จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,383
ไดอารีของมาดราที่กริดครอบครองคือบันทึกที่ไม่สมบูรณ์
ถึงจะเป็นไดอารีที่เขียนโดยราชาไร้พ่ายมาดราโดยตรง แต่ก็เป็นการเขียนหลังจากกลายเป็นอัศวินความตาย เนื้อหาจึงสับสนและสื่อสารได้ไม่ค่อยดีนัก
เดิมที อัศวินความตายคือสิ่งมีชีวิตที่ถูกปลุกให้คืนชีพในฐานะอันเดดด้วยกระดูกของคนตาย หากพิจารณาตามหลักสามัญสำนึก เราไม่ควรให้ค่ากับไดอารีที่อันเดดเขียนมากนัก ในเมื่อความคิดและความเข้าใจลดต่ำลงจากสมัยที่ยังมีชีวิต
‘ตอนจบของไดอารีอ่านแทบไม่ได้เลย’
มาดราถูกปลุกให้คืนชีพอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็เริ่มเสียสติทีละนิดตลอดระยะเวลากว่าร้อยปี
จนกระทั่งวันหนึ่ง มารดาส่งเสียงคำรามที่ไม่ได้ศัพท์ การเรียบเรียงประโยคไม่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะทั้งในไดอารีหรือในความทรงจำ
แม้แต่จอมปราชญ์สติกส์ก็ยังมิอาจถอดความหมาย
อย่างไรก็ตาม สติกส์ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ข้อความดังกล่าวอาจเป็นภาษาใดภาษาหนึ่ง เนื่องจากมองว่ามาดราไม่น่าเขียนหรือคำรามออกมาส่งเดช
หนึ่งในสมมติฐานก็คือ นี่อาจเป็นภาษาคนตาย เฉกเช่นภาษาภูตที่มนุษย์มิอาจตีความ
จนกระทั่ง สมมติฐานของสติกส์ได้รับการยืนยัน
ลูกแก้วที่สร้างจากกระดูกกัลกุนอสซึ่งพบในทาลิม่าคือเครื่องพิสูจน์
เสียงเพรียกของลูกแก้วฟังดูคล้ายเสียงคำรามของอัศวินความตายมาดรา
‘สติกส์บอกว่า เขาจะลองศึกษาจากลูกแก้วดูก่อน เผื่อจะพบวิธีถอดรหัสภาษาคนตาย’
อย่างไรก็ตาม การวิจัยดังกล่าวแทบไม่มีความคืบหน้า สติกส์ไม่พบเบาะแสใหม่เป็นเวลาหลายเดือน กริดจึงเดาไม่ได้ว่าไดอารีมาดราจะถูกถอดรหัสเสร็จตอนไหน
ดังนั้น บันทึกหมู่เกาะเบเฮ็นของเลอราเฆ่จึงน่าสนใจอย่างมากสำหรับกริด
“จ…จะอ่านสิ่งนี้จริงหรือ?”
“ใช่”
เลอราเฆ่หน้าแดงก่ำอย่างอับอายและกระอักกระอ่วน
แต่เธอไม่มีสิทธิ์ห้าม ทำได้เพียงยืนมองกริดเปิดอ่านไดอารีที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องของตน
『พลังอสูรในยามกลางคืนของนรกถูกขจัดออก ยามกลางวันเข้ามาแทนที่ ท้องฟ้าสว่างสดใสขึ้นในขณะที่ดวงจันทร์เริ่มสลัว เราไม่คุ้นเคยกับทัศนียภาพของนรกที่ดูคล้ายกับโลกของเผ่าอสูรสักเท่าไร… มาร์บาสบอกว่านี่คืออิทธิพลจากพลังศักดิ์สิทธิ์ นั่นทำให้เราตระหนักว่า เทพบางตนได้มาเยือนขุมนรก』
เทพมาเยือนนรก
ไม่ใช่ใครนอกจากเฮ็กเซเทียในสมัยที่ยังริษยามนุษย์
ตำนานที่กริดเคยเห็นจากมุมมองบุคคลที่สาม
ในวินาทีแรกที่อ่านถึงคำว่า ‘หมู่เกาะเบเฮ็น’ ฉากรอบตัวกริดค่อยๆ มืดลง
ชายหนุ่มกำลังสัมผัสประสบการณ์เดียวกับเลอราเฆ่
***
“รุกรานโลกมนุษย์?”
เลอราเฆ่ขมวดคิ้วหลังจากเปิดเอกสารทางการที่ส่งมาจากนรกขุมแรก
“ระดับอย่างข้าจำเป็นต้องถูกส่งไปในที่ที่มีแต่มนุษย์อ่อนแอด้วยหรือ”
คุณค่าของ ‘พลังแห่งการดิ้นรน’ จะเฉิดฉายก็ต่อเมื่อเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่ง
เลอราเฆ่ไม่มีเหตุผลหรือแรงจูงใจให้ต้องคุกคามมนุษย์อ่อนแอ เวทีโลกมนุษย์จึงไม่น่าดึงดูดสักเท่าไร
“หึหึ… ถ้าไม่อยากกลายเป็นของเล่น อย่าได้แสดงอารมณ์เมื่อครู่ให้ท่านบาเอลเห็นเชียว”
มาร์บาสกู้คืนเอกสารทางการที่เลอราเฆ่เผาทิ้ง ก่อนจะโน้มน้าว
“ในเมื่อท่านบาเอลเลือกเจ้าแล้ว เจ้าก็ควรไปแม้จะไม่เต็มใจ และเหนือสิ่งอื่นใด โลกมนุษย์มิได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด การที่โลกมนุษย์ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างนรกกับสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะพวกมันมีคุณสมบัติมากพอ”
“มีคุณสมบัติมากพอ? ใช้คำพูดไม่ผิดแน่นะ? ถ้าไม่ใช่เพราะเทพคอยปกป้องมนุษย์เพื่อหวังบารมีเทพ โลกมนุษย์คงพินาศไปนานแล้ว”
“เจ้าเองก็เคยได้ยินเรื่องที่เฮลกาโอพ่ายแพ้และสูญเสียร่างเนื้อให้มนุษย์ ทำไมยังพูดแบบนี้อยู่อีก”
“เฮลกาโอต้องสู้ในนรก จึงจะสำแดงเพลิงโลกันตร์ที่แท้จริงได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะพ่ายแพ้ยอดฝีมือบนโลกมนุษย์”
“อา… นั่นสินะ เจ้าเกิดไม่ทัน ‘โลกมนุษย์ดั้งเดิม’ จึงไม่ทราบความร้ายกาจของเจ็ดนักบุญภัยพิบัติ”
“เจ็ดนักบุญภัยพิบัติ? ไม่ใช่ว่าพวกมันสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดเผ่าพันธุ์เพราะได้รับพลังจากเทพรึไง? นับแต่นั้นมา เทพก็ไม่เคยมอบพลังให้มนุษย์อีกเลย”
“ถึงจะปราศจากความช่วยเหลือจากเทพ แต่มนุษย์ก็สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดเผ่าพันธุ์ตัวเองได้ บางคนสั่งสมความสำเร็จและกลายเป็นตำนาน ทั้งเหนือมนุษย์และตำนานคือบันไดที่ก้าวไปสู่เทวตำนาน ตัวอย่างที่ชัดเจนก็คืออริยดาบผู้สามารถผนึกเฮลกาโอ…”
“ตาแก่ พอได้แล้ว… ภารกิจน่าเบื่อแบบนี้ ข้าจัดการได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเอาจริงอยู่แล้ว… อย่าพยายามยัดเยียดความตื่นเต้น”
ไม่ว่าจะมองมุมใด เลอราเฆ่ก็คิดว่าโลกมนุษย์นั้นแสนน่าเบื่อ
ตาแก่มาร์บาสย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องเป็นการเดินทางที่สนุก แต่ในสายเธอ การเดินทางคราวนี้มีแต่จะเสียเวลาเปล่า
อย่างไรก็ตาม เธอยอมข้ามประตูมิติและมุ่งหน้าไปยังโลกมนุษย์พร้อมกับอสูรตนอื่นๆ แต่โดยดี
ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของบาเอล เธอย่อมมิอาจขัดขืน
สำหรับปัจจุบัน วิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงความสนใจจากบาเอลก็คือ
ยอมเป็น ‘ตัวหมากที่น่าเบื่อ’
‘เราต้องเตรียมการอีกหลายอย่าง ถึงจะแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้าบาเอล’
พลังการดิ้นรนจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อได้รับชัยชนะที่มีค่า เลอราเฆ่จึงเป็นจอมอสูรที่มีศักยภาพสูงจนแม้แต่มาร์บาสก็ยังให้ความสนใจ
ขณะเดินผ่านประตูมิติเข้าสู่โลกมนุษย์ เลอราเฆ่รู้สึกราวกับดวงวิญญาณของตนกำลังลุกไหม้ จิตใจพลันอ่อนเพลียและเจ็บแปลบประหนึ่งดวงวิญญาณจะฉีกขาด
ขนาดของดวงวิญญาณลดลงทันที ค่าสถานะทั้งหมดรวมถึงเรี่ยวแรงถดถอยลงหลายส่วน
“…แค่ก”
เลอราเฆ่รู้สึกปวดศีรษะหลังจากสูดอากาศของโลกมนุษย์ที่ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์เข้าไป
เธอไอแห้งๆ พลางกวาดตาสำรวจเกาะเล็กๆ จำนวนหกสิบหกแห่งรอบตัว
ถึงจะอ่อนแอลง แต่เลอราเฆ่ก็ยังไม่รู้สึกตื่นเต้น เพราะไม่ว่าบนเกาะเบเฮ็นจะมีสิ่งใดรออยู่ นั่นก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตน ตราบใดที่ศัตรูคือมนุษย์หรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
เส้นทางข้างหน้าจะมีเพียงชัยชนะราคาถูก ไม่ช่วยให้ฝีมือของเธอพัฒนา ไม่ว่าจะเกิดขึ้นหลายสิบหรือหลายร้อยครั้ง
รังแต่จะเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์
…เฮ่อ ไม่น่ามาเลยแฮะ
“น่ารำคาญชะมัด”
เลอราเฆ่พ่นถ้อยคำเย้ยหยันเมื่อเข้ามายังเกาะแรกที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์
อย่างไรก็ตาม เกาะที่สองทำให้เธอต้องอับอายขายขี้หน้า
บนเกาะมีกฎว่า ‘หีบสมบัติไม่สามารถถูกทำลาย’ และต้องเปิดออกให้ได้อย่างน้อยสองกล่องภายในสามวัน
นี่ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการตามหากุญแจที่ซ่อนอยู่รอบเกาะ
ลงเอยด้วย
“เฮ่อ… ข้าอยากกลับบ้าน”
เลอราเฆ่ล้มเหลวห้าครั้งรวด จนกระทั่งครั้งที่หก เธอสามารถผ่านบททดสอบได้อย่างฉิวเฉียด
เมื่อความ ‘หิว’ เริ่มเล่นงาน สำนวนการเขียนไดอารีก็เริ่มหดหู่
『มนุษย์คิดค้นและติดตั้งเวทมนตร์เพื่อปกป้องเกาะ แต่ก็ยังเป็นเวทมนตร์กระจอกอยู่ดี ขณะที่อสูรตนอื่นต่างพากันสับสนหลังจากถูกขังไว้บนเกาะ ตัวข้า มหาราชาเลอราเฆ่ สามารถข้ามไปยังเกาะถัดไปอย่างง่ายดาย เหล่าอสูรต่างแหงนหน้ามองขึ้นมาพร้อมกับส่งเสียงโห่ร้องยินดี มนุษย์เผยสีหน้าหวาดผวาด้วยร่างกายสั่นระริก ส่วนเทพแสนโอหังบนสวรรค์มิอาจนั่งดูความยอดเยี่ยมของข้าได้อย่างใจเย็น 」
***
“…”
ไดอารีบทแรกสิ้นสุดลง รวมถึงประสบการณ์ย้อนอดีตของกริด
ชายหนุ่มถอนสายตาจากหนังสือ หันไปทางเลอราเฆ่
“ฮื้อ~ ฮือ~”
เลอราเฆ่ฮัมเพลงอย่างกระอักกระอ่วนเพื่อกลบเกลื่อน พลางลูบหลังม้านรกพันธุ์ดีที่มีเปลวไฟสีฟ้าแทนแผงขน
แต่เสียงฮัมเพลงหยุดลงกะทันหัน เมื่อเธอถูกมันดีดด้วยขาหลังจนต้องทรุดไปนั่งบนพื้น
“…เป็นฉบับดั้งเดิมน่ะ ข้ายังไม่ได้แก้ไข”
“อา… นั่นสินะ”
“ข้าจะรีบเขียนฉบับแก้ไขโดยเร็ว ดังนั้น ช่วยคืนมาก่อนได้ไหม”
“ไม่เป็นไร”
หล่อนจะใส่ไข่และบิดเบือนเพิ่มอีกแค่ไหน?
ข้อมูลเกี่ยวกับวิชาดาบราชาไร้พ่ายอาจถูกลบหายไป และไดอารีเล่มนี้ก็จะหมดความหมายสำหรับกริดทันที
“แล้วเจ้าอยากได้อะไรอีกหนึ่งชิ้น?”
ในเมื่อการโน้มน้าวไม่ได้ผล เลอราเฆ่ยอมตัดใจ
เธอนั่งมองกำแพงพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“อา…”
นั่นสินะ การยืนอ่านไดอารีต่อหน้าเจ้าของถือเป็นเรื่องเสียมารยาท…
กริดเก็บบันทึกหมู่เกาะเบเฮ็นเข้าคลังสัมภาระ ด้วยกังวลว่าตนอาจจะพลาดอีกหนึ่งรางวัลหากทำให้เลอราเฆ่โมโห
ที่นี่คือคลังสมบัติของเธอ อีกฝ่ายย่อมมีอำนาจขับไล่ได้ทุกเมื่อ การยั่วยุจึงต้องมีขอบเขต
“มีอะไรแนะนำไหม”
ในสายตากริด สมบัติล้ำค่าที่สุดในคลังคือม้าเพลิงฟ้า แต่นั่นก็ไม่มีประโยชน์กับชายหนุ่มสักเท่าไร เพราะทางนี้เองก็มีโอเวอร์เกียร์คอร์น
ลำพังบุคลิกแย่ๆ และหยาบคายของโอเวอร์เกียร์คอร์นก็รับมือได้ยากเต็มกลืน กริดไม่อยากเพิ่มภาระด้วยม้านรกที่กล้าเตะจอมอสูร
ศิลาโลหิตก็ไม่ได้ดึงดูดใจมากนัก ถึงจะเป็นแร่ที่ดี แต่ตนมีละโมบอยู่แล้ว
‘มันไม่ใช่แร่ที่มีเอกลักษณ์พิเศษเหมือนกับเหล็กแสงจันทร์… ถึงจะเข้ากันได้ดีกับพลังอสูร แต่ก็ไม่จำเป็นสำหรับเรา’
จริงอยู่ อรรถประโยชน์ของศิลาโลหิตมีมากมาย แต่ยังไม่มีคุณค่าพอที่จะเป็นของรางวัลจากเลอราเฆ่
‘ดาบเวทมนตร์ของเซปาร์… ขอผ่าน’
เซปาร์ไม่ใช่อสูร แต่เป็นเผ่าอสูร
เกิดมาในฐานะเผ่าอสูรชั้นต่ำ แต่อุทิศตัวให้กับดาบจนสามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นจอมอสูรลำดับสิบสามแห่งขุมนรก ถึงอันดับในปัจจุบันจะตกลงไปพอสมควร แต่ก็ยังเป็นตัวตนที่ค่อนข้างน่าเกรงขาม
อย่างไรก็ตาม กริดมียารุกต์อยู่แล้ว แม้ปัจจุบันจะฝากให้พีคซอร์ดช่วยพัฒนา แต่ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องนำดาบเวทมนตร์ของเซปาร์กลับไป
‘…เห็นแบบนี้ก็ตลกดีเหมือนกัน’
กริดที่มองไปรอบๆ คลังสมบัติพลางพิจารณามูลค่าของวัตถุแต่ละชิ้น พลันเผยรอยยิ้มมุมปาก
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ… ไม่มีสิ่งใดในคลังสมบัติของจอมอสูรลำดับสิบ เข้าตาเราแม้แต่ชิ้นเดียว…
ชายหนุ่มเองก็มีสมบัติไม่น้อย
‘คงถึงเวลาสร้างคลังสมบัติส่วนตัวบ้างแล้ว’
หากวันใดที่มีสมบัติมากมายเกินกว่าคลังสัมภาระจะรับไหว กริดต้องสร้างอาคารใหม่เพื่อเก็บของโดยเฉพาะ
ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพักก่อนจะตระหนักว่า ปัจจุบันตนร่ำรวยมากเพียงใด และวันที่ยากจนสุดขีดนั้นยากลำบากเพียงใด
“จ…เจ้ากำลังยิ้ม?!”
เลอราเฆ่ตะโกนขึ้นขณะกริดใช้สมาธิตรวจสอบคลังสมบัติ
เธอคิดว่ากริดกำลังหัวเราะเยาะเนื้อหาของไดอารีเมื่อครู่
มาถึงจุดที่ กริดเริ่มรู้สึกสงสาร
ชายหนุ่มหันไปกล่าวกับเลอราเฆ่ ผู้พยายามดึงหมวกปีกกว้างลงมาปกปิดใบหน้าที่กำลังเขินอาย
“ฉันยิ้มเพราะคิดถึงเรื่องอื่น ทำไมถึงได้คิดว่ายิ้มเพราะเธอ? คนอย่างฉันไม่มีทางหัวเราะเยาะคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองหรอกนะ”
ชายหนุ่มไม่ได้พยายามปลอบใจด้วยเหตุผลพิเศษ เพียงรำคาญที่เลอราเฆ่คอยจุกจิกเสียงดังอยู่ข้างๆ
กริดพูดความจริงเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดแหกปาก
ทว่า ความซื่อตรงของชายหนุ่มกลับทำให้หัวใจเลอราเฆ่หวั่นไหว
“อะแฮ่ม… นั่นสินะ ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก~ มากๆ ~ แต่ข้าชอบคำพูดที่ซื่อตรงและเย็นชาของเจ้านะ”
[ความสัมพันธ์กับจอมอสูรลำดับสิบ เลอราเฆ่ เพิ่มขึ้น 1 หน่วย]
“…??”
จอมอสูรคือตัวตนที่ชั่วร้าย เป็นศัตรูของมนุษยชาติอย่างไร้ข้อกังขา
ทั้งสองเผ่าพันธุ์ไม่มีวันเป็นมิตรกันได้ ไม่แม้แต่วันที่ฟ้าถล่มลงมา
กริดเชื่อเช่นนี้มาตลอด ด้วยประสบการณ์และสิ่งที่เคยพบเจอมากับตัว
แต่แล้วทำไม… ค่าความสัมพันธ์ถึงเพิ่มขึ้น?
“เธอ… เป็นจอมอสูรจริงหรือ”
“ทำไมถึงถามแบบนี้? เจ้าใช้เวลาเลือกนานเกินไปแล้ว! คงไม่มีดวงตาที่ช่วยวิเคราะห์สมบัติสินะ ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเลือกให้ เอานี่เป็นไง? โล่ที่ได้มาเมื่อหนึ่งร้อยห้าสิบเก้าปีก่อน จากสงครามหนึ่งล้าน…”
“ขยะ”
หล่อนเป็นจอมอสูรจริงๆ ใช่ไหม?
แน่หรือ?
กริดจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาเหม่อลอย
เลอราเฆ่รีบกระแอมและหลบหน้า
______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,867
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ
จะไปเดทกับจอมอสรซะแล้ว 555+
ReplyDeleteในความคิดอยู่ๆจอมอสูรก็น่ารักซะงั้น55555555 กะล่อนดี
ReplyDeleteเขียนบทให้อสูรลำดับ10ออกมาเป็นแบบนี้ ไม่ใช่หลังจากนี้โดนกริดหรือยูร่าฆ่าตายหรอกนะ
ReplyDelete