จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,382



เมื่อเห็นว่าดาบสกัดทัพหนึ่งแสนมิอาจทะลวงผ่านเมือกใสของเลอราเฆ่ กริดมั่นใจทันทีว่าตนไม่มีทางเอาชนะอีกฝ่ายได้ด้วยวิธีการปรกติ


หากไม่ใช่เพราะบัญชาเทพถูกกระตุ้นสามครั้งซ้อน ตนคงมิอาจเอาชนะการดวลที่มีเงื่อนไขเข้าทางเต็มประตูเช่นนี้


“ฉันก็แค่โชคดี”


กริดยอมรับตามตรง


ผู้ชนะย่อมผ่อนคลายมากกว่า จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำตัวถ่อมตน


แน่นอน การถ่อมตนไม่มีอะไรให้สูญเสีย


“อึก…”


ท่าทีของกริดยิ่งทำให้เลอราเฆ่หงุดหงิด


เธอเอาแต่ยืนกรานกระต่ายขาเดียวปฏิเสธความพ่ายแพ้มาตลอด แต่อีกฝ่ายกลับพูดอย่างถ่อมตนว่าตนแค่ดวงดีที่เอาชนะมาได้


เป็นความพ่ายแพ้อย่างหมดรูป


ไม่ผิดจากที่คาด อสูรในท้องพระโรงเริ่มส่งเสียงพึมพำอีกครั้ง


ดวงตาที่เคยเปี่ยมความศรัทธาและหลงใหลเลอราเฆ่จนถึงเมื่อครู่ กลายเป็นความคลางแคลง บางคนถึงขั้นหัวเราะเยาะ


‘จบแล้ว… จบสิ้นแล้ว!’


สิ่งที่น่าตกตะลึงพลันบังเกิด


เลอราเฆ่ใช้ฝ่ามือบีบที่พักแขนของบัลลังก์จนแหลกละเอียด เศษฝุ่นฟุ้งกระจาย


ฉากดังกล่าวทำให้สีหน้ากริดดำมืด


‘ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม…’


กริดเป็นช่างตีเหล็กในตำนาน ย่อมทราบว่าบัลลังก์สีแดงถูกสร้างมาจากวัสดุประเภทใด


ศิลาโลหิต แร่ที่แข็งที่สุดในนรก


บัลลังก์แดงที่สร้างจากศิลาโลหิตมีความทนทานเทียบเท่าไอเท็มเกรดเลเจนดารีเป็นอย่างน้อย


แต่เธอกลับบดเป็นผงด้วยมือเปล่า


ชายหนุ่มได้แค่ตั้งคำถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากตนเป็นฝ่ายถูกโจมตี?


‘การแลกหมัดคงไม่ต่างอะไรกับฆ่าตัวตาย เว้นเสียแต่เราจะเปิดใช้งานพลังของซาลอส’


กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากดวลกันอย่างจริงจัง กริดจะหมดโอกาสเอาชนะโดยสิ้นเชิง


บ้าบอสิ้นดี


กริดส่ายหน้าให้กับพลังอันล้นเหลือของอีกฝ่าย ก่อนจะเหลือบไปเห็นกลุ่มควันที่ลอยเหนือฝุ่นฟุ้ง


‘หืม…’


คล้ายกับฉุกคิดบางสิ่งได้ กริดหันไปจ้องที่วางแขนซึ่งถูกทำลาย


พิจารณาจากภาพตัดขวาง ศิลาโลหิตไหลลงไปในลักษณะที่ไม่ได้ถูกบดขยี้ด้วยพละกำลัง คล้ายกับถูกทำให้สึกกร่อนโดยกรดบางชนิด


‘แบบนี้นี่เอง’


เมือกสีใสไม่เพียงจะลดทอนพลังทำลายทางกายภาพลงครึ่งหนึ่ง แต่ยังมีอรรถประโยชน์มากมาย


หรือสรุปโดยสั้น เลอราเฆ่ทรงพลังมาก


เมื่อระยะเวลาการผสานไอเท็มหมดลง ดาบอัสนีฯ และดาบมังกรเพลิงถูกแยกออกจากกัน


ดาบมังกรเพลิงมีความคงทนเป็นอนันต์ สภาพจึงยังเหมือนใหม่ แต่ดาบอัสนีแห่งการบรรลุสัจธรรมฯ ได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก


‘ในทางปฏิบัติ การล่าเลอราเฆ่แทบไม่มีโอกาสสำเร็จ’


อย่างไรก็ตาม เรื่องราวจะเปลี่ยนไปทันทีหากมีบราฮัมคอยร่วมมือ


จอมอสูรลำดับสิบเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังก็จริง แต่ก็ยังห่างชั้นจากมีร์ที่เป็นครึ่งเทพพอสมควร


แม้จะมีค่าต้านทานทางกายภาพจะสูง แต่ก็น่าจะอ่อนแอต่อเวทมนตร์


ขณะกริดครุ่นคิด สีหน้าเลอราเฆ่ยิ่งบิดเบี้ยวมากกว่าเก่า


‘เราอ่อนแอลง…’


ความพ่ายแพ้ติดต่อกันสองครั้งซ้อนส่งผลให้สถิติการต่อสู้ที่สั่งสมมานานกว่าพันปีมีมลทิน


สถานะของเธอลดต่ำลง และนั่นแปรผันตรงกับความแข็งแกร่ง


หลักฐานก็คือ แต่เดิม เลอราเฆ่คิดจะป่นที่พักแขนให้เป็นผงโดยสมบูรณ์ แต่กลับยังมีบางส่วนหลงเหลือ


‘ฆ่าพวกมันทิ้งซะดีไหม…’


ดวงตาเลอราเฆ่เริ่มแผ่จิตสังหาร


อสูรนับพันและนักล่าอสูร


หากเธอสังหารผู้เห็นเหตุการณ์ในวันนี้ทั้งหมด ความเสียหายอาจฟื้นฟูกลับมาได้ในระดับหนึ่ง


ทว่า


“ไอ้ขี้ขลาด!”


ยังไม่ทันที่เลอราเฆ่จะลงมือ รองแม่ทัพของเธอ คาลบาบ้าและสมุนกำลังหลั่งน้ำตาเลือด


“เจ้า! อาจารย์ของราชาไร้พ่าย! เจ้าเก็บซ่อนความแข็งแกร่งและสวมรอยเป็นราชาไร้พ่าย ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ยุติธรรม! ไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่เลยหรือ? ศีลธรรมและจริยธรรมที่มนุษย์โหยหาไปไหนหมด!”


คาลบาบ้าตำหนิกริดอย่างรุนแรง


มันมิได้ปกป้องเลอราเฆ่เพียงเพราะภักดี แต่วิเคราะห์อย่างสุขุมและเป็นกลาง


เลอราเฆ่ต้องพ่ายแพ้เพราะเธอยอมอ่อนข้อให้ โดยเงื่อนไขของการออมมือมีพื้นฐานมาจากการคำนึงว่าอีกฝ่ายคือราชาไร้พ่าย


แต่ในความเป็นจริง กริดไม่ใช่ราชาไร้พ่าย แต่เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้น การปลอมตัวเป็นบุคคลที่อ่อนแอกว่าถือเป็นพฤติกรรมที่ขี้ขลาดตามหลักจริยธรรมของโลกมนุษย์


แต่ปัญหาคือ ที่นี่คือนรก และอสูรมักไม่คิดถึงเรื่องจริยธรรม


“เจ้ากำลังกระดิกหางและสร้างเรื่องเท็จเพื่อเลียขาเจ้านายสินะ… นรกขุมที่สิบช่างน่าสมเพช”


“ไอ้พวกขี้แพ้! คุคุคุก!”


เลอราเฆ่ได้เชิญอสูรจำนวนมากมาร่วมงาน


แต่ผู้ที่ควรจะเป็นสักขีพยานในชัยชนะของเธอ กลับเลือกจะเข้าข้างกริด


พวกมันคืออสูรที่สนใจเพียงผู้ชนะ ไม่แยแสวิธีการ


ไม่ว่าอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เลอราเฆ่พ่ายแพ้ในเงื่อนไขที่เธอตั้งขึ้นเอง การกล่าวหาคนที่ปกปิดฝีมือว่าขี้ขลาด เป็นเพียงพฤติกรรมของพวกขี้แพ้


“สามหาว! ถ้าอยากจะพูดอะไร ก็จงพูดออกมาดังๆ อย่างมั่นใจ! แต่อย่าลืมเตรียมตัวหัวขาดไว้ด้วย!”


บรรดาอสูรต่างแตกตื่นและรีบหุบปากเมื่อได้ยินเสียงคำรามของคาลบาบ้า


กริดเย็นสันหลังวาบไปครู่หนึ่ง


อสูรตนนี้ไม่ได้เป็นมือขวาของเลอราเฆ่เพราะโชคช่วย ถึงจะยังไม่มีอันดับ แต่แรงกดดันที่แผ่ออกมานับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว


‘ไม่ด้อยไปกว่าจอมอสูรที่เราเคยสู้ด้วย…’


แน่นอนว่าเป็นการเทียบกับ ‘จอมอสูรบนโลกมนุษย์’


แต่ถึงอย่างนั้นก็ชัดเจนว่าคาลบาบ้าแข็งแกร่ง อาจเหนือกว่าอันดราสที่เป็นสมุนของบาเอลด้วยซ้ำ


กริดชำเลืองมองยูร่าที่อยู่ด้านหลัง สีหน้าของเธอกำลังดำมืดอย่างที่คิด


สำหรับยูร่าซึ่งมีหน้าที่ต้องชำระล้างขุมนรก ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่จะหวั่นวิตกเมื่อเห็นอสูรแข็งแกร่งปรากฏตัว


‘ไม่ต้องกังวล ฉันจะช่วยเธอเอง’


เป็นเพราะกริดเคยสัมผัสประสบการณ์ในนรกมาแล้ว จึงหันมามองยูร่าด้วยสายตาห่วงใย


ชายหนุ่มย่อมทราบว่าสถานที่แห่งนี้โหดร้ายและโดดเดี่ยวเพียงใด


ยูร่าต้องคอยต่อสู้ตามลำพังอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรืออนาคต


กริดมองว่าสตรีผู้นี้น่าเห็นใจทั้งในเกมและโลกความจริง จึงเกิดความรู้สึกอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ


บางที ความคิดเช่นนี้อาจเป็นบ่อเกิดของความรัก


“ไม่มีใครกล้าเลยหรือ? ไอ้พวกขี้ขลาดที่ไม่สนใจความอยุติธรรมของการดวลและพูดว่านรกขุมที่สิบน่าสมเพช พวกเจ้าเองก็เป็นขยะไร้ยางอายไม่ต่างจากมนุษย์คนนั้นสักนิด!”


คาลบาบ้าที่กำลังเดือดดาลเพราะคำพูดของอสูร หันกลับมาจ้องกริดอีกครั้ง


สีหน้าไม่ปกปิดความขุ่นเคือง คล้ายกับเตรียมจะท้าดวลเหมือนกับเลอราเฆ่


‘สู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์…’


กริดรีบตัดสินใจ


มันยังไม่ลืมว่าที่นี่คือถิ่นศัตรู หากปล่อยให้ตัวเองไหลไปกับบรรยากาศและยอมสู้กับคาลบาบ้า ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสู้กับกองพันราชรถทั้งหมด


ถึงเลอราเฆ่จะติดสัญญาห้ามทำร้ายกริด แต่ลำพังกริดกับยูร่าสองคนคงมิอาจจัดการอสูรในนรกขุมที่สิบได้หมด จุดจบมีเพียงความตายรออยู่


“ก่อนอื่น… ฉันขอแสดงความเคารพต่อพลังอันยิ่งใหญ่ของมหาราชาเลอราเฆ่”


จนถึงตอนนี้ กริดมีประสบการณ์มากมายในการฝ่าวิกฤติ คุ้นเคยกับการวิเคราะห์อุปนิสัยของตัวละคร แถมยังอ่านบรรยากาศเก่ง การทำให้ทุกคนใจเย็นลงจึงไม่ใช่เรื่องยาก


“คาลบาบ้า เจ้านายของนายคู่ควรกับการเป็นผู้ปกครองแห่งขุมนรกแล้ว เธอแข็งแกร่งอย่าแท้จริง หากเป็นการต่อสู้ที่บริสุทธิ์ยุติธรรม ฉันคนนี้คงพ่ายแพ้อย่างหมดทางสู้ นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องทำตัวขี้ขลาด เป็นทางเดียวที่จะเอาชนะเธอได้ในการดวลแบบมีเงื่อนไข… ใช่แล้ว ฉันมันขี้ขลาด”


“…”


“ลองมองเจ้านายของนายให้ดี ทำไมถึงเธอเอาแต่เงียบ? นั่นเพราะว่าถึงเธอจะแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็เข้าใจจุดยืนของคนอ่อนแอ จึงทำเพียงปิดปากเงียบ ไม่พูดเพื่อให้ใครเสียต้องเสียหน้า… นายควรมองเจตนาของเจ้านายให้ออก อย่าได้ก่อความวุ่นวายไปมากกว่านี้”


“…!”


“…”


อสูรทั้งหมดในท้องพระโรง รวมถึงคาลบาบ้าและกองพันราชรถ กำลังถูกสั่นคลอนจิตใจอย่างหนัก


ดังที่กล่าวไปข้างต้น อสูรมักสนใจเพียงผู้ชนะ


แต่ไหนแต่ไร กฎของนรกก็คือ ‘ผู้ชนะสามารถครอบครองทุกสิ่ง’ จึงค่อนข้างน่าประหลาดที่กริดซึ่งเป็นผู้ชนะ กลับถ่อมตนและเอาแต่ยกยอผู้แพ้


มุมปากเลอราเฆ่เริ่มกระตุก


“แฮ่ม… คาลบาบ้า”


เลอราเฆ่พูดกับคาลบาบ้าที่กำลังใบ้กินจากการตอบสนองอันคาดไม่ถึง


“สิ่งที่อาจารย์ของราชาไร้พ่ายกล่าวนั้นถูกต้องแล้ว ข้าเงียบไปเพราะเข้าใจจุดยืนของผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างเขา… จริงอยู่ที่เขาค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่หากข้าคนนี้เอาจริงก็สามารถดับลมหายใจได้ทุกเมื่อ… ข้าเข้าใจความรู้สึกของคนขี้ขลาดที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ… ตัวข้า มหาราชาเลอราเฆ่ จักแสดงความเมตตาในฐานะผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ด้วยการไม่ถือโทษโกรธความ”


“อะ…!”


อสูรแห่งนรกขุมที่สิบค่อนข้างแตกต่างจากอสูรอื่นๆ


ต่อสู้และเอาชนะ พิสูจน์ความแข็งแกร่งให้ทุกคนเห็น เลอราเฆ่มีคติพจน์ที่เรียบง่าย และเธอก็ยึดถือหลักการนี้มาตลอด ส่งผลให้มีนิสัยแตกต่างจากจอมอสูรตนอื่นโดยสิ้นเชิง


สมุนของเธอก็เช่นกัน


หรือกล่าวได้ว่า พวกมันเป็นอสูรที่พูดคุยรู้เรื่อง


“หากนี่เป็นความประสงค์ของเจ้านาย พวกเราก็จะยอมยกโทษให้กับความขี้ขลาดของเขา!”


“ยกโทษให้เขา!”


ปราสาทของเลอราเฆ่ทั้งใหญ่โตและซับซ้อนราวกับเขาวงกต


บริวารของเลอราเฆ่ที่เฝ้ามองจากทุกสารทิศพลันเปล่งเสียงอย่างพร้อมเพรียง กลุ่มอสูรที่เคยหัวเราะเยาะจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมสงบปากสงบคำ


“แฮ่ม… ตามมา… ถึงข้าจะแข็งแกร่งกว่าเจ้ามาก แต่แพ้ก็ต้องเป็นแพ้ ข้าจะมอบของขวัญให้ตามสัญญา”


สีหน้าของเลอราเฆ่สดใสขึ้นเล็กน้อยขณะลุกจากบัลลังก์


เหตุใดพวกอสูรถึงเอาแต่พูดเรื่องความขี้ขลาด…?


กริดไม่ชอบใจเลยสักนิด แต่ก็ทำเพียงเดินตามไปโดยไม่แสดงออก


จากนั้น ชายหนุ่มเริ่มสะดุดตากับสมบัติหลายชิ้นภายในคลัง


ศิลาโลหิตที่กำลังส่องประกายงดงามยิ่งกว่าทองคำและเงิน ม้าพันธุ์ดีของนรกอันโด่งดังที่แผ่เปลวไฟสีฟ้าตลอดเวลา ดาบที่เซปาร์เคยใช้


ท่ามกลางสมบัติหายากทั้งหมด สิ่งที่ดึงดูดสายตากริดมากที่สุดกลับเป็นหนังสือเก่าๆ บางๆ เล่มหนึ่ง


บันทึกหมู่เกาะเบเฮ็น


หนังสือที่บันทึกประสบการณ์ของเลอราเฆ่บนหมู่เกาะเบเฮ็น


“ทำไมเจ้าถึงสนใจ? มันก็แค่ไดอารีของข้า…”


เดิมที เธอต้องการเผยแพร่การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ให้โลกได้รับรู้ แต่กลับลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ต่อราชาไร้พ่าย เนื้อหาจึงผิดแผกไปจากความตั้งใจเดิม ทำให้เธอตัดสินใจปิดตายมันไว้ในคลังสมบัติ


ใบหน้าเลอราเฆ่เริ่มแดงก่ำอย่างกระอักกระอ่วน


แต่กริดยืนกรานจะเปิดอ่านโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า


[ท่านเลือก ‘บันทึกหมู่เกาะเบเฮ็น’ เป็นของขวัญจากเลอราเฆ่]


หนึ่งในสองของรางวัลที่กริดเลือกคือไดอารีเก่า


คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่กริดเชื่อในสัญชาตญาณของตน


‘เป็นอย่างที่คิด’


ในบันทึกหมู่เกาะเบเฮ็น เนื้อหาบางส่วนเขียนถึงความประทับใจที่มีต่อวิชาดาบของมาดรา


ในไดอารีของมาดรา รายละเอียดบางจุดขาดหายไปเนื่องจากมาดราอยู่ในสถานะอัศวินแห่งความตายที่ค่อยๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์


กลับกัน สิ่งที่เลอราเฆ่บันทึกไว้นั้นมีรายละเอียดครบถ้วน มากพอที่จะได้รับข้อมูลของวิชาดาบทัพสี่แสน


ขณะเดียวกัน ภายในนรกขุมที่สามสิบสอง


“บัดซบ! ไอ้ระยำกริด!”


โรสที่ยืนใกล้กับเลอราเฆ่ ถูกดาบพินาศทัพหนึ่งแสนดับลมหายใจ


ปัจจุบัน เธอกำลังแหกปากโวยวายเสียงดังหลังจากคืนชีพ


“แกจะตามรังควานฉันอีกกี่ครั้ง!”


โรสมิอาจระงับความโกรธ เสียงร้องของเธอเริ่มดึงดูดความสนใจของอสูรโดยรอบ


นรกขุมที่สามสิบสองซึ่งสูญเสียผู้ปกครอง อสูรที่แข็งแกร่งจึงกำลังทำสงครามแย่งชิงบัลลังก์อย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นกระทั่งตอนนี้


บนถนนที่โรสกำลังเดินไป ท้องฟ้าด้านบนเริ่มมีเมฆดำก่อตัว


ทั้งหมดเพียงเพราะเธอทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาโดยไม่จำเป็น


______________

ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน

ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,866

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ




Comments

  1. จากเกลียดอีโรสกลายเป็นสงสารละ555555555 ซวยโดนกริดฆ่าตลอด

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00