จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,394
พิธีฉลองบรรลุนิติภาวะของราชวงศ์นั้นไม่ซับซ้อน
ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่การแสดงมารยาทอันสง่างามและสูงศักดิ์ ก็จะพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นที่เคยร่ำเรียน หรือไม่ก็แสดงพรสวรรค์ต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติของแต่ละอาณาจักร
คล้ายกับงานโรงเรียนประเภทหนึ่งที่ให้แขกรับเชิญได้วิเคราะห์และประเมินรูปลักษณ์ ความสง่างาม และศักยภาพเจ้าของงาน
จากนั้นก็ทำนายอนาคตของเด็ก พิจารณาว่าฝ่ายตนควรวางตัวอย่างไรในอนาคต
หรือก็คือ ความประทับใจแรกสำคัญที่สุด
และลอร์ดไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง
‘สง่างามมาก’
‘ทั่วทั้งทวีปจะโกลาหลทันทีถ้าเขาเปิดตัวสู่สังคมภายนอก’
การผสมผสานอย่างลงตัวของเส้นผมสีดำขลับและดวงตาสีฟ้า ไม่ว่าจะมองมุมใดก็สมบูรณ์แบบ
ผิวพรรณอันขาวเนียนได้แม่ อาจดูเหมือนเปราะบาง แต่ดวงตาขึงขังและดุดันที่ได้จากพ่อนั้นมอบความห้าวหาญและเด็ดขาด
เป็นเด็กที่วางตัวดีและมีมารยาท แตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกันโดยสิ้นเชิง
ขณะเดินผ่านหน้าแขกผู้มีเกียรติ ลอร์ดเผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสง่างามตลอดเวลา
หลังมือส่วนที่โผล่พ้นผ้าคลุมเต็มไปด้วยหนังด้าน คล้ายกับได้เรียนวิชาดาบและการตีเหล็กมาจากบิดาอย่างเข้มข้น
พิจารณาจากการที่ด้านหลังมีภูตธาตุเดินตาม เดาได้ไม่ยากว่าได้เรียนวิชาภูตมาจากมหาจอมปราชญ์สติกส์
‘ภูตสามธาตุ… แถมยังเป็นแสง ดิน และน้ำ’
ฝีมือลอร์ดพัฒนามาถึงจุดที่สามารถปลูกดอกไม้และต้นไม้ด้วยภูตธาตุได้แล้ว
ด้วยวัยเพียงสิบห้าปีเท่านั้น
จากบรรดาแขกที่กำลังชื่นชม จักรพรรดินีและดยุคให้ความสนใจเป็นพิเศษ
‘เขาสามารถสร้างแปลงดอกไม้และสวนได้ด้วยตัวเอง…’
‘เป็นเรื่องง่ายที่จะนำไปใช้ต่อยอดเพื่อเรียนเกษตรกรรมจากเซอร์ปิอาโร่’
‘หมายความว่า ผู้ที่เป็นอาจารย์มิได้มีเพียงกษัตริย์กริดและสติกส์… แต่ยังรวมถึงเซอร์ปิอาโร่?’
วิชาดาบ ตีเหล็ก ภูตธาตุ และเกษตรกรรม
อาจฟังดูเป็นศาสตร์ที่แตกต่าง แต่ภายในนั้นยังมีจุดเชื่อมโยง
การเรียนดาบช่วยเพิ่มสมรรถภาพร่างกาย สามารถนำไปต่อยอดในวิชาตีเหล็ก
ในทางกลับกัน การตีเหล็กจะช่วยเพิ่มความอดทน และนั่นจำเป็นต่อการฝึกดาบ
การเรียนภูตธาตุจะช่วยเพิ่มสายสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติ ช่วยพัฒนาศักยภาพด้านการเกษตร
การเรียนเกษตรจะช่วยให้เข้าใจธรรมชาติ ช่วยให้สื่อสารกับภูตธาตุได้ดีขึ้น
‘การเรียนการสอนที่มีระบบแบบแผน…’
‘เหนือสิ่งอื่นใด มารยาทของเด็กคนนี้ไม่มีข้อบกพร่อง’
‘การรบอบรมของราชินีไอรีน เข้มงวดเกินกว่าระดับธรรมดาไปมาก… สมกับที่เป็นสายเลือดอันโด่งดัง’
ขณะแขกผู้มีเกียรติ - โดยเฉพาะผู้ที่สายตาดี – กำลังถอนหายใจด้วยความชื่นชม
“ผมขอแสดงความขอบคุณต่อแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ที่สละเวลาอันมีค่าเพื่อเดินทางมาอวยพรในวันที่ผมก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่”
ลอร์ดเปิดปากพูดเป็นครั้งแรก
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มทั้งกังวาน คมชัด และสะกดผู้ชม
หัวใจของสตรีหลายคนกำลังเต้นแรง
ลอร์ดมีเสน่ห์ดึงดูดอันท่วมท้น เป็นระดับที่ยากจะพบได้ในเด็กหนุ่มวัยสิบห้า
ขณะเดียวกัน ซูเอกำลังยิ้มอย่างมีความสุขเงียบๆ ภายในท้องพระโรง
‘บทเรียนของเราไม่สูญเปล่า’
สีหน้าแววตาของลอร์ด รวมไปถึงท่าทาง คำพูด น้ำเสียง สิ่งเหล่านี้มิได้เกิดจากการฝึกสอนของไอรีนเพียงอย่างเดียว
ซูเอช่วยปรับแก้เล็กน้อย ส่งผลให้ทุกอากัปกิริยาของลอร์ด เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์มัดใจสาว โดยที่ไม่สูญเสียความองอาจและน่าเกรงขาม
ผลลัพธ์ในปัจจุบันคือเครื่องพิสูจน์
พิจารณาจากสีหน้าแววตาของเหล่าองค์หญิงจากทั่วทวีป ที่เดินทางมาร่วมงานพร้อมกับครอบครัว
ดวงตาของพวกเธอกำลังเหม่อลอย ราวกับถูกลอร์ดขโมยหัวใจไปเรียบร้อย
จากนั้น ลอร์ดถือโอกาสแนะนำตัวเอง ต่อด้วยช่วงถามตอบเล็กๆ กับบรรดาแขกผู้มีเกียรติ
ทุกคำตอบถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนเปล่งออกจากปาก เพื่อมิให้เชื่อเสียงของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์และพ่อแม่ต้องด่างพร้อย ขณะเดียวกันก็คอยหันไปยิ้มไปกับบรรดาสตรีที่กำลังตกอยู่ในภวังค์
ถัดมา ลอร์ดชักดาบและกล่าวกับแขกผู้มีเกียรติ
“ผมไม่อยากให้พวกท่านต้องเสียเวลาอันมีค่านานนัก… เดิมที ผมเป็นคนขี้อาย แต่วันนี้จะขอแสดงบทเรียนเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ฝึกฝน”
ดังที่กล่าวไปข้างต้น ในกรณีของลอร์ด พิธีฉลองบรรลุนิติภาวะยังรวมถึงการแสดงพรสวรรค์
พรสวรรค์ขององค์ชายผู้จะปกครองอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ในอนาคต
ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ลอร์ดจะแสดงในอีกไม่กี่อึดใจ แขกผู้มีเกียรติทุกคนจะประเมินและพิจารณาถึงการวางตัว
พวกตนควรสานสัมพันธ์กับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์แนบแน่นสักเพียงใด? ควรค่าแก่การผูกมิตรหรือไม่? และอีกมากมาย
ขณะบรรดาดยุคเริ่มจดจ่อ ลอร์ดวาดดาบเป็นทรงจันทร์เสี้ยวด้วยการฟันทแยงไปข้างหน้า
เป็นการฟัน ‘สองแผล’ ในการวาดครั้งเดียว
รวดเร็ว ฉับไว สมบูรณ์แบบ
“อา…”
แขกผู้พิทักษ์ต่างแสดงท่าทีชื่นชมพอเป็นพิธี
บางคนส่ายหน้า บางคนลูบคาง บางคนปรบมือแผ่วเบา สีหน้าไม่ต่างกันมากนัก
นับเป็นครั้งแรกนับแต่ลอร์ดปรากฏตัว ที่พวกมันแทบไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร
วิชาดาบที่ลอร์ดแสดงต่อหน้าทุกคน จะว่าไปก็ค่อนข้างดาษดื่น
ไม่สิ เรียกว่าดาษดื่นคงจะหยาบคายไปสักหน่อย
นิยามที่น่าจะถูกต้องที่สุดคือ ‘ยอดเยี่ยม’
เพียงแต่ ความคาดหวังของพวกมันสูงกว่านี้ ความยอดเยี่ยมจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา
‘ทำไมถึงแสดงเพลงดาบ… ไม่ใช่การรำดาบ?’
ถูกต้อง
แขกผู้มีเกียรติต่างคาดหวังว่าลอร์ดจะแสดงท่ารำดาบกริดให้ทุกคนได้รับชม
แล้วทำไมถึงออกมาเป็นเพลงดาบ?
ความกังวลและเคลือบแคลงเริ่มผุดขึ้นในใจหลายฝ่าย
‘เขามีพรสวรรค์ไม่พอที่จะเรียนท่ารำดาบของบิดา?’
‘นั่นสินะ… เป็นเรื่องยากที่ลูกจะเก่งกว่าพ่อ’
นอกจากนั้น ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น
‘เขายังเด็ก ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินพรสวรรค์ดาบตอนนี้… ท่ารำดาบของกริดไม่ใช่สิ่งที่ชำนาญได้ง่าย’
‘ไม่สิ คงเร็วเกินไปที่จะให้ประเมินฝีมือดาบในการฟันครั้งเดียว ตามปรกติแล้วต้องแสดงการประลอง… คงยังไม่จบแค่นี้ใช่ไหม?’
‘ความยอดเยี่ยมของราชาโอเวอร์เกียร์มิได้อยู่ที่พลังต่อสู้เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการตีเหล็ก… ไม่สำคัญว่าวิชาดาบจะดาษดื่นสักเพียงใด แต่ถ้ามีพรสวรรค์ด้านตีเหล็กเป็นเลิศล่ะก็…’
ขณะทุกคนวิเคราะห์ไปต่างๆ นานา
“…!”
สตรีผมทองคนหนึ่งลุกขึ้นจากที่นั่ง
เก้าอี้ของเธออยู่ด้านหลังจักรพรรดินีบาซาร่า
หรือก็คือ สตรีผู้นี้มีบรรดาศักดิ์เป็นรองเพียงมหาจักรพรรดิ สูงส่งกว่าตระกูลขุนนางใดๆ ของทวีป
ไม่ใช่ใครนอกจากอริยหอกเรเชล หนึ่งในดยุคแห่งจักรวรรดิ
“…?”
“…?”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียดเมื่อเรเชลลุกพรวดและจ้องลอร์ดด้วยสายตาตกตะลึง
หลายคนต้องการทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และกำลังจะเกิดอะไรต่อไป
ความเงียบงันปกคลุมท้องพระโรงไปชั่วขณะ
“องค์ชายลอร์ด… นั่นมัน… วิชาดาบครอเกล?”
เรเชลซักถามไม่อ้อมค้อม
แน่นอน คำพูดดังกล่าวสร้างแรงกระเพื่อมมหาศาล
ครอเกล หรือที่รู้จักกันดีในนามอริยดาบคนปัจจุบัน
ชื่อของครอเกลมักถูกพูดถึง ในยามที่มีการจัดอันดับสิบตัวตนที่เก่งกาจของทวีป
หลายคนทราบดี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ชื่อของครอเกลจะถูกจัดอยู่ใน ‘ห้ายอดฝีมือ’ ของทวีป
และในอนาคตที่ห่างไกล ครอเกลจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง
นั่นคือศักยภาพที่ทุกคนคาดหวังโดยพิจารณาจากความสำเร็จของอริยดาบในประวัติศาสตร์
แต่ลอร์ดสามารถสำแดงวิชาดาบครอเกลได้ตั้งแต่อายุสิบห้า?
แขกผู้ร่วมงานต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผี
เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อลง เพราะปัจจุบันลอร์ดมีอาจารย์เป็นทั้งกริด สติกส์ และปิอาโร่อยู่แล้ว
ยังจะรวมครอเกลเข้าไปอีก?
ถึงจุดนี้ หลายคนเริ่มตระหนักว่าตนประเมินลอร์ดในบรรทัดฐานที่ผิดมาตลอด
‘สติกส์กับปิอาโร่เป็นลูกน้องของกริด… แต่ครอเกลไม่ใช่’
‘อริยดาบ บุคคลที่ไม่ฝักฝ่าย และมักหายตัวไปมาราวกับสายลม… หากคนคนนั้นเลือกลอร์ดเป็นลูกศิษย์ หมายความว่าองค์ชายโอเวอร์เกียร์ต้องมีพรสวรรค์ในวิชาดาบที่สูงลิบ…’
แขกผู้มีเกียรติต่างพากันกลืนน้ำลายและย้อนกลับไปวิเคราะห์วิชาดาบของลอร์ดอีกครั้ง
จาก ‘ดาษดื่น’ ถูกเปลี่ยนให้เป็น ‘สุดยอด’ ในทันที
เพราะถ้าเป็นศาสตร์แห่งดาบ ยากจะมีใครไม่ยอมรับอริยดาบ
ลอร์ดตอบด้วยรอยยิ้มเขินอาย
“ใช่ครับ ผมโชคดีที่ได้เรียกจากอาจารย์ครอเกล ผู้เป็นสหายรักของบิดา”
“…!”
“…!”
มีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างกริดกับครอเกล
แขกผู้มีเกียรติหลายคนต่างตกใจเมื่อพบว่า อริยดาบครอเกลผู้ชื่นชอบการพเนจร ความจริงแล้วคือสหายของกริด
‘เรื่องที่กษัตริย์กริดและอริยดาบผนึกกำลังกันปราบจอมอสูร… มิได้เป็นเพียงพันธมิตรชั่วคราว’
‘…พวกเขาเป็นสหายกันมานานแล้ว’
จากวรรณกรรมโบราณ อริยดาบมุลเลอร์หวาดกลัวในพลังอันมหาศาลของตน
มันจึงเลือกจะใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ไม่อย่างนั้นอาจทำลายสมดุลของทวีปที่ตนอาศัย
ทว่า อริยดาบคนปัจจุบันต่างออกไป เขามีความสัมพันธ์แนบแน่นกับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
แขกผู้มีเกียรติเริ่มเชื่อว่า อาณาจักรโอเวอร์เกียร์สามารถพัฒนาไปเป็นจักรวรรดิซาฮารันแห่งที่สองได้ในอนาคต
ท่ามกลางความเงียบสงัด ลอร์ดแสดงอีกหนึ่งพรสวรรค์
พลังศักดิ์สิทธิ์
มิใช่พลังศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโบสถ์รีเบคก้า
แต่เป็นพลังที่เกรี้ยวกราดและร้อนแรงราวกับเพลิงสีฟ้า
ชวนให้นึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ที่มีสาวกเพิ่มขึ้นมากในพักหลัง
ทว่า พลังที่ลอร์ดสำแดงออกมา มีขนาดใหญ่กว่าปรกติหลายเท่า
“อะ…”
ความกังวลและความเคลือบแคลงที่เคยปรากฏในสายตาผู้เข้าร่วมงาน ละลายหายไปราวกับหิมะต้องแสงแดด
หลายคนมิได้นับถือศาสนาโอเวอร์เกียร์ จึงมิได้เคารพกริดในฐานะเทพ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ กริดคือเทพ และลอร์ดคือบุตรแห่งเทพ
ไม่แปลกใจว่าทำไม สายตาของมนุษย์ถึงมองไม่เห็นความยอดเยี่ยมของลอร์ดในตอนแรก
พิธีฉลองบรรลุนิติภาวะในครั้งนี้ แตกต่างจากที่เคยเกิดขึ้นในอดีตโดยสิ้นเชิง
ขณะทุกคนกำลังตระหนัก
“หืม… นี่น่ะหรือ ลูกชายของกริด”
โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ประตูของท้องพระโรงเปิดออกพร้อมกับการปรากฏกายของสตรีผู้หนึ่ง
มองออกไปจากบานประตูที่เปิดกว้าง ด้านนอกมีทหารหลายนายกำลังนอนอยู่บนพื้น
หรือก็คือ เธอเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
บรรดาแขกที่มาร่วมงานต่างพากันหวาดผวา อัศวินโอเวอร์เกียร์จำนวนมากที่ทำหน้าที่คุ้มกันรีบชักดาบและใช้ร่างกายเป็นกำบัง
ทว่า ความพยายามของพวกมันล้วนไร้ความหมาย
[ท่านกำลังเผชิญหน้ากับแวมไพร์ดยุค แมรีโรส]
[อิทธิพลด้านลบของแมรีโรสทำให้พลังเวทของท่านติดขัด]
[เวทมนตร์และทักษะทุกชนิดจะไม่สามารถใช้การได้]
[สายตาของแวมไพร์จะกำราบสิ่งมีชีวิตที่มีระดับตัวตนต่ำกว่า ท่านสูญเสียพลังใจและสิทธิ์ในการควบคุมร่างกาย]
[เสน่ห์ดึงดูดของแมรีโรสถือเป็นที่สุด สามารถส่งอิทธิพลต่อทุกเพศ]
แขกที่ไม่ได้รับเชิญ - สตรีผู้มีใบหน้างดงามราวกับหลุดออกมาจากอีกโลกหนึ่ง
ลำพังการปรากฏตัว ก็มากพอจะทำให้ทุกคนยอมศิโรราบ
“แมรีโรส…!”
ขณะเฝ้ามองบุตรชายแสดงฝีมืออย่างมีความสุข กริดลุกพรวดขึ้นด้วยความตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น? แล้วตนควรทำยังไงต่อ?
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน สมองของกริดขาวโพลนไปชั่วขณะ มิอาจตอบสนองได้ในทันที
แต่ร่างกายขยับไปเร็วกว่าความคิด
ชายหนุ่มลุกจากบัลลังก์ เดินเข้าหาแมรีโรสด้วยท่วงท่าสง่างาม
อึก
บรรดาแขกพิเศษและอัศวินต่างพากันกลืนน้ำลายเมื่อได้เห็นฉากตรงหน้า
พวกมันล้วนเคยได้ยินตำนานอันน่าพรั่นพรึงของแมรีโรส กล่าวกันว่า โบสถ์รีเบคก้าถึงกับต้องให้เครย์เชอร์ หนึ่งในสันตะปาปาที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ สละร่างกายเพื่อผนึกแมรีโรสเอาไว้
หรือก็คือ การปรากฏตัวของเธอสามารถนำพาหายนะในระดับเหนือจินตนาการ
แต่โชคดีที่กริดเป็นคนฉลาด
“ย…ยินดีต้อนรับ แมรีโรส… บุคคลที่มีเกียรติและสูงศักดิ์อย่างเธอ… มาทำอะไรในวังเล็กๆ แห่งนี้?”
ชายหนุ่มทักทายพลางก้มศีรษะ
การตอบสนองอย่างสุภาพนอบน้อมของกริด ทำให้แมรีโรสยอมสลายพลังสะกดข่ม ช่วยให้ทุกคนกลับมาหายใจหายคอได้อีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน หลังจากได้จู๊ด ‘นำทาง’ องค์ชายไชน์นิ่งที่มาร่วมงานสายไปมาก ยืนเอียงคอมองเหตุการณ์อย่างฉงน
Comments
Post a Comment