้ได้นาน?


กริดทดสอบเหวี่ยงดาบ


ดาบโลหิตสีแดงพุ่งไปข้างหน้าและประหนึ่งลูกศรและระเบิดออกทันทีเมื่อตกกระทบ


“ขอให้มันกลายเป็นอาวุธได้สักวัน…”


จากเวทโลหิตทั้งห้าชนิดที่ชายหนุ่มครอบครอง แทบไม่มีเวทใดเลยที่เหมาะแก่การสู้จริง เพราะเกือบทั้งหมดด้อยประสิทธิภาพกว่าทักษะในปัจจุบัน


ทว่า เรื่องราวจะเปลี่ยนไปทันทีถ้าค่าสถานะ ‘บัญชา’ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด


หากเป็นแบบนั้น ตนจะมีไพ่ตายซ่อนไว้ในมืออีกเพียบ


ขณะกริดกำลังวาดฝันอนาคต ภายในใจเริ่มเกิดรู้สึกว่างเปล่า


‘ผู้สืบทอดแพ็กม่า… อ่อนแอมาก’


หากพิจารณาถึง ‘คุณค่า’ ของคลาส ผู้สืบทอดแพ็กม่าจะอยู่ในอันดับสูงอย่างไม่ต้องสงสัย


ไม่เพียงจะผลิตไอเท็มประเภทใดก็ได้ แต่ยังสามารถสวมใส่ไอเท็มทุกชิ้นโดยไม่มีผลข้างเคียง เท่านี้ก็มากพอที่จะถูกเรียกว่าโกง


แต่จุดอ่อนจะถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนเมื่อมีเลเวลสูงขึ้น


สมมติให้กริดไม่มี ‘บัญชาเทพ’ ไม่มี ‘เนตรมาร’ ไม่มีวิชาดาบราชาไร้พ่าย ไม่เคยเจอบราฮัมและสภาหอคอย ไม่ได้เป็นราชาวีรบุรุษและราชาโลหิต


ลำพังวิชาดาบแพ็กม่าจะพาไปได้ไกลสักแค่ไหน?


ไม่ต้องพูดถึงเทพ แค่มหากาพย์จอมดาบเวทก็อาจจะเป็นไม่ได้


เห็นได้ชัดว่า หากเป็นในแง่การต่อสู้ ผู้สืบทอดแพ็กม่าอ่อนแอกว่าคลาสตำนานอื่นๆ อย่างชัดเจน


‘ไม่น่าเชื่อว่าจะมาได้ไกลขนาดนี้…’


ยิ่งครุ่นคิด กริดก็ยิ่งทึ่ง


มันรู้สึกภาคภูมิใจขนาดนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร?


“กลับกันเถอะ”


แรงสนับสนุนที่เธอมอบให้ ได้จุดประกายไฟแห่งการต่อสู้ในใจกริดให้ลุกโชน


เพื่อเป็นการขอบคุณ ชายหนุ่มโอบกอดเมอร์เซเดสและขณะใช้ม้วนคาถาพากลับ


***


ยองวูตื่นขึ้นจากแคปซูลและเดินไปทางหน้าต่าง


ไม่ผิดจากที่คิดมากนัก หน้าบ้านของตนกำลังเต็มไปด้วยกองทัพนักข่าว


“วุ่นวายอีกแล้ว…”


เผ่าพันธุ์แวมไพร์ถูกปลดล็อกด้วยฝีมือของตน ชายผู้เป็นราชาโลหิต


ข้อความโลกแจ้งเตือนอย่างชัดเจนว่าแวมไพร์ทั้งหมดจะอยู่ใต้การปกครองของราชาโลหิต จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากบรรดานักข่าวจะมีคำถามมากมาย


‘…พวกเขาคงอยากรู้ว่า เราจะวางตัวยังไง และมีนโยบายไปในทิศทางไหน’


นักข่าวเหล่านี้คงไม่แสดงสีหน้าไม่พอใจให้เห็น แต่ลึกๆ แล้วคงกำลังกังวล


ยองวูเชื่อว่า ตนควรรีบประกาศจุดยืนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนทั่วโลก


และเหนือสิ่งอื่นใด เหยี่ยวข่าวบางรายจะไม่ยอมกลับไปจนกว่าจะได้ทำข่าว ประหนึ่งว่าเป็นสโตเกอร์ก็มิปาน


“หือ?”


ยองวูที่อยู่ในสภาพเสื้อยืด กางเกงวอร์ม รองเท้าแตะ และเตรียมจะเปิดประตูออกจากบ้าน พลันแสดงสีหน้าประหลาดใจ


เซฮีที่รีบวิ่งมายังประตู พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ


“แฮ่ก… แฮ่ก… นึกแล้วเชียวว่าจะต้องเป็นแบบนี้”


พิจารณาจากลักษณะการหายใจ เธอคงจะรีบมากจริงๆ


“มีอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”


“ยังจะถามอีก! พี่จะใส่กางเกงวอร์มออกไปข้างนอกไม่ได้!”


“…แค่หน้าบ้านเอง ใส่แบบนี้มันสบายดี”


“ถึงจะหน้าบ้าน แต่ตอนนี้มีนักข่าวจากทั่วโลกกำลังรออยู่! รวมถึงผู้คนทางบ้านอีกนับสิบล้าน อย่างน้อยก็ช่วยรักษาภาพพจน์หน่อย!”


“ต…ตกลง”


หลังจากนั้น ผ่านไปร่วมหนึ่งชั่วโมง เซฮีบังคับให้ยองวูอาบน้ำและสองเสื้อผ้าหลายสิบชุด เซตผม และแม้กระทั่งทาครีมกันแดด


“…เหนื่อยชะมัด”


การต้องรับมือกับนักข่าว จำเป็นต้องมีสภาพร่างกายและจิตใจที่ดี


ชายหนุ่มอยากเผชิญหน้ากับทุกคนด้วยสภาพที่พร้อมที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่า ยังไม่ทันจะได้ออกจากบ้านก็เริ่มอ่อนเพลีย


อย่างไรก็ตาม เนื่องจากออกกำลังกายติดต่อกันนานหลายปี อากัปกิริยาของชายหนุ่มจึงยังคงสง่าผ่าเผยเช่นเคย


นักข่าวเริ่มโจมตีทันทีที่ยองวูเดินยืดอกออกจากบ้าน


“ทำไมกันครับ? ทำไมคุณถึงปฏิเสธแมรีโรส!?”


“…?”


นี่คือคำถาม?


ยองวูประหลาดใจกับคำถามที่ผิดประเด็นไปไกล


และคำถามถัดไปก็คือ


“คุณพอจะทราบไหมครับว่าใครคือราชาโลหิต?”


“อะ…”


เมื่อลองคิดดูให้ดี ยังไม่เคยมีข้อความโลกแจ้งว่าเราคือราชาโลหิตใช่ไหม?


‘ถ้าอย่างนั้นก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้’


ยองวูรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก พบว่าความกังวลของตนบรรเทาลงหลายเรื่องในพริบตา


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,893
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ



Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00