จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,395



แขกผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมพิธีบรรลุนิติภาวะของลอร์ดล้วนเป็นคนใหญ่คนโต


พวกมันมีอำนาจล้นพ้นในอาณาจักรของตน บางรายอาจลามไปถึงอาณาจักรอื่น


แต่กระนั้น พวกมันก็เป็นมนุษย์


แมรีโรส


การปรากฏตัวของนักล่าลำดับบนๆ แห่งห่วงโซ่อาหาร ทำให้แขกพิเศษทั้งหมดต่างพากันสั่นสะท้าน


บุคคลสำคัญของทวีปผู้ไม่เคยต้องเกรงกลัวหรือกังวลกับสิ่งใด ต่างเบือนหน้าหนีโดยไม่กล้าสบตาตรงๆ


พวกมันพยายามทำอย่างไม่เอิกเกริก ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดคิดว่าตนกำลังท้าทาย


นี่ไม่เกี่ยวกับความอัปยศหรือน่าอับอาย


บรรพบุรุษของพวกมันไม่พยายามเอาตัวรอดในยามที่สัมผัสถึงอันตราย?


ไม่ใช่เลยสักนิด


ไม่อย่างนั้น มนุษยชาติคงมิอาจดำรงเผ่าพันธุ์ได้จวบจนปัจจุบัน


ท่าทีนอบน้อมของแขกผู้มีเกียรติขณะเผชิญหน้ากับแมรีโรส คือสัญชาตญาณจากก้นบึ้งของมนุษย์


เป็นสัญชาตญาณส่วนลึกสุดในจิตใจ คอยกระตุ้นให้มนุษย์หวาดกลัวและหลีกเลี่ยงปัจจัยอันตราย


‘แมรีโรส… เป็นแมรีโรสจริงหรือ?’


ดยุคจักรวรรดิพยายามขัดขืนตามความเคยชิน แต่ก็ถูกพลังมารสะกดไว้ จนปัญญาจะขยับตัว


พวกมันพยายามทำเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ พยายามวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า


ลองมองย้อนกลับไป มีข่าวลือว่าผนึกของแมรีโรสถูกปลดเมื่อราวสิบเจ็บสิบแปดปีก่อน


อดีตจักรพรรดิฮวนเดอร์สั่งให้เบอินสืบหาจริงเท็จ และเบอินกลับมาพร้อมกับยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง


พลังมารที่ท่วมท้นเช่นนี้ คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากแมรีโรส


และนั่นทำให้พวกมันมั่นใจ


‘นี่เรา…’


‘พวกเรา…’


ราชาอมตะเกล็นฮาล อริยหอกเรเชล และราชาสัตว์ป่ามอริส


จิตใจพวกมันกำลังท่วมท้นด้วยความหวาดกลัว ชื่อเสียงและพลังอำนาจที่สั่งสมมาอย่างยาวนานล้วนไร้ค่า


วิธีเดียวที่จะสงบจิตใจได้ก็คือ ยอมรับอีกฝ่ายคือแมรีโรส


‘นี่มัน… หายนะครั้งใหญ่’


เหตุแมรีโรสถึงปรากฏตัวที่นี่ และตอนนี้?


พวกมันมิอาจขบคิดหาเหตุผล


สมองของเหล่าดยุคเริ่มวิงเวียน


สัตว์ประหลาดที่สันตะปาปาองค์ที่สอง เครย์เชอร์ ต้องเสียสละตัวเองและบุตรีแห่งรีเบคก้าเพื่อผนึกไว้ ทั้งที่ถูกขนานนามให้เป็นสันตะปาปาที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์


ตำนานโบราณของซาฮารันนิยามไว้ว่า เธอแข็งแกร่งยิ่งกว่าเบริอาเช่ และยังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่บาเอลหวาดระแวง


สัตว์ประหลาดตนดังกล่าว แมรีโรส ปรากฏกายกำลังที่นี่


พวกมันจะตายกันหมด


ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว


ไม่มีใครรอดกลับไป


ความคิดมากมายกำลังวนเวียนในหัวเหล่าดยุค


ขณะเดียวกัน จักรพรรดินีบาซาร่ายังคงสุขุม


ในฐานะบุคคลที่ใครหลายคนนับหน้าถือตา ความรับผิดชอบของเธอสูงส่งกว่าใคร


สติของบาซาร่ายังคมชัดท่ามกลางสถานการณ์สิ้นหวังตรงหน้า


‘หล่อนจงใจบุกถล่มในจุดที่มีบุคคลสำคัญของทวีปมารวมตัว… คิดจะปกครองมนุษย์สินะ’


โลกมนุษย์คงหยุดนิ่งหากแขกพิเศษเหล่านี้ตายกันหมด


หลังจากนั้น มนุษย์คนใดจะรับมือกับแมรีโรสได้อีก?


มนุษยชาติจะเสียเสาหลักค้ำจุน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่จะถือกำเนิด


‘คนที่ต้องปกป้องให้ได้ในตอนนี้…’


บาซาร่ามองไปทางกริด


เธอคิดเร็วทำเร็ว


‘เราต้องปกป้องกริด’


ทุกคนในที่นี้ต้องเสียสละตัวเอง


กริดต้องรอดชีวิตออกไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใด สูญเสียมากมายแค่ไหน


มีเพียงการทำให้เขากลายเป็นเสาหลักของมนุษย์เท่านั้น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จึงจะไม่เกิด


มีเพียงเขาเท่านั้นที่สมควรได้รับโอกาสนี้


ปราณสีชาดของบาซาร่าเริ่มถูกเค้นออกจากร่าง


นี่คือพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ คือหลักฐานพิสูจน์สายเลือดบริสุทธิ์


พลังแห่งการครอบงำและปกครอง สามารถแทรกแซงและควบคุมได้ทุกสิ่ง


ปราณสีชาดใกล้เคียงกับ ‘คำประกาศิต’ มากกว่าเวทมนตร์หรือทักษะ


แน่นอน สิ่งนี้ไม่ถูกอิทธิพลชั่วร้ายสะกดไว้


บาซาร่าสามารถสลายแรงกดดันที่แมรีโรสสร้างขึ้น


เธอตั้งใจจะสยบอิทธิพลชั่วร้ายไว้เป็นระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ร่วมมือกับสามดยุค เปิดทางให้กริดหนีรอด โดยไม่สนว่าตัวเองจะตายจากผลข้างเคียงของพลังหรือไม่


เธอต้องเสี่ยง แม้โอกาสสำเร็จอาจไม่มากไปกว่า 1%


ขณะปราณสีชาดของบาซาร่าเริ่มก่อตัวเข้มข้น


“หืม…?”


ในวินาทีที่แมรีโรสหันไปมองบาซาร่า


กึก กึก กึก…


เสียงฝีเท้าใครบางคนดังกังวานไปทั่วท้องพระโรงที่เงียบสงัด


ขณะที่ทุกคนกำลังหยุดหายใจ มนุษย์คนหนึ่งย่างกรายตามลำพังด้วยท่าทางสง่างาม


ไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาว่าเป็นใคร


‘กริด?’


‘กษัตริย์กริด…!’


ทุกสายตาจับจ้องมายังทิศทางของเสียงฝีเท้าใจกลางห้องโถง


และไม่ผิดคาด เป็นกริดที่กำลังเดินอย่างองอาจ


ชายหนุ่มจ้องหน้าแมรีโรส ท่วงท่าการเดินปราศจากความลังเล ไม่มีอาการสั่นกลัว


แมรีโรสสามารถสะกดบุคคลที่เก่งกาจของจักรวรรดิได้เกือบทั้งหมด แต่เธอล้มเหลวในการทำให้กริดหวาดหวั่น


ขณะแขกผู้มีเกียรติต่างพากันชื่นชม


“ย…ยินดีต้อนรับ แมรีโรส บุคคลที่มีเกียรติและสูงศักดิ์อย่างเธอ… มาทำอะไรในวังเล็กๆ แห่งนี้?”


กริดที่เดินเข้าใกล้แมรีโรส ก้มศีรษะและทักทายด้วยรอยยิ้ม


เป็นท่าทีที่ผิดแผกไปจากความคาดหมายพอสมควร


แต่ถึงน่าจะน่าประหลาดใจ ก็ไม่มีคิดว่ากริดน่าสมเพช


‘นั่นสินะ อีกฝ่ายเป็นถึงแมรีโรส… เธออาจเป็นเผ่าอสูร แต่ก็เป็นตัวตนในตำนาน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องสุภาพ เพราะตั้งแต่ร้อยปีก่อน เธอก็สร้างชื่อเสียงไว้มากมายยิ่งกว่ามารดาผู้ให้กำเนิด’


‘เป็นเพราะคำนึงถึงพวกเรา… กริดจึงยอมก้มศีรษะให้’


ดูเหมือนว่า กริดจะไม่ได้รับอิทธิพลการสะกดข่มจากแมรีโรส


ชายหนุ่มปราศจากความกลัวในสายตา


ดังนั้น สาเหตุเดียวที่ยอมก้มศีรษะให้อีกฝ่าย ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคนที่นี่


หรือก็คือ กริดจำใจต้องสุภาพเพื่อไม่ให้หล่อนอาละวาด


‘ช่างราวกับ… ราวกับดวงประทีปแห่งมวลมนุษย์’


แขกผู้มีเกียรติ


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แขกที่รู้จักกริดเพียงผิวเผิน รู้จักจากข่าวลือ ต่างพากันเคารพยกย่องในตัวกริด


ข้อความระบบมากมายแจ้งเตือนขึ้นมาว่า ผู้นำของอาณาจักรหรือชนเผ่าที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์เลย เริ่มเกิดความชื่นชมในตัวกริด


‘หมายความว่ายังไง?’


เหตุใดค่าความสัมพันธ์ถึงเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน?


ขณะกริดกำลังฉงน แมรีโรสยื่นแขนมาหาชายหนุ่ม


ผิวพรรณขาวเนียนดุจดังหิมะของเธอ กำลังถูกย้อมให้เป็นสีเหลืองส้มด้วยแสงแดดจากหน้าต่าง


แสงแดดเป็นของแสลงสำหรับแวมไพร์


แมรีโรส เธอมีพลังมากกว่าเบริอาเช่ จอมอสูรลำดับสาม


นอกจากนั้น แมรีโรสยังไม่ได้รับผลข้างเคียงด้านลบจากการอยู่บนโลกมนุษย์ เพราะเธอเกิดที่นี่


หนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก จุดอ่อนเพียงไม่กี่อย่างคือแสงแดด


เธอแพ้แสงเพราะสืบทอดพลังมาจากเบริอาเช่โดยตรง หรือในอีกความหมายหนึ่ง ความเป็นแวมไพร์ของเธอเข้มข้นกว่าใคร


การออกแดดไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ตัดสินใจมาเยือนกรุงไรน์ฮาร์ทในตอนกลางวัน


และเหตุผลก็คือ


“เจ้ากลายเป็นราชาโลหิตในตอนที่ข้าหลับอยู่สินะ”


เธอต้องการแสดงความยินดีกับกริด


ชายหนุ่มจุมพิตหลังมือของแวมไพร์สาวพลางยิ้มกระอักกระอ่วน


“ใช่แล้ว… มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น”


แมรีโรสคือแวมไพร์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เธอไม่ใช่ตัวตนที่เหมาะสมกับตำแหน่งราชาโลหิต


จุดประสงค์ของเธอมีเพียงการล้างบางจอมอสูร


แมรีโรสไม่มีความทะเยอทะยานจะกลายเป็นราชาและปกครองแวมไพร์


หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เธอไม่มีความห่วงใยหรืออาทรต่อพี่น้องร่วมสายเลือด


กริดทราบความจริงเหล่านี้เป็นอย่างดี และน้อมรับคำแสดงความยินดีของแมรีโรสจากใจ


เธอไม่ได้รู้สึกว่าตำแหน่งราชาโลหิตถูกพรากไป


ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การแสดงความยินดีของแมรีโรสนั้นมาจากก้นบึ้ง ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง


ใบหน้าของเธอที่กำลังยิ้มแย้ม ทั้งสดใสและสง่างาม ราวกับดอกไม้กำลังผลิบาน


“ข้าดีใจ”


“…?”


“ชายที่ปลดผนึกข้า เติบโตมาเป็นคู่ชีวิตที่ยอดเยี่ยม… ไม่เรียกว่าสิ่งนี้พรหมลิขิต แล้วจะให้เรียกว่าอะไร”


“…?”


“…?”


ราชาโลหิต? คู่ชีวิต? คนธรรมดาย่อมไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านี้


แม้แต่กริดเองก็ไม่เข้าใจ


‘คู่ชีวิต?’


ทันใดนั้น มันรู้สึกถึงสายตาที่ทิ่มแทงมาจากข้างหลัง


ไม่ใช่สายตาของราชินีไอรีน


เธออยากให้กริดมีภรรยารองมานานแล้ว ถึงขั้นออกปากโน้มน้าวด้วยตัวเอง


เธอแก่เร็วกว่ากริด และมีชะตากรรมต้องจากไปก่อน


เพื่อความสุขของอีกฝ่าย ไอรีนหวังให้มีคนดีๆ มายืนเคียงข้างกริดร่วมกับเธอ


แม้ว่าปัจจุบัน ราชินีไอรีนจะโชคดีได้รับความเยาว์วัยกลับคืนมา แต่ความคิดเดิมก็ยังไม่เปลี่ยน


ผ่านมาแล้วสิบห้าปี เธอยังไม่มีลูกคนที่สอง


สถานการณ์ของอาณาจักรค่อนข้างสั่นคลอน หากผู้สืบทอดบัลลังก์ยังมีเพียงคนเดียว


“…”


กริดหันกลับไปมอง


แตกต่างจากไอรีนที่ไม่เปลี่ยนสีหน้า บาซาร่าและเมอร์เซเดสดูหงุดหงิดเป็นพิเศษ


บนใบหน้าของพวกเธอ คล้ายกับมีเงาดำปกคลุม


นี่คือต้นตอของสายตาทิ่มแทง?


แล้วทำไมบาซาร่าถึง…?


“อะแฮ่ม”


กริดเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะกระแอมเพื่อคลายบรรยากาศ


จากนั้น มันเชื้อเชิญให้แมรีโรสไปนั่งในตำแหน่งสูงสุด


“วันนี้เป็นวันที่บุตรชายของฉันก้าวมาเป็นผู้ใหญ่ แขกบางคนมาร่วมงานเพื่อเฉลิมฉลอง ดังนั้น ไว้คุยเรื่องส่วนตัวของเราในภายหลัง”


“ข้ามองออกทันทีว่าเด็กคนนั้นคือลูกของเจ้า… เขามีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาด เหมือนกับเจ้า… บางที ลูกของเราก็คงไม่ต่างกัน…”


“แฮ่ม! แฮ่ม! เชิญทางนี้”


“…”


ท่าทีของแมรีโรสเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนเมื่อถูกกริดไอขัดจังหวะการพูด


รอยยิ้มที่เคยสดใสเริ่มแฝงเลศนัย ดวงตาทั้งสองหรี่ลงโค้งคว่ำประหนึ่งจันทร์เสี้ยว


หัวใจกริดพลันเต้นระรัวด้วยความประหม่า


“เจ้าไม่อยากเป็นคู่ชีวิตของข้าหรือ?”


“ฉ…ฉันแต่งงานแล้ว…”


“หืม… ถ้าอย่างนั้น มอบเมล็ดพันธุ์มาให้ข้าก็พอ จะได้ไม่ต้องคิดมาก”


“…”


ความเงียบสงัดพลันปกคลุมห้องโถง


โดยเฉพาะบาซาร่าและเมอร์เซเดส ริมฝีปากของพวกเธอปิดสนิท


นั่นเพราะทั้งสองเริ่มตระหนักถึงความเสียใจและขุ่นเคืองในรอยยิ้มอันน่าหลงใหลของแมรีโรส


บางที แมรีโรสอาจต้องการจริงจังกับกริด


ขณะบาซาร่าและเมอร์เซเดสเริ่มตระหนัก


“เจ้ามาทำอะไรที่นี่”


บุคคลใหม่ปรากฏตัวด้านหลังจู๊ดและไชน์นิ่งที่กำลังยืนอยู่หน้าทางเข้าท้องพระโรง


บุรุษผมสีเงิน


เจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าและทรงเสน่ห์ระดับเดียวกับแมรีโรส ไม่ใช่ใครนอกจากบราฮัม มหาจอมเวทในตำนาน


ดยุคแห่งจักรวรรดิที่เคยประจักษ์พลังของชายคนนี้ ต่างหันไปมองตามสัญชาตญาณ


ในทางกลับกัน แมรีโรสยังคงมีท่าทีเฉยเมย


“บราฮัม เจ้าโตขึ้นมาก… กล้าขึ้นเสียงกับข้าแล้วหรือ”


“อย่าทำให้งานพิธีสำคัญต้องมัวหมอง ไสหัวไปได้แล้ว”


“พิธีสำคัญ…? สำคัญสำหรับเจ้าด้วยหรือ?”


แมรีโรสแทบไม่เชื่อหูตัวเอง


บราฮัม


บราฮัมผู้เห็นแก่ตัวและจิตใจป่าเถื่อน บราฮัมผู้เข่นฆ่าพี่น้องไปนับพันเพื่อทำการทดลอง บราฮัมคนนั้นให้ความสำคัญกับงานพิธี?


“…ฮุฮุ! ในตอนที่ข้าหลับ เจ้าเปลี่ยนไปมากเลยนะ”


ใบหน้าอาจกำลังยิ้มแย้ม แต่ดวงตาแฝงความเย็นชาชัดเจน


ได้เห็นเช่นนั้น บราฮัมสะดุ้งถอยหลังครึ่งก้าว


มันหวนนึกถึงอดีต วินาทีที่แมรีโรสเสียบร่างมันจนทะลุ ส่งผลให้สูญสิ้นพลังแวมไพร์


บราฮัมหวาดกลัวแมรีโรสเหมือนกับคนอื่น


ไม่สิ ยิ่งกว่าคนอื่นหลายเท่านัก


พลังของเธอก้าวข้ามมารดาไปตั้งแต่ร้อยปีก่อน และดูเหมือนจะยังเพิ่มได้อีกเรื่อยๆ


‘อีกแล้วสินะ… เรากำลังจะตาย’


มันเกลียดชังแมรีโรสฉันใด แมรีโรสก็เกลียดชังมันฉันนั้น


บราฮัมทราบเรื่องนี้ จึงเริ่มจินตนาการภาพตัวเองถูกอีกฝ่ายดับลมหายใจ


เพราะต้องไม่ลืมว่า แมรีโรสคือตัวตนที่สามารถทำตามอำเภอใจได้โดยที่ไม่มีใครแข็งแกร่งพอจะขัดขวาง


ไม่มีใครสามารถหยุดเธอได้ หากภายในใจปรารถนาจะฆ่าบราฮัม


‘…แต่คราวนี้ เราจะไม่ปล่อยให้หล่อนกระทำฝ่ายเดียว’


บาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือน จะต้องปรากฏบนร่างกายแมรีโรสตลอดไป


ขณะบราฮัมตัดสินใจหนักแน่นและเตรียมขยับมือ


“…มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญสินะ”


ชาวนาในตำนานปิอาโร่ และอัสโมเฟลที่เพิ่งกลับมาถึง ปรากฏตัวพร้อมกันด้านหลังบราฮัม


และยังมีหนึ่งในผู้ส่งสารของกริด ซาลิเอล


เนเฟลิน่าเองก็ไม่ชื่นชอบกับสถานการณ์ปัจจุบันสักเท่าไร พลังที่ปกคลุมวังหลวงของเธอเริ่มทวีความเข้มข้น


จนกระทั่ง


“บราฮัมเป็นสหายของพระบิดา… เฉกเช่นแมรีโรสที่เป็นสหายของพระบิดา”


ลอร์ดก้าวออกมาข้างหน้าขณะแมรีโรสกำลังจ้องหน้าบราฮัม


‘รอยยิ้มพิฆาต’ ที่เรียนมาจากซูเอ สร้างความประหลาดใจเล็กๆ ให้แมรีโรส


“…เจ้ามีเพื่อนเยอะเลยนี่”


แมรีโรสชำเลืองกลุ่มคนที่มารวมตัวข้างบราฮัม มองกลับมายังบราฮัม และมองมาทางกริด


“ไม่เห็นต้องทำหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้น… ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะอยากหารือเกี่ยวกับอนาคตของเรา มิใช่เพื่อทำร้ายพวกพ้องของเจ้า… แต่ดูเหมือนว่าวันนี้… จะไม่ใช่โอกาสที่เหมาะสมสักเท่าไร”


“…”


กริดมองเห็นความเศร้าเล็กๆ ในดวงตาแมรีโรส


“ถ้าอย่างนั้น แล้วพบกัน… ไว้ข้าจะกลับมาใหม่”


แมรีโรสแปรสภาพกลายเป็นควันและเริ่มกระจัดกระจาย


เธอกลับไปยังเขตใต้ดินอันมืดมิด ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากโลงศพที่เธอใช้หลับนอนอย่างโดดเดี่ยวมาแสนนาน


“คราวหน้า ฉันจะไปหาเธอเอง”


กริดรับปาก


รอยยิ้มเจือความสุขปรากฏบนใบหน้าแมรีโรสที่ค่อยๆ เลือนหาย


______________

ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน

ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,883

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ




Comments

  1. ได้รับเมีย 1ea

    ReplyDelete
  2. เพิ่มกองเชียร์แมรี่โรส

    ReplyDelete
    Replies
    1. แมรี่โรสจะเปนภรรยารองได้หรืไม่ 555+

      Delete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00